ทำไม? อิสราเอล ถึงได้ฉายาว่า “พ่อค้าเพชรของโลก” /โดย ลงทุนแมน
อินเดีย, สหรัฐอเมริกา, ฮ่องกง, เบลเยียม และอิสราเอล
ทั้ง 5 ประเทศที่ว่ามา คือประเทศที่ส่งออกเพชรมากที่สุดในโลก
หลายคนอาจจะไม่แปลกใจกับ อินเดีย สหรัฐอเมริกา เท่าไรนัก
เพราะอินเดียและสหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมาก และมีทรัพยากรค่อนข้างสมบูรณ์
ส่วนเบลเยียมก็ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหลวงแห่งการค้าเพชรมาแต่ไหนแต่ไร
สำหรับฮ่องกงทุกคนรู้ว่าเป็นตัวแทนการซื้อขายของประเทศจีน และเป็นเมืองท่าที่สำคัญ
แล้ว “อิสราเอล” ประเทศเล็กๆ ที่ไม่มีแม้แต่เหมืองขุดเพชร
แต่ทำไม ประเทศนี้ถึงสามารถส่งออกเพชรได้มากเป็นอันดับที่ 5 ของโลกได้?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปในยุคกลาง หรือในช่วงศตวรรษที่ 5
ซึ่งตรงกับช่วงที่ชาวยิวอยู่กระจัดกระจายไปทั่วยุโรป
ในช่วงนั้นแต่ละอาณาจักรได้จำกัดการประกอบธุรกิจของชาวยิวอย่างชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็นการห้ามเป็นเกษตรกรหรือ พนักงานของรัฐ
ทำให้มีแค่ธุรกิจการค้าขายและการเงินเท่านั้น ที่ชาวยิวจะสามารถประกอบอาชีพได้
อีกทั้งยังมีบางประเทศที่จำกัดสิทธิ์การครอบครองทรัพย์สินของชาวยิว
อย่างเช่น ที่ดิน หรือพื้นที่การเกษตร
ด้วยความที่ชาวยิวมีความฉลาดในด้านการค้าขายและการเงิน
จึงทำให้ชาวยิวมีความมั่งคั่งมากกว่า ชนชาติอื่นๆ
แต่ความมั่งคั่งนี้เองที่เป็นเหตุให้ชาวยิวเป็นที่เพ่งเล็ง ถูกขับไล่ และถูกปล้นสะดมอยู่บ่อยครั้ง
อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้น เพชร ถือเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ชนิดใหม่
ที่ไม่ได้ถูกผู้ปกครองในประเทศต่างๆ จับตามองมากนัก
ซึ่งทำให้ชาวยิวยังไม่ได้ถูกจำกัดสิทธิ์การครอบครองเพชร
ชาวยิวหลายคน จึงหันมาจับธุรกิจที่เกี่ยวกับการทำเพชรเป็นอาชีพ
ไม่ว่าจะเป็นการผลิต, การเจียระไน และการค้าเพชร
และด้วยความคุ้นเคยกับเพชรเป็นเวลานาน
จึงทำให้ชาวยิวมีความชำนาญในหลายๆ เรื่องที่เกี่ยวกับอัญมณีล้ำค่าชนิดนี้
แม้กระทั่งตลาดค้าเพชรของเบลเยียมที่เมือง Antwerp
ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นศูนย์กลางการค้าเพชรของโลก
ก็มีชาวยิวย้ายมาตั้งรกราก และนำเอาองค์ความรู้เกี่ยวกับเพชรมาเผยแพร่ที่นี่ตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 16
เวลาต่อมาชาวยิวทั่วยุโรปเริ่มทยอยอพยพกลับมายังดินแดนปาเลสไตน์
โดยมีขบวนการไซออนิสต์ ซึ่งเป็นขบวนการในการสร้างรัฐในดินแดนปาเลสไตน์
จนในที่สุดขบวนการดังกล่าวประสบความสำเร็จในการสถาปนารัฐอิสราเอล ในปี 1948
ซึ่งก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ ประเทศอิสราเอล นั่นเอง
และแน่นอนว่า ชาวยิวที่อพยพมา ณ ดินแดนอิสราเอล ก็ไม่ได้มาตัวเปล่า
เพราะพวกเขาได้นำพาเอาองค์ความรู้เกี่ยวกับเรื่อง เพชร ติดไม้ติดมือมาด้วย
และได้เริ่มก่อตั้งโรงงานเพชรในเมือง Petah Tikva
และในช่วงนั้น ก็ตรงกับช่วงที่นาซีเยอรมัน บุกเบลเยียม และเนเธอร์แลนด์ ที่เป็นแหล่งอุตสาหกรรมเพชรที่สำคัญของยุโรป
ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำให้อุตสาหกรรมเพชรในสองประเทศนี้ ได้รับผลกระทบตามไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
พอเรื่องเป็นแบบนี้ คุณ Oved Ben-Ami นักการเมืองและนักธุรกิจชาวยิว ก็มองเห็นโอกาสตรงนี้
และได้ไปชักชวนบริษัทเพชรครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง De Beers
ที่ก่อนหน้านี้เน้นส่งออกเพชรดิบไปทำการเจียระไนต่อที่เบลเยียมและเนเธอร์แลนด์เป็นหลัก
ให้ขนส่งเพชรดิบที่ยังไม่ได้เจียระไนมายังอิสราเอลแทน
ทำให้หลังจากนั้นมา อิสราเอลจึงได้นำเข้าเพชรดิบจากบริษัท De Beers เพื่อมาเจียระไนต่อมากขึ้น
ส่งผลให้มีการเปิดโรงงานผลิตเพชร และโรงงานเจียระไนเพชรเพิ่มขึ้นอีกหลายแห่ง ทั้งในเมือง Tel Aviv, Petah Tikva และ Netanya
ทั้งหมดนี้ทำให้อุตสาหกรรมเพชรในเมืองเหล่านี้เติบโตมากขึ้น
และมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นมามากมายในอุตสาหกรรมเพชรตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
และด้วยความเชี่ยวชาญในเรื่องธุรกิจเพชรมาอย่างยาวนานของชาวยิว
บวกกับความพร้อมในการผลิตเพชรของโรงงานในอิสราเอล
ส่งผลให้ประเทศเล็กๆ แห่งนี้ สามารถส่งออกเพชรได้มากเป็นอันดับต้นๆ ของโลกอย่างในทุกวันนี้
โดยในปี 2019 อิสราเอลสามารถส่งออกเพชรเป็นมูลค่ากว่า 300,000 ล้านบาท
คิดเป็น 10.5% ของการส่งออกเพชรของทั่วทั้งโลก
ซึ่งมูลค่าในระดับนี้ ทำให้อิสราเอล เป็นประเทศที่ส่งออกเพชรมากที่สุดเป็นอันดับที่ 5 ของโลก
ที่สำคัญคือ เมือง Ramat Gan ที่ตั้งอยู่ในนคร Tel Aviv มี “Diamond Exchange District” ที่เป็นย่านการค้าและที่อยู่อาศัย โดยมีพื้นที่ใช้สอยรวม 1.1 ล้านตารางเมตร
ซึ่งความน่าสนใจของย่านนี้คือ เป็นศูนย์กลางการค้าเพชรครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดย่านหนึ่งของโลก
และเป็นศูนย์รวมของการผลิตเพชร, เจียระไนเพชร, วิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับเพชร และซื้อขายเพชร
ทั้งหมดนี้ ก็คือเหตุผลที่ทำให้ประเทศเล็กๆ แห่งนี้
สามารถก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้นำในวงการค้าเพชรของโลก นั่นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.ditp.go.th/contents_attach/84971/84971.pdf
-https://en.israelidiamond.co.il/history-israeli-diamond-industry/#:~:text=The%20idea%20of%20building%20a,effort%20to%20assist%20the%20community.
-https://www.middiamonds.com/the-diamond-blog/the-story-of-israels-diamond-industry-is-that-of-the-country/
-https://www.israelcu.com/article/what-is-the-relationship-between-diamond-and-jewish-people
-https://www.moti-israeli-diamonds.com/blog/rule-diamonds-jewish-faith-and-culture
-https://en.israelidiamond.co.il/wikidiamond/diamond-industry-history/history-belgian-diamond-industry/
https://en.israelidiamond.co.il/diamond-articles/world/role-diamonds-jewish-faith/
-https://www.en.isde.co.il/
-https://trendeconomy.com/data/h2/Israel/TOTAL
jewish country 在 李怡 Facebook 的最佳解答
When Americans are determined (Lee Yee)
There are many things in the world that ordinary people find impossible to accomplish, yet if some put their heart into it, things may not turn out to be all that impossible.
I saw an essay on a mainland site two months ago that was titled “The World’s Most Powerful Parents, Two Against a Country”. It was quickly deleted, but relevant information could be found on overseas sites.
The parents here were the parents of Otto Frederick Warmbier, a college student who was imprisoned and tortured to death by North Korea more than four years ago. Otto went to North Korea on a short trip in December 2015. As he was leaving, he was accused of attempting to steal a political propaganda poster from a hotel in Pyongyang, and was sentenced to 15 years of hard labor. On June 13, 2017, North Korea suddenly released him on “humanitarian grounds”, he turned to the US in a vegetative coma. A week later, he died.
Otto’s father, Fred Warmbier, described the state of his son on his return to the US, and was determined that Otto was severely injured from being tortured in North Korea. His mother, Cindy, said that North Korea only released him because “they did not want him to die on their land”.
Otto’s parents filed a lawsuit in the US courts and demanded compensation from North Korea. The family ran a large-scale metal processing company that was on Forbes’ list in 2015. They were not short of money, and only wanted a revenge with the ask for compensation. In the US legal system, suing a country will be blocked by sovereign immunity, except when the country is classified as a terrorist country by the US. At that time, North Korea was not on the list. So the couple went onto media platforms, again and again, to speak about their son’s death, and the huge blow it was to their family. In the US where family values are cherished, they received great sympathy from the civilians, to the Congress, and to the White House. In November 2017, Trump added North Korea to the list of terrorist countries. In April 2018, the court accepted the lawsuit. On December 24 of the same year, the US Federal Court ruled that North Korea owed Otto Warmbier’s parents US$510.13 million.
This was great, but did it do anything? Would a rogue nation like North Korea acknowledge it? Many felt that this is an unenforceable ruling that was no different from a sheet of scratch paper.
However, the Warmbiers launched an operation to trace North Korea’s global assets. The media called it “the crusade of the Warmbiers”. The first installment of the compensation arrived soon enough. In April 2018, a cargo ship that belonged to North Korea was detained in Indonesia for violating the UN sanctions on the transportation of coal. In the year after, M/V Wise Honest, the second-largest single-hull bulk carrier registered in North Korea, was forfeited in the US, sold in September 2019 on orders of a US federal judge to compensate the Warmbiers.
On May 11, 2020, the US Federal Court ordered all relevant US banks to provide the parents with detailed information, including North Korea’s account number and holder’s address. While it is unclear the total amount of North Korea’s hidden overseas assets, what was discovered was that within the US alone was US$74.36 million.
The couple started a bank investigation into the deposits of senior North Korean officials in the US, and actually found three North Korean funds totaling US$23.89 million from three banks. The money will no doubt go to the Warmbiers.
Though a closed country, the Kim regime still has large deposits overseas. After all, North Korea still needs certain necessities imported from overseas.
It is highly doubtful that North Korea’s overseas assets would exceed US$510.13 million, but the couple persists and would not give up. Three years in, their determination for revenge has not diminished. They even make use of the global Jewish network to search for secret North Korean funds hidden around the world. “Our goal is to make North Korea pay for our son’s death,” the couple said.
One couple to bring this much headache to the whole country of North Korea. This is bigger than money, this is the dissemination of bad reputation.
The moral of this story is that if Americans are determined to pursue their trace for accountability, they would give it all and never surrender. If a country is listed as a terrorist country or criminal group, there will be no sovereign immunity for the country to be prosecuted; if any person is added to the US sanction list, tough luck to you. Some things that may seem unlikely, as long as one is determined, success may not be out of the question. Although justice is often no match for absolute powers, justice must be upheld, just like the Warmbiers.
jewish country 在 Sam Tsang 曾思瀚 Facebook 的最讚貼文
A footnote to this article: communist China did NOT take in Jewish refugees in WWII. In fact, the communist China was busy destroying the work of the real China army in preparation to take over the country once the weakened Chinese army was finished with the work. It was the national Chinese (now, Taiwan) who took in the Jews. However you feel about Taiwan having a link with nationalist Chinese, this is part of history. The real point is, the commies now claim credit for the stuff they didn't do. Things they're good at includes now setting up a fascist socialist state that has concentration camps for Muslims and other religious minorities. A fascist comparing himself to the Holocaust victim is a supreme insult to Jews of all shades and national affiliations. https://www.timesofisrael.com/china-apologizes-after-envoy-compares-israels-travel-restrictions-to-holocaust/
jewish country 在 Israel approves law to become a Jewish nation-state - YouTube 的推薦與評價
... <看更多>