40 #คาเฟ่เมืองเก่า สวยๆ 🙂 ใครเก็บที่ไหนมาแล้วบ้างง
40 #beautiful old city cafe 🙂 who has picked it up?Translated
Don’t Miss 40 Cafes in Bangkok Old Town มหากาพย์รวมคาเฟ่เมืองเก่า
.
Bangkok Old Town บอกเลยว่าเมืองเก่ากำลังกลับมาฮิต ใคร ๆ ก็แวะมาทำกิจกรรมกัน เดินเที่ยวถ่ายภาพเมืองเก่า แวะดื่มกาแฟตามคาเฟ่ เราเลยทำมหากาพย์รวมคาเฟ่เมืองเก่ามาให้ถึง 40 ร้าน โดยนับจากรัศมีรอบหลักกิโลเมตรที่ 0 ของกรุงเทพฯ ใกล้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
.
หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าหลักกิโลเมตรที่ 0 อยู่ตรงปากทางเข้าถนนดินสอนี่เอง แวะไปถ่ายภาพกันได้ เราลองใช้ Google Map วัดระยะทางคาเฟ่ต่าง ๆ ออกไปทุกทิศจากจุดศูนย์กลางของกรุงเทพฯ เราว่าระยะ 1 กิโลเมตรยังสบาย ๆ พอเดินได้ แต่ถ้าประมาณ 2 กิโลเมตร แนะนำให้นั่งแท็กซี่ หรือไม่ก็ค่อย ๆ ฮอปปิงไปเรื่อย ๆ ก็ไม่ค่อยเหนื่อยสักเท่าไหร่ จะเริ่มจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยออกไป หรือเดินเข้ามาก็ได้ รับรองเก็บคาเฟ่ครบทั้ง 40 ร้านแน่นอน
.
จริง ๆ ยังมีคาเฟ่อีกเยอะเลยในย่านเมืองเก่า เราเลือกมาเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ถ้าเราตกหล่นร้านไหนไปแนะนำกันเข้ามาได้เลย บอกเลยว่าไกด์นี้ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน ที่สำคัญคราวหน้าเราจะทำไกด์ Restaurants and Bars in Bangkok Old Town มาเพิ่มให้ด้วย อดใจรอกันนิดนึง
.
ดูลิสต์ทั้งหมดได้ที่👉🏻 https://www.wongnai.com/listin…/40-cafes-in-bangkok-old-town
___________
รู้ร้านใหม่ ชีวิตดี มีความ goodvibes ก่อนใคร ได้ที่ #Vibes ในแอปพลิเคชัน Wongnai อัปเดตทุกวันไม่มีเอาต์! ดาวน์โหลดได้ที่ 👉🏻http://bit.ly/2U0bdns
Don't Miss 40 Cafes in Bangkok Old Town. Epic total cafe in Old Town.
.
Bangkok Old Town. I can tell that the old town is coming back to hit. Everyone stopped by to do an activity, walk and take photos of the old town. Stopped by coffee at the cafe. So we made an epic collection of old town cafe arriving at 40 Shop from radius around the 0th km of Bangkok near Democracy Monument.
.
Many people probably don't know that the 0th kilometer is right at the entrance of Pencil Road. Let's stop by to take a photo. We try Google Map to measure distances from Bangkok's center. We think it's 1 kilometers. It's easy enough to walk. But if it's about 2 kilometers, I recommend taking a taxi or just hoping slowly. It's not exhausting. I will start from the Democratic monument or walk in. I guarantee that I will collect all cafes. All 40 shops for sure.
.
There are many cafes in the old city. We choose only a part of it. If we are missing any shops, we can recommend it. Let me tell you that this guide won't disappoint you. Next time we will have a guide to Restaurants and Bars in Bangkok. Old Town. Let's add more. I can't wait for a while.
.
Check out the full list at 👉🏻 https://www.wongnai.com/listings/40-cafes-in-bangkok-old-town
___________
Know new shop, good life, goodvibes before anyone else at #Vibes in the Wongnai app. Daily update, no output! Download at 👉🏻 http://bit.ly/2U0bdnsTranslated
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過2,620的網紅themblan,也在其Youtube影片中提到,Subscribe for more awesome videos! ► https://bit.ly/2M1H2Fy Ah, the Luna Blaster. Its smooth, shiny, and futuristic-looking exterior houses dollops o...
radius map 在 หนังโปรดของข้าพเจ้า Facebook 的精選貼文
Repost ได้วนกลับมาแชร์เสมอเวลามีคนพูดถึงการสนับสนุนหนังไทย เพราะเวลาบอกว่ารัฐบาลสนับสนุนหนังไทย มันไม่ใช่แค่ให้ทุน 5 แสนบาทหรือ 1 ล้านบาท แล้วจะมาเคลมว่าสนับสนุนหนังไทยนะ
มันต้องทำเป็นระบบที่มีแผนงาน ทำจริงจัง เหมือนที่เกาหลีใต้เขาทำ แบบนั้นจะเคลมว่ารัฐบาลสนับสนุนอุตสาหกรรมหนังก็เอาไปเลย
หลายคนอาจจะเห็นกระแสการเผยแพร่วัฒนธรรมเกาหลีมากมายตลอดกว่าหนึ่งทศวรรษผ่านความสำเร็จของทั้งเพลงและซีรีส์ที่โด่งดังไปทั่วทั้งเอเชีย จนเดี๋ยวนี้การไปเที่ยวเกาหลีกลายเป็นหนึ่งในความฝันของใครหลาย ๆ คน อย่างไรก็ตามเมื่อก่อนเราก็จะพูดถึงแค่เพลงและซีรีส์ แต่เดี๋ยวนี้หนังเกาหลีเริ่มประสบความสำเร็จได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่แค่ในระดับเอเชียแต่เป็นระดับโลก ดังจะเห็นได้จากนักแสดง, ผู้กำกับ, ตากล้อง จำนวนไม่น้อยที่ได้ไปร่วมงานกับสตูดิโอใหญ่ในฮอลลีวูด รวมถึงการส่งออกหนังเกาหลีไปเวทีประกวดทั่วโลกจนหลาย ๆ เรื่องได้รับการยกย่องอย่างมากทีเดียว ซึ่งทำให้หนังเกาหลีถูกจับตามองมากขึ้น ทั้งสายบล็อกบัสเตอร์และสายล่ารางวัล แต่กว่าอุตสาหกรรมหนังเกาหลีจะมาถึงจุดนี้ได้ ต้องบอกว่าพวกเขาเคยผ่านจุดต่ำสุดมาก่อน จนกระทั่งประสบความสำเร็จได้ด้วยนโยบายที่มีคุณภาพ ซึ่งจากต่ำสุดมาสูงสุดของวงการหนังเกาหลีจะเป็นเช่นไร ติดตามได้ในโพสต์นี้เลยครับ
.
1 | เรียนรู้จากประวัติศาสตร์วงการหนังเกาหลี
หนังเกาหลีเรื่องแรกเริ่มต้นขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1919 คือเรื่อง The Righteous Revenge แต่จุดเริ่มต้นจริง ๆ ต้องบอกว่าคือช่วงปีค.ศ. 1926 - 1932 ช่วงเวลานั้นเกาหลียังไม่แบ่งเหนือใต้และยังอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น ซึ่งทำให้การสร้างหนังต้องผ่านการตรวจสอบจากคณะปกครองชาวญี่ปุ่น ด้วยข้อจำกัดดังกล่าวจึงทำให้วงการหนังเกาหลีตลอด 11 ปี (ปี 1934 - 1945) มีหนังเพียง 157 เรื่องเท่านั้น แถมเกือบทั้งหมดยังเป็นหนังโฆษณาชวนเชื่อเพื่อสนับสนุนจักรวรรดิญี่ปุ่น
.
ยุคต่อมาคือหลังสิ้นสุดสงครามเกาหลีปีค.ศ. 1953 เป็นช่วงเวลาที่คนทำหนังได้อิสระในการปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์เพราะไม่ต้องอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น โดยในปี 1955 หนังเรื่อง Chunhyang-jon ถูกพิจารณาว่าเป็นหนังบล็อกบัสเตอร์เรื่องแรกของเกาหลี โดยมีคนดูถึง 200,000 คน คิดเป็น 10% ของชาวเมืองโซลเลยทีเดียว และในยุคนั้นยังมีหนังเรื่อง The Housemaid เมื่อปี 1960 ที่ถูกยกย่องว่าเป็นหนังดีที่สุดของเกาหลีใต้อีกด้วย (หนังเล่าเรื่องของแม่บ้านสาวพยายามยั่วยวนทำลายครอบครัวของเจ้านายที่มีภรรยาอยู่แล้ว)
.
อย่างไรก็ตามยุครุ่งเรืองของหนังเกาหลีต้องสิ้นสุดลงเมื่อเกิดการยึดอำนาจโดยทหารเมื่อปีค.ศ. 1961 ซึ่งได้ออกกฎหมายควบคุมภาพยนตร์ เริ่มต้นตั้งแต่การจำกัดการนำเข้าหนังต่างประเทศและจำกัดการผลิตหนังในประเทศ มีการเซ็นเซอร์หนังอย่างเข้มงวดโดยเฉพาะหนังเนื้อหาเกี่ยวกับคอมมิวนิสต์, เนื้อหาส่อไปในทางอนาจาร รวมถึงหนังใด ๆ ก็ตามที่อาจทำลายภาพพจน์ของประเทศจะกลายเป็นสิ่งต้องห้ามโดยเด็ดขาด ซึ่งผลจากการเซ็นเซอร์ทำให้วงการหนังเกาหลีตกต่ำลง ทั้งจากโปรดักชั่นแย่ ๆ และบทหนังที่ไม่มีคุณภาพ ส่งผลให้แทบไม่มีคนสนใจดูหนังในโรงอีกเลย
.
ผลกระทบดังกล่าวทำให้อุตสาหกรรมหนังเกาหลีย่ำแย่มาก ๆ รัฐบาลจึงเลือกแก้ปัญหาด้วยการจำกัดวันฉายหนังต่างประเทศให้น้อยลงไปอีกโดยหวังว่าจะช่วยฟื้นฟูวงการหนังเกาหลีใต้ แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ จนกระทั่งปี 1984 ได้มีการแก้ไขกฎหมายควบคุมภาพยนตร์ ทำให้ผู้สร้างหนังอิสระสามารถทำหนังได้ซึ่งถือเป็นช่วงพลิกฟื้นอุตสาหกรรมหนังเกาหลีอย่างแท้จริง แต่พวกเขายังคงต้องต่อสู้กับความนิยมหนังต่างประเทศอยู่เช่นเคย
.
2 | บังคับใช้ screen quota ให้ฉายหนังเกาหลีขั้นต่ำ 146 วันต่อปี
ผลจากการแก้ไขกฎหมายควบคุมภาพยนตร์เมื่อปี 1984 ทำให้การนำเข้าหนังต่างประเทศไม่ถูกจำกัดอีกต่อไป ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อส่วนแบ่งรายได้ของหนังเกาหลีที่ลดลงไปอย่างเห็นได้ชัดเพราะคนนิยมหนังต่างประเทศมากกว่า ตัวอย่างเปรียบเทียบที่ชัดเจนคือในปี 1985 ส่วนแบ่งหนังต่างประเทศทำรายได้ 60% หนังเกาหลีใต้ 40% แต่ 8 ปีต่อมาส่วนแบ่งดังกล่าวได้เปลี่ยนแปลงเป็น 84% ต่อ 16% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตกต่ำของวงการหนังเกาหลีอีกครั้ง
.
ในช่วงแรกนั้นรัฐบาลได้พยายามใช้ประโยชน์จากการเข้ามาของผู้จัดจำหน่ายหนังต่างประเทศ เช่น UIP, 20th Fox, และ Warner Bros ด้วยการออกกฎว่าถ้าคุณจะนำหนังต่างประเทศเข้ามาฉายใน 1 เรื่องจะต้องสนับสนุนเงินสร้างหนังเกาหลีจำนวน 4 เรื่อง ซึ่งมันดูดีในทางทฤษฎีแต่ปรากฎว่าในทางปฏิบัติจริงนั้นพวกเขาก็เจียดเงินเล็กน้อยสร้างหนังเกาหลีห่วย ๆ ขึ้นมา 4 เรื่อง สุดท้ายคนดูก็ต้องดูหนังต่างประเทศของพวกเขาที่ดีกว่าอยู่ดี
.
ทำให้ในปีค.ศ. 1993 รัฐบาลเกาหลีจึงได้บังคับใช้ screen quota อย่างเข้มงวดเป็นครั้งแรก โดยบังคับให้โรงหนังต้องฉายหนังเกาหลีจำนวนขั้นต่ำ 146 วันต่อปี ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยให้รายได้หนังเกาหลีเพิ่มขึ้นแต่อย่างใดเพราะคนก็ยังคงนิยมหนังต่างประเทศเหมือนเดิม
.
3 | การลงทุนสร้างหนังโดยกลุ่มธุรกิจที่มีอิทธิพล (แชโบล)
แน่นอนว่าคนสร้างหนังต้องหาแหล่งเงินทุน ในช่วงปีค.ศ. 1992 กลุ่มแชโบล (เช่นซัมซุง, แดวู, ฮุนได) ได้ให้ความสนใจลงทุนผลิตหนังและประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี แต่เมื่อเกิดวิกฤติการเงินปี 1997 (ปีเดียวกับวิกฤติต้มยำกุ้งพ.ศ. 2540) จึงทำให้บริษัทกลุ่มแชโบลได้ถอนตัวจากการลงทุนสร้างหนังเพื่อไปโฟกัสธุรกิจตัวเองเพียงอย่างเดียว และนั่นทำให้กลุ่มนายทุนหน้าใหม่เข้ามาแทนที่ กลุ่มนั้นคือ CJ, Orion, และ Lotte ที่ปัจจุบันได้กลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ของสนามอุตสาหกรรมหนังเกาหลีโดยถือครองส่วนแบ่งรวมกันถึง 80%
.
4 | รัฐบาลสนับสนุนคนทำหนังผ่านสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งเกาหลี (Korean Film Council)
จุดสำคัญที่ทำให้วงการหนังเกาหลีเติบโตอย่างก้าวกระโดดในขั้นต้นคงต้องให้เครดิตการกำเนิดสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งเกาหลี ซึ่งถึงแม้จะก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1973 แต่มันกลับไม่เคยมีบทบาทหน้าที่ใด ๆ ต่อวงการหนังเลย จนเมื่อปี 1999 พวกเขาได้ประกาศตัวว่าองค์กรได้จัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนและประชาสัมพันธ์อุตสาหกรรมหนังเกาหลีทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยองค์กรดังกล่าวจะมีคณะกรรมการจำนวน 9 คนที่ได้รับแต่งตั้งจากกระทรวงวัฒนธรรม, กีฬา และการท่องเที่ยว (มันคือกระทรวงเดียวนะ) ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมการผลิตหนัง
.
สมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งเกาหลีไม่ได้เป็นเพียงแค่เสือกระดาษ แต่พวกเขาทำหน้าที่เพื่อภาพรวมของวงการหนังได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาสนับสนุนเงินทุนให้คนทำหนัง, สนับสนุนการวิจัย การศึกษา และการฝึกอบรม, พวกเขายังช่วยเหลือโรงฉายหนังนอกกระแส (art house theaters เหมือน House RCA), ช่วยเหลือด้านการตลาดแก่บริษัทหนังเกาหลีในเทศกาลหนังนานาชาติ, อีกทั้งยังเป็นสปอนเซอร์จัดเทศกาลหนัง, ตีพิมพ์นิตยสารหนังเกาหลีเป็นภาษาอังกฤษ และพวกเขายังสนับสนุนไปถึงการจัดฉายหนังเกาหลีในต่างประเทศอีกด้วย เรียกว่าครบวงจรการสนับสนุนวงการอย่างเป็นระบบ
.
5 | ลอกเลียนแบบและสร้างสรรค์ผลงาน
ถ้าเป็นแวดวงเทคโนโลยีเราคงต้องยกตัวอย่างสินค้าเกาหลีและจีนหลาย ๆ อย่างว่ามีจุดเริ่มต้นจากการลอกเลียนแบบสินค้าที่ประสบความสำเร็จในตลาดอยู่แล้ว แต่การลอกเลียนแบบของพวกเขาไม่ได้เป็นผู้ตามเพียงอย่างเดียว พวกเขาเลียนแบบเพื่อก้าวจากศูนย์ข้ามไปที่สองหรือสามแล้วค่อยพัฒนาต่อยอดจากนั้น
.
เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมหนังเกาหลีในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แม้จะได้เงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาลและมีการศึกษาเรียนรู้มากมาย แต่หนึ่งในวิธีการทำหนังของพวกเขาหลาย ๆ เรื่องรับเอาอิทธิพลจากฮอลลีวูดมาทำเป็นหนังของตัวเองมากมาย ยกตัวอย่างเช่น The Thieves ที่เรียกว่าเป็น Ocean's Eleven ของเกาหลี หรืออย่าง The Tower ก็มีความคล้ายคลึงกับบล็อกบัสเตอร์ในอดีตของฮอลลีวูดเรื่อง The Towering Inferno
.
แต่ในขณะเดียวกันหนังหลาย ๆ เรื่องของเกาหลีก็มีความสร้างสรรค์ที่โดดเด่นมาก ๆ จนฮอลลีวูดยังต้องติดต่อขอซื้อไป remake ทำใหม่ เช่นความสำเร็จของ Il Mare ที่ถูกนำไปสร้างใหม่เป็น The Lake House, ความยอดเยี่ยมของ A Tale of Two Sisters ที่ถูกสร้างใหม่ในชื่อ The Uninvited, นอกจากนี้ความโด่งดังของ Oldboy และ My Sassy Girl ก็ดึงดูดให้ฮอลลีวูดซื้อสิทธิ์ไปสร้างใหม่เช่นเดียวกัน
.
อีกประการหนึ่งคือวงการหนังเกาหลีให้ความสำคัญกับงานด้านเทคนิคเป็นอย่างมาก จะเห็นได้ว่างานกำกับภาพในหนังเกาหลียุคหลัง ๆ โดดเด่นเกินหน้าเกินตาเพราะมันมีความตั้งใจเช่นนั้น ยกตัวอย่างเช่น The Handmaiden, The Age of Shadows หรือกระทั่ง Stoker หนังฮอลลีวูดที่กำกับโดยปาร์ค ชานวุค ก็ใช้ผู้กำกับภาพชาวเกาหลีที่สร้างสรรค์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม
.
และพวกเขายังฉลาดใช้สื่อภาพยนตร์ในการเผยแพร่วัฒนธรรมไปทั่วเอเชีย ซึ่งความสำเร็จที่จับต้องได้อาจจะต้องยกเครดิตให้ทางฝั่งซีรีส์เกาหลีมากกว่า แต่ที่น่าสนใจคือหนังเกาหลีหลายเรื่องถูกสร้างขึ้นเพื่อส่งเสริมชาตินิยมอย่างแนบเนียน
.
6 | การทำงานร่วมกันระหว่างโรงหนังและดูออนไลน์
โดยปกติแล้วระบบการจัดจำหน่ายหนังนั้นจะมีแบบที่ยึดถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมาช้านานเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของโรงหนัง ด้วยแนวคิดที่ว่า 'ถ้าหนังออกแผ่นพร้อมฉายโรง แล้วใครจะไปดูในโรง' ซึ่งแนวคิดดังกล่าวทำให้เกิดระบบช่องว่างของการจัดจำหน่ายผ่านช่องทางต่าง ๆ ขึ้นมา (window) อธิบายได้ว่าหนังจะถูกฉายครั้งแรกที่โรงหนังต่าง ๆ ซึ่งเป็นช่องทางทำรายได้หลัก และหลังจากนั้นจะเว้นช่วงประมาณ 4 เดือนเพื่อวางจำหน่ายแผ่น dvd หรือ blu-ray รวมถึงในการซื้อหนังออนไลน์ในปัจจุบันด้วย
.
แต่ที่เกาหลีเขาไม่คิดเช่นนั้น ด้วยความที่ประเทศเกาหลีมีการเติบโตด้านอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงรวมถึง LTE บ้านเขาก็ใช้งานได้จริงจึงทำให้ธุรกิจออนไลน์ต่าง ๆ เติบโตตามไปด้วย หนึ่งในนั้นก็คือ iptv (Internet Protocol Television) และ vod (Video on Demand) ซึ่งเป็นช่องทางหลักสำหรับการจำหน่ายหนังออนไลน์ ตามปกติแล้วพวกเขาควรจะเลือกทำตาม window การฉายปกติ แต่ที่เกาหลีเลือกจะจำหน่ายหนังออนไลน์พร้อมกับฉายโรงหรือช้ากว่าในโรงเพียง 4 ถึง 6 สัปดาห์เท่านั้น
.
มองดูเผิน ๆ เหมือนมันจะมีความขัดแย้งด้านผลประโยชน์แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับเกื้อกูลกัน โดยเขายังถือว่าโรงหนังคือช่องทางจำหน่ายหนังที่แข็งแกร่งเหมือนเดิม แต่ขณะเดียวกันช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ คือโอกาสสำหรับเข้าถึงผู้คนวงกว้างที่กำลังเติบโตตามการใช้งาน iptv และ vod มากขึ้นทุกปี โดยในปี 2015 มีคนเข้าชมหนังในโรงเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1% (217 ล้านครั้ง) ส่วนช่องทางดูหนังชนโรงทาง vod นั้นก็มีกำแพงเรื่องราคาขึ้นมาอยู่ที่ประมาณเรื่อง 12,000 วอน (ประมาณ 350 บาท) โดยราคาจะปรับลงเมื่อครบ 1 ปีหลังฉายโรง ซึ่งมันน่าสนใจที่ว่าอุตสาหกรรมหนังบ้านเขายังคงยึดผลประโยชน์เหมือนเดิมแต่เขากล้าลองเสี่ยงสร้าง window ใหม่ ๆ ที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีต่อผู้สร้างหนัง
.
ตัวอย่างศึกษาคือการฉาย Snowpiercer ทาง vod ก่อนฉายโรงซึ่งเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่ได้ผล ทอม ควินน์ ผู้บริหารของ Radius-TWC (เป็นบริษัทลูกของ Weinstein Company ทำหน้าที่จัดจำหน่ายหนังเฉพาะกลุ่มทางออนไลน์และโรงหนัง เช่นเรื่อง Only God Forgives, It Follows) ได้พูดถึง Snowpiercer ว่าเหมาะสมกับกลยุทธ์การฉายทาง vod พร้อมโรงหนัง เขายังคาดหวังว่ามันจะไปได้ดีทั้งการฉายในโรงและ vod ซึ่งหวังว่ามันจะส่งเสริมกัน
.
โดยผลลัพธ์ที่ออกมาถือว่าน่าสนใจเพราะจากการฉายจำกัดโรงในสัปดาห์แรก มันค่อย ๆ มีกระแสจนเกิดการเพิ่มโรงขึ้นเป็น 356 โรงในสุดสัปดาห์ ถึงแม้จะทำเงินไปเพียง 4.5 ล้านเหรียญแต่เมื่อเทียบสัดส่วนต่อโรงก็ถือว่าน่าพอใจ ซึ่งควินน์เชื่อว่าการฉาย vod ช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงหนังที่ฉายจำกัดโรง และถ้าหากหนังมันดีก็จะเกิดกระแสปากต่อปากที่ช่วยทำให้หนังที่ยังฉายอยู่ในโรงมีคนดูมากขึ้น
.
ควินน์ยังบอกอีกว่า "ผมเชื่อว่าโรงหนังและ vod สามารถอยู่ร่วมกันได้ ร้านอาหารสุดโปรดของผมเริ่มมีบริการส่งถึงบ้าน แต่ผมก็ยังคงเดินทางไปทานที่ร้านเหมือนเดิม เช่นเดียวกับแต่ละเรื่องที่ต้องวางแผนการฉายแตกต่างกันไปตามความเหมาะสม เพราะไม่ใช่ว่าทุกเรื่องจะสามารถทำแบบ Snowpiercer ได้หมด"
-------------
จากทั้งหมดนี้เราคงจะเห็นได้อย่างหนึ่งว่าความสำเร็จของหนังเกาหลีในปัจจุบันต้องให้เครดิตความจริงจังของสมาพันธ์ภาพยนตร์บ้านเขาที่กำหนดนโยบายเป็น road map เป็นขั้นเป็นตอนแล้วดำเนินการกันมาตามแบบแผนที่วางไว้ มันอาจจะไม่ได้ปุบปับเห็นผล แต่เวลาก็พิสูจน์แล้วว่าการวางกลยุทธที่ดีจะช่วยให้อุตสาหกรรมหนังประสบความสำเร็จอย่างแข็งแรงได้อย่างไร ซึ่งก็หวังลึก ๆ ว่าในอนาคตเมืองไทยจะมีอะไรแบบนี้บ้าง
อ้างอิง:
1) The Unique Story of the South Korean Film Industry - http://www.inaglobal.fr/…/unique-story-south-korean-film-in…
2) THE SUCCESS OF THE SOUTH KOREAN FILM INDUSTRY: CREATING A SYNERGY BETWEEN CINEMA AND VOD - https://www.filmdoo.com/…/the-success-of-the-south-korean-…/
3) https://en.wikipedia.org/wiki/Korean_Film_Council
4) 'Snowpiercer,' VOD and the future of film distribution - http://www.latimes.com/…/la-et-mn-snowpiercer-vod-and-the-f…
#หนังโปรดของข้าพเจ้า
radius map 在 themblan Youtube 的精選貼文
Subscribe for more awesome videos! ► https://bit.ly/2M1H2Fy
Ah, the Luna Blaster. Its smooth, shiny, and futuristic-looking exterior houses dollops of ink, that, when expelled, do massive burst-damage in the surrounding blast-radius.
Although quite limited in range, its rate-of-fire is higher than the standard Blaster.
I found it hard to move into enemy-territory unless I cleared it of enemy-Inklings with my Inkzooka.
Luna Blaster was most effective, I realized, when my team had control of the middle area of a map. I could lie in wait and splat unsuspecting Inklings that would jump in, or two-shot Charger-users who would stop at the ledges of platforms.
The Ink Mine was a fun Sub Weapon that I was able to get two splats with, but I was yearning for something with more long-range utility. Perhaps I was supposed to use it offensively by laying down an Ink Mine, heading into enemy-ink, and then doubling back.
That's where the Inkzooka came into play but its status as a Special Weapon meant I couldn't rely on it at any time I wanted.
I sported Studio Headphones, a White Baseball LS, and Neon Sea Slugs, and we played on Walleye Warehouse, Museum d’Alfonsino, Hammerhead Bridge, and Ancho-V Games.
Check out my Playlist of all my Montages from Splatoon: https://www.youtube.com/playlist?list=PLDOrSWB5YEl-7QNp5LKe9qlmxbs8hhGq1