ที่สุด ❤
จำสี่ชื่อนี้ให้ดีครับ
Vern Unsworth
John Volanthen
Rick Stanton
Dr. Richard Harris
เพราะสี่ท่านนี้คือผู้ที่โชคชะตาพาให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับภารกิจนี้อย่างไม่น่าเชื่อ ที่ TAF จะมาเล่าให้ฟังกันครับ
-----------------------------------------------------------
Vern Unsworth
นักสำรวจถ้ำชาวอังกฤษ ผู้มีภรรยาเป็นคนไทย และอาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงรายมา 7 ปี หลังจากทราบข่าวว่าเด็ก ๆ หายเข้าไปในถ้ำหลวง เขาก็รีบมาเสนอความช่วยเหลือทันที เพราะตัวเขาเองเข้าออกถ้ำหลวงมาแล้วหลายครั้ง เขารู้จักซอกมุมในนั้นเป็นอย่างดี
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ โน้ตกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่เขียนส่งให้เจ้าหน้าที่ไทย
Time is running out! (เวลาใกล้หมดแล้ว!)
1. Rob Harper
2. Rick Stanton MBE (MBE คือเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้น The Order of the British Empire)
3. John Volanthen
They are the world's best cave diver (พวกเขาคือนักดำน้ำในถ้ำที่เก่งที่สุดในโลก)
Please contact them through (กรุณาติดต่อพวกเขาผ่าน)
UK EMBASSY ASAP (สถานทูตสหราชอาณาจักร อย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้)
ต้องขอบคุณที่เจ้าหน้าที่ไทยฟังเขา และติดต่อไปยังกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งติดต่อไปยังสถานทูตสหราชอาณาจักร ที่ก็รีบติดต่อไปยัง British Cave Rescue Council ซึ่งทั้งสามท่านตกลงที่จะเดินทางมาประเทศไทย กระทรวงการต่างประเทศไทยจึงออกตั๋วเครื่องบินของการบินไทยให้อย่างเร่งด่วน
-----------------------------------------------------------
John Volanthen และ Rick Stanton
คู่บัดดี้ดำน้ำในถ้ำสองท่านนี้คือนักดำน้ำในถ้ำที่เก่งที่สุดในโลก เจ้าของสถิติโลกการดำน้ำในถ้ำที่ยาวที่สุดกว่า 9 กิโลเมตรในสเปนเมื่อปี 2011
Rick Stanton เป็นนักดับเพลิงในโคเวนทรี ผู้ซึ่งได้ได้แรงบันดาลใจในการดำน้ำในถ้ำจากการดูสารคดี Underground Eiger เกี่ยวกับนักดำน้ำสองคนที่พยายามทำสถิติโลกการดำน้ำในถ้ำในตอนนั้น และทำให้เขาตัดสินใจได้ว่า การดำน้ำในถ้ำคือสิ่งที่เขาอยากจะทำ
John Volanthen วิศวกรคอมพิวเตอร์ที่ก็ได้แรงบันดาลใจจากการดำน้ำในถ้ำมาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ด้วยบุคลิคที่มุ่งมั่นและเอาจริงเอาจัง เขารักการดำน้ำในถ้ำมาก มากถึงขนาดที่ในวันแต่งงาน เขาตัดสินใจไปดำน้ำในถ้ำเพื่อแก้เครียด
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ชอบการเป็นจุดสนใจ และยืนยันว่าการดำน้ำในถ้ำเป็นแค่กิจกรรมยามว่างและงานอาสาสมัครเท่านั้น แต่พวกเขาทั้งสองคนสร้างวีรกรรมที่กล้าหาญที่ช่วยชีวิตคนมาแล้วหลายคน
หนึ่งในภารกิจที่มีชื่อเสียงที่สุดของ Rick Stanton ก็คือการดำน้ำเข้าไปช่วยเหลือทหารอังกฤษที่ติดอยู่ในถ้ำนานถึง 8 วันในเม็กซิโกเมื่อปี 2004 ซึ่งเขาดำไปพบและได้ช่วยให้กำลังใจและสร้างแรงผลักดันให้ทหารรายหนึ่งที่กลัวน้ำให้กล้าที่จะดำน้ำความยาวกว่า 180 เมตรออกมาจากถ้ำได้สำเร็จ
และเมื่อเขามาพบกับ John Volanthen ทั้งสองคนก็กลายมาเป็นคู่บัดดี้ที่เก่งที่สุดในโลก ที่รัฐบาลฝรั่งเศสเชิญพวกเขาไปค้นหานักดำน้ำในถ้ำที่หายไปในถ้ำลึกกว่า 1 กิโลเมตร โดยสมาคมกู้ภัยและช่วยชีวิตของอังกฤษ Royal Humane Society บอกว่าพวกเขาเป็น "นักดำน้ำในถ้ำเพียงไม่กี่คนในโลกที่มีทักษะและอุปกรณ์ และอยู่ใกล้ที่สุด" ซึ่งพวกเขาใช้เวลา 8 วันในการค้นหาร่างผู้เสียชีวิตจนพบ รวมถึงในปี 2014 ที่รัฐบาลนอร์เวย์ขอให้เขาทั้งสองช่วยค้นหาศพของนักดำน้ำในถ้ำสองรายที่เสียชีวิตในถ้ำอีกด้วย
พวกเขาไม่ต้องการมีชื่อเสียง ชอบอยู่เงียบ ๆ และทำกิจกรรมที่เขารัก แต่เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้น พวกเขาก็พร้อม พวกเขามาถึงประเทศไทยและเริ่มปฏิบัติงานทันที ทักษะและประสบการณ์ของเจ้าของสถิติโลกการดำน้ำในถ้ำนั้นช่วยให้ #หน่วยซีล ของไทยปฏิบัติงานได้ง่ายและปลอดภัยขึ้น
แม้ต้องล่าถอยออกจากถ้ำทั้งหมดจากฝนที่ตกกระหน่ำเมื่อราววันที่ 28 มิถุนายน จนมีภาพที่ผู้สื่อข่าว #BBC พยายามถามพวกเขาทั้งสองที่เดินออกมาจากถ้ำเพราะน้ำท่วมกระหน่ำว่า มีอะไรอัพเดตกับ BBC ไหม แต่ได้คำตอบเป็นหน้าบูด ๆ และสายตาที่ไม่แม้แต่จะมองนักข่าว BBC คนนั้น
เมื่อสภาพอากาศเป็นใจ พวกเขาวางแผนกลับเข้าไปอีกครั้ง และครั้งนี้เป็นการวาง "ค่ายกล" ที่ประกอบด้วยเชือกนำทางและถังอากาศทุก ๆ 25 เมตรตลอดทางที่พวกเขาไป
ซึ่งก็เป็นทั้งสองคนนั่นเองที่พบเด็ก ๆ ทั้ง 13 คน ที่พวกเขาเล่าว่า เชือกที่นำทางนั้นหมดลง ทำให้เขาต้องขึ้นสู่ผิวน้ำ และพบกับสายตาทั้ง 13 คู่ที่มองลงมา
"How many of you?" ในวิดีโอของหน่วยซีลของไทยก็คือเสียงของ John Volanthen นั่นเอง
แม้ว่าพวกเขาจะพบเด็ก ๆ แล้ว แต่นั้นก็นำมาสู่ปัญหาต่อไปว่าจะพาเด็ก ๆ ออกมาอย่างไร เมื่อทางเลือกอย่างการเจาะถ้ำนั้นยังไกลจากความเป็นจริง และระดับของออกซิเจนในถ้ำที่ลดลงจนเป็นส่วนหนึ่งที่นำมาสู่การเสียชีวิตของจ่าเอกสมาน กุนัน อดีตนักทำลายใต้น้ำ/จู่โจมของกองทัพเรือไทย ประกอบกับ #พยากรณ์อากาศ ที่เชื่อว่าจะมีฝนตกลงมามากกว่านี้ในอีกไม่กี่วัน ทำให้พวกเขาต้องเลือกทางที่เสี่ยงที่สุด เป็นทางเลือกที่ทุกคนไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ และไม่เคยมีใครทำมาก่อนในโลกนี้
คือการให้เด็ก ๆ ดำน้ำออกมาทางเดิม!
-----------------------------------------------------------
Dr. Richard Harris
นั่นทำให้ทั้งสองได้ร้องขอไปยังเจ้าหน้าที่ของไทย ให้เชิญ Dr. Richard Harris วิสัญญีแพทย์ชาวออสเตรเลีย นักดำน้ำในถ้ำที่มีประสบการณ์ 30 ปี ผู้ถือสถิติการดำน้ำในถ้ำน้ำเย็นจัดลึก 194 และ 221 เมตร ที่เชื่อกันว่าคือสถิติที่ลึกที่สุดในการดำน้ำในถ้ำในน้ำเย็นจัด เพื่อตามหาต้นกำเนิดของแม่น้ำ Pearse ในนิวซีแลนด์ ที่พวกเขาต้องวางแผนที่สลับซับซ้อนในการจัดตั้งแคปซูลกู้ภัยในถ้ำเพื่อปรับความดันและหยุดพักในน้ำที่อุณหภูมิใกล้ศูนย์องศา ซึ่งการดำน้ำของเขาในครั้งนี้เมื่อปี 2011 และ 2012 ได้นำไปทำเป็นสารคดีโดย National Geographic ด้วย
Dr. Richard Harris คือผู้ที่ประเมินสุขภาพของเด็ก ๆ ทั้ง 13 คน และตัดสินใจเปลี่ยนแผนในถ้ำเป็นการนำเด็กที่อ่อนแอและมีปัญหาสุขภาพที่สุดออกมาก่อนเด็กที่แข็งแรงที่สุด Dr. Richard Harris คู่บัดดี้ และตำรวจออสเตรเลียอีก 6 นาย ถือเป็นหนึ่งในหลายสิบชีวิตของทีมดำน้ำในถ้ำที่ดีที่สุดทั่วโลกที่ถูกเรียกตัวมายังจังหวัดเชียงรายเพื่อปฏิบัติภารกิจที่ยากที่สุด เสี่ยงอันตรายที่สุด และไม่เคยมีใครทำมาก่อนในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ!
จากการประชุมและวิเคราะห์ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ของไทย ประกอบกับการประเมินปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ทำให้ทุกคนตกลงใจที่จะเลือกวันที่ 8 กรกฎาคม เป็นวันปฏิบัติการครั้งประวัติศาสตร์ที่นักดำน้ำในถ้ำที่ดีที่สุดในโลก 50 คน จะร่วมมือกับนักทำลายใต้น้ำ/จู่โจมของกองทัพเรือไทยอีก 40 คน ปฏิบัติภารกิจนำทีม #หมูป่า ดำน้ำในถ้ำที่เต็มไปด้วยหินที่แหลมคม กระแสน้ำที่รุนแรง ทัศนวิสัยที่เป็นศูนย์ ความมืดที่มีแสงไฟที่พวกเขาถืออยู่เป็นเพียงแสงสว่างเดียว นำเด็กที่อายุไม่ถึงเกณฑ์ที่จะดำน้ำในถ้ำ ไม่มีแม้แต่ประสบการณ์ในการดำน้ำ ออกจากถ้ำหลวงที่ผู้สื่อข่าวของ CNN กล่าวว่าเกือบจะเป็นโลงศพของพวกเขา มาสู่แสงสว่างและโลกภายนอก กลับสู่ครอบครัว สู่บ้าน และสร้างประวัติศาสตร์การกู้ภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งที่คนเป็นร้อยเป็นพันล้านคนทั่วโลกต่างต้องกลั้นหายใจเพื่อลุ้นว่าปฏิบัติการจะสำเร็จหรือไม่
และผลลัพธ์ของปฏิบัติการ ก็คือวินาทีนี้ ของวันนี้ วันนี้ Mission Impossible ถูกเปลี่ยนเป็น Mission Possible ด้วยความสามารถ การวางแผน ความพยายาม และการร่วมมือร่วมใจกันของทุกคน/TAF
#พาทีมหมูป่ากลับบ้าน #ถ้ำหลวง #ThaiCaveRescue
-----------------------------------------------------------
Rick Stanton เคยกล่าวกับ divernet.com ว่า กีฬาดำน้ำในถ้ำนั้นเป็นกีฬาที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก และนักดำน้ำในถ้ำก็มักเป็นคนที่ไม่ค่อยอยากเป็นจุดสนใจ ซึ่งรวมถึงตัวเขาด้วย
สำหรับนักดำน้ำท่านอื่นๆส่วนใหญ่ BBC กล่าวว่าพวกเขาไม่ค่อยอยากออกตัวนักเช่นกัน เลยหาข้อมูลค่อนข้างยาก แต่มีจำนวนหนึ่งที่ BBC รวบรวมมาได้ตามนี้ครับ
https://www.bbc.com/news/world-asia-44761821
------------------------------------
ภาพจากข่าวสด English, AP, และ The Australian ตามลำดับ
TAF เรียบร้องข้อมูลบางส่วนจาก
https://www.mamamia.com.au/thailand-cave-rescue-dr-richard…/
https://www.thetimes.co.uk/…/british-divers-richard-stanton…
https://www.theaustralian.com.au/…/ae49c3cfe024fc8f00188a5b…
https://today.line.me/…/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%8…
Remember these four names.
Vern Unsworth
John Volanthen
Rick Stanton
Dr. Richard Harris
Because these four are the people whose fate brings into this mission that taf will tell you about.
-----------------------------------------------------------
Vern Unsworth
British cave explorer who has a wife and lived in Chiang Rai for 7 years. After hearing that the children were missing into tham luang, he came to offer help immediately because he went in and out of tham luang. He knows the corner very well in there
But the most important thing is a little paper note that I wrote to Thai officials.
Time is running out! (time is almost over! (sighs))
1. Rob Harper
2. Rick Stanton Mbe (MBE IS THE ROYAL MACHINE. The order of the British Empire)
3. John Volanthen
They are the world's best cave diver (they are the best cave divers in the world)
Please contact them through (please contact them via)
UK Embassy ASAP (UK Embassy as soon as possible)
Thanks to Thai officials listening to him and contacted the ministry of foreign affairs who contacted the UK Embassy who contacted British Cave Rescue Council, which three of them agreed to travel to Thailand. The Ministry of Thailand, so they issued a plane ticket of Thai Airways urgently.
-----------------------------------------------------------
John Volanthen และ Rick Stanton
These two cave divers are the best cave divers in the world. The owner of the world record, the longest cave diving over 9 km in Spain in 2011
Rick Stanton is a fireman in the coventree, who inspired cave diving from watching underground eiger documentary about two divers who tried to make a cave diving world record at that time and made him decide that cave diving is what. That He wants to do.
John Volanthen, a computer engineer inspired by cave diving since he was a teenager with a determined and serious acrylic. He loved cave diving so much. Even on wedding day, he decided to dive in the cave for stress relief.
Although they don't like being interested and insisting that cave diving is just free time activity and volunteer work, they both created a brave thing that has saved many lives.
One of Rick Stanton's most famous missions is to dive into helping British soldiers who were stuck in a cave for 8 days in Mexico in 2004, where he went to meet and helped encourage and encourage and momentum for soldiers. One who is afraid of water to dive over 180 metres out of the cave successfully.
And when he met John Volanthen, both became the best buddy couple in the French government invited them to search for a cave diver in a cave 1 kilometres deep by the rescue association of England Royal. Humane Society says they are " a few cave divers in the world with skills and equipment and nearest where they spent 8 days to find the dead bodies, including in 2014 that Norwegian government asked them both help. Find the bodies of two cave divers who died in the cave.
They don't want to be famous, like to stay quiet and do activities they love. But when there is an incident, they are ready. They arrive in Thailand and start working immediately. The skills and experience of the owner of the cave diving in cave makes #thai seals easy to work. And safer
Despite all the caves from the rain on June 28th until the #BBC reporters tried to ask them both walked out of the cave because of the flood. Cuddle update with BBC But got the answer is grumpy and eyes that don't even look at that BBC journalist
When the weather is heart, they plan back in again and this time it's a "Mechanical Camp" that consists of navigation ropes and air buckets every 25 meters all the way
Both of them found the 13 children they said that the lead rope was gone, causing them to rise to the water and meet the 13 pairs of eyes looking down.
" how many of you?" in the video of Thai Navy Seal is John Volanthen's voice.
Even though they found the children, it leads to the next problem of how to bring children out. When the cave drilling choices are far from reality and the level of oxygen in the cave is reduced to part of sergeant ek's death. Saman kun cuddle, former Thai Navy Underwater Destroyer / attack assembled with #weather forecast that believes there will be more rain in the next few days, making them choose the risky way. It's a choice that everyone doesn't believe is possible and never. Who did this before in this world
Is to let the kids dive out the same way!
-----------------------------------------------------------
Dr. Richard Harris
That's why both requested to Thai officials to invite dr. Richard Harris cuddle Australian Anesthesiologist, cave diver with 30 years experience, a record holder of cold water cave diving, held 194 and 221 meters deep, believed to be the deepest record in diving. In cold water caves to find the origins of the pearse river in New Zealand, where they need to plan to set up a rescue capsule in caves to adjust pressure and stop in the water at near zero degrees, which his diving this time when Year 2011 and 2012 have also been made by national geographic documentaries.
Dr. Dr. Richard Harris is who assess the health of the 13 children and decided to change the cave plan to bring out the most vulnerable and health problems before the fittest children Dr. Richard Harris, buddy and 6 Australian police are one of the dozens of the best cave diving teams around the world called to Chiang Rai for the hardest, most dangerous task and no one has ever done. Before in the history of humanity!
From meeting and analyzing information with Thai officials, composed to assessments of risk factors, everyone to choose July 8th as a historic operation that 50 best cave divers in the world will cooperate with southern destroyers. The Water / attack of Thai Navy. Another 40 people are on a mission to lead the #wild boar snorkeling cave full of rocks. The cuddle th of the cuddle th of the darkness with the light they hold is the only light. Bring young children to dive in caves, no experience diving out of the royal cave, where CNN reporters say is almost their casket to light and the outside world returns to the family home and make the greatest rescue history once a person is. Hundreds of billions around the world have to hold their breath to see if the operation will be successful.
And the outcome of the operation is this second of today. Mission impossible is changed to mission possible with the ability, planning, effort and collaboration of everyone / taf
#พาทีมหมูป่ากลับบ้าน #ถ้ำหลวง #ThaiCaveRescue
-----------------------------------------------------------
Rick Stanton once said to divernet.com that cave snorkeling is a sport that doesn't know, and cave divers are often people who don't want to be interested, including him.
For most other divers, BBC says they don't want to start too. It's quite difficult to find information, but there are a number that BBC gathered as follows.
https://www.bbc.com/news/world-asia-44761821
------------------------------------
Photos from live news English, AP, and the Australian respectively.
Taf smooth some info from
https://www.mamamia.com.au/thailand-cave-rescue-dr-richard-harris-rick-stanton-john-volanthen/
https://www.thetimes.co.uk/article/british-divers-richard-stanton-and-john-volanthen-at-the-heart-of-the-thai-cave-rescue-nhtrm9shr
https://www.theaustralian.com.au/news/world/thai-cave-rescue-australian-doctor-richard-harris-joins-rescue-operation/news-story/ae49c3cfe024fc8f00188a5b9b7b24b5?nk=510674cab3915f6cc2f330bc8e0ec200-1531246390
https://today.line.me/th/pc/article/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4+%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87+13+%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95+%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87-Jk3Q1kTranslated
「british royal family history」的推薦目錄:
british royal family history 在 Chelsia Ng Facebook 的最佳解答
Michael Aris proposed to Aung San Suu Kyi in Bhutan~ Enjoy reading the untold love story. Good weekend~ L
...........................
The Untold Love Story of Burma's Aung San Suu Kyi
Aung San Suu Kyi, whose story is told in a new film, went from devoted Oxford housewife to champion of Burmese democracy -- but not without great personal sacrifice.
By Rebecca Frayn
When I began to research a screenplay about Aung San Suu Kyi four years ago, I wasn’t expecting to uncover one of the great love stories of our time. Yet what emerged was a tale so romantic -- and yet so heartbreaking -- it sounded more like a pitch for a Hollywood weepie: an exquisitely beautiful but reserved girl from the East meets a handsome and passionate young man from the West.
For Michael Aris the story is a coup de foudre, and he eventually proposes to Suu amid the snow-capped mountains of Bhutan, where he has been employed as tutor to its royal family. For the next 16 years, she becomes his devoted wife and a mother-of-two, until quite by chance she gets caught up in politics on a short trip to Burma, and never comes home.
Tragically, after 10 years of campaigning to try to keep his wife safe, Michael dies of cancer without ever being allowed to say goodbye.
I also discovered that the reason no one was aware of this story was because Dr Michael Aris had gone to great lengths to keep Suu’s family out of the public eye. It is only because their sons are now adults -- and Michael is dead -- that their friends and family feel the time has come to speak openly, and with great pride, about the unsung role he played.
The daughter of a great Burmese hero, General Aung San, who was assassinated when she was only two, Suu was raised with a strong sense of her father’s unfinished legacy. In 1964 she was sent by her diplomat mother to study Politics, Philosophy and Economics at Oxford, where her guardian, Lord Gore-Booth, introduced her to Michael. He was studying history at Durham but had always had a passion for Bhutan – and in Suu he found the romantic embodiment of his great love for the East. But when she accepted his proposal, she struck a deal: if her country should ever need her, she would have to go. And Michael readily agreed.
For the next 16 years, Suu Kyi was to sublimate her extraordinary strength of character and become the perfect housewife. When their two sons, Alexander and Kim, were born she became a doting mother too, noted for her punctiliously well-organised children’s parties and exquisite cooking. Much to the despair of her more feminist friends, she even insisted on ironing her husband’s socks and cleaning the house herself.
Then one quiet evening in 1988, when her sons were 12 and 14, as she and Michael sat reading in Oxford, they were interrupted by a phone call to say Suu’s mother had had a stroke.
She at once flew to Rangoon for what she thought would be a matter of weeks, only to find a city in turmoil. A series of violent confrontations with the military had brought the country to a standstill, and when she moved into Rangoon Hospital to care for her mother, she found the wards crowded with injured and dying students. Since public meetings were forbidden, the hospital had become the centre-point of a leaderless revolution, and word that the great General’s daughter had arrived spread like wildfire.
When a delegation of academics asked Suu to head a movement for democracy, she tentatively agreed, thinking that once an election had been held she would be free to return to Oxford again. Only two months earlier she had been a devoted housewife; now she found herself spearheading a mass uprising against a barbaric regime.
In England, Michael could only anxiously monitor the news as Suu toured Burma, her popularity soaring, while the military harassed her every step and arrested and tortured many of her party members. He was haunted by the fear that she might be assassinated like her father. And when in 1989 she was placed under house arrest, his only comfort was that it at least might help keep her safe.
Michael now reciprocated all those years Suu had devoted to him with a remarkable selflessness of his own, embarking on a high-level campaign to establish her as an international icon that the military would never dare harm. But he was careful to keep his work inconspicuous, because once she emerged as the leader of a new democracy movement, the military seized upon the fact that she was married to a foreigner as a basis for a series of savage -- and often sexually crude -- slanders in the Burmese press.
For the next five years, as her boys were growing into young men, Suu was to remain under house arrest and kept in isolation. She sustained herself by learning how to meditate, reading widely on Buddhism and studying the writings of Mandela and Gandhi.
Michael was allowed only two visits during that period. Yet this was a very particular kind of imprisonment, since at any time Suu could have asked to be driven to the airport and flown back to her family.
But neither of them ever contemplated her doing such a thing. In fact, as a historian, even as Michael agonised and continued to pressurise politicians behind the scenes, he was aware she was part of history in the making. He kept on display the book she had been reading when she received the phone call summoning her to Burma. He decorated the walls with the certificates of the many prizes she had by now won, including the 1991 Nobel Peace Prize. And above his bed he hung a huge photograph of her.
Inevitably, during the long periods when no communication was possible, he would fear Suu might be dead, and it was only the odd report from passers-by who heard the sound of her piano-playing drifting from the house that brought him peace of mind. But when the south-east Asian humidity eventually destroyed the piano, even this fragile reassurance was lost to him.
Then, in 1995, Michael quite unexpectedly received a phone call from Suu. She was ringing from the British embassy, she said. She was free again! Michael and the boys were granted visas and flew to Burma.
When Suu saw Kim, her younger son, she was astonished to see he had grown into a young man. She admitted she might have passed him in the street. But Suu had become a fully politicised woman whose years of isolation had given her a hardened resolve, and she was determined to remain in her country, even if the cost was further separation from her family.
The journalist Fergal Keane, who has met Suu several times, describes her as having a core of steel.
It was the sheer resilience of her moral courage that filled me with awe as I wrote my screenplay for The Lady. The first question many women ask when they hear Suu’s story is how she could have left her children. Kim has said simply: “She did what she had to do.” Suu Kyi herself refuses to be drawn on the subject, though she has conceded that her darkest hours were when “I feared the boys might be needing me”.
That 1995 visit was the last time Michael and Suu were ever allowed to see one another. Three years later, he learnt he had terminal cancer. He called Suu to break the bad news and immediately applied for a visa so that he could say goodbye in person. When his application was rejected, he made over 30 more as his strength rapidly dwindled. A number of eminent figures -- among them the Pope and President Clinton -- wrote letters of appeal, but all in vain. Finally, a military official came to see Suu. Of course she could say goodbye, he said, but to do so she would have to return to Oxford.
The implicit choice that had haunted her throughout those 10 years of marital separation had now become an explicit ultimatum: your country or your family. She was distraught. If she left Burma, they both knew it would mean permanent exile -- that everything they had jointly fought for would have been for nothing. Suu would call Michael from the British embassy when she could, and he was adamant that she was not even to consider it.
When I met Michael’s twin brother, Anthony, he told me something he said he had never told anyone before. He said that once Suu realised she would never see Michael again, she put on a dress of his favourite colour, tied a rose in her hair, and went to the British embassy, where she recorded a farewell film for him in which she told him that his love for her had been her mainstay. The film was smuggled out, only to arrive two days after Michael died.
For many years, as Burma’s human rights record deteriorated, it seemed the Aris family’s great self-sacrifice might have been in vain. Yet in recent weeks the military have finally announced their desire for political change. And Suu’s 22-year vigil means she is uniquely positioned to facilitate such a transition -- if and when it comes -- exactly as Mandela did so successfully for South Africa.
As they always believed it would, Suu and Michael’s dream of democracy may yet become a reality.
british royal family history 在 The Royal Family - Facebook 的推薦與評價
50 years of speaking up for the planet. This powerful film has been released by @retv_smi on the day that The King witnessed a 'Climate Clock' begin ... ... <看更多>
british royal family history 在 The Dramatic Ups & Downs Of The British Royal Family 的推薦與評價
The history of Britain's Royal Family told through rare archive footage and the personal stories of its closest members. ... <看更多>