สรุป Risk Premium คืออะไร ? ทำไมนักลงทุนควรรู้จัก /โดย ลงทุนแมน
“การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน”
คนที่เป็นนักลงทุนคงคุ้นเคยกับประโยคเตือนนี้ดี
ความเสี่ยง ถ้าให้อธิบายง่าย ๆ ก็คือ โอกาสที่เราจะไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่เราคาดหวังไว้ รวมไปถึงโอกาสในการสูญเสียเงินต้นจากการลงทุนนั้น ๆ
แต่ถ้าในเชิงวิชาการเงิน ความเสี่ยงก็อาจวัดได้จากความผันผวนของผลตอบแทน ยิ่งผันผวนมาก ในวิชาการเงินจะถือว่ามีความเสี่ยงสูง
แน่นอนว่า เมื่อเราไปลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยง เราก็มีโอกาสที่จะไม่ได้รับผลตอบแทนที่คาดไว้ รวมถึงโอกาสในการสูญเสียเงินต้น
ดังนั้น เมื่อตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงแล้ว นักลงทุนจึงต้องการผลตอบแทนเพิ่มเติม ที่เรียกว่า “ส่วนชดเชยความเสี่ยง” หรือ “Risk Premium”
แล้ว Risk Premium คืออะไร ?
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ลองนึกภาพเล่น ๆ กันก่อนว่า ถ้าเรานำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น
- เงินฝากธนาคาร เสี่ยงต่ำมาก ต้องการผลตอบแทน 1%
- หุ้นกู้บริษัทเอกชน เสี่ยงปานกลาง ต้องการผลตอบแทน 5%
- หุ้นสามัญ เสี่ยงสูง ต้องการผลตอบแทน 10%
เราจะพบว่า แต่ละสินทรัพย์นั้นมีความคาดหวังของอัตราผลตอบแทนที่แตกต่างกันออกไป
สินทรัพย์ยิ่งเสี่ยงมาก เราก็ยิ่งคาดหวังผลตอบแทนที่สูงมากตามไปด้วย
ซึ่งก็เข้ากับประโยคคลาสสิกในโลกของการลงทุนที่ว่า “High Risk High Return” นั่นเอง
ตัวอย่างหนึ่งที่ช่วยให้หลายคนเห็นภาพมากขึ้น
คือ ความแตกต่างระหว่าง อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ก็สามารถใช้คำว่า Risk Premium มาอธิบายความแตกต่างนี้ได้เช่นกัน
คำถามที่หลายคนมักคาใจกันมานานคือ ทำไมอัตราดอกเบี้ยเงินฝากถึงต่ำมาก เช่น อยู่ในช่วงระหว่าง 0.5% - 1.5% แต่ทำไมอัตราดอกเบี้ยเงินกู้นั้นจึงสูงมาก เช่น 5.0% - 8.0%
เรื่องนี้อธิบายตามหลัก Risk Premium ก็คือ
เมื่อธนาคารรับเงินฝากจากเราไป ธนาคารก็จะมีภาระที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับเราหรือคนที่เอาเงินไปฝากตามตกลงกัน
แต่ประเด็นคือ ธนาคารไม่ได้เอาเงินฝากของเรากองไว้เฉย ๆ แต่ธนาคารเอาเงินไปปล่อยสินเชื่อต่อ ซึ่งจะทำให้ธนาคารมีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระดอกเบี้ย หรือไม่ได้เงินต้นคืนจากผู้ขอสินเชื่อ
เช่น ถ้าผู้กู้เป็นบริษัทที่มีความเสี่ยงด้านการเงิน มีหนี้สูง หรือแม้แต่คนธรรมดาที่ไปขอกู้และมีเครดิตไม่ดีในการผ่อนชำระเงิน มีรายได้ไม่แน่นอน หรือไม่มีหลักประกัน
ความเสี่ยงตรงนี้ เป็นส่วนที่ธนาคารต้องแบกรับ ทำให้ธนาคารต้องคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในระดับสูงขึ้น มากกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก
ซึ่งความแตกต่างนั้น ส่วนหนึ่งก็สะท้อนคำว่า Risk Premium หรือ ส่วนชดเชยความเสี่ยง นั่นเอง
อีกกรณีหนึ่งที่อธิบายเรื่องนี้ได้คือ การจัดอันดับเครดิตเรตติงของ หุ้นกู้
โดยบริษัทที่ทำการจัดอันดับเครดิตเรตติง จะประเมินระดับเรตติงจาก ลักษณะการดำเนินธุรกิจของบริษัท ผลประกอบการ หลักทรัพย์ค้ำประกัน รวมถึงปัจจัยภายนอกที่เกี่ยวข้อง เพื่อดูว่าบริษัทที่ออกหุ้นกู้นั้น มีความสามารถในการชำระหนี้คืนได้มากแค่ไหน
พอเรื่องเป็นแบบนี้ จึงมีการจัดอันดับความเสี่ยงของหุ้นกู้ ซึ่งแบ่งออกมาเป็น Investment Grade หรือกลุ่มที่มีเครดิตดีน่าลงทุน ที่มีเรตติงตั้งแต่ BBB ขึ้นไปถึง AAA
และ Non-Investment Grade หรือกลุ่มที่มีความเสี่ยงจะผิดนัดชำระหนี้สูง มีเรตติงต่ำกว่า BBB ลงมา
โดยในกลุ่ม Non-Investment Grade บริษัทที่ออกหุ้นกู้ ก็จะต้องเสนอดอกเบี้ยสูง ๆ เพื่อจูงใจนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนบนความเสี่ยงที่สูงนั้น
แตกต่างกับกลุ่ม Investment Grade ที่เครดิตดีอยู่แล้ว ผู้ลงทุนจึงรู้สึกปลอดภัยในการมาลงทุน และไม่ต้องการส่วนชดเชยความเสี่ยงเยอะ ผู้ออกจึงไม่จำเป็นต้องเสนอดอกเบี้ยสูง ๆ นั่นเอง
ส่วนคนที่ลงทุนในตลาดหุ้น ก็จะมีผลตอบแทนชดเชยความเสี่ยง ที่เรียกว่า “Equity Risk Premium”
ซึ่ง Equity Risk Premium ถ้าอธิบายตามหลักการ ก็เกิดมาจาก อัตราผลตอบแทนที่คาดหวังจากการลงทุนในตลาดหุ้น หักลบด้วย ผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่ปราศจากความเสี่ยง
ซึ่งตามทฤษฎีแล้ว สินทรัพย์ที่มักถูกนำมาใช้เป็นตัวแทนสินทรัพย์ที่ปราศจากความเสี่ยง ก็คือ พันธบัตรรัฐบาล
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย ๆ เช่น
ถ้าอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังจากการลงทุนในตลาดหุ้นเท่ากับ 10% อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลเท่ากับ 2% ในกรณีนี้ Equity Risk Premium จะเท่ากับ 8%
และด้วยความที่ตัวแปรทั้ง 2 ตัวนั้นเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เพราะฉะนั้น Equity Risk Premium จะมีการเปลี่ยนไปตลอดเวลาเช่นเดียวกัน
โดยปกติแล้วเมื่อตลาดอยู่ในภาวะที่มีความเสี่ยงสูง
เช่น การตกต่ำของภาวะเศรษฐกิจ การเกิดสงคราม ก็จะทำให้ Equity Risk Premium มีการปรับตัวสูงขึ้น เพราะนักลงทุนคาดหวังผลตอบแทนชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงใน Equity Risk Premium ยังสามารถบอกการเคลื่อนย้ายเงินทุนของนักลงทุนระหว่างตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรได้อีกด้วย
โดยปกติแล้วถ้ามีเงินไหลออกจากตลาดพันธบัตรเข้าตลาดหุ้น Equity Risk Premium จะลดลง และกลับกัน เมื่อมีเงินไหลออกจากตลาดหุ้นเข้าสู่ตลาดพันธบัตร Equity Risk Premium จะเพิ่มขึ้น
อ่านมาถึงตรงนี้เราน่าจะพอได้ไอเดียเกี่ยวกับ Risk Premium หรือ ผลตอบแทนที่ชดเชยความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ มาพอสมควร
ซึ่งการที่เรารู้และเข้าใจข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ก่อนที่จะลงทุน
ก็น่าจะช่วยให้เรา เข้าใจกลไก ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของโลกการลงทุน ได้ดีมากขึ้น
ดังนั้น ต่อไปนี้ ก่อนที่ใครจะชวนลงทุนอะไร ที่มันดูเสี่ยง
เราอาจต้องถามตัวเองว่า เราต้องการ Risk Premium ที่เท่าไร..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.bot.or.th/thai/statistics/_layouts/application/interest_rate/in_rate.aspx
-https://en.wikipedia.org/wiki/Risk_premium
-https://en.wikipedia.org/wiki/Credit_rating
-https://www.investopedia.com/terms/e/equityriskpremium.asp
同時也有54部Youtube影片,追蹤數超過18萬的網紅とおるすアカペラ / TORUS ACAPELLA,也在其Youtube影片中提到,※楽器は一切使っていません これまでのベストヒットメドレーを総まとめにしました! 作業用BGMなど、様々な用途で聴いていただけたら嬉しいです!!!^^...
aaa apple 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
เศรษฐกิจไทย จะไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิม ถ้าการท่องเที่ยวไม่ฟื้น /โดย ลงทุนแมน
เป็นเวลาเกือบ 2 ปีแล้ว ที่โควิด 19 สร้างปัญหาให้กับเศรษฐกิจโลก
หลายอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบอย่างหนัก
โดยเฉพาะอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ที่มาจนถึงวันนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับไปเหมือนเดิมได้ง่าย ๆ
สำหรับภาคการท่องเที่ยวของไทยนั้น
แม้ว่าหลายฝ่ายจะพยายามกระตุ้นให้ผู้คนกลับมาท่องเที่ยว แต่คงยังไม่มีใครสามารถบอกได้ชัดว่า สถานการณ์จะกลับไปในระดับเดิม ก่อนวิกฤติครั้งนี้ ได้เมื่อไร
คำถามก็คือ แล้วมีแนวทางอะไรบ้าง ที่จะทำให้การท่องเที่ยวของไทย กลับมาเหมือนเดิม
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
เพื่อให้เห็นภาพรวมกันชัด ๆ เราลองมาดูภาพรวมการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
ผ่านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ก่อนที่จะเกิดการระบาดของโควิด 19
ปี 2009 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 14 ล้านคน
รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 0.5 ล้านล้านบาท
ปี 2019 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 40 ล้านคน
รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 1.9 ล้านล้านบาท
เราจะเห็นว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2019 คิดเป็นเกือบ 3 เท่า ของปี 2009 ขณะที่รายได้ก็คิดเป็นเกือบ 4 เท่า
ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนได้ว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยช่วงที่ผ่านมา มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยมากขึ้นมาเรื่อย ๆ
และถ้าลองมาดูสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ เทียบ GDP ของไทย
- ปี 2009 สัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ คิดเป็นประมาณ 6% ของ GDP ไทย
- ปี 2019 สัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ คิดเป็นประมาณ 11% ของ GDP ไทย
อุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่เติบโต ยังทำให้มีการจ้างงานในภาคนี้รวมกันกว่า 7.5 ล้านคน หรือประมาณ 20% ของแรงงานในระบบ
ซึ่งแรงงานดังกล่าวเกี่ยวข้องกับธุรกิจจำนวนมาก เช่น โรงแรม, ร้านอาหาร, ร้านขายของที่ระลึก, ร้านสปาและนวด, การขนส่ง
โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในช่วงที่ผ่านมาเติบโตได้ดี ก็มีหลายปัจจัย เช่น
- รายได้ที่เพิ่มขึ้นของชนชั้นกลางในจีนและอินเดีย และความนิยมเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งมีไทยเป็นหนึ่งในจุดหมาย
- สถานที่ท่องเที่ยวของไทยที่มีชื่อเสียงในสายตาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
อย่างไรก็ตาม แม้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จนกลายมาเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย แต่อีกมุมหนึ่งก็ยังมีความท้าทายบางอย่างซ่อนอยู่ เช่น
- ไทยพึ่งพานักท่องเที่ยวหลักไม่กี่สัญชาติ
ในปี 2019 ประมาณ 28% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมดเป็นชาวจีน ซึ่งการพึ่งพานักท่องเที่ยวชาติใดชาติหนึ่งมากเกินไป ก็ทำให้เกิดความเสี่ยงมากขึ้นได้
โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่มากระทบกับนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าว เช่น อุบัติเหตุเรือล่ม และการปราบทัวร์ศูนย์เหรียญ ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงในช่วงเวลานั้น และกระทบกับรายได้การท่องเที่ยวของไทยไม่น้อย
- แหล่งท่องเที่ยวกระจุกตัวอยู่ไม่กี่แห่ง ไม่กี่จังหวัด
ในปี 2018 กรุงเทพมหานคร ชลบุรี และภูเก็ต 3 จังหวัดนี้มีรายได้จากการท่องเที่ยวรวมกัน คิดเป็น 65% ของรายได้จากภาคการท่องเที่ยวทั้งประเทศ สะท้อนได้ว่า รายได้จากการท่องเที่ยวของไทย ยังกระจุกตัวอยู่ในบางพื้นที่เท่านั้น
- การเติบโตของรายได้จากภาคการท่องเที่ยว มีน้ำหนักไปที่จำนวนนักท่องเที่ยว มากกว่าด้านราคา
มากกว่า 85% ของนักท่องเที่ยวเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวรายได้ปานกลางถึงต่ำ และเพียง 15% เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวรายได้สูง หรือพูดง่าย ๆ ว่า การเติบโตของรายได้ภาคการท่องเที่ยวของไทยนั้น “เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ”
- ขีดจำกัดทางด้านโครงสร้างพื้นฐานและแหล่งท่องเที่ยว
อ้างอิงสถิติจากธนาคารแห่งประเทศไทย แม้ว่าประเทศไทยจะมีการลงทุนปรับปรุงสถานที่ท่องเที่ยวและระบบการคมนาคม เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวกว่า 13% ของรายได้จากการท่องเที่ยว
แต่ตัวเลขนี้ก็ยังถือว่าน้อยกว่า ฟิลิปปินส์และมาเลเซียที่มีสัดส่วนที่ 21% และ 27% ตามลำดับ
แม้หลายคนจะรับรู้ปัญหาที่ว่ามานี้ แต่เนื่องจากรายได้จากการท่องเที่ยวในภาพรวมยังเติบโต ทำให้หลายคนอาจมองข้ามปัญหาเหล่านี้ไป
จนกระทั่งการแพร่ระบาดของโควิด 19 ที่ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเกือบทั้งหมด ไม่สามารถเดินทางมาไทยได้
ในปี 2020 นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงเหลือเพียง 6.7 ล้านคน
ขณะที่ 7 เดือนแรกของปี 2021 ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ประมาณ 58,000 คน ซึ่งถือว่าน้อยมาก
คำถามคือ จากปัญหาเหล่านี้ที่เราเห็น ถ้าอยากให้อนาคตการท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวกลับมา และเติบโตได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น จะมีแนวทางไหนบ้าง ?
แนวทางเบื้องต้นที่น่าจะช่วยได้ก็อย่างเช่น
- เน้นดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวรายได้สูงให้มากขึ้น
อ้างอิงจากผลสำรวจของธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกับ Visa ปี 2019 ค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวที่มาประเทศไทยอยู่ที่เฉลี่ยคนละ 48,000 บาท
ซึ่งถ้าเรามองว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจะยังไม่กลับมาในระดับเดิม เช่น จากที่เคยมากถึง 40 ล้านคน อาจเหลือเพียง 24 ล้านคน ในช่วงหนึ่งถึงสองปีข้างหน้า
หากลองสมมติว่า ประเทศไทยยังต้องการรายได้จากการท่องเที่ยวเท่าเดิมที่ 1.9 ล้านล้านบาท สิ่งที่ต้องทำก็คือ ต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวให้อยู่ที่เฉลี่ยคนละ 80,000 บาท
โดยวิธีที่จะเพิ่มรายได้ต่อหัวของนักท่องเที่ยวได้ ก็อย่างเช่น
อาจต้องหันมาเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวรายได้สูง เช่น กลุ่ม Medical & Wellness Tourism ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีค่าใช้จ่ายต่อทริปสูงถึงประมาณเฉลี่ย 80,000-120,000 บาทต่อคน
รวมไปถึงต้องพยายามดึงดูดกลุ่มนักลงทุน และพนักงานต่างชาติที่เข้ามาทำงานในเมืองไทย ซึ่งนับเป็นอีกกลุ่มศักยภาพที่ใช้จ่ายสูง
- ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรอง และกระตุ้นให้มีการท่องเที่ยวตลอดทั้งปี
ประเทศไทยควรลงทุนในระบบสาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐาน สำหรับเชื่อมระหว่างเมืองหลักและเมืองรอง เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว ให้สามารถเดินทางไปแหล่งท่องเที่ยวให้มากกว่าเดิม
และพยายามกระตุ้นการท่องเที่ยวให้ไม่จำกัดเพียงแค่ช่วงฤดูท่องเที่ยว ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยกระจายรายได้ไปยังจังหวัดอื่น ๆ แต่ยังช่วยลดความแออัดของนักท่องเที่ยวในเมืองหลักในยามที่นักท่องเที่ยวเริ่มกลับมา
แน่นอนว่ายังมีสิ่งอื่น ๆ อีกมากที่จำเป็นต้องเร่งพัฒนา และยกระดับเพื่อให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาแรงงานที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ให้มีทักษะการสื่อสาร การใช้เทคโนโลยี ที่สามารถอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้น
รวมไปถึงการที่ภาครัฐต้องสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะด้านความปลอดภัย
สร้างจิตสำนึกไม่ให้เอาเปรียบนักท่องเที่ยวต่างชาติ พร้อมทั้งจัดการผู้ที่ทำผิดและฝ่าฝืนกฎระเบียบจนสร้างความเสียหายให้แก่ภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทยในสายตาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
อีกเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ ก็คงไม่พ้น
การสร้างภูมิคุ้มกันโดยการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรมากที่สุด
และต้องประเมินการเปิดประเทศและกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้ดี
เพราะสุดท้ายแล้ว คงต้องยอมรับว่า เศรษฐกิจไทยจะไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมได้ ถ้าการท่องเที่ยว ไม่ฟื้นตัวกลับมา..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.mots.go.th/more_news_new.php?cid=411
-https://www.bot.or.th/Thai/ResearchAndPublications/articles/Pages/Article_29Oct2019.aspx
-https://data.worldbank.org/indicator/NY.GDP.MKTP.CD?locations=TH
-https://www.bot.or.th/Thai/MonetaryPolicy/EconomicConditions/AAA/27062021_RevitalisingThailandTourism.pdf
-https://en.wikipedia.org/wiki/Tourism_in_Thailand
-https://www.bot.or.th/Thai/ResearchAndPublications/articles/Pages/Article_18Aug2021.aspx
aaa apple 在 Facebook 的最佳貼文
譚新強:中國未能講好自己非常好的故事
文章日期:2021年7月9日
【明報專訊】過去兩周,我已詳細分析過美國現在最核心的影響力來自傳媒的近乎壟斷的優勢,正好體現數據年代的特性。非常可惜,亦非常危險地,中國似乎仍不太明白傳媒的重要,雖然經常說要講好中國的故事,但在行動上未必一致。
近日的互聯網監控風波,愈演愈烈,滴滴(美:DIDI)上市事件,是一場非常不好笑的鬧劇。真正實情,我非內幕人士,並不知曉,幸運地亦未有參與此交易。但從公開信息看到,最主要問題是滴滴竟然斗膽違命去美國上市。我同意中國重要企業不應去美國上市,但源頭問題是為何那麼多中國企業,尤其互聯網行業,喜歡到美國上市?似乎答案竟然是因為中國內地根本不喜歡、不批准他們在A股上市!主板上市條件較嚴謹,有盈利要求,所以很多增長型初創科技企業不符合要求,無可厚非。為解決此問題,因此兩年前,上海科創板應運而生,放鬆上市盈利要求,採取較靈活的註冊制,實屬明智之舉。不過,經螞蟻上市被叫停一役後,情况愈來愈明顯,原來監管者已作出一個頗令人驚訝的重要價值觀判斷,簡單來說,他們竟只認為硬件行業如半導體、再生能源和電動車等才算高科技!在他們眼中,互聯網服務行業,包括創新金融、共享經濟、新媒體等等,竟然根本不算是高科技,所以沒有資格在科創板上市!大家還記得數年前,什麼「互聯網+」概念,被捧上天的情景嗎?
滴滴和其他不少倚賴私募基金(private equity)投資的企業,都採用「可變利益實體(Variable Interest Entity,VIE)」架構,有在限時間內(一般7年)確有上市套現壓力,不少投資者為外資亦是事實,所以既然不能在中國內地上市,才會考慮去美國上市,可算是半被逼出來的困難決定。誰不知道VIE是長期灰色地帶?誰不知道中美鬥爭日趨激烈,在美國上市有隨時被制裁,被迫退市,甚至被凍結的風險?現在的說法是這些企業應選擇來香港上市,當然歡迎,但真的就可解決所有問題嗎?奇怪和不合理地,香港雖是中國一部分,但金融上仍屬境外,VIE架構問題仍然存在。內地資本帳仍受嚴控,基本上只有能進港股通名單的企業才稍有希望。當然,近年看到,連香港也逃避不了美國制裁的魔爪,老實講,甚至聯繫滙率頭上都有一把刀!
近日滴滴和其他多宗類似事件,再次引發新一輪國內外投資者恐慌,中概股和港股再次大瀉,中國股市繼續短期長期落後於美股。以我有限智慧,就無法理解此舉如何有助於講好中國本來真的很好的故事!
中國媒體力量微弱 對內外傷害巨大
中國媒體力量微弱,講不好自己的故事,對外對內(尤其香港)的傷害非常巨大,絕對不容忽視。
(1)全世界媒體被美國和西方壟斷,在新疆、香港、台灣、南海和疫情等等事件上,指鹿為馬難、隨意抹黑,嚴重增加不少國家和外國人對中國甚得民意的和平發展的誤解,反而產生嚴重偏見。如中國媒體(必須是民間獨立的才有公信力,香港仍有此空間)繼續缺乏任何話語權,不能化解誤會,無法替中國打造符合事實的好形象,那麼全球局勢必將變得愈來愈緊張,甚至逐漸走向間接或直接武裝衝突的邊緣。請緊記中美都是核武大國(雖然美國核彈數量是中國的20倍),後果堪虞!
(2)不止對外講不好自己故事,對內尤其在香港,亦有極不良後果。香港過去數年,除實質問題如房屋和經濟發展外,最重要的失敗當然正是傳媒和教育(其實也是媒體的一種)。中國內地不止經濟起飛、和平崛起,在超級大國來講,非常難得和罕有,值得表揚。近年肅貪、環保改善、人權的進步,以及整體人民素質的大幅度提升,但竟然在旁邊的香港,奇怪地很多人懵然不知,反而加深對中國的誤解。因此才會出現2019年的恐怖暴亂。
過去一年多,受到疫情影響,再加《港區國安法》和執法較嚴,整體社會總算回歸平靜,當然所謂深層次問題,仍然未曾解決,只是把不滿情緒壓得更深。7月1日的自殺式恐襲事件,當然非常恐怖,但其實不算意外。其後部分社會人士竟表達對恐怖主義的所謂同情甚至支持,當然令人更憂心,但亦是可預見之事。如不能馬上以道理、人性,以及有效教育和媒體來說服這些人,可能為數200萬以上,未來情况必變得更危險。近日被揭發的恐怖分子集團,首領竟是大學行政人員和中學教師,成員為未成年學生!看清楚教育和傳媒出了大錯的惡果了嗎?
美瘋狂抹黑華詭計 或已得逞
(3)講不好中國的故事,經濟上的損失就更加明顯了。貿易上,近年經常被美國和西方誣衊,偷、搶、抄襲、劣質、蝕本傾銷、操控貨幣、竊聽、危害國家安全,你想得出及想不出的都有。中國無法自辯,結果是貨物被無理徵收關稅,都是違反世貿(WTO)規則的,美國不是整天在講什麼國際秩序和遊戲規則的嗎?不止貿易的關稅(中國也被迫需要報復),對中國的嚴重誤解而帶來的歧視,更嚴重影響中國對外投資、收購科技企業、擴展國際市場,甚至採購重要原材料等等。
中國的融資成本亦大大提升。中國中央政府的負債率不到30%,美國已超過了100%,但不公平地,美國信貸評級仍為Aaa(穆迪)及AA+(標普),中國反而只有A1及A+。因此,美國10年債息只有1.3厘,中國CDS(信貸違約掉期)反而高美國近40點子。中國企業債的融資成本,比美國企業高更多了。股市融資成本的差距就簡直到了極端的地步,標普500指數的市盈率高達30倍,恒指只有「可憐」的12倍左右,即使較佳的滬深300指數亦只有約18倍。意思是如中國企業需要配股融資,成本近乎雙倍!融資成本高企,亦當然嚴重影響在科研方面的規模,和整個中國科技進步的速度。另一方面,中國投資者亦因此賺少很多錢,甚至蒙受巨大損失。
(4)除以上傷害外,其實我最憂心的是,美國瘋狂抹黑中國的詭計,不幸可能已得逞。美國極可能故意激怒中國,鼓起國家主義和民粹,變得不止排外,加上因疫情長期封關,已逐漸墮進圍城受困心態,甚至有點偏執狂(paranoid)。
科網龍頭企業確需要監管,防止壟斷,個人數據私隱權和國家安全當然重要,防止外資過度操控重要企業運作,影響國家利益亦有一定道理。但與如何幫助中國企業打進超重要的國際市場,不斷發展和加長賽道,增加相對美國FAAMNG之類超巨型科技企業的競爭力等考慮,作出一個最佳平衡,也是非常重要的。數年前,騰訊(0700)和阿里巴巴(9988)的市值,與Google和Amazon(美:AMZN)等,叮噹馬頭,至今連facebook(美:FB)市值都曾超過1萬億美元,已遠遠拋離所有中國企業。市值是可隨時化作收購合併、投資科研和招募人才的彈藥,互聯網各行業的網路效應極強,此全球競賽猶如600年前的航海探險年代,如再次讓西方勝出,這些行業,包括最重要的傳媒話語權,或將被這些美國資訊科技龍頭再壟斷數十年!
華勿每事與美對着幹 鬥氣墮圈套
即使中國加倍努力,要逆轉此劣勢已很不容易,但痛心的是見到內地近月最流行的所謂「內卷」和「躺平」文化。面對激烈競爭,個人層面上的放棄已非常悲哀和無奈,若出現在國家層面上,就更加要不得。中國怎可以放棄全球互聯網業務的重要國際競爭,反而只集中精神在內鬥!我明白把餅分得較平均的重要性,但絕不可以因此而忘記把餅先弄大更重要!怎可能因一棵樹而放棄整個森林?
雖然美國確實非常針對中國,但不等如美國做的每一件事都是錯的,中國更不應墮入圈套,故意鬥氣,每件事都跟美國對着幹。美國QE確帶來嚴重貧富懸殊問題,但如在2019年COVID疫情時,和2008年全球金融危機後,美國採取相反貨幣緊縮政策,後果極可能更差,有如1930年代的大蕭條,或1997年亞洲金融風暴後的通縮和大量國家破產和人民自殺甚至被屠殺的慘况。美國的確是雙重標準,令人氣憤,但不等如中國應過早收水,可以導致信貸危機。
美國放縱互聯網龍頭,facebook和Twitter(美:TWTR)等散播大量fake news,確罪孶深重,搞亂社會,甚至累死很多人,美國政府也知道,也在考慮監管,但他們亦知道這些企業對美國霸權,不止經濟,尤其控制傳媒話語權的超重要性,所以絕不會輕舉妄動。所以如中國明白此點,何堪過度打壓中國的互聯網龍頭企業?
字節跳動未來發展 具重要啟發性
似乎有些人甚至有點懷疑某些企業的忠誠度。的確差不多所有重要互聯網企業,都有不少外資參與,整體來說,這是好事,國際間互相投資和貿易,正是加深文化和經濟交流的好方法,對保持世界和平亦有很大幫助。國家安全當然非常重要,但相信大部分國際投資者的出發點純粹是賺錢,並無政治目的。流行說法是西方商界已不再如10年前般支持中國(主要是中國已成為競爭對手),但非常肯定的是華爾街仍然非常支持中國,毋須過於捕風捉影。
現在處境最尷尬,為最重要企業之一但仍未上市的字節跳動。抖音加TikTok的每月活躍用戶(MAU)多達19億,估計市值高達4500億美元,是最具潛力的中國新媒體企業。它的未來發展,對中國媒體的國際發展方向和資本市場發展,都有重要啟發性,希望能走上正確之路。
(中環資產擁有騰訊、阿里、facebook、 Apple、Amazon、Microsoft、Netflix和Alphabet的財務權益)
中環資產投資行政總裁
[譚新強 中環新譚]
aaa apple 在 とおるすアカペラ / TORUS ACAPELLA Youtube 的最佳解答
※楽器は一切使っていません
これまでのベストヒットメドレーを総まとめにしました!
作業用BGMなど、様々な用途で聴いていただけたら嬉しいです!!!^^

aaa apple 在 SKYHICHANNEL Youtube 的精選貼文
2021.04.28 Release DIGITAL SINGLE「To The First」
Pre-add(Apple Music) / Pre-save(Spotify) Link
https://SKY-HI.lnk.to/tothefirst_pre
SKY-HIが設立したマネジメント/レーベル「BMSG」主催によるボーイズグループオーディション「THE FIRST」のテーマソング。
アーティスト人生を懸け、1億円という私財を投じて実施する「THE FIRST」は、日本テレビ系列「スッキリ」で2021年4月からの放送および動画配信サービスHuluでの放映がスタートしており話題となっている。
このオーディションに懸ける思いを表明したSKY-HIのステートメントに共鳴し、夢を叶えるため集まったボーイズたち。
そんな彼らの熱意を代弁するようにSKY-HIが書き下ろした「To The First」は、
歌詞だけでなく雄大に広がるエモーショナルなサウンドからも情熱に燃える炎とチャレンジの始まりを感じさせる。
どこか気高さも残したオルタナティブなトラックに、SKY-HIとボーイズたちの物語が刻まれた楽曲であると同時に、夢や目標に進むすべての人、思い通りにいかない事柄に立ち向かおうとする全ての人への応援歌となっている。
日本テレビ系「スッキリ」
毎週月~金曜 08:00~10:25
https://www.ntv.co.jp/sukkiri/
Hulu「THE FIRST -BMSG Audition 2021-」
毎週金曜20:00に新エピソード追加
https://www.hulu.jp/the-first-bmsg-audition-2021
BMSG BOYS GROUP AUDITION 2021 SPECIAL SITE
https://bmsg.tokyo/thefirst/
- SKY-HI-
Official Web Site http://avex.jp/skyhi/
Twitter https://twitter.com/SkyHidaka/
Instagram https://www.instagram.com/skyhidaka/
Facebook https://www.facebook.com/skyhi19861212/
YouTube https://www.youtube.com/user/SKYHICHANNEL
Subscription https://avex.lnk.to/SKY-HI_music
#SKYHI
#ToTheFirst
#THEFIRST

aaa apple 在 鍋奉行【なべぶぎょう】 Youtube 的最讚貼文
編集:りくう
【概要欄ネタバレ注意】
動画回ってない所でみんなで問題を出し合ったけど全然答えれへんかった。
ガチで難しいから友達とやって欲しい!
それでストーリーとか撮ってタグ付けしてくれたら嬉しいな!!とか言っちゃって。
みんな社会人になったり、進学したり、クラス替えがあったり慣れへん環境で不安とか悩みあるかもしれんけど体調に気をつけてね!!元気になりたい時は鍋奉行の動画みたら笑えるよ?
問題に出さしてもらった方々
星野源さん
AAAさん
Mrs. GREEN APPLEさん
DISHさん
BoAさん
SEKAI NO OWARIさん
Little Glee Monsterさん
清水翔太さん
Official髭男dismさん
平井堅さん
⚠️助けてぇや作戦実施中!!!!!
3/14〜5/14までの期間、#なべぶぎ をつけて投稿し
1番バズった人にメンバー全員の私物をプレゼントします!
詳しくはこちらの動画を見てください!
音源
https://youtu.be/x7F7NqM-XA0
instagram
本鍋
https://www.instagram.com/nabebugyo.5
かなる
https://www.instagram.com/nabebugyo_kanaru
りくう
https://www.instagram.com/nabebugyo.rikuu
こうし
https://www.instagram.com/nabebugyo_koshi
かずひろ
https://www.instagram.com/nabebugyo.kazuhiro
はやて
https://www.instagram.com/nabebugyo._.hyt
Twitter
本鍋
https://twitter.com/nabebugyo_5
かなる
https://twitter.com/Ky_okGD
りくう
https://twitter.com/nabebugyo_rikuu
こうし
https://twitter.com/nabebugyo_koshi
かずひろ
https://twitter.com/kazuhiro1910
はやて
https://twitter.com/hyte_01
TikTok
本鍋
https://vt.tiktok.com/ZSJ1ULfNm/
かなる
https://vt.tiktok.com/ZSJ15oJMp/
りくう
https://vt.tiktok.com/ZSJ18me7a/
こうし
https://vt.tiktok.com/ZSJ1UJfBn/
かずひろ
https://vt.tiktok.com/ZSJ15XSsL/
はやて
https://vt.tiktok.com/ZSJ1D7rCN/
フォローよろしくね
