The Irishman (2019) สามารถดูได้ใน Netflix
นับเป็นหนัง gangster ของมาร์ติน สกอร์เซซี่ ที่ดูสงบขึ้นเยอะมาก ยิ่งเมื่อเทียบกับสมัยที่เขาทำ Goodfellas และ Casino เมื่อ 24 ปีก่อนแล้วยิ่งชัดเจน (แต่จริง ๆ The Wolf of Wall Street งานสุดหวือหวาก็เพิ่งจะ 6 ปีเอง) ความเถื่อนดิบรุนแรง ความรุ่งโรจน์ของมาเฟียขาขึ้น ถูกทดแทนด้วยความเรียบง่ายและนิ่งสงบ กลายเป็นการนั่งสำรวจชีวิตของคนชราว่าในช่วงที่ผ่านมามีอะไรหล่นหายไปจากชีวิตบ้าง ทั้งครอบครัวห่างเหิน และมิตรภาพของผู้คนในวงการอาชญากรรมที่ค่อย ๆ ล้มหายตายจากไปทีละคนตามแต่ความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์และความหวาดระแวง มันอาจจะเป็นหนังมาเฟีย rise and fall ที่มีเอี่ยวการเมืองและสหภาพแรงงานไม่ต่างจาก Once Upon a Time in America ที่โรเบิร์ต เดอ นีโร เคยแสดงสมัยวัย 41 ปี แต่อารมณ์ของหนังช่างแตกต่างกันเหลือเกิน ไม่แน่เมื่อถึงวันที่เราแก่ตัวมากขึ้นกว่านี้ เราอาจจะต้องการหนังที่สงบนิ่งแบบ The Irishman ก็เป็นได้
.
ในช่วงยุค 50's หลังสงครามโลกจบลงไม่นาน 'แฟรงค์ ชีแรน' (Robert De Niro) ทหารผ่านศึกกลับมาทำงานเป็นคนขับรถบรรทุกส่งเนื้อ แต่เขาแอบตุกติกขโมยเนื้อไปขายพวกนักเลงท้องถิ่นจนถูกจับฟ้องศาล กลายเป็นจุดเริ่มต้นแรกที่ทำให้เขาได้รู้จัก 'รัสเซล' (Joe Pesci) มาเฟียใหญ่ที่ถูกชะตาความเป็นทหารทำตามคำสั่งโดยไม่ตั้งคำถาม จึงชวนเขามาทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ รวมถึงการฆาตกรรม ก่อนจะได้รับความไว้วางใจให้ไปช่วยปกป้อง 'จิมมี่ ฮอฟฟา' (Al Pacino) ประธานสหภาพแรงงานผู้เอาเงินกองทุนมาปล่อยกู้ให้กลุ่มมาเฟีย
.
พอหนังมันเปิดฉากวิธีเล่าแบบคนแก่มองย้อนกลับหลังไปในสองช่วงเวลา แบ่งระหว่างช่วงจุดเริ่มต้นอันนำมาสู่การรู้จักจิมมี่ และ road trip เดินทางไปหาจิมมี่ มันจึงเห็นว่าตลอดทั้งเรื่องแทบจะไม่มีความทรงจำระหว่างเขากับลูกสาวสักเท่าไร เขาเลือกเล่าช่วงที่เป็นการแสดงความนับถือต่อรัสเซลที่ชักนำเขามาอยู่ในโลกใต้ดิน และความใกล้ชิดกับจิมมี่ พร้อมกับการที่ตัวเขาซึมซับความเป็นอยู่ของโลกใต้ดินจนนับได้ว่าอยู่เป็น เขาแตกต่างจากมาเฟียในเรื่องอื่น ๆ ตรงที่ไม่มักใหญ่ใฝ่สูงเกินตัว ใช้ชีวิตตามคำสั่งของเบื้องบนโดยไม่โต้แย้งหรือเก็บมาคิดถามถึงความเหมาะสมจำเป็น ดูแล้วชวนให้นึกถึงพวกทหารในหนังสงคราม ต่างกันตรงที่หนังทหารส่วนใหญ่ ตัวเอกมักจะชั่งน้ำหนักศีลธรรมความเป็นมนุษย์เหนือกว่าคำสั่งผู้บังคับบัญชา
.
โดยไม่รู้ตัวถึงสิ่งที่แฟรงค์กำลังเล่า เขาค่อย ๆ สูญเสียความเป็นมนุษย์ อันที่จริงเรารู้สึกว่าเขากลายเป็นคนไร้จุดมุ่งหมายในชีวิต กว่าจะรู้ตัวคือเมื่อแก่ชราแล้วได้ทบทวนถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาว่าหลายสิ่งหล่นหายไปจากการตัดสินใจของเขา โดยเฉพาะสายตาที่เย็นชาจากลูกสาวตั้งแต่ยังเล็ก ยิ่งเมื่อเปิดโทรทัศน์เป็นข่าวฆาตกรรมในวงอาชญากรยิ่งทำให้ตัวเขาสูญเสียความเคารพไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดแตกหัก เวลาเราดูจากสายตาคนวัย 30 มองย้อนกลับหลังไปก็มีสิ่งที่ผิดพลาดแต่ยังเหลือเวลาให้แก้ไขอีกครึ่งชีวิต ยังไม่สายเกินไปที่จะทบทวนตัวเองหรือตั้งตัวใหม่ แต่การมองแบบชีแรนในวัย 70 กว่าปีมันไม่เหลืออนาคตให้ชดเชยอีกแล้ว ตอนถึงฉากเลือกโลงศพและที่เก็บศพจึงเป็นการดูที่ตระหนักได้อย่างเดียวว่าสักวันความตายต้องมาเยือนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เราเลือกได้ว่าจะทิ้งอะไรไว้ให้คนข้างหลังได้จดจำ
ป.ล. de-aging เนี่ยโอเคนะในแง่ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี แต่พอใช้จริงแล้วหน้าอ่อนลงแต่สังขารไม่ไหวอยู่ดี ฉากกระทืบคนเนี่ยชัดสุดละ ลุงไม่มีแรงจะยกเท้าเตะแบบสมัยก่อนแล้วนั่นอ่ะ
ป.ล. 2 จนถึงตอนนี้ Top 5 ในใจยังคงเป็น The Godfather, Goodfellas, Once Upon a Time in America, The Godfather: Part II , และ City of God สูสีกับ Heat
ป.ล. 3 ในยุคหลังยังยกให้ The Departed เป็น gangster no.1 แฮะ บังเอิญเป็นงานของสกอร์เซซี่ด้วย
Director: Martin Scorsese (ผู้กำกับ Gangs of New York, The Departed, Goodfellas, Casino)
book: Charles Brandt
screenplay: Steven Zaillian (เขียนบท American Gangster, Gangs of New York)
Genre: biography, crime, drama
8/10
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
gangster no 1 netflix 在 หนังโปรดของข้าพเจ้า Facebook 的最佳貼文
The Irishman (2019) สามารถดูได้ใน Netflix
นับเป็นหนัง gangster ของมาร์ติน สกอร์เซซี่ ที่ดูสงบขึ้นเยอะมาก ยิ่งเมื่อเทียบกับสมัยที่เขาทำ Goodfellas และ Casino เมื่อ 24 ปีก่อนแล้วยิ่งชัดเจน (แต่จริง ๆ The Wolf of Wall Street งานสุดหวือหวาก็เพิ่งจะ 6 ปีเอง) ความเถื่อนดิบรุนแรง ความรุ่งโรจน์ของมาเฟียขาขึ้น ถูกทดแทนด้วยความเรียบง่ายและนิ่งสงบ กลายเป็นการนั่งสำรวจชีวิตของคนชราว่าในช่วงที่ผ่านมามีอะไรหล่นหายไปจากชีวิตบ้าง ทั้งครอบครัวห่างเหิน และมิตรภาพของผู้คนในวงการอาชญากรรมที่ค่อย ๆ ล้มหายตายจากไปทีละคนตามแต่ความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์และความหวาดระแวง มันอาจจะเป็นหนังมาเฟีย rise and fall ที่มีเอี่ยวการเมืองและสหภาพแรงงานไม่ต่างจาก Once Upon a Time in America ที่โรเบิร์ต เดอ นีโร เคยแสดงสมัยวัย 41 ปี แต่อารมณ์ของหนังช่างแตกต่างกันเหลือเกิน ไม่แน่เมื่อถึงวันที่เราแก่ตัวมากขึ้นกว่านี้ เราอาจจะต้องการหนังที่สงบนิ่งแบบ The Irishman ก็เป็นได้
.
ในช่วงยุค 50's หลังสงครามโลกจบลงไม่นาน 'แฟรงค์ ชีแรน' (Robert De Niro) ทหารผ่านศึกกลับมาทำงานเป็นคนขับรถบรรทุกส่งเนื้อ แต่เขาแอบตุกติกขโมยเนื้อไปขายพวกนักเลงท้องถิ่นจนถูกจับฟ้องศาล กลายเป็นจุดเริ่มต้นแรกที่ทำให้เขาได้รู้จัก 'รัสเซล' (Joe Pesci) มาเฟียใหญ่ที่ถูกชะตาความเป็นทหารทำตามคำสั่งโดยไม่ตั้งคำถาม จึงชวนเขามาทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ รวมถึงการฆาตกรรม ก่อนจะได้รับความไว้วางใจให้ไปช่วยปกป้อง 'จิมมี่ ฮอฟฟา' (Al Pacino) ประธานสหภาพแรงงานผู้เอาเงินกองทุนมาปล่อยกู้ให้กลุ่มมาเฟีย
.
พอหนังมันเปิดฉากวิธีเล่าแบบคนแก่มองย้อนกลับหลังไปในสองช่วงเวลา แบ่งระหว่างช่วงจุดเริ่มต้นอันนำมาสู่การรู้จักจิมมี่ และ road trip เดินทางไปหาจิมมี่ มันจึงเห็นว่าตลอดทั้งเรื่องแทบจะไม่มีความทรงจำระหว่างเขากับลูกสาวสักเท่าไร เขาเลือกเล่าช่วงที่เป็นการแสดงความนับถือต่อรัสเซลที่ชักนำเขามาอยู่ในโลกใต้ดิน และความใกล้ชิดกับจิมมี่ พร้อมกับการที่ตัวเขาซึมซับความเป็นอยู่ของโลกใต้ดินจนนับได้ว่าอยู่เป็น เขาแตกต่างจากมาเฟียในเรื่องอื่น ๆ ตรงที่ไม่มักใหญ่ใฝ่สูงเกินตัว ใช้ชีวิตตามคำสั่งของเบื้องบนโดยไม่โต้แย้งหรือเก็บมาคิดถามถึงความเหมาะสมจำเป็น ดูแล้วชวนให้นึกถึงพวกทหารในหนังสงคราม ต่างกันตรงที่หนังทหารส่วนใหญ่ ตัวเอกมักจะชั่งน้ำหนักศีลธรรมความเป็นมนุษย์เหนือกว่าคำสั่งผู้บังคับบัญชา
.
โดยไม่รู้ตัวถึงสิ่งที่แฟรงค์กำลังเล่า เขาค่อย ๆ สูญเสียความเป็นมนุษย์ อันที่จริงเรารู้สึกว่าเขากลายเป็นคนไร้จุดมุ่งหมายในชีวิต กว่าจะรู้ตัวคือเมื่อแก่ชราแล้วได้ทบทวนถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาว่าหลายสิ่งหล่นหายไปจากการตัดสินใจของเขา โดยเฉพาะสายตาที่เย็นชาจากลูกสาวตั้งแต่ยังเล็ก ยิ่งเมื่อเปิดโทรทัศน์เป็นข่าวฆาตกรรมในวงอาชญากรยิ่งทำให้ตัวเขาสูญเสียความเคารพไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดแตกหัก เวลาเราดูจากสายตาคนวัย 30 มองย้อนกลับหลังไปก็มีสิ่งที่ผิดพลาดแต่ยังเหลือเวลาให้แก้ไขอีกครึ่งชีวิต ยังไม่สายเกินไปที่จะทบทวนตัวเองหรือตั้งตัวใหม่ แต่การมองแบบชีแรนในวัย 70 กว่าปีมันไม่เหลืออนาคตให้ชดเชยอีกแล้ว ตอนถึงฉากเลือกโลงศพและที่เก็บศพจึงเป็นการดูที่ตระหนักได้อย่างเดียวว่าสักวันความตายต้องมาเยือนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เราเลือกได้ว่าจะทิ้งอะไรไว้ให้คนข้างหลังได้จดจำ
ป.ล. de-aging เนี่ยโอเคนะในแง่ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี แต่พอใช้จริงแล้วหน้าอ่อนลงแต่สังขารไม่ไหวอยู่ดี ฉากกระทืบคนเนี่ยชัดสุดละ ลุงไม่มีแรงจะยกเท้าเตะแบบสมัยก่อนแล้วนั่นอ่ะ
ป.ล. 2 จนถึงตอนนี้ Top 5 ในใจยังคงเป็น The Godfather, Goodfellas, Once Upon a Time in America, The Godfather: Part II , และ City of God สูสีกับ Heat
ป.ล. 3 ในยุคหลังยังยกให้ The Departed เป็น gangster no.1 แฮะ บังเอิญเป็นงานของสกอร์เซซี่ด้วย
Director: Martin Scorsese (ผู้กำกับ Gangs of New York, The Departed, Goodfellas, Casino)
book: Charles Brandt
screenplay: Steven Zaillian (เขียนบท American Gangster, Gangs of New York)
Genre: biography, crime, drama
8/10