เราจะเลือกน้ำหนักสำหรับการยกเวทยังไงดี ?
เกดเคยอ่านหนังสือของ Lou Schuler ชื่อ “ The new rules of lifting for women “ เกดชอบมาก เค้าบอกแบบนี้ค่ะ
“ถ้าเป็นผู้ชายถาม ให้ลดไป 25% ของน้ำหนักที่ตัวเองคิดว่าจะยกได้ แต่ถ้าเป็นผู้หญิงถามใจจริงอยากจะตอบตรงกันข้ามกับของผู้ชาย แต่ถ้าเอาง่าย ๆ คือ ผู้หญิงจะยกได้หนักกว่าที่ตัวเองคิดว่าจะยกได้เสมอ แหม..แต่ตอบแบบนั้นมันก็ดูเหมือนคนพูดโดยไม่ผ่านรอยหยักของสมอง “
กรี๊ดมาก! ซึ่งมันคือเรื่องงจริง! ยังไม่จบค่ะ!
เค้าเลยแนะนำว่า “ ให้เริ่มที่นำ้หนักเบาก่อน แล้วถ้าเรารู้สึกง่ายไป set ต่อไปก็ค่อย ๆ เพิ่ม และอย่าลืมว่า หากต้องการยกเวทเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ เราก็ควรที่จะรู้สึกว่าเราได้ “ยกเวท “ เอาความหนักที่พอดี ๆ ที่เราคิดว่าเราสามารถทำได้ 15 ที 3 set โดยที่ set สุดท้ายไม่ต้องถึงขนาดฟุบลงไปนอนกับพื้น!
หรือต่อให้ทำได้แค่ 10 ที ก็สั่นแล้ว ก็ไม่เป็นไร แค่คิดว่าเรารู้สึก challenge ก็พอ เพราะถ้าเราจะยกเวทเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ แต่เรากลับไม่รู้สึกเหมือนได้ยกเวท เหมือนยกเวททิพย์ (อันนี้เติมเองเพื่อให้เห็นภาพ) ฉะนั้นมันก็ไม่ใช่การออกกำลังกายที่ตรงตามเป้าหมาย หรือจุดประสงค์ของเรา “
จำชื่อไว้เลย Lou Schuler
อย่าเข้าใจว่าเกดบังคับให้ทุกคนยกหนักนะคะ ถ้าเป้าหมายคือ ฉันแค่ต้องการออกกำลังกายให้ได้ 150 นาทีต่อสัปดาห์ ทำไปเลยค่ะ อะไรก็ได้ที่ชอบ แค่ให้ hr คึกคักกว่าเดินไปอาบน้ำก็ได้
สุดท้ายถ้าอยากแข็งแรง อยากมีกล้ามเนื้อ อยากสุขภาพดีแบบองค์รวม (ที่ไม่ได้ดูแค่ตัวเลขบนเครื่องชั่งน้ำหนัก)
ออกกำลังกายครั้งหน้า ลองเลือกน้ำหนักที่ challenge ตัวเองดูนะคะ
แต่ถ้าใครสงสัยว่า อ้าวไมอะ? ชั้นจะวิ่ง จะเดินชัน ชั้นไม่ยกเวทอะ เธอจะทำไม? นังลูกเกด!!!!
ได้! ไม่ทำไม! เดี๋ยวโพสต์หน้าเจอกัน จะสาธยายว่าทำไมเราต้องยกเวทอีกหมื่นบรรทัดข่ะ!!
No need to make sense
LK:)
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
「make sense'' คือ」的推薦目錄:
make sense'' คือ 在 สมองไหล Facebook 的最佳貼文
ธุรกิจ กับ หุ้นส่วน เรียกได้ว่าเป็นของคู่กัน หุ้นส่วนนั้นถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ ลงเงินทุน ลงสมอง และ ลงแรง
.
เวลาเริ่มต้นธุรกิจบางคนอาจจะมีสมอง แต่ไม่มีเงินทุน หรือ บางคนอาจจะมีเงินทุนแต่ไม่สะดวกเรื่องแรง จึงทำให้หลายคนมักจะมองหาหุ้นส่วนมาเติมเต็มช่องว่างที่ขาดหายเพื่อให้การเริ่มต้นธุรกิจนั้นดำเนินต่อไปได้
.
แต่คำว่า “หุ้นส่วน” จะมีผลตามกฎหมายก็ต่อเมื่อมีการทำเอกสารทางกฎหมาย เช่น จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเท่านั้น ส่วนหุ้นที่ไม่ได้มีการทำเอกสารทางกฎหมายใดๆ ใช้เพียง “สัญญาใจ” เป็นข้อผูกมัด อันนี้เรียกว่า “หุ้นลม” ซึ่งหุ้นในลักษณะนี้เวลาเกิดปัญหาขึ้นมาเราจะไม่มีสิทธิ์ออกเสียงหรือฟ้องร้องใดๆ ได้เลย
.
คำถาม คือ ถ้ารู้อย่างนี้แล้วทำไมเวลาเริ่มต้นทำธุรกิจอะไร ยังมีคนตกลงเป็นหุ้นลมกันล่ะ ?
.
นั่นก็เพราะคนที่อยากเริ่มต้นธุรกิจในขณะที่ทำงานประจำส่วนใหญ่จะทำในลักษณะงานเสริมที่ไม่ใหญ่มาก (เช่น ขายของออนไลน์ ทำเพจ เปิดร้านชานม ร้านกาแฟเล็กๆ เป็นต้น) การจะไปจดทะเบียนนิติบุคคลในขณะที่ธุรกิจยังเป็นไอเดียที่ยังไม่ได้รับการทดลองจึงถือว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก แล้วก็ไม่รู้ว่าถ้าเสียเวลาจดทะเบียนไปธุรกิจที่ฝันไว้จะไปรอดได้สักกี่น้ำ
.
แต่พอไม่ได้จดทะเบียนที่มีผลตามกฎหมาย ปัญหาที่ตามมาส่วนใหญ่ ก็ คือ
.
1) ปากบอกว่าเป็นหุ้นส่วน แต่ไม่เคยโผล่หัวมาช่วยทำอะไรสักอย่าง สุดท้ายก็ไม่ได้เริ่มทำเสียที เพราะมัวแต่รอหุ้นส่วนพร้อมบ้าง รอมีเวลาว่างตรงกันบ้าง
.
2) ไม่ช่วยก็ไม่เป็นไร ทำคนเดียวไปก่อนก็ได้ แต่พออีกฝ่ายเห็นเราทำจนเติบโต และ มีรายได้เข้ามา คราวนี้แหละโผล่ออกมาทวงคำสัญญาทันที
.
3) ตอนเริ่มต้นช่วยเหลือกันอย่างดี (บอกว่าเป็นเพื่อนกันไม่อยากคิดเยอะ) แต่พอธุรกิจเริ่มไปได้ดี คราวนี้แบ่งผลประโยชน์กันไม่ลงตัว เพราะไม่มีอะไรวัดผลได้อย่างชัดเจนว่าใครทำมากทำน้อย คนที่ลงเงินก็อ้างว่าตัวเองมีสิทธิ์เพราะลงเงินมากกว่า ส่วนคนที่ลงสมองลงแรงก็อ้างสิทธิ์การเป็นผู้ก่อตั้ง
.
หากเจอข้อใดข้อหนึ่งใน 3 ข้อนี้ จุดจบส่วนใหญ่จะมีอยู่สามทาง คือ 1. ตกลงกันได้ 2. ธุรกิจล่ม และ 3. ธุรกิจยังดำเนินต่อไปได้โดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่ความสัมพันธ์นั้นขาดสะบั้น
.
ซึ่งมีแค่ส่วนน้อยมากๆ ที่จะจบลงแบบข้อแรก
.
หากใครไม่อยากมีจุดจบแบบสองข้อหลัง วิธีการที่ปลอดภัยที่สุดที่มนุษย์เงินเดือนจะทำธุรกิจให้อยู่รอดตลอดลอดฝั่งโดยไม่เสี่ยงที่จะเกิดปัญหาเรื่องหุ้นส่วนตามมา คือ
.
1) เริ่มคนเดียว
.
ปัญหาเวลาเราจะเริ่มต้นทำธุรกิจกับหุ้นส่วน คือ ด้วยความที่ทำงานประจำไปด้วย ซึ่งคนส่วนใหญ่ต้องตื่นไปทำงานตั้งแต่ 8 โมงเช้า กลับมาถึงบ้านก็เกือบ 1 ทุ่ม จึงทำให้เวลาที่เหลืออยู่สำหรับการทำธุรกิจคือ ช่วงหลังเลิกงาน กับ วันเสาร์-อาทิตย์ ยิ่งถ้าคุณมีหุ้นส่วนที่ทำงานประจำด้วย บอกเลยว่ายากมากๆ เพราะหุ้นส่วนบางคนพอเห็นว่าธุรกิจยังไม่มีรายได้ก็มักจะไม่ได้จริงจัง ซึ่งข้ออ้างส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นทำงานมาเหนื่อยทั้งวัน ไม่ไหวทำงานต่อ หรือ ไม่มีเวลา กลายเป็นว่าต่างคนต่างรอให้อีกฝ่ายว่างมาช่วยงาน สุดท้ายก็ไม่ได้เริ่มทำเสียที หรือ อีกแบบหนึ่งคือ นัดประชุม หาข้อมูล เสนอไอเดีย แล้วก็มโนไปว่าทำแบบนั้นไม่ดี ทำอย่างนี้คงไปไม่รอด ธุรกิจนี้คู่แข่งเยอะ ธุรกิจนั้นยากเกินไป สุดท้ายก็จบลงที่แยกย้ายกันไปทำงานประจำเหมือนเดิม
.
ถ้าใครที่เจอเหตุการณ์ลักษณะแบบนี้ บอกเลยว่าคุณมาผิดทางแล้ว
.
ฉะนั้น สิ่งที่ควรทำคือ ไม่ต้องรอหุ้นส่วน และหยุดมโนบนโต๊ะประชุมในห้องสี่เหลี่ยม แล้วเอาไอเดียไปทดลองทำการตลาด เพราะขั้นตอนนี้เป็นสิ่งที่เราสามารถทำคนเดียวได้ และเชื่อไหมว่าถ้าการทดลองตลาดของคุณได้ผล คุณเริ่มได้ฟีดแบคจากลูกค้า คุณจะค้นพบเลยว่า “ความจริงแล้วเราก็สามารถทำเองโดยไม่ต้องมีหุ้นส่วน”
.
2) มองหาหุ้นส่วน เมื่อต้องการขยายธุรกิจ
.
เมื่อคุณทำธุรกิจผ่านจุดเริ่มต้น และ สามารถทำรายได้ได้แล้ว จนค้นพบขีดจำกัดของตัวเองในการขยายธุรกิจ
.
กล่าวคือ เรามีเวลาจำกัดเพียง 24 ชั่วโมง และ เราทุกคนมีความสามารถจำกัดแค่ในด้านที่ตัวเองถนัด ยกตัวอย่างเช่น ตัวผมเองสามารถขายหนังสือได้สูงสุด 1,200 เล่ม/เดือน แต่ต้องแลกมากับการที่ผมต้องตอบแชทลูกค้าทั้งวันทั้งคืน และ ได้นอนวันละ 3 ชั่วโมง ซึ่งหากผมจะขยายธุรกิจให้มากกว่านี้ ผมคงไม่ต้องนอน หรือไม่ก็ย้ายไปนอนหยอดน้ำเกลือที่โรงพยาบาลแทน ซึ่งต่อให้ผมเอาเวลานอน 3 ชั่วโมงมาทำงาน มันขยายได้อีกแค่นิดเดียวเท่ากัน
.
หรือ เพื่อนผมคนหนึ่งที่เปิดร้านกาแฟ เขาก็ยืนทำกาแฟได้สูงสุด 10 ชั่วโมงต่อวัน หรือต่อให้จ้างบาริสต้ามาอีกสองคน มันก็ไม่สามารถรับลูกค้าเกินปริมาณที่ร้านรับได้ พูดง่ายๆ คือ มันถึงจุดอิ่มตัวที่เราจะสามารถขยายธุรกิจต่อไปเพียงคนเดียวแล้ว
.
ถ้ามาถึงจุดนี้ มันก็ได้เวลาอันสมควรแล้วที่เราจะต้องมองหาคนที่เหมาะสมจะเข้ามาเป็นหุ้นส่วนเพื่อช่วยในการขยายธุรกิจ
.
3) อำนาจต่อรองที่มากกว่า
.
หุ้นส่วนที่ดี คือ คนที่เก่งคนละด้านกัน แต่มีความเชื่อและเป้าหมายเดียวกัน ข้อดีของการมองหาหุ้นส่วนในเวลาที่ธุรกิจเรามีรากฐานมั่นคงแล้ว คือ เรามามีสิทธิ์เลือกว่าใครเหมาะสมกับเรา ทั้งด้านความเชื่อ ด้านทัศนคติ ด้านความสามารถ และเคมีที่ตรงกัน
.
เพราะถ้าเราทำมาถึงตรงนี้ได้ เราก็ย่อมรู้ดีว่าส่วนไหนเป็นช่องที่รอคนมาเติมเต็ม แล้วคนที่จะเข้ามานั้นควรเป็นคนแบบไหน ต่างจากตอนเริ่มต้นที่มองอะไรไม่ค่อยออก และคนที่จะเข้ามาเป็นหุ้นส่วนกับเราจะรับรู้โดยอัตโนมัติว่าคุณต้องการคนที่เข้ามาทำงานจริงจังไม่ใช่ทำเล่นๆ แบบช่วงเริ่มต้น
.
เช่น คนที่เปิดร้านกาแฟและเก่งในด้านการทำกาแฟ ก็ควรหาคนที่เก่งด้านการตลาด ด้านธุรกิจ มาช่วยเรื่องการขยายสาขา เพราะเขาจะมีความเชี่ยวชาญและคอนเนกชั่นในด้านนี้มากกว่า ซึ่งอาจจะทำให้ร้านกาแฟธรรมดาๆ สามารถไปขายบนทางออนไลน์ได้ สามารถคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จากเดิมขายแค่กาแฟ เป็นสร้างแบรนด์เมล็ดกาแฟขายส่ง หรือ เปิดคอร์สสอนบาริสต้าก็ได้ ซึ่งมันจะส่งผลให้ธุรกิจของคุณทำรายได้ได้หลายช่องทาง และ ขยายตัวได้มากขึ้นจากเดิมที่กำลังถึงจุดอิ่มตัว
.
ที่สำคัญคือ มันคุ้มค่า และ Make sense ที่จะจดทะเบียนนิติบุคคลเป็นหุ้นส่วนกันตามกฎหมายเป็นเรื่องเป็นราว เพราะมีธุรกิจที่จับต้องได้แล้ว แถมคุณยังมีอำนาจในตัดสินใจเรื่องการแบ่งสัดส่วนหุ้นมากกว่า มีสิทธ์ในการกำหนดข้อตกลงเงื่อนไขการทำงานมากกว่า เพราะคุณเป็นคนที่สร้างธุรกิจนี้ขึ้นมา ไม่เหมือนกับตอนเริ่มต้นที่ไม่มีอะไรเลยซึ่งคนส่วนใหญ่ก็จะตกลงแบ่งหุ้นลมเท่าๆ กัน ข้อตกลงก็ทำกันแบบยอมๆ กัน พูดอะไรกันไม่เคลีย ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไปไม่รอด อย่างคำพูดที่ว่า “หุ้นลม ได้ลม” นั่นแหละ
.
ธุรกิจยุคใหม่ หุ้นส่วนถือว่าเป็นตัวแปรสำคัญที่จะตัดสินว่าธุรกิจของเราจะเติบโตและสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้มากแค่ไหน สมัยก่อนคนอาจจะชอบทำธุรกิจคนเดียว เพราะกลัวว่าการมีหุ้นส่วนจะนำปัญหาตามมา ซึ่งมันบริหารได้อย่างคล่องตัวก็จริง แต่ก็อย่างที่ผมบอกไปในข้อสองว่าคนเรามีขีดจำกัด ถ้าเราทำตัวคนเดียว แต่คู่แข่งเขามีแต่คนที่เก่งๆ ในด้านที่หลากหลายมาช่วยกัน ถ้าเรายังฝืนทำอะไรคนเดียว เราอาจจะกลายเป็นธุรกิจที่ ถ้าไม่ตาย ก็เลี้ยงไม่โต เพราะทรัพยากรที่มีไม่สามารถสู้กับคนอื่นได้
.
ฉะนั้น หากเรารู้วิธีจัดการและจังหวะเวลาที่เหมาะสมในเรื่องหุ้นส่วน เราก็สามารถขยายขอบเขตธุรกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน
.
งานประจำสอนทำธุรกิจ
.
หนังสือที่ถ่ายทอดเทคนิคจากประสบการณ์จริงของเจ้าของเพจสมองไหลที่เริ่มต้นธุรกิจจากศูนย์ โดยทำเป็นงานเสริมควบคู่กับงานประจำ
.
แต่ในขณะเดียวกันก็นำความรู้จากงานประจำมาใช้เสริมสร้างธุรกิจจนเติบโตอย่างก้าวกระโดด จนรายได้แซงงานประจำ 6 เท่า ก่อนจะตัดสินใจลาออกหลังจากทำงานประจำไปได้เพียง 1 ปี
.
ใครอยากจะสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ
โดยใช้ต้นทุนจากงานประจำ สามารถนำวิธีของสมองไหลไปใช้ได้ง่ายๆ
.
เพียงสั่ง หนังสือ งานประจำสอนทำธุรกิจ
.
ราคา 305 บาท รวมส่ง
.
วิธีการสั่ง
.
1.กดลิงก์ https://m.me/432860907260347?ref=sale_7GBExd45
.
2.กด “สั่งซื้อ”
.
3.เลือก “จำนวน” และ กด “ยืนยันคำสั่งซื้อ”
.
จากนั้น ชำระเงิน ตามเลขบัญชีที่ให้ไว้ใน Inbox
make sense'' คือ 在 No Need to Make Sense Facebook 的最佳貼文
ขอเขียนถึงคนที่เกดรักมากที่สุดหน่อย เพราะวันนี้เป็นวันเกิดคุณแม่เกดเอง.....
วันนี้ขอเล่าความรู้สึกของลูกคนนึงที่ไม่อยากได้อะไรเลยนอกจากอยากให้แม่แข็งแรง!
แม่เกดอายุ 74 ขวบ มีเพื่อนมากมาย อยู่ในหมู่บ้าน ปัจจุบันมีแกงค์เต้นแอโรบิค แกงค์ปั่นจักรยาน แกงค์กิน sizzler และ ไก่ทอง lifestyle แม่น่าอิจฉามาก
แต่แม่ก็มีโรคประจำตัวพวกหัวใจ ความดัน ซึ่งก็ต้องคอยดูแลสุขภาพ และกินยา รวมถึงพบแพทย์ตามนัดตามปกติทั่วไป แม่ไม่มีภาระอะไร ไม่มีความเครียดอะไร นอกจาก เครียดเรื่องโควิด กลัวหลานไม่ได้กลับมาไทย กับเครียดที่เกดห้ามแม่กินเค็ม
เรื่องกินของแม่นี่... บางทีพวกลูกๆอย่างเราก็ต้องหลับตาข้างนึงนะ 55555
เข้าเรื่องละกัน คือมีวันนึง เกดเห็นป๊าคุณจุม ยืนออกกำลังกายนอกระเบียง ด้วยท่าที่ใครเห็นก็ต้องเกาหัวว่า “ท่านี้ทำไปแล้วได้อะไร” ก็ท่าแบบ เหวี่ยงแขนแรง ๆ วนแขนไป-กลับ แรงๆ คล้ายๆ การกระชาก จนเกดแอบกระซิบคุณจุมว่า “ป๊าไปเอาท่ามาจากไหน?”
ได้ความว่า...เอามาจากไลน์กลุ่ม!!!!!
อ้อโห! พีค!!
อันตรายนะ ถ้าถามเกดอะ การที่ผู้ใหญ่ในบ้านที่อายุเกิน 70 มาออกกำลังกายตามท่าที่ส่งต่อ ๆ กันมาในไลน์กลุ่มอะ
ตัวเองก็เลยกลัวแม่จะออกกำลังกายตามท่าที่ส่งต่อมาจากในไลน์แบบป๊าคุณจุม เกดก็เลยแกล้งถามแม่เล่น ๆ ดูว่า...
“ม้าไปออกกำลังกายที่ยิมมั้ย มีเทรนเนอร์สอนให้ ? ตอนนั้นเลี่ยงคำว่ายกเวท เพราะเคยเปิดวีดีโอตอนเกดยกเวทให้ดูแล้ว แม่บอกว่า “เดี๋ยวหลังหัก”
“ก็ได้นะ ที่ยิมมีคาราโอเกะมั้ย ? “ แม่ถาม
“มี! ถ้าอยากร้องเค้าก็มีนะ หนูว่า” (นี่ก็แชมป์ลวงแม่เหมือนกัน)
ภาพยิมในหัวแม่ คงเหมือนที่โยนโบว์ลิ่งอะไรแบบนั้นอะแบบมีเพลง มีอาหาร มีโต๊ะสังสรรค์
ก็ลวงแม่มาจนปีกว่าจะสองปีละ
ซึ่งถือว่าเกดโชคดีมากนะ ที่แม่ยอมมาออกกำลังกายเพราะอย่างที่รู้ ๆ กันอะนะ พ่อ-แม่ ไม่ค่อยจะยอมเชื่อลูกสักเท่าไหร่
เกดคิดมาตลอดว่าอยากให้แม่ deadlift ได้บ้างจัง เพราะเห็นฝรั่งผู้ใหญ่หลายคนเลยที่ฟิต ๆ เค้ายกเวท กันจริง ๆ จัง ๆ ทั้งนัน
จนวันนี้ ก็ไม่คิดว่าจะได้เห็นของจริงกับตา! อารมณ์น่าจะเหมือนบรรดาคุณแม่หรือคุณอาไปดูการแสดงของลูกหลานบนเวทีครั้งแรกละมั้ง...มันตื้นตัน อย่างบอกไม่ถูก
ตอนแรกแม่ deadlift 20กิโล เกดมองหน้าพี่แอร์ ที่เป็นเทรนเนอร์ของแม่ ก็รู้เลยว่าพี่แอร์ก็คงคิดเหมือนกัน...
เพิ่มม้า! เพิ่ม!!!!!!!!
แม่ทำหน้างง แบบ เพิ่มอะไระวะ?
ใส่เวทเพิ่มม้า เพิ่ม!!!!
กองเชียร์ขอเรียกน้ำหนักให้นักกีฬา
แม่ถามว่า ไหวเหรอ ? เลยบอกว่า แค่ 5โลเองม้า!!! เท่ากับมีไก่เพิ่มมาข้างละตัว!!!!!! เจอแม่ด่า บอกว่า
บ้าซิ! ไก่ข้างละตัวบ้าอะไร!
ถึงด่าแต่ก็ยกนะคะ!
จนในที่สุด ก็ได้เห็นภาพที่อยากเห็นมานาน!!
ข้างหน้าคือ ผู้หญิงอายุ 74 ที่ทำ deadlift ได้ถูกต้องที่สุดเท่าที่คนอายุ 74ปี ที่ไม่มีสกิลกีฬา และไม่เคยจับบาร์เบลเลยในชีวิต จะทำได้!!!
แม่ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่แม่ทำอยู่มันเท่มาก แบบเท่มาก ๆ จนน้ำตาแทบไหล!
ขอชื่นชมพี่แอร์ Suparas Suradechasakun เทรนเนอร์ ที่ fit d fitness สาขารัชดา พี่แอร์คือตรงเสปคแม่เกดทุกอย่าง คือ เป็นผู้หญิง เรียบร้อย มีความรู้ เทรน senior (ผู้สูงอายุ) ได้ดี เทรนสนุก ใจเย็น ที่สำคัญคือ สื่อสารให้คนสูงอายุทำ deadlift ได้นี่ถือว่าไม่ธรรมดา !
เพราะขนาดคุณจุมยังทำไม่ได้เลยนะคะ deadlift เนี่ย! จะ Romanian จะ deficit จะ deadlift ไหนๆ ก็ทำไม่ได้ค่ะ!
เผื่อใครในเพจกำลังมองหาเทรนเนอร์ผู้หญิงที่เทรนผู้ใหญ่ได้ ขอแนะนำพี่แอร์ ที่ fitd fitness สาขารัชดาเท่านั้น
เฮ้อ...เห็นแม่ทำ deadlift แล้วชื่นใจ
แฮปปี้เบิร์ดเดย์ นะม้า ขอให้แข็งแรง กล้ามเนื้อไม่หาย อยู่ deadlift , wall ball, lat pull down โชว์ให้หนูดูไปอีกหมื่น ๆ ปี
#ชื่นใจ #แม่ฉันรู้จักdeadliftแล้วจ้า
No need to make sense
Lk:)