ปตท. มีกลยุทธ์ในการเติบโต ท่ามกลางวิกฤติโควิด อย่างไร ?
ปตท. x ลงทุนแมน
ในปีที่ผ่านมา วิกฤติการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สัญญาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ร่วงลงไปจนมีมูลค่าติดลบอยู่ช่วงหนึ่ง ผลที่ตามมาก็คือความตกต่ำของราคาน้ำมันที่ลากยาวต่อจากนั้นไปอีกหลายเดือน
เรื่องดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงไปยังการขาดทุนสต็อกของบริษัทน้ำมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ แม้ว่าสถานการณ์โรคระบาดจะปรับตัวดีขึ้นแล้วในหลายประเทศทั่วโลก
แต่ในประเทศไทย เรากำลังอยู่ท่ามกลางการระบาดระลอกที่ 3 ที่สถานการณ์ผู้ติดเชื้อยังคงมีอยู่
และได้กดดันไปยังความต้องการใช้พลังงานที่ยังไม่ฟื้นกลับมา
แล้ว ปตท. บริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
มีกลยุทธ์การเติบโตภายใต้วิกฤติอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
หากเรามาดูผลประกอบการบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
หรือ PTT ในปี 2563 จะพบว่า
รายได้ 1,615,665 ล้านบาท ลดลง 27.2%
กำไรสุทธิ 37,766 ล้านบาท ลดลง 59.4%
โดยสาเหตุสำคัญที่กำไรลดลงมากกว่ารายได้ ก็เพราะว่า
กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นของ ปตท. ได้รับผลกระทบจากการขาดทุน
สต็อกน้ำมันมูลค่าราว 19,000 ล้านบาท ในช่วงเวลาเดียวกัน
เป็นผลมาจากประสบปัญหาหลายอย่างตั้งแต่สงครามราคาน้ำมัน, สภาวะน้ำมันล้นตลาดในช่วงปิดเมือง และความต้องการใช้น้ำมันในช่วงโรคระบาดที่ลดลงกะทันหันตลอดทั้งปี
ย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ในช่วงที่สัญญาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ร่วงลงไปติดลบ
ปตท. ได้ระบุว่าราคาน้ำมันดิบ WTI ไม่ได้ส่งผลกระทบกับราคาน้ำมันดิบของประเทศไทยมากนัก
โดยเฉพาะกับกลุ่ม ปตท. ที่มีการกระจายถือสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบหลายรูปแบบ ในขณะที่ประเทศไทยจะอิงราคาน้ำมันดิบดูไบเป็นหลัก ซึ่งมีการปรับตัวลดลงราว 33.5% ในปี 2563
อย่างไรก็ตามกลยุทธ์ที่กลุ่ม ปตท. นำมาใช้เพื่อรับมือกับวิกฤติโควิด ก็คือการจัดตั้งทีม PTT Group Vital Center ขึ้นโดยเฉพาะเพื่อรับหน้าที่วางแผนและดำเนินกลยุทธ์ แบ่งออกเป็น 2 ระยะ
ระยะสั้น คือการบริหารค่าใช้จ่ายที่ทำทันทีหลังวิกฤติ
ในขณะที่ระยะยาว คือการบริหารสินค้าคงคลัง
รวมไปถึงสภาพคล่องทางการเงิน, ลูกค้าและบุคลากรในองค์กร
แล้ววิกฤติโควิด กระทบเศรษฐกิจประเทศไทยขนาดไหน ?
จากการที่สภาพัฒน์ได้ออกมาประเมินว่า GDP ประเทศไทยปีนี้
จะปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 2.5 ถึง 3.5% แต่ก็เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้น
จากฐานที่ต่ำในปีที่ผ่านมา ที่ GDP ประเทศไทย -6.1%
ซึ่งถือเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 22 ปี ตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้ง
อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น เราอาจได้เห็นการขยายตัวทางเศรษฐกิจประเทศไทยในปีนี้ที่ระดับ 1% หรืออาจจะต่ำระดับ 0% ได้เช่นกัน
ปตท. ได้ประเมินว่าปริมาณความต้องการน้ำมันและราคาน้ำมันจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น
โดยมีการคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบอ้างอิงราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในปี 2564
อยู่ที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หรือเพิ่มขึ้นมาราว 43% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
ในขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวของการกระจายวัคซีนทั่วโลกมีแนวโน้มจะทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกฟื้นตัว และท้ายที่สุดความต้องการใช้น้ำมันก็จะเพิ่มขึ้นตามการเดินทางที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ปตท. ได้มองว่าวิกฤติโรคระบาดในปีที่ผ่านมา
สามารถนำมามองให้เป็นโอกาสได้ในหลายมุม เช่นกัน
ปตท. ได้เล็งเห็นถึงกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก จึงมีการปรับกลยุทธ์เพื่อเร่งดำเนินธุรกิจใหม่ ที่ไม่ใช่เพียงการลงทุนในธุรกิจพลังงาน โดยได้ปรับพอร์ตการลงทุน เน้นไปที่ 6 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่
1. New Energy
2. Life Sciences
3. Mobility & Lifestyle
4. Specialty Materials
5. Logistics & Infrastructure
6. AI, Robotics & Digitalization
ปตท. มีการจัดตั้งบริษัท Innobic (Asia) เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2563 เพื่อมุ่งดำเนินในธุรกิจ Pharmaceutical, Nutrition และ Medical Devices ซึ่งจะสามารถต่อยอดและขยายการลงทุนไปยังตลาดยาด้านมะเร็งวิทยาในภูมิภาคอาเซียน ช่วยให้ผู้ป่วยในภูมิภาคดังกล่าวเข้าถึงยาสามัญได้มากยิ่งขึ้น
ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ปตท. ก็เพิ่งประกาศว่าได้เข้าไปลงทุนใน Lotus Pharmaceutical บริษัทวิจัยและพัฒนายารักษามะเร็งที่ใหญ่ที่สุดในไต้หวัน มูลค่าราว 1,560 ล้านบาท โดยเข้าไปถือหุ้นในสัดส่วน 6.66%
การลงทุนดังกล่าว ถือเป็นใบเบิกทางให้ทางบริษัทสามารถรุกเข้าสู่ธุรกิจวิจัยและพัฒนายาในระดับภูมิภาคอาเซียน
นอกจากจะเป็นกลุ่มธุรกิจใหม่ของทางบริษัทแล้ว การลงทุนในธุรกิจกลุ่มนี้จะทำให้ผู้ป่วยในระดับภูมิภาคเข้าถึงยารักษาโรคได้มากขึ้น
ในขณะเดียวกัน บริษัทก็ได้มีแผนก่อตั้งโรงงานยารักษามะเร็งกับองค์การเภสัชกรรมให้แล้วเสร็จในปี 2565 หรือในอีก 2 ปีข้างหน้า รวมถึงรุกเข้าสู่ธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าและวัสดุทางการแพทย์ ร่วมกับ IRPC ในรูปแบบบริษัทร่วมทุน
โดย ปตท. วางเป้าหมายให้ทั้ง 6 กลุ่มธุรกิจที่อยู่ในแผนการลงทุน จะสร้างกำไรเป็นสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 15% จากกำไรทั้งหมดของบริษัทภายในปี 2573
สำหรับมุมมองต่อธุรกิจพลังงานใน 5 ถึง 10 ปีข้างหน้า ปตท. ระบุว่าทิศทางพลังงานในอนาคตแน่นอนว่าพลังงานหมุนเวียนจะกลายเป็นพลังงานหลักของโลก ซึ่งตอนนี้เรากำลังอยู่ในช่วงรอยต่อสำคัญและก๊าซธรรมชาติจะกลายมาเป็นพลังงานเปลี่ยนผ่านในช่วงนี้
ซึ่งบริษัทก็ได้ขยายขอบเขตธุรกิจจากเดิมที่เป็นผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติ
มุ่งเข้าสู่การเป็นตัวกลางในการจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติระดับภูมิภาค หรือ LNG Hub เช่นกัน
ในขณะเดียวกัน ก็ได้กำหนดทิศทางการลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานระยะ 10 ปี ครอบคลุมตั้งแต่ปี 2564 ถึง 2573 โดยคาดว่าจะลงทุนราว 1 ใน 5 ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมดในพลังงานหมุนเวียน รวมถึงเทคโนโลยีการกักเก็บพลังงาน เช่น ธุรกิจแบตเตอรี่, แท่นชาร์จรถไฟฟ้า เช่นกัน
gdp ประเทศไทย 2564 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
AP THAILAND X ลงทุนแมน
กรณีศึกษา เหตุผลที่ AP THAILAND อยากช่วยเหลือ SMEs ไทย ด้วยโปรแกรม AP SCALEUP
รู้ไหมว่า ธุรกิจ SMEs มีมูลค่าเศรษฐกิจถึง 6 ล้านล้านบาท
หรือคิดเป็น 35% ของมูลค่า GDP ประเทศไทย
ที่น่าสนใจก็คือ SMEs ไทยที่มีประมาณ 3 ล้านราย
มีอัตราการจ้างงานสูงกว่า 12 ล้านคน
พอเห็นตัวเลขแบบนี้ก็ต้องบอกว่า SMEs เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ในระบบเศรษฐกิจไทย
แม้ช่วง 3 - 4 ปีที่ผ่านมา SMEs ต้องเผชิญความยากลำบากด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
แต่ก็คงไม่หนักเท่ากับการต้องเผชิญเหตุการณ์ไม่คาดฝันกับการระบาดของโควิด 19
ทำให้ SMEs หลายรายจากที่เคยประคับประคองตัวเองได้
ก็ต้องลดต้นทุนทางธุรกิจ เพื่อให้ตัวเองอยู่รอด
แม้เรื่องนี้ทางภาครัฐจะยื่นมือมาช่วยเหลือด้วยสารพัดนโยบายเพื่อให้ SMEs ไทยมีลมหายใจต่อไป
แต่ก็ต้องยอมรับว่า มันคงยังไม่สามารถทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นได้เลย
เรื่องนี้ก็เลยทำให้บริษัทอสังหาฯ แถวหน้าของเมืองไทยอย่าง AP THAILAND
ที่ในปีที่ผ่านมา น่าจะมียอดโอนมูลค่า 46,000 ล้านบาท
เติบโตกว่า 40% หากเทียบกับปี 2562
และวันนี้ เอพี ก็มีลูกค้ากว่า 200,000 คน
ยินดีที่จะเปิดรับสินค้าหรือบริการคุณภาพจาก SMEs ไทย เพื่อนำมา EMPOWER ให้กับลูกค้าเครือเอพี รวมถึงยินดีที่จะนำความรู้และเคล็ดลับความสำเร็จในธุรกิจอสังหาฯ
มาถ่ายทอดให้ความรู้ในแง่มุมต่างๆ ที่ตัวเองสะสมมาตลอด 30 ปี
ให้แก่เจ้าของธุรกิจ SME ในไทย ให้สามารถอยู่รอดและเติบโตอย่างแข็งแกร่งในวิกฤติที่เกิดขึ้น
ด้วยโปรแกรมพิเศษ AP SCALEUP ที่จะ Upskill กระบวนการทางความคิดตามหลัก Design Thinking
ที่น่าสนใจ และถือเป็นไฮไลต์ของโปรแกรมนี้คือ คุณอนุพงษ์ อัศวโภคิน CEO คนเก่งของ AP THAILAND จะมาสอนเคล็ดลับการบริหารธุรกิจให้ประสบความสำเร็จแก่เจ้าของธุรกิจ SME
โดยผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนได้แล้วที่ https://www.apthai.com/apscaleup
เริ่มตั้งแต่วันนี้จนถึง 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564
แล้วโปรแกรมนี้จะให้แนวคิดอะไรบ้างให้แก่ SME ที่เข้าร่วมงาน
1.SCALE แนวคิดการอัปไซด์ธุรกิจให้เติบโตในอนาคต
2.NEW OIL โอกาสในการขยายตลาดใหม่ที่มากขึ้น
3.RESKILL พัฒนาความรู้ กระตุ้นความคิดเชิงธุรกิจ
คำถามก็คือแล้ว SME ประเภทไหนที่ทาง เอพี กำลังมองหา แล้วอยากให้เข้าร่วมงาน
คำตอบก็คือ 8 กลุ่มธุรกิจ ที่จะตอบสนอง เอ็มพาวเวอร์ หรือการดำเนินชีวิตของทางลูกค้า เอพี นั่นเอง
1. SECURITY ธุรกิจการรักษาความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน
2. HOUSEHOLD MAINTENANCE ธุรกิจดูแลบำรุงส่วนต่างๆ ของบ้าน
3. GOOD HEALTH ธุรกิจสินค้า หรือบริการที่เสริมสุขภาพกาย และสุขภาพใจ
4. FUTURE ENERGY & SAVING นวัตกรรมพลังงานแห่งอนาคต
5. ELDERLY CARE สินค้าหรือบริการเพื่อผู้สูงวัย
6. FINANCE & WEALTH MANAGEMENT ผู้ช่วยในการบริหารจัดการทางการเงินเพื่อวันนี้ และอนาคต
7. EMERGENCY & SAFETY SERVICE นวัตกรรมรองรับเหตุฉุกเฉิน
8. DO IT FOR ME บริการที่พร้อมอำนวยความสะดวกตอบทุกไลฟ์สไตล์ชีวิต
ก็ต้องบอกว่าโปรแกรมนี้ เป็นอะไรที่น่าสนใจไม่น้อย
เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับประเทศ จะมาถ่ายทอดความรู้ทุกแง่มุมในการทำธุรกิจ ที่นอกจากจะทำให้เราได้เรียนรู้แนวคิดการทำธุรกิจใหม่ๆ ที่หาจากที่อื่นไม่ได้แล้ว
ธุรกิจ SME เล็กๆ ของเรา ก็อาจได้ร่วมงานเป็นพันธมิตรและเป็นส่วนหนึ่งในการเติบโตไปพร้อมๆ กับทาง AP อีกด้วย
AP SCALEUP ติดสปีดให้ SME ไทย ต่อยอดธุรกิจโตไปกับเอพี ด้วยโอกาสที่มากกว่า : https://youtu.be/nJzkooSszzQ
#EmpowerLiving #APscaleup
Reference
-ข่าวประชาสัมพันธ์ AP THAILAND
-รายงานสถานการณ์ MSME ปี 2563, สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.)
gdp ประเทศไทย 2564 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
ชาวเอเชีย กำลังครองแคนาดา /โดย ลงทุนแมน
ถ้าคิดว่า แคนาดาคือประเทศที่มีแต่ฝรั่งผิวขาว พูดภาษาอังกฤษหรือฝรั่งเศส
อาจไม่ใช่ความคิดที่ถูกต้องทั้งหมด..
42% คือสัดส่วนของประชากรเชื้อสายเอเชียในเมืองแวนคูเวอร์
เมืองใหญ่ทางชายฝั่งตะวันตกของประเทศแคนาดา
33% คือสัดส่วนของประชากรเชื้อสายเอเชียในเมืองโตรอนโต
เมืองใหญ่ที่สุดของแคนาดา ตั้งอยู่ทางตะวันออกของประเทศ
ในเวลานี้ เมืองใหญ่ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของแคนาดาในภูมิภาคต่างๆ
ล้วนเต็มไปด้วยประชากรเชื้อสายเอเชีย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เกิดอะไรขึ้นกับแคนาดา ประเทศที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษ
และเต็มไปด้วยคนผิวขาวชาวยุโรป
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit ที่สุดของแอปมีสาระ
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ก่อนอื่นมารู้ถึงข้อมูลของประเทศแคนาดากันสักนิด
ประเทศนี้ตั้งอยู่เหนือสุดของทวีปอเมริกาเหนือ
มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก
พื้นที่ 9.98 ล้านตารางกิโลเมตร ใหญ่กว่าประเทศไทย 19 เท่า
ถึงแม้จะมีพื้นที่กว้างใหญ่ แต่ส่วนใหญ่เป็นเขตหนาว
ทำให้แคนาดามีประชากรเพียง 37 ล้านคน ประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศไทย
แต่แคนาดาก็มีทรัพยากรธรรมชาติมหาศาล
ทั้งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ อะลูมิเนียม และป่าไม้
ในขณะที่พื้นที่เพาะปลูกกว้างใหญ่ทางตอนกลางก็ทำให้แคนาดา
เป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรหลักของโลก ทั้งข้าวสาลี และถั่วเหลือง
แคนาดายังมีอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นอุตสาหกรรมหลัก
โดยมีบริษัทที่คนไทยคุ้นเคยมากที่สุด คือ Bombardier ซึ่งเป็นบริษัทผลิตยานยนต์ อากาศยาน รถไฟ และระบบปฏิบัติการการเดินรถ
รถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสีชมพู ซึ่งจะเปิดให้บริการในปี พ.ศ. 2564 ก็จะใช้ตัวรถของ Bombardier
แคนาดายังมีอุตสาหกรรมยา ภาคการเงิน และการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง
ด้วยภาคเศรษฐกิจที่หลากหลายจึงทำให้ประเทศนี้มีขนาด GDP สูงถึง 52 ล้านล้านบาท มีขนาดเป็น 3.4 เท่าของ GDP ประเทศไทย และใหญ่เป็นอันดับ 10 ของโลก
นับตั้งแต่เป็นประเทศเอกราชจากอังกฤษในปี ค.ศ. 1867
เศรษฐกิจของแคนาดาถูกขับเคลื่อนด้วยประชากรส่วนใหญ่ซึ่งเป็นคนผิวขาว
ลูกหลานของผู้อพยพชาวอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน และชาวยุโรปอื่นๆ
แต่เมื่อแคนาดาแก้ไขกฎหมายเพื่อเปิดรับผู้อพยพในปี ค.ศ. 1960
ทำให้เริ่มมีชาวเอเชียหลั่งไหลเข้ามาอยู่ในประเทศนี้มากขึ้น
ทั้งชาวจีนที่อพยพเพื่อหนีการปฏิวัติวัฒนธรรมสมัยประธานเหมา เจ๋อตง ในช่วงปี 1960
ชาวเวียดนามที่อพยพเพื่อหนีภัยสงครามเวียดนาม ในช่วงปี 1980
ชาวฮ่องกงที่อพยพเพื่อหนีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ก่อนที่อังกฤษจะส่งมอบฮ่องกงคืนให้จีน
ในช่วงปี 1990
สัดส่วนของชาวแคนาดาเชื้อสายเอเชีย ซึ่งประกอบไปด้วย
ชาวเอเชียตะวันออก เช่น จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลี
ชาวเอเชียใต้ เช่น อินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ
และชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ กัมพูชา และไทย
สรุปแล้วสัดส่วนชาวเอเชียในแคนาดา จึงมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ปี 1996 ชาวแคนาดาเชื้อสายเอเชีย คิดเป็นสัดส่วน 7%
ปี 2006 ชาวแคนาดาเชื้อสายเอเชีย คิดเป็นสัดส่วน 11%
ปี 2016 ชาวแคนาดาเชื้อสายเอเชีย คิดเป็นสัดส่วน 15%
แต่สำหรับเมืองใหญ่ๆ ที่เป็นศูนย์กลางธุรกิจ เช่น
โตรอนโต ศูนย์กลางการเงิน เป็นที่ตั้งของตลาดหลักทรัพย์ที่มี Market Cap อันดับ 9 ของโลก
หรือ แวนคูเวอร์ ศูนย์กลางธุรกิจและการเงินฝั่งตะวันตก
สัดส่วนของชาวเอเชียจะสูงถึง 30-50%
เศรษฐกิจของแคนาดาเติบโตมาเรื่อยๆ
ส่วนหนึ่งก็เพราะผู้อพยพที่เข้ามาเป็นกำลังแรงงานที่สำคัญ
แต่แคนาดาก็ประสบปัญหาเดียวกับที่ประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่พบเจอ
คือ อัตราการเกิดของประชากรลดลง จำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น และวัยแรงงานกำลังลดลง
แคนาดาจึงเปิดรับผู้อพยพจากทั่วโลก
โดยตั้งเป้าว่าจะให้มีจำนวนถึง 1 ล้านคน ภายในปี ค.ศ. 2019-2021
โดยมีสิ่งดึงดูดใจก็คือ คุณภาพชีวิตที่ดี สวัสดิการที่เพียบพร้อม ความสงบสุข และเสรีภาพ
สิ่งเหล่านี้ล้วนดึงดูดให้ผู้อพยพจากทวีปเอเชียซึ่งมีประชากรหนาแน่น
เต็มไปด้วยความกดดันจากปัญหาความเหลื่อมล้ำ อพยพเข้าไปแคนาดาเพื่อตามหาชีวิตที่ดีกว่า
จำนวนไม่น้อย เป็นผู้ประกอบวิชาชีพ ทั้งหมอ พยาบาล วิศวกร สถาปนิก
บางส่วนก็เป็นนักธุรกิจ และเศรษฐีที่ต้องการกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์
ก็เป็นที่น่าคิดว่า แคนาดากำลังจะได้ประชากรคุณภาพสูง ไปช่วยพัฒนาประเทศ
ให้เจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป
ในอนาคตอันใกล้
ภาพของผู้คนแคนาดา ในหัวของเรา ก็อาจเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ในเมืองใหญ่ๆ ของแคนาดา
ชาวแคนาดาเชื้อสายเอเชียจะกลายเป็นผู้กำหนดบทบาททางเศรษฐกิจ
และอาจก้าวไปถึงบทบาททางการเมืองในอนาคต
ก็นับเป็นเรื่องแปลก ประเทศที่ถูกสร้างขึ้นโดยชาวยุโรป กำลังจะถูกชาวเอเชียเข้าครอบครอง
แต่จริงๆ แล้ว
หากมองย้อนไปในประวัติศาสตร์หลายพันปีก่อน
ชนพื้นเมืองดั้งเดิมของแคนาดา ก็คือชาวเอเชียที่อพยพข้ามทวีปไปอาศัยอยู่
ก่อนที่ชาวยุโรปจะค้นพบทวีปแห่งนี้เป็นเวลาหลายพันปี
แคนาดาแค่ย้อนกลับไปเป็นเหมือนเดิม
ก็เท่านั้นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit ที่สุดของแอปมีสาระ
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://www12.statcan.gc.ca/census-recensement/2016/dp-pd/prof/details/page.cfm?Lang=E&Geo1=CMACA&Code1=933&Geo2=PR&Code2=59&Data=Count&SearchText=vancouver&SearchType=Begins&SearchPR=01&B1=All&TABID=1
-http://www.worldstopexports.com/canadas-top-exports/
-https://www.imf.org/en/Countries/CAN
-https://www150.statcan.gc.ca/n1/pub/11-630-x/11-630-x2016006-eng.htm