BREAKING: จีนเจอปัญหา ขาดแคลนไฟฟ้าหนัก กระทบการส่งมอบ สินค้าทั่วโลก
จีนกำลังเจอกับวิกฤติด้านพลังงาน ที่ทำให้ประเทศขาดแคลนไฟฟ้า และส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมการผลิต และระบบซัปพลายเชนทั้งระบบ เนื่องจากจีนเป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้ารายใหญ่ที่สุดของโลก
ซึ่งปัญหาดังกล่าวมีต้นตอมาจาก 2 ปัจจัยหลัก ๆ คือ
1) ทางการจีนต้องการลดมลพิษภายในประเทศ จึงได้ออกคำสั่งให้ 20 มณฑลของจีน จะต้องถูกตัดไฟบางส่วน เพื่อลดการใช้พลังงาน ซึ่งเป็นต้นเหตุของการสร้างมลพิษ
พร้อมกับขอให้ประชาชนช่วยกันประหยัดไฟ และลดการใช้ไฟฟ้า
ซึ่งพื้นที่ดังกล่าว ที่ถูกสั่งให้ตัดไฟฟ้าบางส่วน ครอบคลุม GDP มากกว่า 66% ของประเทศ
และมาตรการนี้ ยังมุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น โรงงานผลิตสิ่งทอ, โรงงานอะลูมิเนียม
2) ราคาถ่านหินที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ทำให้ต้นทุนการผลิตพลังงานไฟฟ้าสูงขึ้น โดยส่วนหนึ่งก็เพราะปัญหาที่จีนกับออสเตรเลียมีข้อพิพาทระหว่างกัน ซึ่งเดิมออสเตรเลียเคยส่งออกถ่านหินให้จีนเป็นจำนวนมาก แต่ในตอนนี้จีนต้องพยายามจัดหาถ่านหินจากแหล่งอื่นแทน
ในขณะที่หน่วยงานกำกับดูแลด้านราคาไฟฟ้าของจีน ก็มีการควบคุมค่าไฟฟ้าสำหรับครัวเรือนและธุรกิจ ให้อยู่ในระดับต่ำ จึงทำให้โรงงานไฟฟ้าขึ้นราคาได้ไม่มาก
จนทำให้โรงงานไฟฟ้าประสบปัญหาขาดทุนในทุก ๆ หน่วยไฟฟ้าที่ผลิตออกมาได้
พอเรื่องเป็นแบบนี้จึงทำให้โรงงานไฟฟ้าเลือกที่จะชะลอการผลิตไฟฟ้า ซึ่งสวนทางกับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกที่ต้องการสินค้าจากจีนในช่วงนี้
และนั่นก็เป็นที่มาของการขาดแคลนไฟฟ้าในประเทศจีนตอนนี้
ซึ่งถ้าถามว่า พลังงานไฟฟ้าจากการเผาถ่านหิน สำคัญกับจีนมากแค่ไหน ?
ก็ตอบได้เลยว่า คิดเป็นการผลิตพลังงาน 2 ใน 3 ของพลังงานที่จีนใช้ทั้งประเทศ..
ดังนั้น เรื่องนี้จึงกลายเป็นวิกฤติครั้งใหญ่ของจีน ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง
เพราะมีผลกระทบโดยตรงต่อผู้ผลิตในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมเสื้อผ้า, สิ่งทอ และของเล่น จะได้รับผลกระทบหนัก เนื่องจากในช่วงปลายปีนี้ เป็นฤดูแห่งการช็อปปิง
ซึ่งตามปกติแล้ว ตอนนี้ก็ควรมีการเร่งการผลิต เพื่อให้ผลิตสินค้าได้ทันเวลา และเพียงพอต่อความต้องการ
นอกจากนี้ ผลกระทบของวิกฤติขาดแคลนไฟฟ้านี้ ยังลามไปถึงโรงงานที่ผลิตสินค้าให้กับบริษัทระดับโลก อย่าง Apple และ Tesla ด้วย
โดยเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ได้มีข่าวออกมาว่า ลูกค้าที่สั่งจอง iPhone 13 กับทาง Apple อาจต้องรอนานกว่า 1 เดือน
เนื่องจากติดปัญหาในระบบซัปพลายเชน ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากโรงงานในจีน ที่ลดกำลังการผลิตลง ตามมาตรการของทางการจีน ที่ต้องการลดมลพิษ
ทั้งนี้ ด้านผู้ผลิตในจีน ได้ออกมาเตือนว่ามาตรการที่เข้มงวดดังกล่าว จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมหาศาล
เพราะพื้นที่แค่ 3 มณฑล ซึ่งได้รับผลกระทบต่อมาตรการดังกล่าว เช่น เจียงซู, เจ้อเจียง และกวางตุ้ง รวมกัน
ก็คิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของ GDP ทั้งประเทศแล้ว
นอกจากนี้ การลดกำลังการผลิตของโรงงานในจีน จะทำให้ร้านค้าหลายแห่งทั่วโลก มีปัญหาในการจัดการสินค้าในสต็อก ทำให้ของขาดตลาด และอาจทำให้สินค้าแพงขึ้น จนเกิดเงินเฟ้อได้
ซึ่ง ณ ตอนนี้ ตลาดโลกก็จะเริ่มรู้สึกถึงการขาดแคลนสินค้าต่าง ๆ ตั้งแต่สิ่งทอ, ของเล่น, เสื้อผ้า ไปจนถึงชิ้นส่วนเครื่องจักร
เรียกได้ว่า ส่งผลกระทบต่อซัปพลายเชนทั้งระบบ ในหลาย ๆ อุตสาหกรรม
แน่นอนว่าพอเรื่องเป็นแบบนี้ หลายสถาบันการเงิน จึงได้ออกมาปรับลดการคาดการณ์ GDP ของจีน ในปีนี้
เช่น ทางด้าน Nomura สถาบันการเงินของญี่ปุ่น ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของ GDP ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ เป็น 3% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 4.4%
ที่สำคัญคือ เรื่องนี้อาจส่งผลกระทบและลามมาถึงประเทศไทยด้วย
เพราะหากไปดูในปี 2020 ที่ผ่านมา มูลค่าสินค้าที่ไทยนำเข้าจากจีน สูงถึง 1.7 ล้านล้านบาท
โดยสินค้าที่นำเข้ามากที่สุด คือ เครื่องใช้ไฟฟ้า, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องจักรต่าง ๆ
นอกจากนี้ ไทยยังมีสินค้าแฟชั่น ที่มีการนำเข้าจากจีนในปริมาณที่สูงมากเช่นกัน
ดังนั้น ถ้าโรงงานในจีนลดกำลังการผลิตลง จนสินค้าในตลาดมีน้อยลง หรือขาดตลาด
และราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น ก็จะกระทบต่อการนำเข้าของประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
พอเห็นแบบนี้ ก็ยิ่งต้องลุ้นกันต่อไป ว่ารัฐบาลจีนจะแก้ปัญหานี้อย่างไรบ้าง
และประเทศไทย จะได้รับผลกระทบแค่ไหนจากวิกฤติไฟฟ้าของจีนในครั้งนี้..
References
-https://www.bloomberg.com/news/newsletters/2021-09-28/supply-chain-latest-china-s-power-curbs-to-hit-global-economy
-https://www.reuters.com/technology/many-apple-tesla-suppliers-halt-production-china-amid-power-pinch-2021-09-27/
-https://www.straitstimes.com/business/economy/chinas-electricity-shock-is-latest-supply-chain-threat-to-world
-https://tradingeconomics.com/thailand/imports/china
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過38萬的網紅クリスの部屋,也在其Youtube影片中提到,皆さん、こんにちは! クリスです。 Follow Your Heart! 本当に「大好き」で「心からやりたいこと」を仕事にできる時代です。みなさん自由に幸せに、格好良く生きていってください。自分の心を信じて、ワクワクすることを日常に取り入れていくことで人生は少しずつ変わっていきます。 楽しいと感...
「global gdp 2020」的推薦目錄:
- 關於global gdp 2020 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
- 關於global gdp 2020 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
- 關於global gdp 2020 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
- 關於global gdp 2020 在 クリスの部屋 Youtube 的精選貼文
- 關於global gdp 2020 在 World Economies : Nominal GDP (1960 - 2020) - YouTube 的評價
- 關於global gdp 2020 在 While global GDP is projected to rise by 4.2% in 2021, the ... 的評價
global gdp 2020 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
สรุปประเด็นจากห้อง Clubhouse
ทำไมเงินถึงไหลเข้ากองทุน ESG ถึง 1,000,000,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ ?
Clubhouse BBLAM x ลงทุนแมน
ถ้าพูดถึง Theme การลงทุนพลังงานสะอาด หลายคนก็มักจะติดภาพความน่าเบื่อ และไม่ตื่นเต้น
แต่หลังจากที่ ลงทุนแมน ได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์คือ คุณมทินา วัชรวราทร CFA®, Head of Investment Strategy กองทุนบัวหลวง ในวันพุธที่ 22 กันยายน ที่ผ่านมา
ก็พบว่า Theme พลังงานสะอาด ไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่หลายคนคิด นอกจากนั้นยังเป็น Theme ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงรอบใหญ่ของโลก และยังเกี่ยวโยงกับหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตในอนาคต อีกด้วย
ความน่าสนใจของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร
ลงทุนแมนจะมาสรุปให้ฟังง่าย ๆ 9 ข้อ..
1. ทำไมกระแส ESG จึงกลายเป็นที่พูดถึงในตอนนี้ ?
พลังงานสะอาดคือ เทรนด์การลงทุนที่สำคัญมากในอนาคต และไม่ใช่แค่เทรนด์ระยะสั้น
สังเกตได้จากเม็ดเงินที่ไหลเข้ากองทุน ESG ทั่วโลกแตะ 1,000,000,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ อ่านว่า “1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ” เป็นครั้งแรก
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในยุโรป และการลงทุนใน ESG ยังให้ผลตอบแทนที่ดีด้วย จึงเป็นหลักของการลงทุนที่เรียกว่า Green and Great Return
ถ้าเราลองมาดูผลตอบแทนของ กองทุน Pictet Global Environmental กองทุนรวมที่ลงทุนในธุรกิจที่ดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นกองทุนหนึ่งที่ B-SIP เข้าไปลงทุน ก็ให้ผลตอบแทนดีในหลายไตรมาส
และหากลงทุนตั้งแต่ก่อตั้งกองทุนในปี 2014 ก็จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 14.92% ถือว่าทำได้ดีกว่า เมื่อเทียบกับการลงทุนในดัชนีโลกที่มีทั้ง ESG และไม่มี ESG ที่ให้ผลตอบแทนเพียง 10%
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้การลงทุนกองทุนที่ลงทุนในธุรกิจที่ดูแลสิ่งแวดล้อมให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
ก็เป็นเพราะว่าบริษัทที่ยึดหลัก ESG จะมีคุณภาพทั้งด้านรายได้ กำไร และผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น ดีกว่า บริษัททั่ว ๆ ไป
ทำให้สามารถกำหนดราคาสูงขึ้นได้ ดึงดูดคนที่มีความสามารถเข้ามาร่วมงานได้ง่าย รวมทั้งยังมีโอกาสด้านต้นทุนการกู้ยืมที่ถูกกว่า เสียดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า และธนาคารปล่อยสินเชื่อง่ายกว่าอีกด้วย
2. ทำไม พลังงานสะอาด จะเป็นการเปลี่ยนแปลงรอบใหญ่ของโลก ?
สิ่งที่ทำให้ กองทุนบัวหลวงมองว่า พลังงานสะอาดจะไม่ใช่เทรนด์ระยะสั้น
ก็คือการสังเกตคลื่นนวัตกรรมเปลี่ยนโลกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่ผ่านมาแล้ว 5 คลื่นด้วยกัน นั่นคือ
- คลื่นที่ 1 คือ การปฏิวัติอุตสาหกรรม
- คลื่นที่ 2 คือ การเริ่มใช้พลังงานไอน้ำ
- คลื่นที่ 3 คือ การใช้รถยนต์แทนม้า
- คลื่นที่ 4 คือ การเดินทางโดยเครื่องบิน
- คลื่นที่ 5 คือ โลกออนไลน์ เช่น Microsoft, Facebook, Amazon, Netflix
สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่กินระยะเวลายาวนานหลายสิบปี และนำมาซึ่งกิจการขนาดใหญ่ที่มีความมั่งคั่งมากขึ้น
แต่ในโลกอีก 25 ปีข้างหน้า สิ่งที่จะกลายเป็นประเด็นสำคัญ และทั่วทั้งโลกกำลังเผชิญเหมือนกันอยู่ก็คือ “ภาวะโลกร้อน”
เพราะฉะนั้น คลื่นที่ 6 ก็คือ “เทคโนโลยีพลังงานสะอาด” ซึ่งจะเป็นหนึ่งเทรนด์ต่อจากนี้ไปอีก 25 ปี พร้อม ๆ กับ Robotics, Drones, AI, IoT สิ่งนี้เองที่จะเป็นแนวทางให้เราได้ว่า โลกในอนาคตจะเป็นไปในทิศทางไหน แล้วเราควรจะลงทุนอะไรต่อไป
3. สัญญาณสำคัญที่ชี้ว่า โลกกำลังอยู่ในช่วงต้น คลื่นที่ 6 พลังงานสะอาด คืออะไร ?
กองทุนบัวหลวงมองว่า Megatrends จะต้องมี 3 องค์ประกอบ คือ
1. ความร่วมมือระดับโลก
2. การเห็นด้วยจากรัฐบาล
3. ความร่วมมือภาคเอกชน
เมื่อครบทั้ง 3 องค์ประกอบนี้ เงินลงทุนก็จะหลั่งไหลมายังเทรนด์นั้น ๆ อย่างแน่นอน ซึ่งเทรนด์ ESG ตอนนี้มีครบทั้ง 3 องค์ประกอบเรียบร้อยแล้ว
เริ่มต้นด้วยความร่วมมือระดับโลกคือ ข้อตกลง Paris Agreement จาก UN
ที่ต้องการให้ประเทศต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันภัยพิบัติต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นจากภาวะโลกร้อน
ต่อมาคือ การขานรับนโยบาย จากรัฐบาลของประเทศมหาอำนาจ
เราได้เห็นประเทศต่าง ๆ ในยุโรปมีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เช่น
- European Green Deal เพื่อที่จะลดการปล่อยคาร์บอนให้เหลือศูนย์ ภายในปี 2050
- European Climate Law กฎหมายที่พูดถึงการลดการปล่อยมลพิษลงอย่างน้อย 55% ภายในปี 2030
นอกจากนี้มหาอำนาจอย่าง “สหรัฐอเมริกา” ก็ได้จัดตั้งแผนงบประมาณด้านสิ่งแวดล้อม เช่น
- แผนที่ 1 วงเงิน 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการผลิตรถยนต์ EV และแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน
- แผนที่ 2 วงเงิน 5.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสีเขียว ซึ่งภายในปี 2035 สหรัฐอเมริกาตั้งเป้าจะใช้พลังงานแสงอาทิตย์ 40% ของพลังงานทั้งหมด
ขณะเดียวกัน มหาอำนาจซีกโลกตะวันออกอย่าง “จีน” ที่แม้จะยังคงใช้พลังงานถ่านหินเป็นหลัก แต่ก็มีการคาดการณ์ว่าจะมีสัดส่วนพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2035 เป็นต้นไป
โดยล่าสุดประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยังกำหนดนโยบายสิ่งแวดล้อม ไว้ในแผนการพัฒนาประเทศฉบับที่ 14 ซึ่งจะลดการปล่อยคาร์บอนต่อสัดส่วนของ GDP ลง 65% และจะเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทน 25% ภายในปี 2030 อีกด้วย
หรือประเด็นรถยนต์ไฟฟ้า แม้ในปี 2020 ยุโรปขายรถยนต์ EV ไปแล้ว 1.3 ล้านคน ขณะที่จีนขายรถยนต์ EV ไปแล้ว 1.2 ล้านคัน แต่ก็มีการคาดการณ์ว่าจีนจะสามารถแซงหน้าและกินส่วนแบ่ง 20% จากตลาดรถยนต์ทั้งหมดภายในปี 2025 ได้ไม่ยากเลย
4. แล้วภาครัฐและภาคเอกชน เชื่อมั่นใน Megatrends เรื่องพลังงานสะอาด แค่ไหน ?
ผลสำรวจของ UBS หรือธนาคารเพื่อการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์
ที่ได้สอบถามองค์กรต่าง ๆ ว่าอยากลงทุนใน Theme อะไรเป็นอันดับหนึ่ง
ปรากฏว่า 2 ใน 3 ตอบว่า จะลงทุนในพลังงานสะอาด เพราะเป็นปัญหาที่โลกเราต้องแก้ไข และยังให้ผลตอบแทนที่ดีด้วย
ซึ่งหากลงทุนในด้านพลังงานทดแทนเป็นระยะเวลา 5 ปี เมื่อเทียบกับการลงทุนในพลังงานแบบเก่า
จะเห็นว่า ผลตอบแทนแตกต่างกันค่อนข้างมาก จุดนี้เองที่บอกว่ามันคือ Green and Great Return
นอกจากนี้กองทุนใหญ่ ๆ ก็ประกาศเข้ามาลงทุนในเรื่องพลังงานสะอาดเช่นกัน
เช่น Cathie Wood ผู้จัดการกองทุน ETF ARK
ประกาศว่าจะทำกองทุน ETF ใหม่ ที่ใช้ ESG Score ทั้งสามด้าน
คือ ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล
โดยจะไม่ลงทุนในบริษัทที่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม หรือไม่ส่งผลดีต่อสังคม
ขณะเดียวกัน กองทุนมหาวิทยาลัย Harvard ที่มีขนาด 4.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็ประกาศหยุดการลงทุนในบริษัทที่ผลิตพลังงานฟอสซิลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
รวมทั้งบริษัทผลิตน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Saudi Aramco ก็ประกาศลงทุนในพลังงานสะอาด
โดยลงทุนในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในซาอุดีอาระเบีย
นอกจากนี้ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ยังวางเป้าหมายประเทศว่าจะใช้พลังงานสะอาดให้ได้ 50% ภายในปี 2030 และจะไม่ได้ลงทุนแค่พลังงานลมและแสงอาทิตย์ แต่ยังลงทุนในพลังงานไฮโดรเจน อีกด้วย
5. แล้วอะไรคือ ความเสี่ยงของเทรนด์ ESG และพลังงานสะอาด ?
ความเสี่ยงของ ESG พลังงานสะอาดอย่างแรกคือ กองทุนที่เสนอขายเป็น ESG จริงหรือไม่ แล้วมีมาตรฐานขอบเขตการลงทุนด้านพลังงานสะอาดที่ชัดเจนจริง ๆ หรือไม่
ความเสี่ยงที่สองคือ ต้องระวังว่าบริษัทที่เกี่ยวกับพลังงานสีเขียวนี้ มีราคาแพงไปแล้วหรือยัง มีฟองสบู่ที่เรียกว่า Green Bubble จากเม็ดเงินที่เข้าไปลงทุน 1.65 แสนล้านในปี 2019 และอีกกว่า 3.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020 อยู่หรือไม่
ดังนั้น วิธีการลงทุนที่สำคัญ คือ การเลือกกองทุนที่ใส่ใจเรื่อง Valuation และใช้เรื่องมูลค่ามาเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญในการลงทุน
6. แล้วเราควรเลือกลงทุนใน ธุรกิจพลังงานสะอาด อย่างไร ?
เราลองมาดูตัวอย่างธุรกิจที่เกี่ยวกับการผลิตไฟฟ้า การขนส่ง การทำการเกษตร ว่าจะสามารถ Green and Great Return ไปพร้อมกับการให้ผลตอบแทนที่ดีได้จริงหรือไม่
เริ่มต้นที่ Orsted บริษัทพลังงานลมนอกชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดในโลกของเดนมาร์ก เดิมทีเคยเป็นบริษัทพลังงานถ่านหินเก่าแก่มาตั้งแต่ปี 1972 โดย 85% ของการผลิตไฟฟ้ามาจากฟอสซิล
จากนั้นในปี 2008 ก็พลิกธุรกิจครั้งใหญ่มาสู่เส้นทางพลังงานสะอาด โดย 85% ของการผลิตไฟฟ้ามาจากพลังงานสีเขียว และเดินทางสู่การเป็นบริษัทพลังงานลมที่ใหญ่ที่สุดของโลกได้สำเร็จ
ซึ่งรู้หรือไม่ว่า กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ หรือ GULF บริษัทพลังงานของไทย ก็ได้ร่วมลงทุนใน Orsted เช่นกัน เพราะมองเห็นนวัตกรรมของพลังงานลมที่ดีที่สุดในโลกของ Orsted โดย 1/3 ของพลังงานลมของโลก มาจากบริษัทนี้
ที่น่าสนใจก็คือ ราคาของพลังงานลม ถูกกว่า ราคาพลังงานของถ่านหินไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปี 2018 และยังคาดการณ์ว่าภายในปี 2030 พลังงานลมและแสงอาทิตย์จะเป็นแหล่งพลังงานที่ถูกที่สุดในโลก
ในแง่ของ Green and Great Return อย่าง Orsted เริ่มเข้าตลาดปี 2016 ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ราคาปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 96% ต่อปี
ขณะเดียวกันยังมีรายได้เติบโตเฉลี่ย 30% ต่อปี และจะเป็นเช่นนี้ต่อเนื่องไปอย่างน้อยถึงปี 2050 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยังมีโอกาสขยายตลาดไปยังประเทศต่าง ๆ ได้อีกมาก เช่น อินเดีย ญี่ปุ่น
7. ธุรกิจพลังงานสะอาดที่ไม่พูดไม่ได้ในตอนนี้ ก็คือ EV ?
เราทราบดีอยู่แล้วว่า หนทางลดปัญหามลภาวะจากการใช้รถยนต์ก็คือ การหันมาใช้รถยนต์ EV หรือรถไฟฟ้า แต่สงสัยไหมว่า ทำไมเทรนด์นี้จึงกลายเป็นโอกาสลงทุนมหาศาลในอนาคต
จากข้อมูลคาดการณ์ว่า ยอดขายรถยนต์ EV จะเพิ่มขึ้น 18 เท่าในอีกสิบปีข้างหน้า แสดงว่าอาจเพิ่มขึ้นสองเท่าทุก ๆ ปี ซึ่งในอนาคตรถยนต์ทั่วโลกจะกลายเป็นรถยนต์ EV อย่างน้อย 80%
เหตุผลก็เพราะว่า ราคารถยนต์ไฟฟ้าจะถูกลงเรื่อย ๆ สังเกตได้จาก ลิเทียมไอออนแบตเตอรี่ ที่มีราคาถูกลง 88% เมื่อเทียบกับสิบปีก่อน หากราคายังคงลดลงเรื่อย ๆ ก็เชื่อว่า ราคารถยนต์ EV และรถยนต์สันดาป จะมีระดับราคาใกล้เคียงกัน
นอกจากนี้ นโยบายของประเทศแถบยุโรปยังให้ความสำคัญเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยจะยกเลิกการขายรถยนต์สันดาปแล้วจริง ๆ เช่น สวีเดน ประกาศยกเลิกในปี 2025 หรืออังกฤษ ก็ประกาศยกเลิกในปี 2035
พอเป็นแบบนี้ แบรนด์รถยนต์ต่าง ๆ จึงต้องปรับตัวกันถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์เก่าแก่อย่าง Honda, Toyota หรือแบรนด์ใหม่อย่าง Tesla, BYD, XPeng แม้กระทั่งค่ายเก๋าอย่าง Harley-Davidson, Porsche ก็ต้องปรับตัวตามเช่นกัน
ที่น่าสนใจก็คือ การเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมรถยนต์รอบนี้ ทิศทางเงินลงทุนไม่ใช่แค่ส่วนของรถยนต์ EV เพียงอย่างเดียว แต่จะไปถึง Supply Chain ต่าง ๆ ทั้งหมด เช่น
- บริษัทผลิตแบตเตอรี่
- บริษัทชิป Semiconductor
- บริษัท Software ที่ทำ ADAS (รถยนต์ไร้คนขับ Autonomous Driving) และบริษัท Simulation ทำการจำลองการขับรถ
ทีนี้ลองมาดูตัวอย่างธุรกิจรถยนต์ EV ที่กองทุน B-SIP เข้าไปลงทุนกันบ้าง
XPeng อ่านว่า เสี่ยวเผิง เป็นบริษัทรถยนต์ EV เน้นตลาดระดับกลางเเละระดับสูงในจีน ที่เรียกได้ว่าท้าชนกับ Tesla ได้เลย เช่น รถยนต์ EV รุ่น XPeng P7 ที่มีราคาเปิดตัวล้านกว่าบาท ชาร์จหนึ่งครั้งจะวิ่งได้ 700 กิโลเมตร โครงสร้างต่าง ๆ มาจากการออกแบบของวิศวกรที่มาจาก Apple, Tesla
XPeng ยังใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ อย่าง 5G, AI ซึ่งตอนนี้ก็มีเทคโนโลยี Autonomous Driving เรียบร้อยแล้ว และยังใช้แบตเตอรี่ของ CATL ผู้ผลิตแบตเตอรี่จีนที่ใหญ่ที่สุด ที่เพียงใช้เวลา 30 นาที ก็สามารถชาร์จได้ 80% อีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ กองทุน B-SIP จึงไม่พลาดที่จะเข้าไปลงทุน IPO ปีที่แล้ว เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งธุรกิจพลังงานสะอาดที่มี Green and Great Return เลยทีเดียว
8. นอกจาก พลังงานลม และรถยนต์ EV ยังมีธุรกิจไหนจะเป็นเทรนด์อนาคตได้อีกบ้าง ?
เริ่มต้นด้วยเรื่องใกล้ตัว อย่างอาหารที่เรียกว่า “Beyond Meat” ซึ่งเป็นธุรกิจผู้ผลิตอาหารคล้ายเนื้อที่ไม่ได้มาจากเนื้อจริง ๆ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมเรื่องปัญหาดิน ปัญหาน้ำ และปัญหามลพิษ
โดยในปี 2050 คาดว่าจะมีการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก 2.8 พันล้านคน และจะตามมาด้วยปริมาณอาหารที่ต้องการเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
หากเป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ จำเป็นต้องใช้พื้นที่เลี้ยงสัตว์และปัจจัยต่าง ๆ มากกว่าการปลูกพืชอย่างมาก เช่น การเลี้ยงวัว จะใช้ที่ดินมากกว่า 18 เท่า รวมทั้งใช้น้ำและพลังงานมากกว่า 10 เท่า และยังจะปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซมีเทน ออกมาจากร่างกายอีกด้วย
จึงไม่แปลกใจเลยว่า สัดส่วน 79% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการเกษตรมาจาก “การเลี้ยงสัตว์”
ปัจจุบัน Beyond Meat กำลังขยายฐานลูกค้าได้ดี สังเกตได้จากแบรนด์อาหารต่าง ๆ ที่หันมานำเสนอผลิตภัณฑ์จาก Beyond Meat มากขึ้นทั่วสหรัฐอเมริกา
เช่น แมคโดนัลด์, เอแอนด์ดับบลิว, Dunkin'
และยังกระจายไปตามร้านสะดวกซื้อ ที่เราสามารถซื้อกลับไปปรุงอาหารที่บ้านได้เองอีกด้วย
Beyond Meat กลายเป็นบริษัทที่น่าจับตามอง และเข้า IPO ในปี 2019 ที่มีมูลค่าบริษัท 3.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มาในปีนี้มูลค่าบริษัทเพิ่มขึ้นมาเป็น 9.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นสองเท่ากว่า ๆ ภายในสองปี นอกจากนี้ยังมีรายได้ปี 2020 เติบโต 36% อีกด้วย
นอกจากธุรกิจอาหารแล้ว ก็ยังธุรกิจอื่น ๆ ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เช่น
- Schneider Electric เป็นบริษัทผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น ลิฟต์ ที่มีการคำนวณการใช้งานแบบประหยัดพลังงาน ซึ่งในอนาคตหากอาคารไหนเป็นอาคารประหยัดพลังงาน ก็จะสามารถเรียกค่าเช่าสูงขึ้นได้
- Equinix เป็นบริษัทโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของโลก เป็นศูนย์จัดเก็บข้อมูลที่ไม่สามารถหยุดทำงานได้ ต้องใช้ไฟตลอดทั้งวันทั้งคืน ปัจจุบันบริษัทสามารถใช้พลังงานหมุนเวียน 92% ของพลังงานทั้งหมด
- Ansys เป็นบริษัทจำลองผล จำลองสถานการณ์สำหรับรถยนต์, เครื่องบิน และอื่น ๆ เพื่อช่วยลดปริมาณการสูญเสียทรัพยากรในช่วงของการทดสอบ
เช่น Dyson แบรนด์เครื่องเป่าผมของผู้หญิง ทำให้แห้งเร็วขึ้นและดีขึ้น
Ansys เข้ามาช่วยคำนวณทิศทางลม, ลมแรง และค้นหาประสิทธิภาพที่ดีที่สุด โดยใช้ซอฟต์แวร์จำลองผลการทดสอบ ช่วยประหยัดทรัพยากร และประหยัดต้นทุนไปได้อย่างมาก
สรุปแล้ว แค่ Theme พลังงานสะอาดอย่างเดียว ก็ทำให้เราเห็นโอกาสของธุรกิจหลากหลายสาขา
ไม่ว่าจะเป็น การผลิตไฟฟ้าที่จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนด้วยพลังงานลม
หรือจะเป็นการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากรถยนต์ที่จะเปลี่ยนทั้ง EV Supply Chain
รวมทั้ง การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนด้วยอุตสาหกรรมอาหาร และการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเหลือมากขึ้น นั่นเอง
9. แล้วเราจะเข้าถึงโอกาสการลงทุนในบริษัทเหล่านี้ได้อย่างไร ?
กองทุน B-SIP เป็นหนึ่งกองทุนเพื่อตอบโจทย์การลงทุนในพลังงานสะอาดโดยตรง และมีจุดเด่นด้วยสไตล์การลงทุนของกองทุนบัวหลวง ที่จะเฟ้นหาธุรกิจดีมีคุณภาพและเติบโต ซึ่งจะสร้างความแตกต่างจากกองทุนอื่นทั่วไป นั่นคือ
1. เน้นลงทุนธุรกิจรักษาสิ่งแวดล้อม ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในอนาคตที่เรียกว่า Green and Great Return นั่นเอง
2. มองว่าเทรนด์รักษาสิ่งแวดล้อมและพลังงานสะอาด จะเป็น Megatrends ของโลกที่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น จึงเชื่อว่า Theme นี้มีความน่าสนใจและสามารถลงทุนระยะยาวได้
3. เปลี่ยนภาพจำว่า การลงทุนในพลังงานสะอาดและสิ่งแวดล้อมไม่จำเป็นต้องเป็นหุ้นน่าเบื่อหรือหุ้นโครงสร้างพื้นฐานเสมอไป
เพราะการลงทุนของ B-SIP ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นเติบโต มีนวัตกรรม มีเทคโนโลยี และยังคำนึงถึงการประเมิน Valuation ด้วย
ถ้าฉายภาพใหญ่ ๆ ก็คือ กองทุน B-SIP จะลงทุนทั้งในฝั่ง Global Environmental Opportunities และ Clean Energy นั่นเอง
โดยฝั่ง Global Environment จะมีสัดส่วนธุรกิจเทคโนโลยี 40% นอกจากนั้นจะเป็นบริษัทอุตสาหกรรม, กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มเคมีภัณฑ์
ซึ่งจะมีรูปแบบลงทุน Active Management เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างหุ้นเติบโตและหุ้นคุณค่า
ส่วนในฝั่งของพลังงานสะอาด จะมีสัดส่วนธุรกิจเทคโนโลยี 48% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะได้เข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรม EV ทั้ง Supply Chain ราว 33% ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทฝั่งสหรัฐอเมริกา และยุโรป เพราะเป็นผู้นำเรื่องเทคโนโลยีพลังงานสะอาด
เช่น Orsted ธุรกิจพลังงานลมนอกชายฝั่งมากว่า 10 ปี มีเทคโนโลยีน่าสนใจ และยังมีโอกาสขยายตลาดได้อีกมาก
ทั้งหมดนี้ จึงสะท้อนได้ว่า กองทุน B-SIP เป็นอีกหนึ่งช่องทางลงทุนใน Theme พลังงานสะอาดที่จะสร้างการเติบโตในระยะยาวได้แบบ Green and Great Return นั่นเอง..
global gdp 2020 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
วิกฤติ เลบานอน ประเทศที่ GDP ต่อหัว ลดลง 36% ในปีเดียว /โดย ลงทุนแมน
“วิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับเลบานอน นับเป็นหนึ่งในวิกฤติเศรษฐกิจ ที่รุนแรงที่สุดในรอบกว่า 170 ปี”
ธนาคารโลกได้ให้คำจำกัดความกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจของเลบานอนในปี 2020
ปี 2019 ชาวเลบานอนมี GDP ต่อหัว อยู่ที่ 7,584 ดอลลาร์สหรัฐ
ใกล้เคียงกับ GDP ต่อหัวของชาวไทย ที่ 7,817 ดอลลาร์สหรัฐ
ในปี 2020 ขณะที่เศรษฐกิจของหลายประเทศทั่วโลกล้วนเผชิญการหดตัวจากวิกฤติโควิด 19
GDP ต่อหัวของไทย ลดลงเหลือ 7,189 ดอลลาร์สหรัฐ
แต่ GDP ต่อหัวของชาวเลบานอน ลดลงเหลือเพียง 4,891 ดอลลาร์สหรัฐ
คิดเป็นอัตราการลดลงถึง 36% ภายในปีเดียว
เกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจของประเทศเลบานอน ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
หลายคนคงยังจดจำภาพเหตุการณ์ระเบิดครั้งใหญ่ 2 ระลอกที่ท่าเรือกรุงเบรุต ในวันที่ 4 สิงหาคม 2020 ได้
ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้สร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับกรุงเบรุต ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของเลบานอน
และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศแห่งนี้ได้รับผลกระทบอย่างหนัก
แต่นอกจากเหตุการณ์ครั้งนั้นแล้ว เลบานอนก็ยังมีอีกหลายปัญหาที่ยืดเยื้อและเป็นชนวนสำคัญของความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ
ครั้งหนึ่ง กรุงเบรุต เมืองหลวงของเลบานอน เคยได้รับฉายาว่าเป็น “ปารีสแห่งตะวันออกกลาง”
ด้วยความที่เลบานอนเคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส และกรุงเบรุตถูกตั้งให้เป็นศูนย์กลางการค้าขายมาตั้งแต่ยุคอาณานิคม ความรุ่งเรืองทำให้เมืองแห่งนี้เต็มไปด้วยอาคารสวยงามสไตล์ฝรั่งเศสมากมาย
ด้วยทำเลของประเทศที่ตั้งอยู่ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นักธุรกิจชาวเลบานอนจึงเป็นผู้เชื่อมโยงการค้าระหว่างประเทศในแอฟริกา และกลุ่มประเทศอาหรับ โดยเฉพาะการค้าอัญมณี
เลบานอนไม่มีภาษีนำเข้าสำหรับสินแร่โลหะ และอัญมณี ทำให้สามารถนำเข้าแร่มีค่าจากประเทศในแอฟริกาได้ในราคาถูก
บวกกับช่างฝีมือชาวเลบานอนที่เก่ง และมีค่าแรงถูกกว่าช่างฝีมือในภูมิภาคยุโรปเกือบครึ่งหนึ่ง ทำให้กรุงเบรุตขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในศูนย์กลางค้าอัญมณีที่สำคัญ ยังรวมถึงการเป็นศูนย์กลางการเงินที่สำคัญแห่งหนึ่งของตะวันออกกลางอีกด้วย
อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 ของเลบานอน คิดเป็นมูลค่ากว่า 37,000 ล้านบาท
ในปี 2019 และคิดเป็นสัดส่วน 6% ของการส่งออกสินค้าและบริการทั้งหมดของเลบานอน
บริษัท Tabbah บริษัทเครื่องประดับสัญชาติเลบานอน ก่อตั้งขึ้นในกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน ในปี 1862 เป็นผู้นำในการออกแบบเครื่องประดับ ที่มีลูกค้าอยู่ทั่วทุกมุมโลก
การค้าขายอัญมณีที่คึกคัก ทำให้กรุงเบรุต ก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางการเงินที่สำคัญแห่งหนึ่งของตะวันออกกลางอีกด้วย ภาคการเงินมีสัดส่วนถึง 7% ของการส่งออกสินค้าและบริการของประเทศ
นอกจากนี้ เลบานอนยังเป็นประเทศอุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของตะวันออกกลาง
ถึงแม้จะมีพื้นที่เพียง 10,452 ตารางกิโลเมตร ใกล้เคียงกับจังหวัดขอนแก่น แต่ก็สามารถส่งออกพืชผลได้มากมาย
โดยเฉพาะพืชผลที่เติบโตในภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน ทั้งองุ่น มะกอก ผลไม้ตระกูลส้ม และถั่ว รวมไปถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปอย่างไวน์ และน้ำมันมะกอก
นอกจากผลผลิตทางการเกษตร การค้าอัญมณี และภาคการเงินแล้ว ด้วยความที่ทำเลที่ตั้งของเลบานอน คือที่ตั้งของอาณาจักรต่าง ๆ ตั้งแต่ยุคโบราณ เลบานอนจึงมีโบราณสถานในยุคสมัยต่าง ๆ มากมาย ทั้งโรงละครสมัยโรมัน โบสถ์คริสต์ มัสยิดสมัยออตโตมัน
ทั้งที่เป็นประเทศเล็ก ๆ แต่เลบานอนมีมรดกโลกทางวัฒนธรรมมากถึง 5 แห่ง
การท่องเที่ยวจึงเป็นภาคส่วนเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุด การท่องเที่ยวสร้างรายได้กว่า 330,000 ล้านบาท
คิดเป็นสัดส่วนถึง 61% ของการส่งออกสินค้าและบริการทั้งหมดของเลบานอน
จากข้อมูลที่กล่าวมา ดูเหมือนว่า เลบานอนจะเป็นประเทศที่มีภาคเศรษฐกิจที่หลากหลาย
ซึ่งจาก GDP ต่อหัวของชาวเลบานอน ในปี 2019 อยู่ที่ 7,584 ดอลลาร์สหรัฐ ก็ถือว่าดีระดับหนึ่งในภูมิภาคตะวันออกกลาง ทั้ง ๆ ที่เลบานอนไม่ได้มีทรัพยากร โดยเฉพาะ “น้ำมัน” เหมือนประเทศอื่น ๆ ในกลุ่มอาหรับ
แล้วอะไรที่ซ่อนอยู่ในเศรษฐกิจที่ดูเหมือนจะหลากหลายและมั่นคง ?
ประการแรก ความขัดแย้งของประชากรและรัฐบาลที่คอร์รัปชัน
ประชากร 6.8 ล้านคนของเลบานอน เป็นชาวมุสลิม 65% และชาวคริสต์ 35%
ความแตกต่างทางศาสนานี้ ทำให้รัฐสภาของเลบานอนประกอบไปด้วยสมาชิกที่เลือกตั้งมาจากกลุ่มศาสนา ซึ่งมักเกิดปัญหาขัดแย้งกันอยู่บ่อยครั้ง
ครั้งรุนแรงที่สุดก็ลุกลามจนกลายเป็นสงครามกลางเมืองในช่วงปี 1975-1990 ที่สร้างความเสียหายให้กับกรุงเบรุตอย่างหนัก
รัฐบาลของเลบานอนแต่ละสมัยจึงต้องพยายามสมานฉันท์จากผู้คนทั้ง 2 กลุ่ม แต่อย่างไรก็ตามรัฐบาลก็เกิดปัญหาการคอร์รัปชันอย่างหนัก ซึ่งเลบานอนถูกจัดเป็นประเทศที่มีการคอร์รัปชันมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก จากดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชัน ปี 2020 เลบานอนอยู่ในอันดับที่ 149 จาก 179 ประเทศ
ประการที่ 2 การพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวมากเกินไป
เลบานอนเป็นประเทศเล็ก ๆ การท่องเที่ยวจึงเป็นภาคส่วนที่สำคัญมากต่อเศรษฐกิจ
ในปี 2019 การท่องเที่ยวคิดเป็นสัดส่วนถึง 61% ของการส่งออกสินค้าและบริการของประเทศ
ซึ่งนับตั้งแต่ช่วงที่เกิดสงครามกลางเมืองในซีเรีย ประเทศเพื่อนบ้านทางตอนเหนือของเลบานอน ก็ส่งผลกระทบทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนเลบานอนลดลงเรื่อย ๆ เมื่อการท่องเที่ยวซบเซา การค้าขาย เศรษฐกิจภาพรวมก็ซบเซาตามไปด้วย
รัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นการเพิ่มรายจ่ายอย่างมหาศาล
เมื่อรวมกับการต้องรองรับผู้อพยพชาวซีเรียกว่า 1 ล้านคน ทำให้หนี้สาธารณะของเลบานอนพุ่งสูงถึง 155% ของ GDP ในปี 2019
รัฐบาลที่เต็มไปด้วยการคอร์รัปชัน ล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
จึงต้องหารายได้เพิ่มด้วยการพยายามขึ้นภาษี ทั้งภาษีบุหรี่ ภาษีน้ำมัน และภาษีสำหรับการใช้โทรศัพท์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ตจาก Social Media เช่น WhatsApp, Facebook และ Messenger
เรื่องนี้สร้างความไม่พอใจอย่างมากให้กับประชาชน จนนำมาสู่การประท้วงอย่างรุนแรงในปี 2019 ผลที่ได้ก็สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ จน GDP ของเลบานอนในปี 2019 ติดลบกว่า 5.6%
พอมาถึงปี 2020 เศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่แล้วก็ถูกซ้ำเติมด้วยการระบาดของโควิด 19 ที่ทำให้การเดินทางท่องเที่ยวหยุดชะงัก และซ้ำร้ายด้วยการระเบิดครั้งใหญ่ ที่ท่าเรือในกรุงเบรุต ซึ่งความเสียหายครั้งนี้ถูกประเมินว่าอาจสูงกว่า 500,000 ล้านบาท
ทำให้ปี 2020 GDP ของเลบานอน ติดลบถึง 20.3%
ประการที่ 3 สกุลเงินปอนด์เลบานอน
นับตั้งแต่ปี 1997 รัฐบาลเลบานอนได้กำหนดอัตราแลกเปลี่ยนคงที่
ค่าเงินถูกตรึงไว้ที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐ = 1,500 ปอนด์เลบานอน
การที่ค่าเงินถูกตรึงให้คงที่เป็นระยะเวลานาน ทำให้เงินปอนด์เลบานอน มีค่าสูงกว่าความเป็นจริง
ส่งผลให้สินค้านำเข้ามีราคาถูกกว่าความเป็นจริง
เลบานอนเป็นประเทศที่เน้นการส่งออกภาคบริการ แต่นำเข้าสินค้าในปริมาณมาก เนื่องจากไม่มีทรัพยากร และภาคอุตสาหกรรมการผลิตที่แข็งแกร่ง
การนำเข้าสินค้า โดยเฉพาะน้ำมัน ยารักษาโรค รถยนต์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ทำให้เลบานอนขาดดุลการค้าต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2004
ธนาคารกลางพยายามควบคุมค่าเงินปอนด์เลบานอนให้คงที่ ทำให้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศลดลงอย่างหนัก ประกอบกับเงินค่อย ๆ ไหลออกนอกประเทศ ถึงขนาดที่ทำให้ธนาคารกลางต้องจำกัดการแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศเพื่อสกัดเงินไหลออก
ในปี 2020 เมื่อเกิดวิกฤติที่ทำให้ภาคการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบ ค่าเงินปอนด์เลบานอนก็ยิ่งลดลงอย่างมาก โดยเงินปอนด์เลบานอนในตลาดมืด มีมูลค่าน้อยกว่ามูลค่า ณ อัตราแลกเปลี่ยนทางการถึง 33%
การขาดแคลนเงินตราต่างประเทศทำให้การนำเข้าสินค้าเกิดปัญหา ชาวเลบานอนขาดแคลน
ยารักษาโรค เครื่องมือแพทย์ น้ำมัน แม้แต่รัฐวิสาหกิจที่ควบคุมการผลิตไฟฟ้า ยังไม่มีเงินเพียงพอที่จะซื้อเชื้อเพลิงมาผลิตไฟฟ้า ทำให้ประชาชนต้องประสบปัญหาไฟดับรายวัน
เมื่อเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบหนัก รวมกับค่าเงินปอนด์เลบานอนที่อ่อนค่าลงมาก
ทำให้ GDP ต่อหัวของเลบานอน ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ลดลงมาเกือบ 36%
ภายในระยะเวลาแค่ปีเดียว
ท่ามกลางความวุ่นวายจากการระเบิดครั้งใหญ่ รวมถึงปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง และการระบาดของโควิด 19 ที่มีต่อเนื่องมาถึงปี 2021
รู้หรือไม่ว่า ระหว่างนั้นเลบานอนไม่มีนายกรัฐมนตรี เนื่องจากรัฐบาลชุดเก่าลาออกเพื่อรับผิดชอบจากเหตุการณ์ระเบิดในกรุงเบรุต ความขัดแย้งทางการเมืองที่ยืดเยื้อทำให้ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้เสียที และเพิ่งมีนายกรัฐมนตรี ไปเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2021 นี้เอง
ความล้มเหลวและความสิ้นหวัง ผลักดันให้ชาวเลบานอนนับแสนคน
อพยพออกไปอยู่ต่างประเทศ ตลอดปี 2020
ทั้งประเทศร่ำรวยใกล้เคียงอย่างไซปรัส อิสราเอล และประเทศแถบอ่าวเปอร์เซีย
หรือประเทศห่างไกลที่มีชุมชนชาวเลบานอนอยู่ อย่างบราซิลและฝรั่งเศส
องค์การสหประชาชาติคาดว่า ในปี 2021 จะมีผู้อพยพออกจากเลบานอนเพิ่มขึ้นจากปี 2020 ถึง 32%
ใครจะไปคาดคิดว่าครั้งหนึ่ง ประเทศที่เคยมีเศรษฐกิจที่หลากหลาย มั่นคง และเป็นศูนย์กลางการเงินของภูมิภาค มีเมืองหลวงที่สวยงาม เป็น “ปารีสแห่งตะวันออกกลาง” จะเดินทางมาถึงจุดนี้ได้..
ธนาคารโลกได้คาดการณ์ว่า GDP ปี 2021 ของเลบานอน จะติดลบอย่างน้อย 6%
ดูเหมือนว่าวิกฤติของเลบานอนครั้งนี้จะยังไม่สิ้นสุดลง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://data.worldbank.org/indicator/NY.GDP.PCAP.CD?locations=TH-LB
-https://www.worldbank.org/en/news/press-release/2021/05/01/lebanon-sinking-into-one-of-the-most-severe-global-crises-episodes
-https://www.arabianbusiness.com/banking-finance/453652-reforms-urged-as-lebanons-economy-set-to-shrink-to-2002-levels
-https://atlas.cid.harvard.edu/explore?country=124&product=undefined&year=2019&productClass=HS&target=Product&partner=undefined&startYear=undefined
-https://www.focus-economics.com/country-indicator/lebanon/trade-balance
-https://www.macrotrends.net/countries/LBN/lebanon/net-migration
global gdp 2020 在 クリスの部屋 Youtube 的精選貼文
皆さん、こんにちは! クリスです。
Follow Your Heart! 本当に「大好き」で「心からやりたいこと」を仕事にできる時代です。みなさん自由に幸せに、格好良く生きていってください。自分の心を信じて、ワクワクすることを日常に取り入れていくことで人生は少しずつ変わっていきます。
楽しいと感じることを、もう一度夢を持って、自分がどれくらい大切な存在なのかを忘れないでくださいね。
★7日間無料キャンペーン中:「人生を良くする知識」を毎月新しく学べるマンスリー・メンバーシップ FLIGHT PROGRAM:https://www.chrismonsen.com/flight-program
★「大好き」を「仕事」にするための6週間オンラインコース THE VISION PROGRAM:https://www.chrismonsen.com/vision-program
★クリスの新刊が2020年11月24日に発売になりました!「生き方は、選べる。」絶賛発売中です🤠Amazonのリンクはこちら:https://www.amazon.jp/dp/4866801085/
★Instagramもよかったらフォローしてね!
https://instagram.com/christian_monsen/
--
★紹介書籍
FACTFULNESS 10の思い込みを乗り越え、データを基に世界を正しく見る習慣
https://www.amazon.co.jp/dp/4822289605
12 Rules for Life: An Antidote to Chaos (英語)
https://www.amazon.co.jp/12-Rules-Life-Antidote-Chaos/dp/0345816021
★参考データ
0:00 FACTFULNESS 10の思い込みを乗り越え、データを基に世界を正しく見る習慣
https://www.amazon.co.jp/dp/4822289605
2:57 アフリカの平均寿命が過去30年で大きく変わり2015年の平均寿命は60歳になった
https://is.gd/7P1rvz
3:19 アフリカの乳幼児死亡率は1952年のヨーロッパと同じ
https://www.youtube.com/watch?v=hQiHxrY5uEw
3:31 世界的に低体重の人よりも肥満の人が多くなっている
https://www.bbc.com/news/health-35933691
https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/obesity-and-overweight
4:30 国連の「2030アジェンダ」
https://www.mofa.go.jp/mofaj/files/000101402.pdf
4:55 目標1:貧困をなくそう
https://www.un.org/sustainabledevelopment/poverty/
5:53 極度の貧困が2000年-2012年の間に50%減少している
https://www.worldbank.org/ja/news/feature/2014/01/08/open-data-poverty
7:03 中流階級の人と上流階級の人の割合は極度の貧困より増え続けている
https://www.brookings.edu/blog/future-development/2018/09/27/a-global-tipping-point-half-the-world-is-now-middle-class-or-wealthier/
9:05 GDPが年間約5000ドルになると、人々は環境問題に関心を持ち始める
https://www.gq-magazine.co.uk/article/jordan-peterson-interview-2018
10:23 世界で急速に経済が成長している国
https://www.focus-economics.com/blog/fastest-growing-economies-in-the-world
11:20 世界は2045年までに結核を根絶することができると述べた
https://medicalxpress.com/news/2019-03-tuberculosis-eradicated-experts.html#:~:text=The%20world%20can%20eradicate%20tuberculosis,team%20of%20experts%20said%20Wednesday.
12:13 中国の人口は2031年にピークに達し、インドの人口は2059年まで増加し、17億人に達すると予想されている
https://www.dw.com/en/global-population-decline-will-hit-china-hard/a-50326522#:~:text=China's%20population%20is%20expected%20to,it%20will%20reach%201.7%20billion.
12:42 中国のエンジニアの学校を卒業する人がアメリカの全てのエンジニアより多い
https://www.weforum.org/agenda/2017/04/higher-education-in-china-has-boomed-in-the-last-decade
13:44 4分の1の医療施設が基本的な水道サービスを欠いている
https://www.un.org/sustainabledevelopment/water-and-sanitation/
global gdp 2020 在 While global GDP is projected to rise by 4.2% in 2021, the ... 的推薦與評價
While global GDP is projected to rise by 4.2% in 2021, the recovery will be ... Dec 8, 2020 ... sectors and could lead to lasting changes in the world ... <看更多>
global gdp 2020 在 World Economies : Nominal GDP (1960 - 2020) - YouTube 的推薦與評價
GDP is typically measured as the monetary value of goods and services produced( gdp 2020 ).The world economy or global economy is the eco ... ... <看更多>