ข่าวประชาสัมพันธ์..
รู้จักกระดุมเม็ดแรกของความสำเร็จ บนตลาดอีคอมเมิร์ซ
นี่คือช่วงเวลาที่เศรษฐกิจทั่วโลกต้องเผชิญวิกฤติโควิด 19 แต่ตลาด "อีคอมเมิร์ซ" กลับโตสวนกระแส รวมไปถึงการเติบโตของ “โซเชียลคอมเมิร์ซ” ที่วันนี้กำลังกลายเป็นธุรกิจกระแสหลักของคนไทย
และยังพบว่าตลาดอีคอมเมิร์ซและโซเชียลคอมเมิร์ซ จะยังเติบโตอีกมากจากปีที่ผ่านมาที่มีมูลค่าสูงถึง 270,000 ล้านบาท
ทั้งหมดนี้มีปัจจัยสำคัญจากวิกฤติโควิด 19 ที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คน ให้หันมาจับจ่ายซื้อสินค้ากันบนออนไลน์ ส่งผลให้แบรนด์สินค้า และ SMEs ต้องหันมาเปิดช่องทางขายทางออนไลน์เพิ่มขึ้น
โดยพบว่าช่องทางที่คนไทยนิยมซื้อสินค้าออนไลน์มี 3 ช่องทางคือ เว็บไซต์ของแบรนด์, โซเชียลคอมเมิร์ซ และอีมาร์เก็ตเพลซ
จาก “ทางเลือกสู่ทางรอด” เมื่ออีคอมเมิร์ซและโซเชียลคอมเมิร์ซเป็นความหวัง และทางรอด จึงทำให้ ผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่ กลาง เล็ก มองหาวิธีการที่จะช่วงชิง โอกาสสู่ทางรอดธุรกิจ ท่ามกลางวิกฤติที่ยังไม่มีจุดสิ้นสุดครั้งนี้
แต่ท่ามกลางโอกาสบนอีคอมเมิร์ซและโซเชียลคอมเมิร์ซ ยังพบ Pain Point หรือข้อจำกัดที่ยังแก้ไม่ตกของเหล่าผู้ประกอบการที่อาจจะต้องกุมขมับคิดกันหลายรอบก่อนจะเริ่มก้าวเท้าเข้าสู่การขายในโลกออนไลน์ ตั้งแต่ความรู้ความเข้าใจในการเริ่มต้นและทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ทีมงานที่จะมาดูแลการขายในออนไลน์ เงินทุนที่ต้องใช้เพื่อขยายช่องทางออนไลน์
วันนี้ ลงทุนแมน เลยขอชวนมาทำความรู้จักทางลัดสู่ “อีคอมเมิร์ซ” และ “โซเชียลคอมเมิร์ซ” ที่จะทำให้คุณติดกระดุมเม็ดแรกของเส้นทางความสำเร็จ ในการขายบนออนไลน์ได้อย่างไม่พลาดเป้า
ข้อแรกที่คุณต้องรู้! โดยเฉพาะในวันที่หลายคนตั้งคำถามว่า “เว็บไซต์ยังจำเป็นอยู่มั้ยในตอนนี้” เพราะด้วยความนิยมของโซเซียลคอมเมิร์ซ และความเฟื่องฟูของการขายสินค้าผ่านอีมาร์เก็ตเพลส สิ่งที่เราพบคือ เว็บไซต์เป็นอีกหนึ่งช่องทางขายที่ทำเม็ดเงินมหาศาลให้กับผู้ประกอบการ!
ซึ่งตรงกับการสำรวจพฤติกรรมนักช้อปคนไทยโดย Google เมื่อเดือนมกราคม 2021 ที่ระบุว่า การซื้อของบน Brand.com หรือเว็บไซต์ของร้านค้าจะมีมากกว่าการซื้อจาก อีมาร์เก็ตเพลสถึง 1.2 เท่า เป็นเพราะการซื้อจากเว็บไซต์ของร้านค้าโดยตรงจะได้รับ เงื่อนไขและบริการหลังการขายที่ดีกว่า รวมถึงผู้ซื้อรู้สึกมั่นใจได้ว่าสินค้าที่ซื้อเป็น ของแท้!
จากตรงนี้ก็คงจะเป็นคำตอบให้ผู้ประกอบการได้ว่า “เว็บไซต์ยังจำเป็น...มาก” ตราบใดที่คนยังใช้ Search Engine ค้นหาข้อมูล เว็บไซต์ก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็น และอย่าลืมว่าเว็บไซต์คือพื้นที่ที่เราเป็นเจ้าของเต็มตัว ไม่เหมือนโซเชียลมีเดีย
จึงทำให้เราสามารถทำ Google Analytics เพื่อเก็บข้อมูลเชิงสถิติทั้งหมดเกี่ยวกับเว็บไซต์ของเรา แล้วนำมาต่อยอดในการทำการตลาด หรือการใช้ data ของลูกค้าที่เข้ามาชมมาซื้อของไปทำ CRM ต่อได้ รวมไปถึงเว็บไซต์ยังเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์การซื้อขายได้แบบ seamless เพราะแค่เพียงคุณทำเว็บไซต์เป็นภาษาอังกฤษเพิ่มเติมมันก็สามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจให้คุณได้ทั่วโลก!
ดังนั้นเว็บไซต์จึงถือเป็นกระดุมเม็ดแรก ของความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ตลาดอีคอมเมิร์ซของผู้ประกอบการที่ในวันนี้การพึ่ง เฉพาะอีมาร์เก็ตเพลสหรือการเปิดเพจยิง ad ปั๊มยอดขายอาจไม่ใช่คำตอบเดียว อีกต่อไป
และนี่จึงเป็นเหตุผลที่จะพาทุกคนมารู้จัก SHOPLINE สตาร์ทอัพผู้อยู่เบื้องหลัง ความสำเร็จของร้านค้าออนไลน์ทั้งแบรนด์ใหญ่และ SMEs กว่า 250,000 รายทั่วโลก ที่เรียกตัวเองว่า Global Smart Commerce Enabler หรือ ผู้ให้บริการระบบจัดการ ร้านค้าบนอีคอมเมิร์ซและโซเซียลคอมเมิร์ซแบบครบวงจร
โดยเปิดตัวครั้งแรกในปี 2013 ที่ประเทศฮ่องกง ก่อนที่จะเดินหน้าขยายการให้บริการในประเทศต่าง ๆ อาทิ จีน ไต้หวัน มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม และไทย ที่เริ่มต้นธุรกิจด้วยแนวคิดที่จะปลดล็อกข้อจำกัดให้กับทุกธุรกิจประสบความสำเร็จในตลาดอีคอมเมิร์ซ!
และล่าสุด SHOPLINE ได้เข้ามาเปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ว พร้อมด้วยการพัฒนาบริการในรูปแบบ Total Solution สำหรับการทำ E-commerce และ Social Commerce ให้สามารถจัดการได้อย่างง่ายดายบนแพลตฟอร์มเดียว
โดยครอบคลุมบริการตั้งแต่การเปิดเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์แบบ DIY Website ที่จะทำให้การทำเว็บไซต์ที่เคยเป็นเรื่องยุ่งยากกลายเป็นเรื่องง่าย ด้วย Design Template ให้เลือกหลากหลาย สามารถเพิ่มข้อมูลสินค้าได้เองอย่างง่ายดาย รวมถึงระบบจัดการหลังบ้านทั้งการจัดการออเดอร์ การจัดการสต็อกสินค้า การชำระเงิน และการเก็บรวบรวม data ที่ถือเป็นหัวใจหลักในการทำการตลาดในโลกยุคปัจจุบัน มาวิเคราะห์ให้ผู้ประกอบการสามารถนำไปทำโปรโมชั่น กิจกรรมส่งเสริมการขาย และ CRM ได้อย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำ
รวมถึงสามารถเชื่อมกับแพลตฟอร์มอื่น ๆ เพื่อทำให้การควบคุมการทำงานของแต่ละช่องทางการขายทำได้อย่างง่ายดายทั้ง Google, Facebook, LINE OA และอื่น ๆ อีกทั้งสามารถรองรับการใช้งานได้มากกว่า 18 สกุลเงิน ซึ่งอันนี้ตอบโจทย์มากสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างฐานลูกค้าที่ไม่ใช่แค่เฉพาะชาวไทย และการขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศในอนาคต
ซึ่งบริการ E-commerce Solution ของ SHOPLINE ถือเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดเอเชียที่โดดเด่นทั้งการเป็นโซลูชั่นที่ใช้งานง่ายทันสมัยมีประสิทธิภาพ และสามารถช่วยปลดล็อกข้อจำกัดของผู้ประกอบการในการทำเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่ใช้งานได้จริงในราคาค่าบริการที่ทุกคนจับต้องได้
ในขณะเดียวกันสำหรับโซเชียลคอมเมิร์ซที่เป็นช่องทางขายที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยเพราะพฤติกรรมนักช้อปคนไทยที่ชื่นชอบการพูดคุยสอบถามรายละเอียดสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ จึงทำให้ช่องทางโซเชียลมีเดียมีบทบาทในการซื้อขายสินค้ามากขึ้นทั้งทาง Facebook Messenger, Instragram และ LINE OA รวมถึงการซื้อผ่านการไลฟ์สด
ซึ่งพบว่ามีผู้ประกอบการจำนวนมากต้องการเริ่มขายสินค้าผ่านโซเชียลคอมเมิร์ซ และรวมไปถึงผู้ประกอบการที่ได้เริ่มทำโซเชียลคอมเมิร์ซแล้วแต่ต้องเผชิญกับความยุ่งยากในการจัดการออเดอร์ที่เข้ามาในหลากหลายช่องทาง การใช้เวลากับการตอบคำถาม หรือพูดคุยกับลูกค้าแต่ละรายกว่าจะปิดยอดขายได้
จาก Pain Point เหล่านี้จึงเป็นที่มาในการพัฒนา Social Commerce Solution ที่สมบูรณ์แบบที่สุดของ SHOPLINE และนำมาเปิดให้บริการที่เมืองไทยเป็นครั้งแรก เพื่อช่วยให้การจัดการ ร้านค้าบนโซเชียลคอมเมิร์ซทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และสะดวกยิ่งขึ้น
โดยระบบการจัดการร้านค้าบนโซเชียลคอมเมิร์ซของ SHOPLINE มาพร้อมฟีเจอร์ที่โดดเด่นมากมาย อาทิ Shopline Live App ระบบตัวช่วยแม่ค้าออนไลน์ในการ live-streaming เก็บทุกคอมเมนต์ในการ live สรุปยอดอัตโนมัติ การขายสินค้า แบบครบวงจรที่สามารถช่วยจัดการออเดอร์ ตอบกลับลูกค้า และระบบการชำระเงิน อีกทั้งระบบการจัดการข้อความจากลูกค้า โดยมี Chatbot เพื่อการตั้งค่าคำถามที่ ถูกถามบ่อย โดยสามารถเชื่อมต่อกับ Facebook Messenger และ LINE OA ได้
การเปิดให้บริการของ SHOPLINE ในประเทศไทยครั้งนี้ จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อย ในช่วงเวลาผู้ประกอบการไทยกำลังกุมขมับกับวิกฤติโควิด 19 ระลอกใหม่ว่า จะปรับกลยุทธ์ธุรกิจอย่างไร โดยเฉพาะผู้ที่กำลังจะปรับกลยุทธ์มาเน้นการขายออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ
การเข้ามาเปิดให้บริการ SHOPLINE โซลูชั่นอีคอมเมิร์ซและโซเซียลคอมเมิร์ซ ในเวลานี้จึงนับเป็นหนึ่งตัวช่วยที่จะช่วยปลดล็อกผู้ประกอบการไทยจากข้อจำกัดต่างๆ เปรียบเสมือนกระดุมเม็ดแรกในการคว้าความสำเร็จบนอีคอมเมิร์ซและ โซเซียลคอมเมิร์ซนับจากนี้
ติดต่อ SHOPLINE ได้สามช่องทางคือ
Line: @Shoplineth
โทรศัพท์: 0946538866 หรือ 0818292797
และสามารถลงทะเบียนในลิงค์ต่อไปนี้เพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ https://consultation.shopline.co.th/earn
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
「pain point solution」的推薦目錄:
pain point solution 在 eark, and etc. Facebook 的最讚貼文
launch product ใหม่แบบไม่พักกับ @supergoop ! shimmer shade eyeshadow ฿900 ✨ สิ่งนี้คือ eyeshadow ที่มีกันแดดถึง #spf30 ค่ะทุกคน! เรียกได้ว่าพลิกวงการกันแดดเลยทีเดียว เราประทับใจกับแบรนด์ supergoop มากที่เข้าใจใน pain point ของการใช้กันแดด ซึ่งสำหรับบางคนกันแดดถือเป็นหนึ่ง stigma เลยก็ว่าไดเ ไม่ว่าจะทาแล้วสิวขึ้น! หน้ามัน! เหนียวเหนอะหน่ะ! หน้าวอก! supergoop ก็พยายามจะออกกันแดดมาหลายหลายรูปแบบชนิดที่ว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร คุณก็ต้องใช้กันแดดของชั้นได้สักตัวแหละ! 5555 ซึ่ง eyeshadow ตัวนี้เป็นอีก 1 solution ที่น่าสนใจมากๆค่ะ 🥰
.
ดวงตาถือเป็นอีกบริเวณที่ sensitive ต่อแสงแดดมาก สังเกตง่ายๆคือคนที่เริ่ม age แล้ว หนังตาก็จะเริ่มเหี่ยวๆนะ 😭 การทากันแดดที่ดวงตาเป็นประจำเลยเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆค่ะ eyeshadow ตัวนี้เป็น hybrid susnscreen ที่มีทั้ง mineral UV filter อย่าง titanium dioxide กับ zinc oxide และยังมี physical UV filter อย่าง octisalate ด้วยค่ะ.
.
เนื้อ eyeshadow จะมีความเป็นมูส ที่สี pigment ชัดมากกกก สีน้ำตาล (sunset) สาทารถใช้ทำ smoky eye ได้เลย ส่วนสี champagne (daydream) ก็คือสวยมากกก everyday look ได้เลย เนื้อเค้าเหมือน cream eyeshadow ธรรมดาเลยที่ใช้ดีมากๆ เนื้อไม่เลื่อนระหว่างวันแถมไม่ crease! ก็คือชอบมากๆเลย ถือเป็น makeup ที่หยิบมาแต่งหน้าเร็วๆได้สำหรับทุกโอกาสเลย.
.
*gifted products with no commitment to review ❤️
pain point solution 在 อายุน้อยร้อยล้าน Facebook 的最佳解答
Thailand’s MICE Startup 2020 ต่อยอดธุรกิจไมซ์ด้วย Startup ไทย
.
เนื่องด้วยปัญหาภาวะวิกฤตโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบไปในวงกว้าง ทำให้อุตสาหกรรมไมซ์ก็ได้รับผลกระทบอย่างมากเช่นเดียวกัน ดังนั้นในปีนี้ Thailand’s MICE Startup 2020 จึงต้องการผลักดันและส่งเสริม Ecosystem ของกลุ่ม Startup และ บริษัทผู้ผลิตนวัตกรรมและเทคโนโลยี ให้สามารถสร้างวิธีการแก้ไขปัญหาและนำไปใช้ได้จริงเพื่อเป็นการยกระดับนวัตกรรมของอุตสาหกรรมไมซ์อย่างยั่งยืน
.
Thailand’s MICE Startup 2020 คือ โครงการที่จัดขึ้นโดย สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB) หน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการส่งเสริมและพัฒนา ภาคธุรกิจการจัดประชุมสัมมนาและการแสดงสินค้าในประเทศไทย หรือที่เรียกว่าธุรกิจไมซ์
.
โครงการนี้ได้รับความร่วมมือ จาก NIA, DEPA, NSTDA ซึ่งเป็นหน่วยงานของทางภาครัฐ พร้อมกับหน่วยงานพันธมิตรอื่นๆ เพื่อเป็นเวทีในการพัฒนาธุรกิจ แบ่งปันความรู้ความเข้าใจในธุรกิจไมซ์ โดยเปิดโอกาสให้ ผู้ประกอบการ, นักออกแบบ และนักพัฒนา ได้ร่วมระดมความคิด นำไปสู่การยกระดับภาคอุตสาหกรรมไมซ์และกลุ่ม Startup เพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางเศรษฐกิจและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย
.
เป็นโครงการที่ผู้ประกอบการเทคโนโลยีและกลุ่ม Startup ที่มีไอเดียด้านนวัตกรรมจะได้ร่วมพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ไทยให้ก้าวไกลทัดเทียมนานาชาติ นอกจากการจะได้โชว์ศักยภาพด้านนวัตกรรมแล้ว ยังได้แลกเปลี่ยนความรู้กับกลุ่มคนที่มีประสบการณ์โดยตรงอีกด้วย ถือเป็นการขยายการรับรู้เกี่ยวกับธุรกิจไมซ์ไปสู่กลุ่ม Startup ในวงกว้าง
.
โครงการ Thailand’s MICE Startup 2020 ที่กำลังจะเกิดขึ้นต้องการเฟ้นหากลุ่ม Startup มาประชันไอเดียและนวัตกรรมเพื่อสร้างการเติบโตให้กับอุตสาหรรมไมซ์ให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ซึ่ง Solution จะต้องตอบโจทย์ Pain Point ที่เกิดขึ้นจริงกับอุตสาหกรรมไมซ์ ไม่ว่าจะเป็น โซลูชั่นที่ช่วยให้ผู้ที่จัดงานประชุมนานาชาติ สามารถเตรียมงานและบริหารจัดการเวลารวมถึงงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือช่วยให้ผู้เข้าร่วม Mega Event ได้รับประสบการณ์ร่วมงานที่ดีทีสุด และอยากเข้าร่วมงานอีกในครั้งถัดไป อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Problem Statement ในเว็บไซต์ https://www.thaimiceinnovation.com/
.
โดยมีผู้เชี่ยวชาญในการสร้างและพัฒนานวัตกรรมให้เกิดขึ้นจริง จาก RISE สถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กรระดับภูมิภาค จัดหลักสูตร Incubation Program อย่างเข้มข้นทุกสัปดาห์ตลอดเดือนตุลาคม 2020 นี้ ชิงเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 750,000 บาท
.
รางวัลและสิ่งที่ผู้เข้าร่วมจะได้รับ
1. ทุกทีมที่สมัครเข้าร่วมโครงการและได้รับการคัดเลือกจะได้เป็นส่วนหนึ่งใน MICE Innovation Catalogue เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้ร่วมงานกับอุตสาหกรรมไมซ์อย่างต่อเนื่อง
2. ทีมที่ได้รับคัดเลือกเข้าโครงการ Incubation Program กับ RISE จะได้รับทุนในการพัฒนา Solution จำนวน 30,000 บาท ทุกทีม
3. เงินรางวัลสำหรับผู้ชนะการแข่งขันในกิจกรรม Demo Day Pitching
-รางวัลชนะเลิศ ได้รับเงินรางวัล 400,000 บาท
-รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้รับเงินรางวัล 200,000 บาท
-รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้รับเงินรางวัล 100,000 บาท
- รางวัล Popular Vote ได้รับเงินรางวัล 50,000 บาท
(ทีมที่ไม่ได้เข้าร่วม Incubation Program สามารถเข้านำเสนอโครงการเพื่อชิงรางวัล Popular Vote ได้)
.
ตารางกิจกรรมสำหรับทีมที่ผ่านการคัดเลือก
- บูธโชว์ผลงาน Thailand’s MICE United
วันพุธที่ 2 กันยายน 2563 (13.00 - 18.00 น.)
สถานที่ Royal Paragon Hall
- Open Innovation Challenge Pitching
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 (13.30 - 17.00 น.)
สถานที่ The Society, Gaysorn Tower 22nd Floor
- Networking Event
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 (18.30 - 21.00 น.)
สถานที่ The Society, Gaysorn Tower 22nd Floor
- Incubation Program จำนวนสูงสุด 5 ทีม
วันพฤหัสบดีที่ 8, 15, 22, 29 ตุลาคม 2563 (9.00 - 16.00น.)
สถานที่ The Society, Gaysorn Tower 22nd Floor หรือช่องทางออนไลน์
- Demo Day Pitching เพื่อหาผู้ชนะ 3 ทีม เงินรางวัลรวม 750,000 บาท
วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน 2563 (13.30 - 16.30 น.)
สถานที่ The Society, Gaysorn Tower 22nd Floor
.
ในยุคนี้ที่อุตสาหกรรมไมซ์กำลังเติบโต อยากชวนทุกคนมาสมัครเข้าร่วมกิจกรรม เพื่อผลักดันนวัตกรรมไปสู่การแก้ไข และสามารถนำไปใช้งานได้จริงสำหรับผู้ประกอบการ Thailand’s MICE Startup 2020 เป็นโครงการที่จะช่วยผลักดัน Startup ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอุตสาหกรรมไมซ์ให้เติบโตมากยิ่งขึ้น
.
สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรม สามารถลงทะเบียนได้ที่ https://www.thaimiceinnovation.com/for-startup/
หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
โทรศัพท์ : 02-256-9918 ติดต่อ คุณโมกุล, Program Co Ordinator, RISE / E-mail : mogul@riseaccel.com
หรือ โทรศัพท์ : 02-694-6000 ติดต่อ 6151 คุณทัศวรรณ, Senior Executive – MICE Intelligence & Innovation Department, TCEB / E-mail : Thassawan_c@tceb.or.th