【帕納蘇斯奮進基金(Parnassus Endeavor Fund)】
帕納蘇斯投資公司(Parnassus Investments)是一家獨立的投資管理公司,向公眾提供投資基金。提供的每項策略均使用ESG準則進行管理。截至2019年底,Parnassus管理著超過300億美元的共同基金。投資過程著重於分析護城河、公司管理團隊、產品或服務的市佔比及發現內在價值不斷提高的業務。
帕納蘇斯奮進基金管理資產總額約28億美元。從2005年推出至今,平均年化報酬率約為10.91%。
📌點擊網址查看完整大師介紹/ https://reurl.cc/noGlQ1
美股執行長Sho
esg fund 在 CSR在天下 Facebook 的最佳解答
#早安 🥗
#淨零玩真的:零碳目標,似乎不再那麼遙不可及。
DataDriven EnviroLab和NewClimate Institute的最新報告揭露,喊出淨零的企業裡只有8%設定了具體的中程目標。英國石油、殼牌石油更被踢爆對外打著2050年實現淨零的旗幟,對內卻計劃開採和燃燒高出阻止地球升溫1.5°C限制120%的石油。
全球最大的乳品集團 #達能集團(Danone),也就是Activia優格、 Evian礦泉水的公司,深信他們的生意與自然和農業息息相關,訂下四大淨零策略:
▎策略一:減排
「首要責任就是測量我們的影響,從上游原物料到產品生命終端,著手解決達能的完整碳足跡」,達能氣候政策開門見山。達能監控99%的工廠的環境指標,並持續改善廠房的能源效率,在2020年實現了全球第一個零碳奶粉工廠。
▎策略二:轉型再生農業,加強土壤固碳
透過培訓農民覆蓋土壤、減少耕作、有機堆肥、輪流放牧等作法等改善土壤健康,每年提高千分之4的土壤碳含量,有效固碳,減緩地球升溫。
▎策略三:終止供應鏈伐林
森林砍伐佔全球總碳排的15%,達能承諾2020年全面終止供應鏈砍伐森林。為了達成零砍伐的目標,對棕櫚油、大豆、木材、糖、紙和紙板等關鍵原物料制定了嚴格的政策,追蹤並對外公開原物料來源。
▎策略四:碳補償
零碳常見的迷思之一,就是把碳補償當成「贖罪券」,花錢消災,然後碳排照舊。達能先後資助生計碳基金(Livelihoods Carbon Fund)與生計家庭農業基金(Livelihood Fund for Family Farming)在亞、非、南美的植樹、復育紅樹林和改善廚具效率,各為20年的減排計劃,同時改善當地生計。
#CSR #CSR在天下 #ESG #從近零到淨零
#零碳排 #負碳排 #碳補償 #淨零 #減碳 #溫室氣體
esg fund 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
สรุปทิศทางการลงทุน ในครึ่งปีหลัง จากกรุงศรี และ BlackRock
ลงทุนแมน x KRUNGSRI EXCLUSIVE
ปี 2021 นับเป็นอีกปีที่หนักหน่วงของเศรษฐกิจ ซึ่งตอนนี้เราก็ผ่านเลยมาเกินครึ่งทางของปีแล้ว
แต่ด้วยหลาย ๆ ปัจจัย ที่ยังคงมีความไม่แน่นอนซ่อนอยู่ ทั้งบวกและลบ ปะปนกันไป
ทำให้นักลงทุน อาจเกิดความกังวลและไม่แน่ใจว่า หลังจากนี้ตนควรมีแนวทางการลงทุนหรือจัดพอร์ตการลงทุนอย่างไรดี เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดี ในความเสี่ยงที่ยอมรับได้
และด้วยเหตุผลนี้ ทาง KRUNGSRI EXCLUSIVE หนึ่งในบริการในกลุ่ม Wealth Management ของธนาคารกรุงศรีที่ช่วยตอบความต้องการของกลุ่มลูกค้าทั้งในด้านไลฟ์สไตล์และการเป็นที่ปรึกษาการลงทุน
ในครั้งนี้จึงได้จัดงานสัมมนาออนไลน์ ตลอดทุกสัปดาห์ ภายใต้งาน KRUNGSRI EXCLUSIVE 2021 Mid-Year Outlook Series และเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา กับการนำเสนอวิเคราะห์ในหัวข้อ Global Outlook “A Powerful Restart”
โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนระดับโลก อย่างคุณ Ben Powell จาก BlackRock บริษัทจัดการกองทุนชั้นนำของโลก และผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนแนวหน้าของเมืองไทย อย่างคุณวิน พรหมแพทย์ จากธนาคารกรุงศรี มาวิเคราะห์ทิศทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง และเปิดมุมมองต่อการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ หลังจากที่หลายประเทศทั่วโลก เริ่มได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว
โดย ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง..
หลังจากมีการฉีดวัคซีน โลกก็กำลังเดินหน้าเข้าสู่การ Restart ทางเศรษฐกิจครั้งใหม่
โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งการฉีดวัคซีนเป็นไปได้ด้วยดี และยอดผู้ติดเชื้อเริ่มชะลอตัวลง
ทำให้ผู้คนมีความมั่นใจ กลับมาทำกิจกรรมต่าง ๆ ตามปกติ และเศรษฐกิจก็ค่อย ๆ กลับมาดีขึ้นตามลำดับ
อย่างตัวเลขดัชนีทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ทั้งภาคการผลิตและภาคบริการของโลก ก็ปรับตัวดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะฟื้นตัวอย่างชัดเจน
สำหรับเศรษฐกิจไทย ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือ อัตราเร่งในการฉีดวัคซีน ยิ่งฉีดได้เร็ว ยิ่งดี
ซึ่งการฉีดวัคซีนในประเทศไทย ก็เริ่มมีอัตราเร่งที่มากขึ้น ตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา นับเป็นสัญญาณที่ดี
และคาดว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อในไทย จะเห็นตัวเลขที่ต่ำลง เมื่อพ้นกลางเดือนตุลาคมเป็นต้นไป
เรื่องนี้จะทำให้การเดินทาง, การจับจ่ายใช้สอย และความเชื่อมั่นของนักธุรกิจ กลับมาอีกครั้ง
แต่ยังมีความเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คือ โควิดสายพันธุ์เดลตา
หากมีผู้ติดเชื้อสายพันธุ์นี้เป็นจำนวนมาก ความรุนแรงของการแพร่ระบาด
อาจทำให้ความเชื่อมั่นของผู้คน และภาคธุรกิจ หดหายไปอีกครั้ง
และกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดไว้
เพราะต้องชะลอการเปิดเมือง หรือปลดล็อกกิจกรรมบางอย่าง ออกไปนานกว่าเดิม
ซึ่งเรื่องนี้ยิ่งกระทบต่อประเทศไทย เพราะเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการท่องเที่ยวสูง เลยอาจฟื้นตัวช้า
โดย Krungsri Research คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2021 จะโตเพียง 2% เท่านั้น
อย่างไรก็ดี หนึ่งในโปรเจกต์ที่อาจเป็นความหวัง การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทย ในช่วงครึ่งปีหลัง คือ Phuket Sandbox
โดยคาดว่าในไตรมาสที่ 3 นี้
Phuket Sandbox จะสามารถรับนักท่องเที่ยวได้ 129,000 คน
และสร้างเม็ดเงินเข้าประเทศกว่า 11,500 ล้านบาท
หรือเฉลี่ยแล้ว นักท่องเที่ยวจะใช้จ่ายราว 89,000 บาท/คน
ซึ่งเป็นการเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวระดับ Premium/Luxury
และถ้า Phuket Sandbox ประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี
โมเดลนี้ ก็จะสามารถขยายไปใช้กับพื้นที่อื่น ๆ ได้
ซึ่งจะช่วยในเรื่องของการจ้างงาน, การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจของประเทศ
พอนักลงทุนต่างชาติ เห็นว่าท่องเที่ยวไทยเริ่มฟื้นตัว ก็อาจกลับมาลงทุนในหุ้นไทย และผลักดันให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้นได้
- สำหรับมุมมองการลงทุน ของคุณ Ben Powell จาก BlackRock
ตอนนี้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาอีกครั้ง (Restart)
ท่ามกลางสภาวะที่ อัตราดอกเบี้ยและ Bond Yield อยู่ในระดับต่ำ
ด้วยสภาพคล่องในระบบที่ยังสูงแบบนี้ แต่อัตราดอกเบี้ยต่ำติดดิน
อย่างไรเงินทุนก็ต้องไหลไปหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น หุ้น
แม้ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นในสหรัฐฯ จะปรับตัวขึ้นมามากแล้ว
แต่ด้วย 2 แรงส่งจากการที่เศรษฐกิจฟื้นตัว และอัตราดอกเบี้ยต่ำ
ก็ยังมีโอกาสที่จะสามารถผลักดันตลาดหุ้น ให้ขึ้นไปต่อได้ ในช่วงครึ่งปีหลัง
ทาง BlackRock จึงเพิ่มน้ำหนักการลงทุน (Overweight) ในหุ้น
แต่ถ้ารับความเสี่ยงไม่ได้มาก ก็อาจเลือกมองหา การลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ ที่มีความเสี่ยง และผลตอบแทนลดลงมา แต่ยังให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าตราสารหนี้อยู่ เช่น อสังหาฯ, REITs, Property Fund
นอกจากนี้ คุณ Ben Powell ยังตอบถึงปัญหา ที่นักลงทุนหลายคนกังวลอยู่ในตอนนี้
คือเรื่องของการ QE Tapering หรือการที่ธนาคารกลางลดการอัดฉีดเงินเข้าระบบผ่านมาตรการ QE ลง
และเรื่องของการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ตามเงินเฟ้อ
โดยเขามองว่า รอบนี้ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะทำ QE Tapering แบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นมาก เพราะได้บทเรียนจากครั้งก่อน ๆ จึงไม่น่าทำให้ตลาดได้รับผลกระทบแบบรุนแรง
ส่วนการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย
แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเริ่มฟื้นตัวแล้ว และเงินเฟ้อได้ปรับตัวสูงขึ้น
แต่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะยอมทนให้เงินเฟ้อมีการปรับตัวสูงขึ้นอีกหน่อย
เพราะต้องการให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเต็มที่ และผู้คนมีความมั่นใจต่อเศรษฐกิจเสียก่อน
จึงคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ย ในช่วงครึ่งปีหลัง
แต่จะเริ่มปรับตอนปี 2023 หรืออีก 2 ปีข้างหน้า
- สำหรับมุมมองการลงทุนของคุณวิน พรหมแพทย์ จากธนาคารกรุงศรี
จะมีคำแนะนำการลงทุน ในช่วงครึ่งปีหลัง 2 ข้อหลัก ๆ ได้แก่
1) มองว่าตลาดหุ้นในระยะยาว จะเป็นขาขึ้น
แต่ในระยะสั้น โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังใกล้ถึงจุดอิ่มตัวเต็มที่แล้ว ทำให้มี Upside จำกัด
และในช่วงครึ่งปีหลังจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจเจอข่าวร้าย เช่น สงครามการค้ากับจีน, การแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์เดลตาที่มากระทบตลาด จึงมีโอกาสที่ตลาดหุ้น จะมีการปรับฐานลงได้
อย่างไรก็ตาม ถ้าเชื่อว่าในระยะยาว ตลาดหุ้นจะเป็นขาขึ้น
ช่วงในระยะสั้น ที่มีการปรับฐาน จึงอาจเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุนเพิ่ม
2) มองหาตลาดหรือสินทรัพย์ ที่ราคายังฟื้นตัวไม่เยอะ
ควรฟื้นตัวเร็วกว่านี้ หรือฟื้นตัวช้ากว่าคนอื่น ตัวอย่างเช่น
- หุ้นยุโรป
ตอนนี้ยุโรป มีอัตราการฉีดวัคซีนที่ค่อนข้างเร็ว ซึ่งกำลังใกล้ตามสหรัฐฯ ทันแล้ว และล้ำหน้าประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ เช่น ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย ทำให้เศรษฐกิจยุโรป น่าจะฟื้นตัวตามสหรัฐฯ
แถมอัตราการเติบโตของกำไร (Earnings Growth) ของหุ้นยุโรป ในปีนี้คาดว่าจะโตถึง 33% ซึ่งโตสูงกว่า หุ้นสหรัฐฯ
ในขณะที่ตลาดหุ้นยุโรป ยังฟื้นตัวและปรับฐานขึ้นช้ากว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นโลก
ดังนั้น ต่อไปตลาดหุ้นยุโรป จึงมีโอกาส Upside หรือปรับฐานขึ้นได้อีกมาก
*โดยทาง บลจ. กรุงศรี ก็ได้มีกองทุนมาแนะนำ สำหรับคนที่สนใจลงทุนในหุ้นยุโรป
คือกอง “KF-HEUROPE” ที่จะเน้นลงทุนในกองทุน Allianz Europe Equity Growth เป็นหลัก
โดยหุ้นที่กองทุน Allianz Europe Equity Growth ถืออยู่ ก็อย่างเช่น
1) ASML Holding บริษัทผู้ผลิตเครื่องสำหรับทำ Semiconductor (ชิป) ซึ่งมีลูกค้าเป็นบริษัทชั้นนำ เช่น TSMC, Samsung
2) SAP ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์รายใหญ่ของโลก
3) Adidas แบรนด์รองเท้าและเสื้อผ้า
4) Zalando ผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซด้านแฟชั่นยักษ์ใหญ่ในยุโรป
- REITs หรือ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
REITs ในปีที่ผ่านมา มีราคาผันผวนและปรับตัวลงรุนแรง ไปตามวิกฤติโควิด
แต่พอกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ เริ่มกลับมา ราคาของ REITs ก็ทยอยปรับตัวสูงขึ้น
โดยเฉพาะในกลุ่มโรงแรมและศูนย์การค้า ที่ปีก่อนกระทบหนักจากสถานการณ์โรคระบาด
แต่ปีนี้กลับสร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุด เพราะผู้คนเริ่มออกไปจับจ่ายใช้สอย และท่องเที่ยว
อย่างไรก็ดี REITs ในประเทศไทย ยังฟื้นตัวไม่มาก (วัดจากดัชนี SETPREIT)
เมื่อเทียบกับตลาดโลก (Global REITs) และตลาดหุ้นไทย (SET)
เพราะสถานการณ์โควิดในบ้านเรา ยังคงรุนแรงอยู่
แต่หากต่อไปสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย เริ่มมีการเปิดประเทศ และเปิดรับนักท่องเที่ยว
REITs ไทย ก็น่าจะฟื้นตาม REITs โลกเช่นเดียวกัน
ส่วนเรื่องอัตราดอกเบี้ย และ Bond Yield ที่เพิ่มขึ้น ตามอัตราเงินเฟ้อ
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคา REITs เพราะหลายคนเชื่อว่า นักลงทุนจะขาย REITs ไปซื้อตราสารหนี้แทน
จากสถิติย้อนหลัง 40 ปีนั้น พบว่า ในภาวะเศรษฐกิจฟื้น ที่เงินเฟ้อ และ Bond Yield ปรับตัวสูงขึ้น
REITs ไม่ค่อยได้รับผลกระทบ เหมือนอย่างที่หลายคนเข้าใจกัน
ซึ่ง REITs อาจได้รับประโยชน์ด้วยซ้ำ (ให้ผลตอบแทนที่เป็นบวก)
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม Apartments และ Office
ที่จะได้ประโยชน์ จากการปรับขึ้นค่าเช่าในสัญญา ตามอัตราเงินเฟ้อ
ปิดท้ายด้วย มุมมองต่อตลาดหุ้นจีน ของคุณ Ben Powell และคุณวิน พรหมแพทย์
ในระยะยาว ตลาดหุ้นจีน จะยังไปได้อีกไกล ตามปัจจัยพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจที่เติบโต
ทั้งเรื่องศักยภาพการบริโภคภายในประเทศ, เทคโนโลยีต่าง ๆ
หากตลาดหุ้นมีการปรับตัวลง ก็อาจเป็นโอกาสในการเก็บสะสม
แต่ทั้งนี้ มี 3 ประเด็นสำคัญที่ต้องตระหนักไว้ว่า
1) เศรษฐกิจจีน ได้ฟื้นตัวก่อนประเทศอื่น ๆ หลังจากนี้อัตราการเติบโต จึงอาจเริ่มชะลอตัวลง
2) เศรษฐกิจจีน ไม่มีนโยบายทางการเงิน มาอัดฉีดเงินเป็นจำนวนมาก เหมือนประเทศอื่น ๆ
ทำให้อาจไม่มีปัจจัยด้านสภาพคล่อง มาผลักดันตลาดหุ้นมากนัก
3) ความเสี่ยงด้านการกำกับดูแลจากรัฐบาล
ปัจจุบันทางการของจีน กำลังสอบสวนและคุมเข้มบริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ
ในเรื่องการผูกขาดธุรกิจ, การปฏิบัติตามกฎระเบียบ ฯลฯ
ซึ่งที่ผ่านมา ที่หุ้นจีนปรับตัวลงรุนแรง ส่วนสำคัญก็มาจากผลกระทบของปัจจัยนี้
แต่ถ้ามองในแง่ดี การกำกับดูแลของจีนที่เข้มงวดนี้
ก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่จะทำให้บริษัทจีนอยู่ในกฎระเบียบ และโปร่งใสมากขึ้น
และจะส่งผลดีต่อภาพรวมของตลาดหุ้นในระยะยาว..
และยังมีสัมมนาออนไลน์วิเคราะห์ครึ่งปีหลังในประเด็นที่น่าจับตาอื่น ๆ โดยวิทยากรชั้นนำมาให้ติดตามกันอย่างเข้มข้นตลอดเดือน ก.ค. นี้ จาก KRUNGSRI EXCLUSIVE สนใจเข้าร่วมรับชมสัมมนาพิเศษ ๆ แบบนี้ ลงทะเบียนได้ที่ https://bit.ly/3h8MKqq (ไม่มีค่าใช้จ่าย)
13 ก.ค.
จับทางเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลัง หลังจากประเทศไทยเริ่มได้รับการฉีดวัคซีน ในหัวข้อ “วัคซีนความหวังฟื้นเศรษฐกิจไทย” กับวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินการลงทุนระดับแนวหน้าจากธนาคารกรุงศรี และ ทีดีอาร์ไอ
20 ก.ค.
แนะทิศทางการจัดพอร์ตครึ่งปีหลัง ต้อนรับการเปิดประเทศ กับวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินการลงทุนระดับแนวหน้าจาก ธ.กรุงศรี บล. กรุงศรี และบลจ.กรุงศรี
29 ก.ค.
อัพเดทแนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน Environmental, Social, Governance หรือ ESG ซึ่งกำลังได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง ถือเป็นเทรนด์ที่ร้อนแรงและน่าจับตาในมุมมองนักลงทุนและสถาบันการเงินชั้นนำทั่วโลก โดยวิทยากรระดับแนวหน้าจาก ธ.กรุงศรี และ BlackRock บริษัทจัดการกองทุนชั้นนำของโลก
*คำเตือน : ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนทำการลงทุน