Axie Infinity เกมเวียดนาม ที่สร้างรายได้หมื่นล้าน ใน 2 เดือน /โดย ลงทุนแมน
เมื่อพูดถึงเกม คนเรามักจะนึกถึงความสนุกสนานและความเพลิดเพลินอยู่เสมอ
ยกตัวอย่างเช่น The Sims เกมใช้ชีวิตบนโลกจำลองสุดหรรษา ที่เราจะสามารถออกแบบชีวิตอย่างไรก็ได้ หรือ Among Us เกมหนีตายจากฆาตกรที่แฝงตัวในกลุ่มเพื่อนของเรา
แต่ปัจจุบัน ก็ได้มีเกมประเภทใหม่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยไม่ได้มีจุดมุ่งหมายมอบความสนุกสนานเท่านั้น แต่สร้างขึ้นมาให้ผู้เล่นสามารถสร้างรายได้ ได้เช่นกัน
หนึ่งในเกมประเภทนี้ ที่กำลังเป็นกระแสชื่อว่า “Axie Infinity” ที่ให้ผู้เล่นนำมอนสเตอร์มาสู้กัน
เช่นเดียวกับโปเกมอน เพื่อชิงทรัพยากรต่าง ๆ ภายในเกมและเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี
โดยทั้งทรัพยากรและคริปโทเคอร์เรนซีที่เราได้ เราก็สามารถนำไปขายต่อเป็นสกุลเงินจริงได้
จุดนี้เอง ก็ได้ทำให้ Axie Infinity กลายมาเป็นกระแสทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทย
แล้ว Axie Infinity มีโมเดลอย่างไร
และได้รับความนิยมขนาดไหน ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Axie Infinity ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2018 โดยบริษัทสตูดิโอเกมสัญชาติเวียดนาม
ชื่อว่า “Sky Mavis” ซึ่งได้รับการสนับสนุนเงินทุนจาก 2 นักธุรกิจชาวอเมริกัน
นั่นก็คือ Mark Cuban มหาเศรษฐีเจ้าของทีมบาสเกตบอล NBA และ Alexis Ohanian ผู้ก่อตั้ง Reddit
Axie Infinity เป็นเกมที่ถูกสร้างและพัฒนาอยู่บนเครือข่ายบล็อกเชน ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจการพัฒนารูปแบบการเล่นมาจากโปเกมอนของ Nintendo
ซึ่งรูปแบบที่ว่านั้นก็คือผู้เล่นจะต้องเลี้ยงดู ฝึกฝน จับคู่ผสมพันธุ์มอนสเตอร์ชื่อ “Axie” ไปเรื่อย ๆ แล้วนำไปสู้กับผู้เล่นคนอื่น เพื่อที่จะได้ชิงโทเคนชื่อว่า Smooth Love Potion หรือ SLP
โดย SLP มีความสำคัญสำหรับการเล่นเกมนี้เป็นอย่างมาก เพราะผู้เล่นสามารถนำไปใช้ในการผสมพันธุ์ Axie ใหม่ เพื่ออัปเกรดให้มันมีพลังการต่อสู้มากขึ้น
และเมื่อเราได้ตัวมอนสเตอร์ใหม่ที่มีพลังมากขึ้น
โอกาสที่เราจะเอาชนะการต่อสู้ได้จึงมากขึ้น
นำไปสู่โอกาสที่จะได้รับ SLP มากขึ้น ตามไปด้วย
ทั้งหมดนี้ จึงเกิดเป็น Ecosystem ของ Axie Infinity ในปัจจุบัน
นอกจาก SLP แล้ว Axie Infinity ยังมีอีกเหรียญคริปโทเคอร์เรนซีหนึ่งที่จะแจกเป็นรางวัล
เรียกว่า Axie Infinity Shards หรือ AXS ที่มีคุณสมบัติคล้ายกับ SLP แต่มีความพิเศษกว่า
โดยพิเศษตรงที่เหรียญจะมีอยู่อย่างจำกัดและมีหลักการเดียวกันกับ Governance Token บนแพลตฟอร์ม DeFi ทำให้ผู้เล่นที่ถือเหรียญ สามารถโหวตเปลี่ยนแปลงนโยบายต่าง ๆ ในแพลตฟอร์มได้อีกด้วย
นั่นจึงส่งผลให้เหรียญ SLP และ AXS กลายเป็นที่ต้องการของผู้เล่น จนเกิดการซื้อขายด้วยเงินจริงขึ้นมานั่นเอง
หลายคนคงคิดว่าเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ที่วงการเกมจะมีการซื้อขายไอเทม ด้วยเงินจริง แต่ที่ Axie Infinity ทำแตกต่างจากเกมอื่น ๆ นั่นก็เพราะว่าพวกเขาได้สร้าง Marketplace สำหรับซื้อขายสิ่งต่าง ๆ ภายในเกมขึ้นมาเป็นของตัวเองเลย
ในขณะที่เกมอื่น ผู้เล่นต้องทำการเจรจาซื้อขายตัวต่อตัวกันเอง
ความสะดวกสบาย รวมถึงความปลอดภัยจึงค่อนข้างแตกต่างกัน
จากเหตุผลเหล่านี้ นำไปสู่การดึงดูดผู้คนทั่วไปที่ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มเกมเมอร์ ให้เข้ามาร่วมเล่นเกมด้วยเพื่อสร้างรายได้ให้กับตัวเอง ซึ่งโมเดลธุรกิจแบบนี้ถูกเรียกว่า “Play to Earn” หรือยิ่งเล่น ยิ่งมีโอกาสในการหารายได้
อย่างไรก็ตาม การจะเข้าเล่นเกม Axie Infinity ใช่ว่าเราสามารถเข้าไปเล่นได้ทันที
ผู้เล่นจำเป็นต้องมีเงินทุนก้อนหนึ่ง เพื่อใช้ซื้อเหล่ามอนสเตอร์สำหรับเล่นไว้ถึง 3 ตัวก่อน
ซึ่งมอนสเตอร์ที่พอเล่นได้ มีราคาเฉลี่ยตัวละ 6,500 บาท
หากซื้อขั้นต่ำ 3 ตัว รวมค่าใช้จ่ายแล้วจะอยู่ที่ 19,500 บาทเลยทีเดียว
แน่นอนว่ามูลค่าดังกล่าวนับเป็นเงินก้อนใหญ่สำหรับใครหลายคน
มันจึงกลายเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับผู้คนที่ต้องการเข้ามาเล่นเกมอย่างมาก
ผู้คนจำนวนหนึ่งที่มีเงินทุนหนาแต่ไม่ค่อยมีเวลา เลยก่อตั้ง Scholar หรือให้ทุนแก่ผู้คนที่ไม่มีเงินทุนเพียงพอ สามารถเข้ามาเล่นได้ โดยจะมีมอนสเตอร์เตรียมไว้ให้พร้อมเริ่มเกมครบ 3 ตัว
ส่วนผลตอบแทนจากการเล่นจะแบ่งตามที่ตกลงกันเอง
ปัจจุบันประเทศที่ผู้คนกำลังนิยมเล่นเกม Axie Infinity มากที่สุดคือ ประเทศฟิลิปปินส์
รองลงมาคือ ประเทศเวเนซุเอลา เมื่อรวมจำนวนผู้เล่นจากสองประเทศนี้จะคิดเป็น 45% ถึง 50% ของผู้เล่นทั้งหมด
หากสังเกตจากข้อมูลจะพบว่า ผู้เล่นส่วนใหญ่นั้นมาจากกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา
เหตุผลเพราะว่า พวกเขาต้องพยายามหารายได้ เพื่อชดเชยจากการลดลงของค่าจ้างหรือตกงาน ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19
ซึ่งต่างจากกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่มีรัฐสวัสดิการคอยช่วยเหลือผู้คนเพียงพออยู่แล้ว
ผู้คนในประเทศเหล่านั้น จึงไม่ต้องขวนขวายหางานเสริมเพิ่มหรืองานใหม่เช่นเดียวกัน
Vincent Gallarte ชาวฟิลิปปินส์ วัย 25 ปี คือตัวอย่างที่อธิบายถึงปรากฏการณ์ฮิตได้อย่างชัดเจน
ก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นพนักงานไอทีของบริษัทแห่งหนึ่ง แต่ถูกไล่ออกจากสถานการณ์โควิด 19
ต่อมา Gallarte ได้รับการบอกต่อเรื่อง Axie Infinity ว่าเป็นเกมที่สามารถสร้างเงินได้ จากญาติและเพื่อนฝูง เขารู้สึกสนใจทันที แต่ด้วยความที่เป็นคนว่างงาน จึงติดปัญหาตรงที่ไม่มีเงินทุนเพียงพอนัก
โชคดีที่มี Scholar ทุนสำหรับให้ผู้เล่นจากเหล่าสปอนเซอร์
ทำให้เขาสามารถเข้าร่วมเล่นเกมได้ในที่สุด
ภายในเวลาเพียงแค่ 2 สัปดาห์ เขาสามารถสร้างรายได้ถึง 24,000 บาทหรือ 3 เท่าจากเงินเดือนเดิมที่เคยได้รับ ส่วนสปอนเซอร์ก็คืนทุนได้อย่างรวดเร็วภายในไม่กี่เดือน
เรื่องราวเหล่านี้เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนสามารถผลักดันให้ผู้เล่นเติบโตอย่างรวดเร็ว
จากเดือนพฤศจิกายน ปีที่แล้ว Axie Infinity มีผู้เล่นเพียง 7,500 คนเท่านั้น
แต่ปัจจุบันกลับมีผู้เล่นแตะยอด 1 ล้านคนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
และจากผู้เล่นที่มากขึ้นก็ส่งผลให้เหรียญ AXS มีมูลค่าตลาดทั้งหมดที่ 142,111 ล้านบาท
ส่วนโทเคน SLP มีมูลค่าตลาดทั้งหมดที่ 9,100 ล้านบาท
นอกจากราคาพวกเหรียญแล้ว ราคาตัวละครและที่ดินภายในเกมก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน
ราคาสูงสุดของเจ้ามอนสเตอร์อยู่ที่ 4.3 ล้านบาท
ขณะที่ราคาที่ดินเคยแตะสูงสุดที่ 49 ล้านบาทเลยทีเดียว
แน่นอนว่าความนิยมอย่างนี้ส่งผลให้ 2 เดือนล่าสุด เจ้าของเกมอย่าง Sky Mavis สร้างรายได้จากการขายไอเทมภายในเกม รวมถึงค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ถึง 1.7 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม มีคนวิเคราะห์ว่า ธุรกิจแบบ Axie Infinity นั้นจะไม่มั่นคงในระยะยาว
เนื่องจากผู้เล่นต้องจ่ายเงินหลายหมื่นบาทล่วงหน้าเพื่อเล่น โดยที่ยังไม่รู้ว่าเกมนี้เกี่ยวกับอะไร
หากวันข้างหน้าเกมได้รับความนิยมลดลง โอกาสที่ผู้คนจะยอมจ่ายก็คงยากขึ้นตามเช่นกัน
อีกเรื่องที่น่าคิดต่อว่า หากวันหนึ่งเกมได้รับความนิยมเล่นน้อยลงกว่าเดิม
สุดท้ายแล้วผู้คนจะยังให้มูลค่าแก่เหล่ามอนสเตอร์และเหรียญในเกมอีกต่อไปหรือไม่
ดังนั้นสิ่งที่ Sky Mavis ควรทำต่อ คงไม่ใช่แค่การจูงใจผู้คนด้วยเงินเท่านั้น
แต่ต้องพัฒนาเกมให้มีความสนุกสนานและสมดุลควบคู่ไปด้วย
เพื่อเป็นการการันตีให้แน่ใจว่ามูลค่าสมมติที่ถูกสร้างขึ้นมา
และทุกคนกำลังเชื่อมั่น ณ วันนี้ จะอยู่ต่อไปได้ ในระยะยาว..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://coinmarketcap.com/currencies/axie-infinity/
-https://coinmarketcap.com/currencies/smooth-love-potion/
-https://theconversation.com/axie-infinity-online-games-where-people-earn-as-they-play-are-transforming-gaming-164881
-https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-08-25/axie-infinity-how-game-is-turning-pandemic-jobless-into-crypto-nft-traders
-https://restofworld.org/2021/axie-infinity/
-https://cryptobriefing.com/axie-infinity-revenue-jumped-another-85-august/
同時也有69部Youtube影片,追蹤數超過100萬的網紅LDA World,也在其Youtube影片中提到,หลังจากที่เพื่อน ๆ คอมเมนต์อยากให้เรารีวิวเปรียบเทียบ AirPods ไม่รู้จะซื้อรุ่นไหนดี แต่ละรุ่นมีจุดเด่นยังไง เหมาะกับใคร แล้วคุ้มค่ามั้ยที่จะซื้อ? . ว...
podcast วันนี้ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
บราซิล ประเทศที่เคยเติบโตสูง แต่ตอนนี้คนอยากย้ายออก /โดย ลงทุนแมน
หลายทศวรรษที่ผ่านมา บราซิล เคยได้รับการจับตามองว่า จะกลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงประเทศหนึ่งของโลก เพราะเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างโดดเด่น
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปีมานี้ ความหวังนั้นค่อย ๆ ริบหรี่ลงไปเรื่อย ๆ
เศรษฐกิจของบราซิลกลับเติบโตช้าลง จำนวนคนตกงานพุ่งสูงขึ้น
เรื่องนี้ทำให้ชาวบราซิลจำนวนมาก เริ่มสิ้นหวังและตัดสินใจอพยพออกนอกประเทศ จนเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “สมองไหล”
เรื่องนี้เป็นอย่างไร ? ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
รู้ไหมว่า ในช่วงระหว่างปี 2000-2011 บราซิลมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ เร็วที่สุดประเทศหนึ่งในโลก โดยมีอัตราการเติบโตของ GDP เฉลี่ยต่อปีในช่วงเวลาดังกล่าว มากกว่า 5% ต่อปี
ข้อมูลจาก World Bank ระบุว่า ในปี 2012 GDP ของบราซิลสูงถึง 86.2 ล้านล้านบาท ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า GDP ของสหราชอาณาจักร
และเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 6 ของโลก ณ เวลานั้น
รายได้เฉลี่ยต่อหัวของคนบราซิล เพิ่มขึ้นจากราว 123,600 บาท ในปี 2000 มาอยู่ที่ราว 426,700 บาท ในปี 2011
จุดเริ่มต้นของทศวรรษแห่งการเติบโตของบราซิลนั้นเกิดมา ตั้งแต่ในช่วงทศวรรษที่ 1990 บราซิลหันมาใช้นโยบายเปิดเศรษฐกิจ รับการค้า การลงทุนจากต่างประเทศ
ขณะที่ในปี 1995 บราซิลได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO)
ทั้ง 2 ปัจจัย ทำให้มีการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศของบราซิลนั้นเพิ่มสูงขึ้น มูลค่าการค้าของประเทศที่เพิ่มขึ้นทำให้มีการจ้างงานและการลงทุนต่าง ๆ ภายในประเทศเกิดขึ้นตามไปด้วย
การเปิดประเทศยังช่วยให้มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพการผลิตในประเทศ
นอกจากนั้นแล้ว รัฐบาลบราซิลในตอนนั้น
ยังได้แสดงเจตจำนงในการชำระหนี้ที่กู้จากต่างประเทศ
ทำให้ภาระหนี้สินที่บราซิลกู้ยืมจากต่างประเทศ จากเดิมที่ประมาณ 59% ต่อ GDP ในปี 2003 ลดลงจนเหลือ 12% ต่อ GDP ในปี 2009
ภาระหนี้สินที่กู้จากต่างประเทศที่ลดลงจนเหลือสัดส่วนต่ำ ช่วยสร้างความเชื่อถือให้กับนักลงทุนมากยิ่งขึ้น และส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของบราซิลให้โดดเด่นมากในเวลานั้น
จนบราซิลเคยถูกจับตามองว่า เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงทางด้านเศรษฐกิจ
บราซิล ถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีชื่อว่า “BRIC” ซึ่งประกอบไปด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน ก่อนที่จะเพิ่มประเทศแอฟริกาใต้เข้ามาอีกในปี 2010 และใช้ชื่อว่า “BRICS” ในปัจจุบัน
แต่ใครจะรู้ว่า นับจากนั้นเศรษฐกิจของบราซิลก็เริ่มประสบปัญหา
GDP ของบราซิล ในปี 2020 ลดลงมาเหลือ 47.6 ล้านล้านบาท จากที่เคยสูงกว่า 86 ล้านล้านบาท ในช่วงพีกคือปี 2011
ถ้าถามว่าอะไรที่ทำให้อดีตประเทศดาวรุ่งอย่างบราซิล กลับต้องเข้าสู่ยุคแห่งความตกต่ำทางเศรษฐกิจ ปัจจัยก็มีอยู่หลายอย่าง เช่น
- ประสิทธิภาพในการผลิตที่ต่ำ สวนทางกับค่าจ้างแรงงานที่พุ่งสูงขึ้น
ข้อมูลจาก World Bank ระบุว่า ในช่วงปี 2003-2014 ค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 68% ในขณะที่อัตราการผลิตต่อคนงานเพิ่มขึ้นเพียง 21%
พูดง่าย ๆ คือ ต้นทุนค่าแรงของธุรกิจเพิ่มขึ้น แต่ประสิทธิภาพและผลผลิตนั้นเพิ่มขึ้นน้อยกว่ามาก ซึ่งการขาดผลิตภาพในการผลิตส่วนสำคัญเกิดมาจากการลงทุนในนวัตกรรมของประเทศที่ต่ำ
- ปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
โดยเฉพาะท่าเรือ ถนน หนทาง ทำให้เกิดปัญหาในการขนส่งสินค้าภายในประเทศ ข้อมูลของ World Bank ระบุว่า ความพร้อมทางด้านโครงสร้างพื้นฐานของบราซิลนั้น ถูกจัดอันดับอยู่ที่ 56 จาก 160 ประเทศทั่วโลก
ขณะที่ข้อมูลจาก International Trade Administration ของสหรัฐอเมริการะบุว่า การขนส่งสินค้าส่วนใหญ่ภายในบราซิลนั้นใช้รถบรรทุก ซึ่งเมื่อโครงสร้างพื้นฐานอย่างถนนหนทางไม่ค่อยมีความพร้อม ก็ทำให้เกิดต้นทุนค่าขนส่งที่สูง
- ปัญหาคอร์รัปชันในบราซิล ถือว่ารุนแรงไม่แพ้หลายประเทศในแถบอเมริกาใต้
ดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชัน (Corruption Perceptions Index) ของประเทศนั้นได้คะแนนน้อยลงเรื่อย ๆ (ยิ่งน้อยลงคือยิ่งภาพลักษณ์ไม่ดีในเรื่องคอร์รัปชัน)
ปี 2012 บราซิลได้ 43 คะแนน และลดลงเหลือเพียง 38 คะแนนในปี 2020
ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ปัญหาการคอร์รัปชันในบราซิลไม่เพียงแต่ยังคงอยู่ แต่กลับเลวร้ายลงเรื่อย ๆ
ปัญหาคอร์รัปชัน มีผู้ที่เกี่ยวข้องหลายระดับ ไม่เว้นแม้แต่ผู้นำสูงสุดของประเทศอย่างประธานาธิบดี อย่างเช่น ในปี 2015 อดีตประธานาธิบดีลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ที่ถูกกล่าวหาว่ารับสินบนจากบริษัทรับเหมาก่อสร้าง
โดยเป็นการรับสินบนเพื่อแลกกับ การอนุมัติให้บริษัทรับเหมาก่อสร้าง เข้าไปรับงานก่อสร้างจากบริษัทน้ำมันแห่งชาติที่รัฐบาลถือหุ้นใหญ่อย่างปิโตรบาส รัฐวิสาหกิจน้ำมันรายใหญ่ของประเทศ
ปัญหาคอร์รัปชันที่อื้อฉาวของนักการเมือง นักธุรกิจ สร้างความไม่พอใจให้แก่ชาวบราซิลจำนวนมาก
เรื่องนี้ถึงขนาดทำให้ครั้งหนึ่งชาวบราซิลใน 3 รัฐทางใต้ ที่ไม่พอใจการบริหารและเรื่องคอร์รัปชันของรัฐบาล ร่วมลงคะแนนประชามติเพื่อแสดงความต้องการแยกประเทศ ภายใต้แคมเปน “The South is My Country”
การประท้วง การก่อจลาจล และความไม่สงบเรียบร้อยทางการเมือง เกิดขึ้นบ่อยครั้งในบราซิล
ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้บราซิลที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว กลับสะดุด จนเหมือนกลายเป็นคนป่วยแห่งทวีปอเมริกาใต้ไปแล้วในตอนนี้
ความเปราะบางทางเศรษฐกิจแบบนี้ ยิ่งมาเจอผลจากการระบาดของโควิด 19 ก็ยิ่งทำให้จำนวนผู้ว่างงานเพิ่มขึ้นอย่างน่าใจหาย
ปี 2014 จำนวนผู้ว่างงานในบราซิลเท่ากับ 6.0 ล้านคน
ปี 2021 จำนวนผู้ว่างงานในบราซิลเท่ากับ 14.7 ล้านคน
จำนวนผู้ว่างงานสูง เศรษฐกิจที่ตกต่ำ
ทำให้คนรุ่นใหม่จำนวนมากรู้สึกว่า ตนเองต้องการแสวงหาชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม
ข้อมูลจาก Migration Policy Institute (MPI) ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา มีชาวบราซิลอพยพออกนอกประเทศเฉลี่ยปีละกว่า 100,000 คน และมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้น จากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย และปัญหาความขัดแย้งมากมายในประเทศที่ดูไร้ทางออก
ประเด็นคือ ผู้ที่อพยพออกไป ได้รวมแรงงานที่มีความรู้ ความสามารถ โดยเฉพาะกลุ่มนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ จนทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Brain Drain” หรือสมองไหล
ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ประเทศหนึ่งกำลังสูญเสียคนเก่งไปจากประเทศ เนื่องจากคนเหล่านั้นต้องการออกไปทำงานและอาศัยในประเทศที่ทำให้พวกเขามีรายได้สูงกว่า สภาพการทำงานที่ดีกว่า
ดังนั้น อนาคตของบราซิลหลังจากนี้ จึงเกิดเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่ของคนในประเทศตามมาว่า แล้วประเทศจะพัฒนาและก้าวหน้าจากวันนี้ไปได้อย่างไร ?
คนเก่ง ๆ ที่หมดหวังกับประเทศและอพยพออกไป
ทำให้บราซิลกำลังมีบุคลากรแรงงานที่มีความรู้ ความสามารถ ยิ่งทำให้มีการสร้างสรรค์ความรู้ นวัตกรรมใหม่ ๆ ในการพัฒนาประเทศ ลดน้อยลงเรื่อย ๆ
รู้ไหมว่า วันนี้ สัดส่วนนักวิจัยต่อประชากร 1 ล้านคนของบราซิล มีอยู่เพียง 700 คนเท่านั้น
ซึ่งเมื่อเทียบกับประเทศมหาอำนาจอื่น
- จีน 1,071 คน
- รัสเซีย 3,191 คน
- สหราชอาณาจักร 4,269 คน
- สหรัฐอเมริกา 4,663 คน
ตอนนี้ ยังไม่มีใครรู้ว่า ปัญหาสมองไหลที่บราซิลกำลังเจออยู่นั้น จะรุนแรงมากกว่านี้ในอนาคตหรือไม่
และรัฐบาลจะหาทางหยุดปัญหานี้ พร้อมทั้งแก้ไขปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมที่ฝังลึกอยู่ในประเทศได้อย่างไร
แต่เรื่องนี้ ก็ถือเป็นกรณีศึกษา ที่หลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยควรต้องจับตามอง
ว่าประเทศที่เคยรุ่งเรือง เปี่ยมไปด้วยความหวัง
ทุกอย่างก็พังทลายลงได้ หากการบริหารจัดการไม่มีประสิทธิภาพ และเต็มไปด้วยปัญหาคอร์รัปชัน..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://data.worldbank.org/country/BR
-https://en.wikipedia.org/wiki/BRIC
-https://ditp.go.th/contents_attach/81555/81555.pdf
-https://en.wikipedia.org/wiki/Brazil
-https://www.migrationpolicy.org/article/migration-brazil-making-multicultural-society
-https://en.wikipedia.org/wiki/Brazilian_diaspora
-https://www.worldbank.org/en/country/brazil/publication/brazil-how-resume-growth-keep-social-progress
-https://www.trade.gov/knowledge-product/brazil-infrastructure
-https://tradingeconomics.com/brazil/unemployed-persons
-https://www.if.org.uk/2020/07/06/politics-covid-brain-drain-in-brazil/
-https://www.transparency.org/en/cpi/2020/table/bra
-https://www.bbc.com/thai/international-41544397
-http://chartsbin.com/view/1124
podcast วันนี้ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
กรณีศึกษา ครั้งแรกในเมืองไทย ที่คนทั่วไปสามารถซื้อ คาร์บอนเครดิต /โดย ลงทุนแมน
อุณหภูมิของโลกเฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละราว ๆ 0.6-0.9 องศาเซลเซียส
เรื่องนี้หลายคนอาจมองว่า ไม่น่าจะส่งผลกระทบอะไรกับตัวเรา
แต่ถ้าบอกว่าอนาคตอันใกล้ โลกที่กำลังร้อนขึ้นเรื่อย ๆ
อาจจะสร้างปัญหาเลวร้ายเกินกว่าที่มนุษย์จะรับมือไหว
องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก คาดการณ์ว่าในปี 2050
หากโลกยังคงร้อนขึ้นเรื่อย ๆ เช่นนี้ อาจทำให้หลายเมืองเกิดน้ำท่วมรุนแรง
ผลผลิตทางการเกษตรในหลาย ๆ ประเทศเสียหาย
อัตราการเกิดของสัตว์หลายประเภทน้อยลงและตายมากขึ้นหรืออาจจะสูญพันธุ์
จนเกิดสภาวะขาดแคลนอาหาร
ที่น่ากลัวกว่านั้น ภาวะโลกร้อน ก็มีความเป็นไปได้ที่อาจทำให้มนุษย์โลก
ต้องเผชิญกับโรคระบาดใหม่ ๆ ซึ่งก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่ามันจะรุนแรงแค่ไหน
พอได้ยินแบบนี้ ก็เริ่มคิดว่าหากเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นจริงในอนาคต
มนุษย์เราจะดำรงชีวิตอยู่กันในแบบไหน ซึ่งน่าจะยังไม่มีใครนึกภาพออก
แล้วสาเหตุที่ทำให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็คือมนุษย์ทุกคน
ซึ่งที่ผ่านมาก็ทำให้หลายประเทศตื่นตัว พร้อมมีมาตรการหลายอย่าง
หนึ่งในนั้นก็คือ คาร์บอนเครดิต
คาร์บอนเครดิต คืออะไร
แล้วรู้หรือไม่ เวลานี้เราทุกคนสามารถซื้อ คาร์บอนเครดิต ได้แล้ว
เรื่องราวทั้งหมด น่าสนใจอย่างไร
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ก่อนอื่นเรามารู้จักที่มาของการเกิด “คาร์บอนเครดิต” กันก่อน
ในปี 1997 ได้เกิดการลงนามในพิธีสารโตเกียว โดยมี 37 ประเทศเข้าร่วมพิธีนี้
พร้อมวางเป้าหมายว่าในแต่ละปี ประเทศตัวเองจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อยู่ที่เท่าไร
พร้อมมีมาตรการทางภาษีสำหรับบริษัทที่ปล่อยก๊าชเรือนกระจกเกินกว่าที่ทางรัฐบาลกำหนด
ซึ่งตอนนั้นหลายประเทศคงเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่า อุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ
น่าจะส่งผลกระทบรุนแรงในอนาคต
จนต่อมาในปี 2015 ได้เกิดคำว่า “คาร์บอนเครดิต”
เมื่อการประชุมที่ปารีส ในประเทศฝรั่งเศส ทุกประเทศมีเป้าหมายร่วมกันคือ
รักษาอุณหภูมิเฉลี่ยพื้นผิวโลกไม่ให้เพิ่มมากขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น
หนึ่งในมาตรการที่เกิดขึ้นก็คือการซื้อ-ขาย “คาร์บอนเครดิต”
โดยมีหลักการง่าย ๆ คือ หากบริษัทใดลดการปล่อยคาร์บอนฯ ได้ต่ำกว่าที่รัฐบาลกำหนด
ก็สามารถขายสิทธิ์การปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ที่เหลือให้บริษัทอื่น ๆ
ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ เกินกว่าที่รัฐบาลกำหนด นั่นเอง
นั่นแปลว่าหากบริษัทไหนต้องการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ เป็นจำนวนมาก
ก็จำเป็นต้องซื้อคาร์บอนเครดิตจากบริษัทอื่น
ส่วนทางฝั่งบริษัทที่เป็นผู้ขายก็จะนำเงินที่ได้ มาพัฒนากระบวนการผลิตสินค้าตัวเอง
ที่เน้นใช้พลังงานสีเขียวหรือพลังงานสะอาดมากขึ้นกว่าเดิม
ซึ่งโมเดลนี้ จะส่งผลให้บริษัทที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ น้อยอยู่แล้ว
ก็จะลดน้อยลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็ก้าวไปสู่ Net Zero หรือค่าการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์
ส่วนบริษัทไหนที่ไม่อยากมีต้นทุนทางธุรกิจเพิ่ม ก็หันมาเคร่งครัดการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ
ในกระบวนการผลิตและอื่น ๆ
ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ ภาพรวมการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ น้อยลงเรื่อย ๆ
โดยโมเดลนี้ก็ถูกนำไปใช้ในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก
อย่างเช่น สหภาพยุโรป, ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตในภาคบังคับ
ส่วนในประเทศไทยนั้นเป็น ตลาดสมัครใจ
คือเป็นการซื้อ-ขายที่ไม่มีกฎระเบียบข้อบังคับจากทางภาครัฐ
โดยความเคลื่อนไหวล่าสุดในเรื่องคาร์บอนเครดิต
ก็คือ การก่อตั้ง Carbon Markets Club นำโดย กลุ่มบริษัทบางจากฯ พร้อมด้วยความร่วมมือจากบริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศไทยมาเข้าร่วม ได้แก่ กฟผ., เครือเจริญโภคภัณฑ์, เชลล์, บีทีเอส กรุ๊ป, เต็ดตรา แพ้ค, บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส, ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารกรุงศรีฯ
11 บริษัทนี้ก็มาทำการซื้อ-ขาย คาร์บอนเครดิต
โดยมีผู้ขายคือ บริษัท บีซีพีจี และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
ซึ่งมีราคาขายอยู่ที่ 25 บาทต่อ 1 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ (tCO2e)
และเพียงวันแรกที่เปิดตลาดซื้อ-ขายกันนั้นมีมูลค่ารวม 2,564 ตันคาร์บอนไดออกไซด์
ซึ่งเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ใหญ่ 298,140 ต้น หรือคิดเป็น 1,491 ไร่
ที่น่าสนใจก็คือ Carbon Markets Club ที่เกิดขึ้นครั้งนี้
ยังช่วยประสานงานการขายให้แก่คนทั่วไปที่ต้องการซื้อ คาร์บอนเครดิต จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก หรืออบก. อีกด้วย
รู้หรือไม่ว่า ค่าเฉลี่ยคนไทยปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ 3.77 ตันต่อคน
โดยตัวเลขนี้จะเป็นการคำนวณค่าเฉลี่ยจากภาคการผลิตและภาคขนส่งของประเทศ
ที่ในปี 2020 มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ รวมกัน 224.3 ล้านตัน
โดยแบ่งเป็นภาคการผลิตไฟฟ้า 40% ภาคอุตสาหกรรม 29% ภาคขนส่ง 25%
ที่เหลือคือภาคธุรกิจอื่น ๆ 6%
ข้อมูลตรงนี้ ทำให้ปฏิเสธไม่ได้ว่า ใน 1 วันตัวเราเองก็เป็นผู้ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนฯ
เพราะเราต้องใช้ไฟฟ้าและเดินทางบนท้องถนนอยู่เป็นประจำ
ซึ่งหากใครที่สนใจเข้าร่วม Carbon Markets Club หรืออยากจะซื้อคาร์บอนเครดิต
ก็สามารถติดต่อสอบถามไปที่กลุ่มบางจากฯ
ทีนี้หลายคนคงถามว่า แล้วเงินที่ได้จากการขายคาร์บอนเครดิตถูกนำไปใช้ประโยชน์อะไร ?
คำตอบก็คือ นอกจากจะนำไปใช้ในเรื่องพัฒนาสิ่งแวดล้อมแล้วนั้น
เงินอีกก้อนก็จะถูกนำไปใช้พัฒนากระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
อีกทั้งในอนาคตก็มีแนวโน้มว่าจะสามารถนำใบรับรองการซื้อคาร์บอนเครดิต
ไปลดหย่อนภาษีได้อีกต่างหาก
ทีนี้ก็น่าจะทำให้เกิดคำถามว่า ควรซื้อหรือไม่ควรซื้อ ?
เรื่องนี้ก็คงขึ้นอยู่กับมุมมองและความสมัครใจของแต่ละคน
ส่วนในมุมของ ลงทุนแมน เรื่องนี้อาจไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
เพราะสิ่งที่อยากสื่อสารตั้งแต่ตัวอักษรแรกในบทความนี้
คือต้องการจะบอกทุกคนว่า ที่ผ่านมาเราต่างรู้สึกกันว่า
ในแต่ละวันที่มีอุณหภูมิร้อนขึ้น เราอาจมองว่าเป็นเรื่องปกติ
แต่ความจริงแล้วปัญหานี้แค่รอเวลาจะ “ระเบิด”
ซึ่งมันจะระเบิดในช่วงเวลาที่เรามีชีวิตอยู่ หรือจะรุ่นลูกรุ่นหลาน คงไม่มีใครตอบได้
แต่ที่แน่ ๆ ภาวะโลกร้อน ณ วันนี้ ยังคงไม่มีทางแก้ไข
สิ่งที่ทำได้แค่เพียง “ซื้อเวลา” ที่จะไม่ให้วิกฤติต่าง ๆ เกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิดไว้ นั่นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.greenpeace.org/thailand/story/1729/1-5degrees/
-https://thaipublica.org/2020/05/2020-to-be-to-hottest-year-heat-reaching-human-tolerance/
-https://urbancreature.co/reenindex-carbondioxide/
-https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/921002
-ข่าวประชาสัมพันธ์ Carbon Markets Club
podcast วันนี้ 在 LDA World Youtube 的精選貼文
หลังจากที่เพื่อน ๆ คอมเมนต์อยากให้เรารีวิวเปรียบเทียบ AirPods ไม่รู้จะซื้อรุ่นไหนดี
แต่ละรุ่นมีจุดเด่นยังไง เหมาะกับใคร แล้วคุ้มค่ามั้ยที่จะซื้อ?
.
วันนี้ มีร่า LDA สรุปมาให้ฉบับเข้าใจง่าย ข้อมูลครบ ดูจบตัดสินใจได้เลย!
.
00:42 AirPods หูฟังน้องเล็ก ใส่สบาย
02:31 AirPods Pro หูฟังพี่รอง สำหรับคน Active
04:59 AirPods Max หูฟังพี่ใหญ่ เสียงที่ใช่ คุณภาพเน้น ๆ
07:45 ฟีเจอร์ใหม่ เปิดตัวพร้อม iOS15
09:14 สรุป
.
ใครใช้ AirPods รุ่นไหนอยู่ ชอบอะไร มาป้ายยาเพื่อน ๆ ในคอมเมนต์กันนะคะ หรือ อยากให้มีร่ารีวิวหูฟังรุ่นไหน ก็มาคอมเมนต์กันไว้ได้เลยย ?
รีวิวเต็ม AirPods ทั้ง 3 รุ่น
AirPods : youtube.com/watch?v=gIRhI5snWZk
AirPods Pro : youtube.com/watch?v=z31Hjduv1Rs
AirPods Max : youtube.com/watch?v=iTfqDnsEhVM
-------------------------------------------------------------
ABOUT US
Facebook: http://www.facebook.com/LDAworld
Tiktok: https://www.tiktok.com/@ldaworld?lang=en
Blog: http://www.ldaworld.com
Instagram: http://www.instagram.com/ldaworld
Twitter: http://twitter.com/ldaworlds
PODCAST
Spotify : https://spoti.fi/2v8nNY9
Apple Podcast : https://apple.co/35NteJc
Podbean : https://ldapodcast.podbean.com
ติดต่องาน/ลงโฆษณา : contact@flourish.co.th
โทร : 086-363-6683
podcast วันนี้ 在 LDA World Youtube 的精選貼文
มือใหม่หัดลงทุน: หุ้น vs. กองทุน vs. คริปโต ต่างกันยังไง? ลงทุนอันไหนดี?
ใครที่กำลังเริ่มสนใจเรื่องการลงทุนห้ามพลาด
วันนี้ Oil - LDA มาอธิบายความหมาย
ความต่าง ระหว่าง หุ้น กองทุนรวม และ Crytocurrency
ครบ จบในคลิปเดียว ดูจบตัดสินใจได้เลย ?
-------------------------------------------------------------
ABOUT US
Instagram: http://www.instagram.com/ldaworld
Facebook: http://www.facebook.com/LDAworld
Twitter: http://twitter.com/ldaworlds
Blog: http://www.ldaworld.com
PODCAST
Spotify : https://spoti.fi/2v8nNY9
Apple Podcast : https://apple.co/35NteJc
Podbean : https://ldapodcast.podbean.com
ติดต่องาน/ลงโฆษณา : contact@flourish.co.th
โทร : 086-363-6683
podcast วันนี้ 在 LDA World Youtube 的精選貼文
วันนี้ Oil-LDA พาไปเที่ยวกับรถยนต์คันใหม่ New Honda City e:HEV รถครั้งแรกของฮอนด้าที่นำเอาระบบขับเคลื่อน Sport Hybrid Intelligent Multi-Mode Drive (i-MMD) ระบบ Full Hybrid มาไว้ในรถยนต์ B-Segment ในราคาที่เข้าถึงได้ พร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING แบบจัดเต็มมากก
.
สัมผัสและทดลองขับ New Honda City e:HEV ได้แล้ววันนี้ ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://bit.ly/3enxM02
#HondaThailand #NewCityeHEV #FlyToTheMoon #OilLDA
-------------------------------------------------------------
ABOUT US
Instagram: http://www.instagram.com/ldaworld
Facebook: http://www.facebook.com/LDAworld
Twitter: http://twitter.com/ldaworlds
Blog: http://www.ldaworld.com
PODCAST
Spotify : https://spoti.fi/2v8nNY9
Apple Podcast : https://apple.co/35NteJc
Podbean : https://ldapodcast.podbean.com
ติดต่องาน/ลงโฆษณา : contact@flourish.co.th
โทร : 086-363-6683