X=Y=Z=1
the hitchhiker's guide to the galaxy 42 在 Technews 科技新報 Facebook 的最佳貼文
小編一看到數學眼前就一片黑,大家就自己看內文吧😆
the hitchhiker's guide to the galaxy 42 在 โอตาคุบริโภคมาม่า Facebook 的最讚貼文
จากที่พูดไปเมื่อคืน
รอบนี้มาเฉลยเรื่องสัจธรรม 42 ครับ
Hitchhiker's Guide to the Galaxy
เป็น Radio Drama ของ BBC ปี 1978
ถ้าจะถามว่าเป็นเกี่ยวกับอะไร..... อธิบายสั้นๆไม่ได้
มันเป็นอะไรที่ซับซ้อนมากจนคุณต้องไปดูเองถึงเข้าใจ
แต่ถ้าจะให้ตอบสั้นๆ ก็ขออธิบายว่า
เป็นกลุ่มฮิปปี้เดินทางข้ามจักรวาลเพื่อหาสัจธรรมละกัน
-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-
ซึ่งในเรื่องนี้จะมีจุดไคลแม็กซ์อยู่อันหนึ่ง
เป็นบทพูดว่า
42: The answer to life, the universe and everything
42 คือคำตอบของชีวิต จักรวาล และสรรพสิ่ง
พอมีการเผยแพร่ไปครั้งแรก
ก็ทำให้เหล่าผู้ชมตั้งคำถามกัน
...
..
.
อะไรคือ 42?
..
.
.
เสร็จแล้วก็เกิดเหตุการณ์ถกกันแบบเมืองจะแตก
คนนี้บอก 42 หมายถึงอย่างนี้
อีกคนบอก ไม่ใช่สิ นี่ต่างหากคือ 42
จนท้ายสุดก็ไปถามคนเขียน
คนเขียนตอบ
........
.....
....
...
..
.
....... มันไม่ได้มีความหมายอะไรทั้งนั้น
เป็นตัวเลขที่เลือกออกมาจากกลุ่มเลขที่ฟังแล้วพอจะดูดี
...
..
.
แต่มันไม่ได้จบแค่นั้น
เพราะถึงแม้ว่าคนเขียนจะบอกออกมาแล้วว่า
สำหรับเขา 42 มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย
มันเป็นแค่เปลือก
แต่สำหรับกลุ่มผู้ชมนั้น
42 มันได้กลายเป็นสิ่งที่มีความหมายไปแล้ว
ความหมายมันมาจากไหน?
มันมาจากการคิดเอาเองของผู้ชม
มันมาจากการคิดเอาเองของฝูงชน
ว่านี่คือสัจธรรมของเรา
เสร็จแล้วเขาก็เอาสัจธรรมของตัวเองนั้น
ไปใส่ไว้ในเปลือก 42 ที่เป็นคำตอบของสรรพสิ่ง
มันเป็นการเชื่อเพราะคุณคิดแล้วว่าอะไรคือสิ่งที่คุณเชื่อ
ไม่ได้เชื่อ เพราะแค่มีคนบอกให้คุณเชื่อ
ซึ่งนี่เป็นปัจจัยพื้นฐานของการเป็นปัญญาชนครับ
-\-\-\-\-\-\-
และถ้าจะถามว่าทำไมผมถึงพูดเรื่อง 42 ในโพสต์ที่แล้ว
เพราะมันเป็นกรณีเดียวกันกับแนวคิดเต๋าประยุกต์
ว่าคุณควรจะเชื่อในสิ่งที่คุณคิดไตร่ตรองแล้วว่า
มันมีเหตุผลและหลักการดีพอที่จะให้คุณเชื่อ
ไม่ใช่ว่าเชื่อ เพียงเพราะมีคนบอกให้คุณเชื่อครับ
-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-
-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-
ต่อมา ผมขอยกตัวอย่างในทางกลับกัน
ใน Duck Tales ตอน The Big Flub
มีตัวละครอยู่ตัวหนึ่งลองทำโฆษณาทดลองออกมา
ขายสิ่งที่เรียกว่า "Pep"
ซึ่ง Pep เนี่ย มันไม่ได้เป็นสินค้าที่มีตัวตน
มันเป็นแค่ชื่อเฉยๆที่ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย
แต่ผลของการโฆษณานั้น
ทำให้ฝูงชนเชื่อกันว่า Pep นั้นเป็นสิ่งที่ดีเลิศ
เป็นสิ่งที่ผู้คนควรจะปรารถนา
เสร็จแล้วคนที่ทำโฆษณาออกมาก็ลนลาน
เพราะตัวเองไม่มีสินค้า
แล้วก็เอาผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ได้รับการทดสอบไปขาย
ว่านี่คือ Pep
ประชาชนที่เชื่อไปแล้วว่า Pep เป็นสิ่งที่ดี
ก็เลยไปแห่ซื้อ Pep กัน
โดยไม่ได้สนเลยว่าผลิตภัณฑ์นั้นเป็นของไม่ได้มาตรฐาน
จนเกิดเป็นปัญหาภายหลังในสังคม
ถึงขั้นมีคนชีวิตล่มจม
-\-\-\-\-
ถามว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้?
นั่นก็เพราะฝูงชนไม่ได้ตั้งคำถามกับสาระที่ถูกสื่อออกมา
Pep นั้นเป็นแค่เปลือกที่พวกเขาคิดกันไปก่อนว่ามันเป็นสิ่งที่ดี
เสร็จแล้วคนที่เป็นเจ้าของมัน
ก็สามารถเอาอะไรก็ได้ใส่ลงไป
ประชาชนก็เลยเชื่อตามโดยปริยาย
ว่านี่ก็เป็นสิ่งที่ดีเช่นกัน
เพราะเขาเชื่อไปก่อนแล้วว่า Pep นั้นคือสิ่งที่ใช่
โดยที่ไม่ได้ตั้งคำถามก่อนเลยว่า
จริงๆแล้ว Pep คืออะไร
-\-\-\-\-\-\
ซึ่ง โดยพื้นฐานแล้ว นี่เป็นหลักการเดียวกันกับโฆษณาชวนเชื่อ
คุณเอาอะไรก็ได้มาทำให้เขาเชื่อก่อนว่านี่คือสิ่งที่ดี
พอเขาเชื่อไปแล้ว คุณจะยัดอะไรแฝงเข้าไป
เขาก็จะเชื่อตามโดยอัตโนมัติโดยไม่ตั้งข้อกังขา
ซึ่งผมจะขอยกตัวอย่างที่คุณจะเจอได้ในชีวิตประจำวัน
......
....
...
..
.
...... "ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี"
...
..
.
ขอยกตัวอย่างศาสนาพุทธละกัน จะได้ถกกันง่ายๆ
ศาสนาพุทธถือพระว่าเป็นผู้มีสถานะสูงกว่าบุคคลทั่วไป
และคำพูดของเขามาจากการศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า
คำพูดเขามีความศักดิ์สิทธิ์ที่คุณควรจะเชื่อตาม
...... ซึ่ง ...... ถ้าจะพูดจริงๆเลยก็คือ
จะจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้
เพราะมันไม่มีวิธีพิสูจน์ได้แบบ 100%
เสร็จแล้วก็มีโจรผ้าเหลืองที่แถมอวิชชา
อย่างการใบ้หวยแซมเข้ามา
แล้วคนที่เชื่อไปแล้วว่าคำพูดพระนั้นศักดิ์สิทธิ์โดยไม่ได้ตั้งคำถาม
เขาก็จะเชื่อตามไปโดยปริยาย
ว่าการใบ้หวยของพระนั้นมีความศักดิ์สิทธิ์ตาม
คุณอาจจะโต้แย้งก็ได้ครับว่า นี่ไม่ใช่ศาสนา
แต่สิ่งที่เขาทำนั้น คือการยัดไส้เนื้อหา
ลงไปใน"เปลือก"ที่เรียกว่า"ศาสนา"อีกที
ทั้งๆที่จริงๆแล้วสิ่งที่คุณควรจะต้องมาสน
คือ "คำสอน" แต่ละอัน ที่มันเป็น "เนื้อหา"
ซึ่งคำสอนนะครับ
มันเป็นสิ่งที่คุณสามารถเชื่อได้
โดยไม่ต้องมาเกี่ยงว่าคุณเป็นคนศาสนาไหน
ถ้าคำสอนนี้มันดีมันใช่
อย่างเรื่องการปล่อยจิต ปล่อยวาง
ถ้ามันดีสำหรับคุณ
คุณไม่ต้องเป็นคนพุทธ
คุณไม่ต้องไปกราบไหว้พระด้วยซ้ำ คุณก็เชื่อได้
หรือถ้าคุณเชื่อว่า
โบสถ์วันอาทิตย์มันดีต่อการสร้างความสัมพันธ์ในชุมชน
คุณไม่ต้องเป็นคริสต์
แต่คุณก็สามารถเข้าโบสถ์เพื่อไปการนั้นได้
มันไม่ได้สำคัญเลยครับว่าคุณเป็นคนศาสนาอะไร
-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ
คุณต้องแน่ใจครับว่า คุณเชื่อในสิ่งนั้น
เพราะคุณไตร่ตรองแล้วว่ามันเป็นสิ่งที่ใช่
ไม่ใช่ว่าเชื่อเพราะมีคนบอกให้คุณเชื่อ
-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-
ทีนี้ขอยกตัวอย่างท้ายสุด
ของการเชื่อโดยไม่มีข้อกังขา
.......
....
...
..
.
...... นาซีครับ