Sean Parker อดีตแฮกเกอร์ ผู้เคยเป็นประธานบริษัท Facebook /โดย ลงทุนแมน
หากใครที่เคยรับชมภาพยนตร์ “The Social Network”
ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของบริษัท Facebook
รวมถึงผู้ก่อตั้งวัยหนุ่มที่ชื่อว่า Mark Zuckerberg
คงไม่มีทางลืมตัวละครหนึ่ง ที่มีชื่อว่า Sean Parker อย่างแน่นอน
ชายที่มีความยียวนกวนใจ แต่ก็แฝงไปด้วยความเฉลียวฉลาด
ซึ่งเขาคนนี้ เป็นคนที่ไม่ว่าจะพูดอะไร Mark Zuckerberg ก็เห็นดีเห็นงามไปหมด
ถึงขนาดที่ยกตำแหน่งประธานบริษัท Facebook ให้กับ Parker ไปเลย
แม้ว่าในช่วงเวลานั้นเขาจะมีอายุเพียง 24 ปีเท่านั้น
ซึ่งถ้าหากดูประวัติของ Sean Parker อย่างละเอียด
ก็คงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชายคนนี้ถึงสามารถจูงใจ
และมีอิทธิพลต่อ Mark Zuckerberg อย่างมาก
แล้วประวัติของ Sean Parker น่าสนใจอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Sean Parker เกิดที่รัฐเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 1979
เมื่ออายุได้ 7 ขวบ พ่อของเขาทำให้เขาได้รู้จักอีกโลกหนึ่งนั่นคือ โลกของคอมพิวเตอร์
โดยพ่อของเขาได้สอนวิธีเขียนโปรแกรมบนเจ้าคอมพิวเตอร์รุ่น Atari 800
ตั้งแต่นั้นมา Sean Parker ก็ได้หลงรักและสามารถเขียนโคดเป็นตั้งแต่เด็ก
จากทักษะและความชอบสิ่งนี้ ส่งผลให้ชีวิตของ Sean Parker เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
เริ่มตั้งแต่ในช่วง 15 ปี Sean Parker ได้สร้างวีรกรรมที่โด่งดัง จน FBI ต้องสืบและตามจับ
โดยสิ่งที่เขาทำคือการแฮกฐานระบบข้อมูลของมหาวิทยาลัยและบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลก
จริง ๆ แล้ว เขามักจะแฮกข้อมูลเป็นงานอดิเรกเพราะไม่มีใครตามจับได้
แต่ในที่สุดเขาก็ถูก FBI จับได้ ขณะที่กำลังแฮกข้อมูลบริษัทอื่นอยู่
และเหตุผลที่เขาโดน FBI ตามตัวจนพบ
ก็เพราะว่าพ่อของเขาเข้ามายึดคีย์บอร์ดไว้ เนื่องจากเห็นว่าลูกของตนเล่นคอมพิวเตอร์มากจนเกินไป ทำให้เขาไม่สามารถออกจากระบบได้ทันเวลา จึงส่งผลให้ FBI ตามสืบได้
แต่เนื่องจาก Sean Parker มีอายุเพียง 15 ปี
โทษที่เขาได้รับจึงเป็นเพียง การบำเพ็ญประโยชน์ให้กับชุมชนเท่านั้น
จากเรื่องนี้แม้สุดท้าย Sean Parker จะโดนจับได้
แต่ก็ทำให้เขาเริ่มมีชื่อเสียงในวงการนี้มากขึ้น
ทำให้เขาได้รู้จักกับชาวแฮกเกอร์วัยเดียวกันที่ชื่อว่า “Shawn Fanning”
ซึ่งคนนี้เองเป็นคนที่กำลังจะมีบทบาทสำคัญในอนาคตของเขา
ด้วยนิสัยใจคอและความชอบที่เหมือนกัน จึงทำให้ทั้งสองตัดสินใจทำธุรกิจร่วมกัน
โดยไอเดียธุรกิจแรกที่พวกเขาคิดคือ Crosswalk ที่จะเข้ามาช่วยป้องกันการโจมตีจากแฮกเกอร์
แต่เนื่องจากทั้งคู่ยังมีประสบการณ์ที่น้อย จึงยังไม่สามารถผลักดันให้กลายเป็นธุรกิจจริงได้
ทั้งสองจึงตกลงแยกย้ายกันไปฝึกทักษะและหาประสบการณ์เพิ่มเติม
เพื่อที่วันข้างหน้าจะได้กลับมาร่วมทำธุรกิจกันอีก
ปีต่อมาเมื่อ Sean Parker อายุ 16 ปี เขาก็ได้ทำโปรแกรมที่รวบรวมข้อมูลเว็บไซต์ในยุคแรก ๆ ขึ้นมาสำเร็จ ส่งผลให้เขาได้รับรางวัลงานวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์แห่งรัฐเวอร์จิเนีย
และเป็นที่ถูกอกถูกใจของหน่วยงาน CIA เป็นอย่างมาก ถึงขนาดต้องการจ้างเขาเข้ามาทำงาน
แต่ Sean Parker ก็ได้ปฏิเสธเพราะตนสนใจเรื่องธุรกิจมากกว่า
จึงทำให้เขาเลือกทำงานกับเหล่าบริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ
เช่น FreeLoader และ UUNet บริษัทผู้บุกเบิกการให้บริการทางอินเทอร์เน็ต
ในปีสุดท้ายของการศึกษาระดับชั้นมัธยมปลาย เขาสามารถสร้างเงินได้ถึง 2.5 ล้านบาท
ซึ่งเพียงพอที่จะโน้มน้าวให้พ่อแม่ของเขาปล่อยให้เขาเลือกที่จะไม่เรียนมหาวิทยาลัยต่อ
ช่วงเวลานี้เองที่ Shawn Fanning เพื่อนแฮกเกอร์คนสนิทของเขาก็ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง
และเขาก็ได้เล่าถึงโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นมา ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานสามารถแชร์ไฟล์เพลงบนโลกอินเทอร์เน็ตได้
Sean Parker เห็นว่าโปรแกรมนี้สามารถต่อยอดไปได้อีกไกล
จึงเกลี้ยกล่อมเพื่อนของเขาให้นำมาสร้างเป็นธุรกิจอย่างจริงจัง
ในที่สุดทั้งคู่ก็ได้ต่อยอดโปรแกรมดังกล่าวกลายมาเป็น “Napster”
แพลตฟอร์มที่ให้ผู้คนสามารถแชร์และดาวน์โหลดเพลงด้วยกัน
Napster ได้สร้างความฮือฮาให้กับอุตสาหกรรมวงการเพลงอย่างมาก
ทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิตเพราะนี่ถือเป็นครั้งแรกที่ผู้คนส่วนใหญ่หันมาดาวน์โหลดเพลง
บนโลกอินเทอร์เน็ตแทนการซื้อเพลงแบบออฟไลน์ อย่างเช่น แผ่นเสียงและซีดี
เรื่องดังกล่าว เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้คนยุคหลังเปลี่ยนพฤติกรรมมาฟังเพลงบนโลกออนไลน์
และ Napster ยังสร้างสถิติผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มมากที่สุด มีจำนวนถึง 80 ล้านคนเลยทีเดียว
แต่ด้วยความที่ผู้คนนำเพลงมาแจกผ่านแพลตฟอร์มแบบนี้
ถือเป็นสิ่งที่ผิดลิขสิทธิ์และค่ายเพลงเสียผลประโยชน์อย่างมหาศาล
จึงทำให้สุดท้าย Napster ถูกฟ้องร้องและต้องปิดตัวลงไป
แต่รู้หรือไม่ว่า จากกระแสที่มาแรงของ Napster ทำให้เกิดบริการหนึ่งในเวลาต่อมา
นั่นก็คือ iTunes ของ Apple เพราะ Steve Jobs เห็นแล้วว่าพฤติกรรมของผู้คนกำลังเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่ซื้อแบบแผ่นเสียง แต่ตอนนี้กลับมาดาวน์โหลดผ่านโลกออนไลน์
เขาจึงตัดสินใจใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์ ในการเข้าไปผูกมิตรกับค่ายเพลง
เพื่อที่ตนจะสามารถนำเพลงมาวางขายบน iTunes ได้อย่างถูกต้อง
และอย่างที่รู้กัน iTunes ก็ประสบความสำเร็จในเวลาต่อมา
เรื่องนี้เองทำให้ Sean Parker ไม่พอใจอย่างมาก
แต่ตนก็ไม่สามารถทำอะไรได้ จึงตัดสินใจคิดหาธุรกิจตัวใหม่ขึ้นมา
โดยใช้ประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้จากธุรกิจที่แล้ว
ทั้งเรื่องการเงิน กฎหมายธุรกิจต่าง ๆ และความเป็นผู้ประกอบการ
และแล้วก็ได้เกิดธุรกิจใหม่ที่มีชื่อว่า “Plaxo” ซึ่งเป็นบริการที่มาช่วยเหลือสำหรับขยายกลุ่มผู้ใช้งานบนเครือข่ายสังคมออนไลน์และบริการนี้เองมีส่วนช่วยให้ LinkedIn และ Facebook ประสบความสำเร็จในเวลาต่อมา
เมื่อธุรกิจเริ่มดำเนินไปได้ดี Sean Parker กลับละเลยการทำงาน
ทำให้สุดท้ายเขาก็โดนเพื่อน ๆ ที่ร่วมก่อตั้งกันมาไล่ออกในที่สุด
และแล้วในช่วงหลังจากนี้เอง ที่เขาได้รู้จักกับเว็บไซต์
ที่ในช่วงนั้นกำลังเป็นกระแสที่ชื่อว่า “Facebook”
เขาทดลองเล่น พบว่าโซเชียลมีเดียตัวนี้ทำให้ตนเองติดมาก
จึงรีบหาช่องทางติดต่อกับ Mark Zuckerberg เพื่อมาพูดคุยสานความสัมพันธ์กัน
ซึ่ง Mark Zuckerberg ก็ตอบตกลงเพราะนับถือ Sean Parker เป็นดั่งไอดอลอยู่แล้ว
จากวีรกรรมแฮกฐานข้อมูล และการก่อตั้งบริษัทสุดเจ๋งอย่าง Napster
ในช่วงเวลานั้น Facebook ยังให้บริการเฉพาะนักศึกษาเท่านั้น
แต่ Sean Parker คิดว่า Facebook มีศักยภาพมากกว่านั้น
จึงแนะนำให้ Mark Zuckerberg ขยายฐานผู้ใช้งาน
และเขาก็เป็นคนแนะแนวทางให้ด้วยว่า
Facebook ยังไม่ต้องเร่งรีบหารายได้ ให้เพิ่มจำนวนผู้ใช้งานก่อน
เพราะถ้าหากหารายได้จะเกิดข้อจำกัดหลาย ๆ ด้าน
เช่น โฆษณาอาจจะอยู่รกเต็มบนเว็บไซต์ จนผู้ใช้งานหนีไปใช้ของคู่แข่งรายอื่น
นอกจากคำแนะนำแล้ว Sean Parker ก็ได้เข้ามาช่วย Facebook ตั้งแต่เรื่องการเจรจาขอเงินทุน
ทั้งจาก Peter Thiel ผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal และ Accel Partners บริษัทร่วมลงทุน
เพราะแม้ว่าช่วงนั้น Facebook จะไปได้ดี มีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น
แต่ก็ไม่มีใครร่วมลงทุนด้วย เนื่องจากไม่เห็นโอกาสทางธุรกิจ
แต่ Sean Parker กลับสามารถดึงดูดนักลงทุน
ด้วยวิสัยทัศน์ที่วาดไว้ให้กับ Facebook
จึงทำให้บริษัทสามารถคงอยู่รอดต่อไปได้
เริ่มตั้งแต่การกำหนดกลยุทธ์ของ Facebook ช่วงแรก
ที่เน้นตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานก่อนหารายได้
การผลักดันฟังก์ชันของ Facebook ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถลงรูปได้ นอกจากข้อความ
รวมถึงปุ่มแชร์ ที่อนุญาตให้ผู้ใช้อัปโหลดบทความข่าว วิดีโอ และเนื้อหาของบุคคลที่สาม
แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ Sean Parker ทำให้กับ Facebook คือ
การวางโครงสร้างองค์กรที่ทำให้ Mark Zuckerberg สามารถควบคุมบริษัท
ได้อย่างสมบูรณ์และถาวร โดยเขาใช้ประสบการณ์อันเจ็บปวดที่เคยได้รับจาก Plaxo
ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจ จึงทำให้ Mark Zuckerberg
แต่งตั้ง Sean Parker เป็นประธานของบริษัท
แต่สุดท้ายเขาก็ถูกไล่ออกจากบริษัทอีกครั้ง หลังถูกจับได้ว่าเสพโคเคนในงานปาร์ตี..
แม้ว่าจะออกจาก Facebook ไปแล้ว
แต่ Sean Parker ยังคงให้คำแนะนำ Mark Zuckerberg
เกี่ยวกับกลยุทธ์และสรรหาผู้บริหารระดับสูงอย่าง Chamath Palihapitiya
หลังจากออกจาก Facebook เขาก็ไปเป็นหุ้นส่วนของ Founders Fund
กองทุนที่มีนโยบายลงทุนในธุรกิจ Startup โดยมีผู้ก่อตั้งคือ Peter Thiel
เวลาล่วงเลยผ่านไปหลายปี แต่ Sean Parker ก็ยังไม่หยุดคิดถึง Napster
แพลตฟอร์มสุดรักที่ตนสร้างขึ้น เขาจึงค้นหาบริษัทที่มีอุดมการณ์เช่นเดียวกัน
และแล้วก็ไปเจอกับสตรีมมิงที่ชื่อว่า Spotify
แม้ว่าเขาจะอยากลงทุนในบริษัทแห่งนี้มากเพียงใดก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถลงทุนได้
เนื่องจาก Spotify ได้รับเงินเพียงพอสำหรับการดำเนินธุรกิจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
Sean Parker จึงหาทางสนับสนุนทางอื่น หนึ่งในนั้นก็คือการโปรโมต Spotify ผ่าน Facebook
เพื่อช่วยให้แพลตฟอร์มสตรีมมิงจากยุโรปตัวนี้ เข้ามาตีตลาดเพลงในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งตอนนั้นมี iTunes เป็นคู่แข่งหลัก รวมถึงเขาก็ยังได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง Spotify และค่ายเพลงอย่าง Warner และ Universal อีกด้วย
ทั้งหมดนี้ก็เพียงพอที่ทำให้เขาชนะใจคณะกรรมการของบริษัท Spotify
จนได้กลายมาเป็นหนึ่งในผู้ร่วมลงทุนในที่สุด
ด้วยความที่ชื่นชอบเทคโนโลยีและธุรกิจ รวมถึงหลงใหลในความท้าทายตลอดเวลา
ทำให้ชีวิตหลังจากนั้น Sean Parker ก็ยังเป็นทั้งผู้ประกอบการและนักลงทุนอยู่เรื่อยมา
โดยปัจจุบัน เขามีมูลค่าทรัพย์สินที่ 90,000 ล้านบาท
และนี่ก็คือเส้นทางชีวิตของ Sean Parker อดีตแฮกเกอร์ และเป็นส่วนหนึ่งของเบื้องหลังความสำเร็จของ Facebook ที่ตอนนี้เป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดอันดับที่ 6 ของโลกไปแล้ว นั่นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.businessinsider.com/sean-parker-life-career-napster-facebook-billionaire-pictures-2020-3#parker-is-also-a-philanthropist-and-a-friend-described-him-to-vanity-fair-as-one-of-the-most-generous-people-i-know-in-2015-he-donated-600-million-to-launch-the-parker-foundation-which-focuses-on-funding-programs-in-life-sciences-global-public-health-and-civic-engagement-20
-https://www.forbes.com/sites/stevenbertoni/2019/12/23/best-stories-of-the-decade-sean-parker-agent-of-disruption/?sh=6aa467237a01
-https://www.biography.com/business-figure/sean-parker
-https://www.forbes.com/profile/sean-parker/?sh=5c3413014b73
-https://www.rollingstone.com/culture/culture-news/itunes-10th-anniversary-how-steve-jobs-turned-the-industry-upside-down-68985/
-https://startuptalky.com/sean-parker-story/
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
「public figure คือ」的推薦目錄:
- 關於public figure คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
- 關於public figure คือ 在 น้องง Facebook 的精選貼文
- 關於public figure คือ 在 コバにゃんチャンネル Youtube 的最讚貼文
- 關於public figure คือ 在 大象中醫 Youtube 的精選貼文
- 關於public figure คือ 在 大象中醫 Youtube 的最讚貼文
- 關於public figure คือ 在 MoreMeng.in.th - คำว่า public figure มันหมายถึง... - Facebook 的評價
- 關於public figure คือ 在 วิธีสร้างเพจ Facebook 2023 แล้วใครยังไม่มีเพจของตัวเองบ้าง 的評價
- 關於public figure คือ 在 การเลือกประเภทของ Facebook Page จุดเล็กๆที่ควรให้ความสำคัญ 的評價
- 關於public figure คือ 在 5 ขั้นตอนวิธีการเปิดใช้งาน Facebook Page - Mew Social 的評價
- 關於public figure คือ 在 เปิดเพจ (Facebook Page) เลือกประเภทแบบไหนดีล่ะ ? 的評價
- 關於public figure คือ 在 อัปเดตฟีเจอร์และการเปลี่ยนแปลง Facebook ในเดือน ธค - มค 的評價
public figure คือ 在 น้องง Facebook 的精選貼文
เลียควยประยุทธขนาดนี้ ก็ได้ขึ้นพูดเวทีครบรอบ1ปีพรรคอนาคตใหม่อะ เอาดิ ความแมสอะมึง
"การเลือกตั้ง ไม่ใช่ Solution ทุกอย่างของชาติ"
...ประเทศแห่งความหวัง...
อย่าฝากความหวังของประเทศไว้กับ "การเมือง"
ถ้าเรื่องของตัวเองไม่เคย 'ทำหน้าที่' ให้ดีเสียก่อน
written by Thanabatra Beboyl Chaidarnn
page owner: ตุ๊ดส์review / Pussy can talk
นี่เป็นบทความสุดท้ายที่ส่งท้ายเรื่องการเมืองก่อนการเลือกตั้งในวันพรุ่งนี้ ถูกเขียนขึ้นเพื่อออกมาเตือนสติใครหลายๆคนในชาติให้ฉุกคิด และหันกลับมามองความจริงให้ตาสว่างไสว ก่อนไปเลือกใครสักคนที่ Love ที่สุดมาเป็นคณะรัฐบาลดูแลชาติแทนเรา
📌 เปลี่ยนมากี่ยุคสมัย ประเทศไทยไม่ได้แปลงร่างเป็น "ประเทศพัฒนาแล้ว" ซะที
จริงๆ เราไม่ได้เลือกตั้งนานแล้วก็จริง แต่ว่าเราเปลี่ยนรัฐบาลบ่อยอยู่นะ แต่ชาติเราเปลี่ยนผ่านมากี่รุ่นกี่ยุค เรายังคงเป็นประเทศโลกที่... ประเทศกำลังพัฒนา ไม่รู้ว่าพัฒนาถึงไหนแล้วเหมือนกัน ว่าแต่ทำไมนะ??? ทำไมพัฒนาไม่เสร็จเสียที?
📌 ประเทศแห่งความหวัง หรือ แค่ฝันลมๆแล้งๆ?
"เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน แล้วแผ่นดินที่งดงาม จะคืนกลับมา" มารึยัง งดงามรึยังตอนนี้?
ที่ผ่านมา เราเลือกผู้นำกันด้วยความคาดหวังสูงปรี๊ดนะ ตอนสมัยลุงตู่ แม้จะไม่ได้เลือก แต่เราก็มีความหวังยิ่งใหญ่ ซึ่งก่อนหน้านี้ เมื่อหลายปีที่แล้ว ก็เห็นมีหลายท่านสนับสนุนทหารอยู่ จนพักหนึ่งคนเห็นว่าไม่เวิร์คก็เลยกลับลำ
บางทีลุงตู่ อาจจะไม่ได้ทำหน้าที่เลวร้ายขนาดที่ใน social network โจมตีก็เป็นได้ แต่เราลองวิเคราะห์ดีๆว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมประเทศเราเหมือนถูกแช่แข็ง?
📌 ความจริงของประเทศนี้ คือ รากเหง้าของประเทศ เป็นศูนย์รวมแห่งมนุษย์จอม 'ขี้เกียจ' 'มักง่าย' และ 'รอคอยความหวัง'
ต่อให้นายกรัฐมนตรีเก่งกาจแค่ไหน แก้ปัญหาชาติได้ดี หรือทีมงานของเขาจะไม่โกงกิน มีนาฬิกาแค่คนละเรือน และไม่ได้ไปยืมเพื่อนมา แต่บางที ปัญหามาจากรากเหง้าของประเทศ ที่จริงๆแก้เท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จหรอก เพราะอาจจะต้องแก้ที่ "คนในชาติก่อน"
เพราะความเคยชินของคนไทย ที่เราเติบโตในระบบอุปถัมภ์ ต้องการคนมาดูแล support คุ้มกะลาหัวเรา ดูแลฉันที มาช่วยฉันให้ฉันลืมตาอ้าปากได้เสียที หรือจริงๆแล้ว ควรต้องเริ่มต้น แก้ไขที่ตัวเองก่อนพึ่งพารัฐบาล?
- ด้านความยากจน: ก่อนจะมีบัตรคนจน / บัตรประชารัฐ เราทุกคนทำหน้าที่ทำมาหากินสุดความสามารถแล้วรึยัง? เคยใส่ความคิดสร้างสรรค์กับที่ทำกิน และอาชีพของตนเองให้เต็มที่ ก่อนระบุตัวเองด้วยคำว่า "ฉันเป็นคนจน" ลองสุดแล้วรึยัง? ก่อนแบมือรับบัตร รับเงิน ที่ก็ไม่ได้ช่วยให้ลืมตาอ้าปากได้จริง
- ด้านการศึกษา: เด็กๆ ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ อันนี้เราเข้าใจว่ารัฐต้องอุดหนุนช่วยเหลือ แต่นั่นหมายความว่า เด็กทุกคนเอง ก็ต้องทำหน้าที่เป็นเด็กที่ตั้งใจเรียน เป็นเด็กที่เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ ไม่เกเร ไม่สร้างความเดือดร้อนให้บ้านเมืองด้วย มันถึงจะควรค่าแก่ทุนทรัพย์ที่ได้รับการอุดหนุน และพ่อแม่ต้องส่งเสริมลูกถูกทาง ฉลาดในการเลี้ยงบุตรด้วย
- ด้านสิ่งแวดล้อม: ชาติเรา สิ่งแวดล้อมแย่จังเลย รอรัฐมาจัดการ ต้องถามตัวเองว่าพวกเราดูแลสิ่งแวดล้อมกันคนละไม้คนละมือได้ แต่เราเคยทำกันไหม? ในขณะที่ พวกนักธุรกิจที่ลักลอบตัดไม้ก็ยังทำเลวอยู่ นั่นหมายความว่า รัฐบาลเก่งแค่ไหน ก็ปราบคนเลว ก็คงจัดการสิ่งแวดล้อมแบบขอไปที เอาไม่อยู่หรอก เพราะปริมาณคนทำลาย มันมากกว่าคนสร้างสรรค์
- ด้านการจราจร: เราคาดหวังให้ปัญหาการจราจรบรรเทาลง รัฐมาช่วยที สร้างถนนใหม่ วางผังเมืองใหม่ รถไฟฟ้า สาธารณูปโภคมาช่วยฉันที แต่ทุกบ้านมีรถคนละคัน ทุกคนขับรถออกมา แล้วก็ไม่ค่อยเคารพกฎจราจรด้วย คิดว่ารัฐบาลเค้าจะช่วยไหวเหรอ
📌 จะแก้ปัญหาชาติได้ ทุกอย่างต้องมาแบบ 50 : 50
-- 50% แรก มาจากรัฐบาล --
รัฐบาลต้องเก่ง ฉลาด มี case study ของชาติอื่นเทียบเคียงในการแก้ปัญหา เข้าใจปัญหา แล้วแก้ถูกจุด คือครึ่งแรกที่ต้องมาเต็ม แล้วพวกเขาจะใช้งบประมาณของชาติอย่างชาญฉลาดที่สุด เพื่อแก้ปัญหาในทุกด้าน (ที่โคตรเยอะของประเทศเรา ความยากจน เศรษฐกิจ การเกษตร สาธารณสุข การศึกษา ฯลฯ)
ดังนั้น ครึ่งแรกที่จะต้องเกิดขึ้นคือการมีรัฐบาลที่เอาใจใส่จริงๆ และไม่โง่ก่อน ส่วนถ้าไม่โกงชาติด้วยก็จะยิ่งดีมาก แล้วก็ควรทำงานเป็นทีม อย่าเก่งแค่นายก ที่เหลือควรฉลาดด้วย ไม่ใช่ฉลาดโกง เอาเวลายืมนาฬิกาเพื่อน มาหากลยุทธ์พัฒนาชาติด้วย
-- 50% หลัง มาจากคนในชาติ --
ถามตัวเองก่อนด่ารัฐบาล "ทำหน้าที่ตัวเอง" ในฐานะพลเมืองของชาติดีที่สุดรึยัง
เรางอมืองอเท้าไหม?
เรายังคงทิ้งขยะมั่วซั่วสร้างความสกปรกให้ชาติไหม?
เราเรียนหนังสือตั้งใจ เป็นเด็กดีไหม?
เราดูแลลูกดีไหม? ส่งเสริมเค้าถูกทางไหม?
เราทำธุรกิจที่สะอาดไหม? บ่อนทำลายชาติไหม?
เราต้องดี ดีให้มากพอ...เพื่อไม่สร้างปัญหาให้ชาติเสียก่อน แล้วคิดเอาว่า ถ้าทั้งประเทศทำดีที่สุดในการใช้ชีวิตในประเทศเรา ผมเชื่อว่า ปัญหาต่างๆมันจะลดลงเอง แล้วรัฐบาลจะเริ่มมี focus มากขึ้น ไม่ใช่แก้ปัญหามั่วไปหมดทุกอย่าง เพราะปัญหามันเยอะล้นมือเกินแก้ เราคนละมือ ต้องย้อนถามตัวเองให้มาก ว่าเคยช่วยชาติทำหน้าที่ของตัวเองดีที่สุดบ้างไหม?
สรุปคือ รัฐบาล และคนในสภาต้องฉลาด และไม่ชั่ว ในขณะที่เราเองก็ต้องฉลาด และไม่ชั่ว เช่นกัน
📌 อย่าคิดแค่ว่า การเลือกตั้งจะเป็น solution ทุกอย่างของประเทศ
ถ้าทุกคน ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุด ทั้งฝั่งรัฐบาล และฝั่งประชาชน ชาติจึงจะสำเร็จ อย่าคิดแค่ว่า การเลือกตั้งจะเป็น solution ทุกอย่างของประเทศ ไปฝากฝังประเทศไว้ในมือคนอื่น แต่ 'ในมือเรา' ดันว่างเปล่า
ทุกคนต้องทำหน้าที่ของตัวเอง มิใช่รอพระเอกขี่ม้าขาว เพราะเราอาจจะรอทั้งชีวิตก็ได้ ในขณะที่ชีวิตเราไม่ได้ดีขึ้นเลย เพราะว่าเราทุกคน มัวแต่นั่งรอเฉยๆ แต่ไม่เคยทำอะไรให้ดีขึ้นเสียที
จะกี่ปีผ่านไป...ก็คงยังเป็นประเทศกำลังพัฒนา ร่ำไป
ถ้าเรายังคิดไม่ได้ว่าหน้าที่เรา เราทำดีที่สุดในฐานะ "พลเมืองของชาติที่ดี" รึยัง?
"ก่อนโทษเขา ก่อนฝากชีวิตไว้กับเขา
ทำชีวิตเราให้ดีที่สุด บนหน้าที่ของเรา"
-----
หน้าที่ของพวกเรา ไม่ใช่แค่เลือกตั้งหรอก มีอะไรให้ทำอีกเยอะ ที่จะให้ชาติเรามันเจ๋งกว่านี้น่ะ อย่าคิดพึ่งคนอื่น ถ้าตัวเองไม่เคยลงมือทำอะไรเลย
'การเลือกตั้ง' จึงเป็นได้แค่จุดเริ่มต้นที่สำคัญในการหาคนมาช่วยแก้ปัญหา และพาชาติไปข้างหน้า...แต่ 'เราทุกคน' ต้องก้าวด้วย แล้วช่วยชาติเดินหน้า อย่าจบหน้าที่แค่เลือกตั้งแล้วร้อง เย่! เพราะการขับเคลื่อนชาติ มันมากกว่าแค่เลือกใครสักคนมาแก้ปัญหาแล้วจบ และก็แค่ทิ้งภาระให้เขาทำหน้าที่ แค่นั้นไม่พอหรอกครับ
ยกหน้าที่ให้เขาแก้ปัญหา...เราต้องไม่สร้างปัญหา และช่วยหยุดปัญหาด้วยมือเราก่อน
อย่าแค่ไปเลือกตั้ง เพื่อโยน "ขี้ของชาติ" ให้ใครสักคนมาแก้ แต่ตัวเราต้องทำหน้าที่พลเมืองที่ดีของชาติด้วย
-----
บทความ: "อย่าสูญเสียความสัมพันธ์คนรอบข้าง ถวายให้แด่การเมือง"
https://www.facebook.com/332977620507759/posts/607012823104236/
"election is not a solution of everything of the nation"
... a country of hope...
Don't leave the country's hope on "politics"
If your business never 'do good'
written by @[1228486403:2048:Thanabatra Beboyl Chaidarnn]
page owner: @[332977620507759:274:ตุ๊ดส์review] / @[205184872969590:274:Pussy can talk]
This is the last article that ends politics before tomorrow's election. It was written to remind many people in the nation to think and look back to see the truth. Let your eyes bright before choosing someone who loves the most to be the government to take care of our nation for us.
📌 how many times have you changed? Thailand has not transformed into "developed country"
In fact, we haven't elected for a long time, but we have changed the government often. But how many generations have we changed? We are still a world country where... developing countries. I don't know where it is developed. But why??? Why are we develop? Not done?
📌 country of hope or just false dreams?
" we will follow our promise. Give me a minute and the beautiful land will return is it beautiful now?
In the past, we chose leaders with high expectations. When Uncle Tu, even though we didn't choose, we had great hope that many years ago, I saw many people supporting soldiers until a while. They saw that it didn't work, so I went back to lam.
Maybe uncle tu doesn't do a bad job in social network attack, but we try to analyze what happened. Why our country looks like frozen?
📌 the truth of this country is that the roots of the country are ' lazy human embodiment ', ' shortcuts ' and ' waiting for hope '
No matter how good the prime minister is, solve the national problem or his team will not cheat. There is only a different watch and didn't borrow friends. But sometimes the problem is from the roots of the country that actually solve it won't be solved because they may have to " people in the nation. Before "
Because of the naturalization of Thai people that we grew up in the foster system. Need someone to take care of support. Worth our head. Take care of me. Please help me. Let me open my eyes and open my mouth. Should I actually have to start fixing myself before relying on the government?
- poverty side: before the poor people / cuddle government card, have we all done our best to earn? Have you ever put creativity with your cooking and your career before identifying yourself with the word "I am poor" have you tried the best? Before taking a card, getting money that doesn't help you open your eyes.
- Education: children who are deprived of money. We understand that cuddle states need to support help. But that means that every child has to act as children who study hard. Be a good citizen of the nation. Not bad, no trouble for the city. It's worth the money to be bought and parents need to encourage the right way to raise their children.
- Environmental: our nation, environment is so bad. Waiting for cuddle states to deal with it. We have to ask ourselves if we can take care of the environment, different hands, but have we ever done it? While businessmen who smuggling wood are still doing bad things, that means no matter how good the government is, they will defeat bad people can handle the environment. They can't take it because the amount of destroyer is more than creative people.
- traffic side: we expect traffic problems to relieve cuddle states. Please help me build new roads, new city planning, utility cars, please help me. But every house has different cars. Everyone drives out and don't respect traffic rules. Do you think the government can help?
📌 to solve the national problem. Everything must come like 50: 50
-- the first 50 % are from the government --
The Government must be smart. There is case study of other nations. Compare to solve the problem. Understand the right point is the first half that they will use the nation's budget wisely to solve all aspects. (there are many of our country, poverty, economy. Agriculture, public health, education, etc.)
So the first half that must happen is to have a government that really care and not stupid first. If you don't cheat the nation, it will be better. Then you should work as a team. Don't be good at the prime minister should be smart, not smart, not smart. Take time to borrow Nation too
-- 50 % after people in the nation --
Ask yourself before cursing the government "doing your duty" as a citizen of the nation. is it the best
Do we have hands on feet?
Do we still dump the junk to make the nation filth?
Do we study hard to be good kids?
Do we take care of our kids? Promoting him the right way?
Do we do clean business? Mischief of the nation?
We need to be good enough... to not make problems for the nation first, then think that if the whole country does our best to live in our country, I believe that problems will be reduced and the government will start to focus more focus, not solve everything. Because there are too many problems to solve. We have to ask myself if i have to help the nation do your best?
In conclusion, government and Congress must be wise and not evil, while we must be wise and not evil.
📌 don't just think that election will be solution for everything of the country.
If everyone does their best, both government and people will be successful. Don't just think that election will be solution of the country. Ask for other people's hands, but ' in our hands ' is empty.
Everyone has to do their duty, not waiting for the actor to ride a white horse because we may wait for our whole life while our lives are not better because we all just sit and wait but never do anything better.
No matter how many years have passed... it's still a country. I'm developing.
If we can't figure out that our duty, we did our best as "citizens of a good nation" yet?
" before blaming him first, leave your life to him.
Make the best of our lives on our duty "
-----
Our duty is not just election. There is a lot to do to give our nation better than this. Don't rely on others if you never do anything.
' election ' can only be an important beginning to find someone to solve the problem and take the nation forward... but ' we all ' must step and help the nation move forward. Don't end your duty. Just election and cry. Yay! Because driving a nation is more than just choosing someone to solve the problem and end and just leaving the burden for him to do his duty. That's not enough.
Give him a duty to solve the problem... we must not create problems and stop the problem with our hands.
Don't just go to election to throw "National Shit" for someone to solve it, but we have to do good citizens of the nation.
-----
Article: "don't lose relationship. People around you offer to politics"
https://www.facebook.com/332977620507759/posts/607012823104236/Translated
public figure คือ 在 コバにゃんチャンネル Youtube 的最讚貼文
public figure คือ 在 大象中醫 Youtube 的精選貼文
public figure คือ 在 大象中醫 Youtube 的最讚貼文
public figure คือ 在 วิธีสร้างเพจ Facebook 2023 แล้วใครยังไม่มีเพจของตัวเองบ้าง 的推薦與評價
นอกจากนี้ อีกหนึ่งข้อดีที่ทำให้คนส่วนใหญ่เลือกใช้เพจ Facebook คือ ... Public Figures สำหรับบุคคลสาธารณะ ศิลปินดารา อินฟลูเอนเซอร์ บล็อกเกอร์ ฯลฯ ... ... <看更多>
public figure คือ 在 การเลือกประเภทของ Facebook Page จุดเล็กๆที่ควรให้ความสำคัญ 的推薦與評價
... Business or Brand หรือ Community or Public Figure ... ประโยชน์อีกหนึ่งข้อก็คือการค้นหาเพจ หลายๆคนคงรู้ว่าการ search ของ Facebook ... ... <看更多>
public figure คือ 在 MoreMeng.in.th - คำว่า public figure มันหมายถึง... - Facebook 的推薦與評價
คำว่า public figure มันหมายถึง บุคคลสาธารณะ แต่จะทำ verify badge ได้ คุณต้องมีชื่อเสียงด้วย (Celeb) ... <看更多>