The Dragon Prince (สามารถดูได้ใน Netflix)
เห็นหน้าปกดูเป็นแอนิเมชั่นสำหรับเด็กเพียว ๆ แต่เนื้อในคือส่วนผสมระหว่างความดาร์คของโลกผู้ใหญ่แย่งชิงอำนาจกับโลกของเด็กที่ผจญภัยเปิดโลก เรื่องราวมีทั้งเวทมนตร์และการต่อสู้ โทนแอนิเมชั่นมีอารมณ์ขันแบบเด็ก ๆ แต่ไม่เด็กจนเกินไป ผู้ใหญ่อย่างเราดูแล้วยังสนุกตามไปด้วยอยู่เลย ดูจนจบซีซั่นได้อารมณ์เหมือนตอนเล่น The Legend of Zelda: Breath of the Wild ประมาณว่ากลุ่มเจ้าชายและเอลฟ์ที่ถูกส่งมาลอบสังหารพระราชาต้องทำมิชชั่นหลักคือเอาไข่มังกรไปคืนเพื่อสงบศึก แต่ระหว่างทำมิชชั่นหลักก็ขอแวะทำเควสย่อยเยอะแยะมากมาย แล้วระหว่างตอนก็เปิดหูเปิดตาเรื่อย ๆ เจอดินแดนใหม่, เจอเรื่องเล่าใหม่, เจออาวุธชิ้นใหม่, เจอคาถาใหม่ เป็นโลกแฟนตาซีที่หยอดสิ่งใหม่เข้ามาแบบค่อยเป็นค่อยไปดี ใช้สิ่งที่เล่าไปแล้วมาเล่นซ้ำในจังหวะที่เหมาะสม ถือเป็นแอนิเมชั่นเด็กที่น่าสนใจทีเดียว ความยาวตอนละประมาณ 25 นาที กำลังดีด้วย
.
The Dragon Prince เล่าเรื่องของความขัดแย้งในอดีตระหว่างมนุษย์กับเอลฟ์และมังกรที่อาศัยอยู่ในดินแดนเวทมนตร์จนแผ่นดินถูกแบ่งเป็นสองส่วน กระทั่งมนุษย์ได้ใช้มนตร์ดำสังหารราชามังกรและไข่ใบเดียวที่เป็นเจ้าชายมังกร จึงทำให้แผ่นดินนี้เตรียมเกิดสงครามครั้งใหญ่ โดยใน e.p. 1 เป็นเรื่องของกลุ่มเอลฟ์เงาจันทร์ที่ถูกส่งมาทำภารกิจสังหารราชาของมนุษย์แต่เกิดความพลิกผันขึ้นเมื่อหนึ่งในเอลฟ์ได้ตัดสินใจเข้าร่วมกับเจ้าชายในการพยายามหาทางยุติสงครามแบบไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ
.
ถ้าใครชอบแอนิเมชั่นแนวผจญภัย-แฟนตาซี อยู่แล้วคงจะตกหลุมรัก The Dragon Prince ได้ไม่ยาก กลุ่มตัวละครดูเผิน ๆ เหมือนจะทำตัวน่ารำคาญ แต่ความเป็นเด็กของพวกเขาก็ทำให้เราตกหลุมรักได้เหมือนกัน เราสนุกที่ได้เห็นโทนแอนิเมชั่นสำหรับเด็ก มีตัวละครทำตัวเด็ก พูดจาแบบเด็ก ๆ แต่อยู่ในพล็อตเรื่องใหญ่ที่เข้มข้นเหมือนเป็นโลกผู้ใหญ่ครอบอยู่ แถมเนื้อเรื่องยังไม่ได้ขายแค่พวกฉากแอ็คชั่นต่อสู้ด้วยอาวุธ เพราะยังมีคาถาเวทมนตร์ต่าง ๆ เป็นตัวเสริมให้เรื่องราวน่าติดตามยิ่งขึ้นไปอีก ซีซั่นแรกยังจบไม่บริบูรณ์ ต้องตามกันต่อซีซั่นสอง นะ
Creators: Aaron Ehasz (ผู้เขียนบท Avatar: The Last Airbender), Justin Richmond (ผู้กำกับ Uncharted 3: Drake's Deception)
9 Episodes (เฉลี่ยตอนละ 25 นาที)
B
#หนังโปรดxซีรีส์Netflix
