การทำงานหาเงินมีอยู่ 3 ระดับ คือ
1. ใช้ แรงงาน/ เวลา แลกเงิน (Active Income) = ถ้าหยุดทำงาน เงินหยุดเข้า
เช่น พนักงานประจำ, พ่อค้า แม่ค้า, หมอ, ทนายความ, อาจารย์, .....
2. ให้เงินทำงาน (Passive Income) = ไม่ต้องทำงาน หรือทำงานแค่ครั้งเดียว แต่เงินก็ไหลเข้าตลอด
เช่น
- รายรับจากดอกเบี้ย, เงินปันผล
- ค่าลิขสิทธิ์หนังสือ, เพลง, DVD
- รายรับจากกิจการ ที่บริหารงานได้ด้วยตัวของมันเอง (ไม่ใช่ขายกาแฟ แต่เราต้องไปนั่งชงเอง - ถ้าแบบนี้จะเป็นแบบที่ 1)
- จากค่าเช่าที่ดิน, ค่าเช่าคอนโด, ...
3. เป็นแม่เหล็กดึงดูดเงิน สร้าง Personal branding
เช่น
เมื่อคุณตันเปิด "อิชิตัน" คนจำนวนมากตามไปกิน อิชิตัน นั่นเพราะคุณตันคือ brand ไม่ใช่ OISHI
คุณตันแค่เอาหน้าไปแปะ บนเสื้อยืด กระปุกออมสิน แก้วน้ำ ปากกา... ก็ขายได้หมด
และต่อให้น้ำท่วม ไฟไหม อีกกี่ครั้ง คุณตันก็ไม่มีทางล้ม เพราะจะมีนายทุน และนักลงทุนมากมายพร้อมเอาเงินมาให้คุณตันไปลงทุนอะไรก็ได้แล้วแต่คุณตันเลย
คุณตัน "ดึงดูดเงิน" = Personal Branding
------------------------
คนเราส่วนใหญ่มัก
หาเงินแบบ Active income จนถึงอายุ 60
หาเงินหรือวางแผนการเงินแบบ Passive income ก็ต่อ เมื่ออายุเลย 60 แบบถูกบังคับ เพราะว่าเค้าไม่จ้างงานแล้ว
Personal Branding คนทั่วไปมักไม่คิดถึงเรื่องนี้เลย ยกเว้นแต่คนดังๆ อย่างคุณตัน, อ.เฉลิมชัย, คุณบัณฑิต, Steve Jobs, ...
เพื่อนๆละ เลือกแบบไหนดีครับ?
Un+ Chirdpong (อั๋น เชิดพงษ์)
---------------------------
ปล: ผมแปลกใจมากที่วิชาแบบนี้ไม่มีสอนที่โรงเรียน โดยเฉพาะเรื่อง Passive income กับ Personal Branding มิเช่นนั้น พวกเราคงได้เริ่มวางแผนกันตั้งแต่สมัยมัธยม... ป่านนี้พวกเราทุกคนน่าจะเป็นเศรษฐีย่อยๆ กันไปแล้วล่ะครับ
Search