Extraction (2020) สามารถดูได้ใน Netflix
• หนังแอ็คชั่นเจ๋ง ๆ ยุคนี้คือมาจากผู้กำกับสายสตั๊นท์แมนทั้งนั้น เรื่องนี้คืออีกหนึ่งข้อพิสูจน์ที่ดีเลย
• ถึงหนังจะมิติเดียวคือแอ็คชั่น แต่ถ้าทำแอ็คชั่นออกมาดีจนกลบจุดอ่อนก็ต้องเชียร์ให้แฟนหนังแอ็คชั่นห้ามพลาดเด็ดขาด
• ฉากแอ็คชั่นไล่ล่าหลังช่วยตัวประกันคือยอดเยี่ยม ลากยาว 30 นาทีแบบไม่มีให้พักหายใจ คนที่ชอบเกมแนว Call of Duty: Modern Warfare น่าจะประทับใจไม่ยาก
• การต่อสู้ระยะประชิดมาแนวหนังยุคหลัง John Wick คือโชว์ Gun-fu และเพิ่มความโหดเข้าไปด้วยเมื่อถึงยามจำเป็น
• ชอบฉากหยิบปืนของพวกตัวร้ายแล้วเช็คซองกระสุนก่อน หนังเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ช่วยเพิ่มความสมจริงได้ดี
• ฉาก car chase ยกให้เป็นระดับน้อง ๆ Jason Bourne เวอร์ชั่นภูธรเลย ชอบการโชว์ลองเทคไล่ล่าให้เห็นกันจะ ๆ ไปเลย
• เป็นหนังแอ็คชั่นที่ดีอีกเรื่อง ถ้าไม่นับเรื่องโลเคชั่นฉากบู๊ หนังก็ขาดแค่เอกลักษณ์เฉพาะตัวเท่านั้นเอง
-------------------------------------
ชอบหนังแอ็คชั่นจากผู้กำกับสายสตั๊นท์แมนมาก ช่วงหลัง ๆ เริ่มมีสตั๊นท์แมนผันตัวมาทำหนังแล้วเวิร์คหลายคน เช่น เดวิด เลตช์ ที่กำกับร่วม John Wick ก่อนจะแยกมาทำ Atomic Blonde ที่มีฉากลองเทคอันเลื่องลือ, แชด สตาเฮลสกี สตั๊นท์แมนที่โด่งดังจาก The Matrix ภายหลังมากำกับไตรภาค John Wick ก็เปรี้ยงปร้าง แถมเป็นคนทำคิวบู๊สวย ๆ ใน Birds of Prey อีก, สก็อตต์ วอห์น ก็เป็นสตั๊นท์อีกคนที่ผันตัวมาทำหนังแอ็คชั่นยุทธวิธีทหารอย่าง Act of Valor จนเป็นขวัญใจคอหนังแอ็คชั่น, เจสส์ วี จอห์นสัน อาจจะไม่ได้ดังมาก แต่ลองดูหนังเกรดบีของเขา เช่น Avengement แล้วจะทึ่ง ซึ่งจริง ๆ ก็ยังมีสตั๊นท์แมนอีกหลายคนที่ผันตัวมาทำหนังแอ็คชั่นมันส์ ๆ โดยแซม ฮาร์เกรฟ คือหนึ่งในนั้น
.
ถ้ามองย้อนกลับไปดูแนวทางของหนังแอ็คชั่นต่อสู้ระยะประชิดในแต่ละช่วงเวลา ยุคปัจจุบันต้องบอกว่าได้อิทธิพลมาจากหนังชุด Jason Bourne ที่ทำแอ็คชั่นดิบ ๆ เน้นความว่องไวและสัญชาตญาณการเอาตัวรอด หยิบจับอะไรใกล้ตัวเป็นอาวุธได้หมด ทำตัวละครให้ดูเป็นคนธรรมดา ถ่ายเคลื่อนกล้องระยะประชิด ถ่าย handheld ตามติด ไม่แคร์การตั้งกล้องนิ่ง ๆ แต่ให้เคลื่อนที่ตลอดเวลาจนคนดูรู้สึกใกล้ชิดกับสถานการณ์ (shaky-cam-led close combat) ซึ่งอิทธิพลดังกล่าวส่งมาถึงหนังอย่าง Casino Royale, Salt, Taken, กระทั่ง Mission Impossible ช่วงหลังยังต้องเพลาความขี้โม้ลงมาขายความสมจริงมากขึ้น
.
แต่การมาของ John Wick น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดมุมมองใหม่ของหนังแอ็คชั่นที่มาจากสตั๊นท์แมน คุณไม่จำเป็นต้องดิบเถื่อนสู้ด้วยหมัดศอกเข่าเท้าโชว์ศิลปะป้องกันตัวแบบ The Raid ในเมื่อคุณสามารถทำหนังแอ็คชั่นถือปืนขายความเป็น Gun-fu ได้ การออกแบบฉากต่อสู้ระยะประชิดในที่แคบเต็มไปด้วยเหลี่ยมมุม ช่วยให้สถานการณ์ดูน่าเชื่อถือสำหรับการลุยเดี่ยวควงปืนกำจัดศัตรูอย่างรวดเร็ว สามารถผสมผสานการลั่นไกเข้ากับการใช้พละกำลังเตะต่อยยามศัตรูเข้าถึงตัว รวมถึงการเอาเทคนิคสลับปืน, เปลี่ยนซองกระสุน, ใช้ปืนเป็นของแข็งช่วยทุ่นแรง สิ่งเหล่านี้คือนวัตกรรมใหม่ของการออกแบบฉากแอ็คชั่น ที่ส่งมาให้เห็นถึงใน Extraction อย่างยอดเยี่ยม
.
เราจะได้เห็น คริส แฮมเวิร์ธ ถือปืนตะลุยยิงตำรวจและแก๊งลักพาตัวเด็ก โดยมีการใช้ศิลปะป้องกันตัวแทรกเข้ามาเป็นระยะ ด้วยพล็อตแค่ช่วยเหลือเด็กที่ถูกจับเป็นตัวประกัน โดนตลบหลังต้องหาทางหนีออกจากเมืองที่ถูกปิดตายโดยมีตำรวจจำนวนมากตามไล่ล่า มันเพียงพอที่จะเอื้อให้เกิดฉากแอ็คชั่นมันส์ ๆ ตลอดทั้งเรื่อง ตั้งแต่ฉากไล่ล่ายาว 30 นาที ที่ทำเอาตื่นเต้นจนนั่งไม่ติด หนังโชว์การออกแบบฉากต่อสู้ที่ขายให้เห็นคิวบู๊ชัด ๆ โดยไม่ได้บ้าตัดต่อสวิงสวายแบบหนังเกรดแย่ แถมยังฉลาดในการทำงานร่วมกันระหว่างคิวบู๊และคิวกล้อง ที่มีการเคลื่อนกล้องเป็นลองเทคสอดรับกับฉากต่อสู้ที่ออกแบบมาอย่างดี มีช่วงให้ตัวละครได้พักโดยที่คนดูยังเกาะติดกับเรื่องราวไม่ได้พัก
.
แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะบอกถึงความยอดเยี่ยมของ Extraction จริง ๆ อยากอัพเกรดให้ถึง 8 ติดแค่ว่าฉากแอ็คชั่นครึ่งหลังดร็อปความพีคจากฉากครึ่งแรกพอสมควร ถ้าเทียบในแง่ความสร้างสรรค์แล้วยังไม่ถึงขั้นเกรด 8 แบบที่เราให้ John Wick: Chapter 3 - Parabellum ด้วย แต่เท่าที่มีใน Extraction ก็เพียงพอจะเชียร์ให้คอหนังแอ็คชั่นห้ามพลาดเด็ดขาดแล้วครับ
Director: Sam Hargrave
based on the graphic novel "Ciudad": Joe Russo
script: Joe Russo
Genre: action
7.5/10
#หนังโปรดของข้าพเจ้า
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
casino royale novel 在 หนังโปรดของข้าพเจ้า Facebook 的最讚貼文
The Foreigner (2017) เข้าฉายแล้ววันนี้
ดูแล้วนึกถึงจา พนมว่าทำไมไม่ได้บทแบบเฉินหลงบ้าง คือ The Foreigner มันเป็นแนวการเมืองบาง ๆ ซึ่งส่วนนั้นก็ให้พวกนักแสดงอาชีพแบบเพียซ บรอสแนนกับคนอื่น ๆ เล่นไปแล้วเฉินหลงก็มาเปิดโหมดแอ็คติ้งหน้าเดียวอารมณ์เดียวไล่บู๊ตามล่ารายชื่ออย่างเดียวเหมือนที่พี่จาของเราตะโกนช้างกูอยู่ไหนทั้งเรื่องนั่นแหละ ซึ่งตรงนี้มันทำให้หนังดูเป็นหนังที่มีเนื้อเรื่องอะไรให้ติดตามมากกว่าแค่แอ็คชั่นเพียว ๆ ขายสตั๊นท์โชว์ แถมเป็นการคัมแบ็คกลับมาทำหนังครั้งแรกในรอบ 6 ปีของมาร์ติน แคมป์เบลล์หลังจากไปเจ๊งบ๊งกับ Green Lantern มาด้วย ซึ่งครั้งนี้เขากลับมาเปิดโหมดประมาณ Edge of Darkness ในการพาเฉินหลงกลับมาบู๊ได้มันถึงใจในวัย 63 ปี
.
ลูกสาวของ 'ควอน' (Jackie Chan) เสียชีวิตจากเหตุก่อการร้ายในกรุงลอนดอนทำให้เขาไม่เหลือใครอีกแล้ว ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงเดินหน้าออกล้างแค้นพวกผู้ก่อการร้ายแต่ปัญหาคือเขาไม่รู้ว่าพวกมันคือใคร ซึ่งเขาเชื่อว่า 'เฮนเนสซี่' (Pierce Brosnan) รัฐมนตรีของไอร์แลนด์ต้องรู้ตัวคนบงการอย่างแน่นอน ควอนจึงลงมือข่มขู่ก่อกวนเฮนเนสซี่เพื่อให้เปิดเผยรายชื่อพวกมันออกมา ซึ่งทำให้ควอนถูกบอดี้การ์ดของเฮนเนสซี่ออกตามล่าเช่นกัน
.
พูดถึงแง่แอ็คชั่นก่อนละกัน หนังอาจจะไม่ได้กระหน่ำระห่ำบู๊ทั้งเรื่องแต่พอมีฉากต่อสู้ระยะประชิดมาทีไรนี่ไว้ใจชื่อเฉินหลงได้เลยว่ามันถึงใจแน่นอน อย่าลืมว่าเฉินหลงในเรื่องอายุ 60 ปี ดังนั้นจะให้เขามาบู๊ด้วยพละกำลังของร่างกายเหมือนสมัยหนุ่ม ๆ คงไม่ได้แล้ว สิ่งที่เราจะได้เห็นใน The Foreigner คือคนแก่ที่มีทักษะการต่อสู้ยอดเยี่ยม มีไหวพริบในการทำให้ตัวเองได้เปรียบแม้จะถูกรุมจากศัตรูหลายคน ซึ่งเราจะได้เห็นทั้งการวางกับดักตัดกำลังคู่ต่อสู้และการดวลระยะประชิดสไตล์เฉินหลงที่ผสานทักษะการต่อสู้จริง ๆ เข้ากับการออกแบบสตั๊นท์โชว์สวย ๆ ที่เขาถนัด และยังจะได้เห็นลีลาความคล่องแคล่วกับพลังการออกหมัดต่อยทีกระเด็นเป็นกิโลกันเลยทีเดียว
.
อีกส่วนคือการเมืองที่หนังพยายามจะเล่นโหมดหุ่นเชิดและการเลือกข้าง อย่างเพียซ บรอสแนนที่รับบทเป็นรัฐมนตรีของไอร์แลนด์นั้นก็เป็นอดีตกองกำลัง IRA (ในนิยายระบุชัดว่าเป็น IRA ส่วนในหนังเลี่ยงเป็นชื่อสมมุติ) ที่หันมาเล่นการเมืองแล้วถูกอังกฤษชักใยอยู่เบื้องหลังด้วยผลประโยชน์การต่อรองบางอย่าง ซึ่งตรงนี้ถูกหยิบมาใช้เป็นกุญแจในการเล่าเรื่องการหาตัวผู้อยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดในอังกฤษว่าแท้จริงแล้วใครคือผู้บงการตัวจริงกันแน่ แล้วทำไปเพื่ออะไร โดยมีเพียซ บรอสแนนเป็นคนตามสืบเพราะการก่อการร้ายทำให้เขาถูกอังกฤษกดดัน ส่วนเฉินหลงก็คอยตามจี้เอาระเบิดมาขู่เอารายชื่ออยู่ตลอด ตรงนี้เป็นเนื้อเรื่องที่อาจจะงง ๆ ในตอนแรกแต่พอเข้าที่เข้าทางปุ๊บจะเริ่มเห็นการแบ่งข้างและแผนการใหญ่ชัดเจน เป็นการเมืองบาง ๆ ที่ใส่มาทำให้หนังเป็นแอ็คชั่นที่มันถึงใจ โดยรวมแล้วสำหรับคอหนังแอ็คชั่นอย่างเราถือว่าไม่ผิดหวัง หนังอาจจะเข้าฟอร์มแอ็คชั่น-ทริลเลอร์ช้าไปหน่อยเพราะต้องใช้เวลาปูพื้นการเมืองสักนิดแต่พอเข้าฟอร์มเฉินหลงติดอาวุธปุ๊บนี่หนังเดินเรื่องได้ชวนติดตามมาก
Director: Martin Campbell (ผู้กำกับ Casino Royale, GoldenEye)
based on the novel "The Chinaman" by: Stephen Leather
screenplay: David Marconi (เขียนบท Enemy of the State, Live Free or Die Hard)
Genre: action, thriller
7/10