Paris Syndrome เป็นชื่อโรคที่ปารีสถูกขนามนามโดยนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นหลายคน ที่เคยเดินทางมาปารีสแล้วเจอเรื่องแย่ๆ ผิดหวัง ไม่ได้เป็นเมืองโรแมนติกอย่างภาพที่วาดฝันไว้ จนต้องกลับไปบำบัดจิตใจกันที่ญี่ปุ่นเลยทีเดียว
เมื่อเกือบหกปีก่อน จุ๊ก็เคยเจอพิษ Paris Syndrome เข้าไปเหมือนกันค่ะ อาจะเป็นเพราะตั้งความคาดหวังกับที่นี่ไว้สูงลิ่ว พอมาเจอกับด้านเมืองของมหานครแห่งความรัก ก็เลยเกิดอาการอกหักเข้าอย่างจัง จนถึงกับเอ่ยปากบอกตัวเองว่า ปารีส...ไม่กลับไปอีกก็ไม่เป็นไรนะ
แต่หลังจากเล่าให้เพื่อนๆชาวฝรั่งเศสฟัง ทุกคนต่างเอ่ยปากเหมือนกันว่า ถ้าอยากมองปารีสในมุมสวยๆ ต้องมองแบบชาวปารีเซียงหรือเดินชมเมืองแบบคนท้องถิ่น แถมยังฝากทิปการเดินชมปารีสมาให้เป็นของแถมกลับมาด้วย
ช่วงที่ผ่านมา (ที่หายหน้าหายตาไป) เพราะชีวิตวุ่นวายกับการเดินทางทำงานระหว่างเยอรมนี - ฝรั่งเศสแบบแทบจะอาทิตย์เว้นอาทิตย์ ข้อดีก็คือมีโอกาสได้แวะไปทักทายปารีสอีก 2-3 รอบ และได้เพื่อนชาวปารีเซียงอาสาเป็นไกด์นำเที่ยว
การได้มองปารีสในมุมใหม่ๆ ผ่านสายตาของชาวปารีเซียง ยอมรับว่าเริ่มชอบ (หรืออาจจะถึงขั้นเริ่มรัก) มหานครแห่งนี้เข้าให้แล้ว ถึงแม้จะได้ไปทักทายสถานที่ท่องเที่ยวดังๆเหมือนครั้งก่อน แต่การไปกับคนท้องถิ่นทำให้รอดพ้นจากอันตรายหลายอย่างและได้ข้อมูลความรู้ที่หาอ่านไม่ได้จากไกด์บุ๊ค
กลับมานั่งคุยกับเพื่อนๆชาวฝรั่งเศสทั้งที่ยังอยู่ในปารีสและเคยอยู่ปารีส เราต่างมีความเห็นตรงกันว่า ปารีสก็เหมือนเมืองใหญ่ๆเมืองอื่นในโลกใบนี้ที่มีสองด้าน ทั้งด้านมืดที่ทำให้เรารุ้สึกป่วยอยากหนีไปให้ไกลๆ แต่เมื่อหนีออกมาเรากลับคิดถึงเสน่หาถึงด้านสวยงามของเมือง
อดคิดถึงความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อกรุงเทพฯไม่ได้ค่ะ จุ๊ก็เคยเป็น "โรคภูมิแพ้กรุงเทพ" จนพาตัวเองหนีออกมาซะไกล คิดว่าชีวิตนี้ไม่อยากกลับไปอยู่อีกแล้ว แต่บ่อยครั้งที่แอบคิดถึงความทรงจำดีๆเสน่ห์และความเป็นเอกลักษณ์ จนต้องกลับไปหาให้หายคิดถึงอยู่เสมอ
ทุกสถานที่ย่อมมีทั้งด้านที่สวยงามและไม่สวยงาม อยู่ที่ว่าเราจะเปิดใจมองด้านไหน อย่ามองอะไรเพียงด้านเดียวอีกเลยค่ะ ไม่งั้นเราจะมองข้ามสิ่งดีๆบางอย่างไป
...จากจุดชมวิว Arc de Triomphe, Paris
#เรื่องเล่าจากโลกไกลบ้าน
Search