ในที่สุดผมก็ค้นพบความอร่อยของตี๋ขาหมูที่หายไป ไม่ได้อยู่ที่ความหอมของเครื่องเทศ
แต่กลับอยู่ที่ความพิถีพิถันและไม่ได้ทำจากใจ
ผมเป็นคนชอบเรียนรู้
ไม่ว่าสำเร็จหรือล้มเหลว ผมจะต้องถามตัวเองเสมอว่าได้บทเรียนอะไรจากเรื่องราวที่ผ่านไปบ้าง
เช่นเดียวกับครั้งนี้
ในขณะที่ "เบิร์ด-ตี๋" และครอบครัวของเขาขอบคุณผม
ผมกลับรู้สึกขอบคุณเขามากกว่าที่ให้ "ความรู้" และ "บทเรียน" กับผม
อะไรบ้างที่ผมได้เรียนรู้
--เรื่องแรก-- ทำอะไรก็ตามต้องรู้จริง
เพียงแค่มองหรือดูอาม่าและอากงทำ แต่ไม่ได้ลงมือทำเอง
..ไม่รู้จริง
ไม่รู้ว่าทำไมต้องลวกขาหมูในน้ำร้อนก่อนแล้วค่อยเผา ใส่เหล้าจีนยี่ห้ออะไร จังหวะไหน แต่ละขั้นตอนใช้เวลานานเท่าไร
เครื่องเทศใหม่เก่ามีผลต่างกันอย่างไร เช่น น้ำปลาทิพรสที่ทำจากปลากะตัก กับน้ำปลาขวดละ 10 บาทที่ทำจากเกลือ เค็มเหมือนกันแต่อร่อยแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงครับ
การทำอาหารก็เหมือนกับการทำงานอื่นๆ
อ่านแต่หนังสือ หรือฟังแต่ที่คนอื่นเล่ามา ไม่มีทางจะรู้จริง
ความรู้ที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้จากการลงมือทำ
--เรื่องที่สอง-- อย่าละเลย "เรื่องเล็กๆ"
ตอนที่ "เบิร์ด" เริ่มขาดเงิน ติดเงินร้านเขียงหมู หรือ ต้องไปซื้อขาหมูแช่แข็งจากห้างที่ขาเล็กกว่า และเครื่องเทศบางอย่างไม่ได้ใส่ หรือใช้ซ้ำรอบสอง
จากเรื่องเล็กๆ เมื่อสะสมรวมกันก็มีผลต่อรสชาติรวมของ "ขาหมูพะโล้"
เช่นเดียวกับเรื่อง "ครอบครัว"
เมื่ออาม่า-อากง เสียชีวิตไปอย่างต่อเนื่องภายในเวลา 2 ปี เงินทองเริ่มขาดมือ บรรยากาศภายในบ้านก็แย่ลงเรื่อยๆ
จากเรื่องเล็กๆ ที่แค่ทะเลาะกันธรรมดา พัฒนาการมาเรื่อยๆ แต่ละคนต่างใช้ชีวิต ไม่สนใจกัน จนแทบจะไม่เหลือสายใยแห่งความรักของครอบครัว
เมื่อสะสมเรื่อยมาก็กลายเป็นเรื่องใหญ่จนแทบจะทำให้ครอบครัวพังทลายลง
--เรื่องที่สาม-- อย่าหวงวิชา
ปัญหาของร้าน "ตี๋ขาหมู" จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าอาม่า-อากง วางแผนเรื่องการถ่ายทอดวิชาการทำขาหมูเทวดาอย่างจริงจัง
ชีวิตเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน
อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ไม่รู้
ทุกอย่างจึงต้องมีการวางแผน โดยเฉพาะการวางแผนเรื่องการถ่ายทอดความรู้
เช่นเดียวกับการทำงานทุกอย่าง หัวหน้าต้องกล้าถ่ายทอดวิชาให้ลูกน้อง
อย่าหวงวิชา อย่ากลัวลูกน้องจะเก่งกว่า
เราต้องสอนลูกน้องให้เก่งเร็วๆ เพื่อเราจะได้มีเวลาไปเรียนรู้สิ่งใหม่
--เรื่องที่สี่-- อย่าลืมความสำคัญของสิ่งแวดล้อมในที่ทำงานและจิตใจของคนที่ทำงาน
มีคนถามว่าชอบตอนไหนที่สุด
ผมบอกว่าตอน "ขยะ"
ภาพของขยะในบ้านที่กองสุมอยู่เต็มไปหมด สะท้อนให้เห็นถึงความหมดอาลัยตายอยากของครอบครัวนี้
ทุกคนขาดกำลังใจในการเริ่มต้นใหม่
ยิ่งไม่สะสาง ยิ่งสะสม
เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้นได้ถ้าสภาพแวดล้อมยังเป็นแบบนี้
การเริ่มต้นร่วมกันกำจัดขยะในบ้าน ไม่เพียงแต่ทำให้สภาพแวดล้อมดีขึ้น น่าอยู่ขึ้น
แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นให้เชื่อมั่นว่าถ้าทุกคนตั้งใจทำ ทุกอย่างเป็นไปได้
แต่ "ขยะ" ในบ้าน ไม่สำคัญเท่ากับ "ขยะ" ในใจเรา
ถ้าในใจเราเต็มไปด้วยความเกลียดชัง โทษคนอื่นตลอดเวลา ก็เหมือนเราเก็บขยะไว้ในใจ
ผมสอน "เบิร์ด" ว่าทุกเช้าให้ยิ้ม เอ่ยคำว่าขอบคุณ และขอโทษ 20 ครั้ง
ทำทุกวันให้เป็นเรื่องธรรมดา
แล้วผมก็ได้เห็นภาพหนึ่งที่ประทับใจมาก
"ตี๋" บอก "เบิร์ด" ว่าเขาจะช่วยล้างจานให้
"เบิร์ด" ยิ้มแล้วเอ่ยคำ "ขอบคุณ"
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดในครอบครัวนี้มายาวนาน
เรื่องสภาพแวดล้อม ไม่ใช่แต่เพียงในครอบครัว แต่การทำร้านอาหารก็เป็นเรื่องที่สำคัญ
ความสะอาด รอยยิ้ม การเอาใจใส่ลูกค้า ฯลฯ ล้วนเป็นสิ่งแวดล้อมที่ทำให้คนอยากเข้ามากินอาหารในร้านเรา
ไม่ใช่แค่รสชาติของอาหาร
--เรื่องสุดท้าย-- ชีวิตต้องมีรางวัล
เราเหน็ดเหนื่อยหาเงินมาเพื่ออะไร
ถ้าเรามีชีวิต แต่ไม่เคยใช้ชีวิต
มีเงิน แต่ไม่เคยใช้เงิน
ไม่เคยแสวงหาความสุข หรือ ไม่เคยตั้งเป้าหมายให้กับตัวเอง
ชีวิตก็ไม่มีโอกาสได้ฉลอง และ ชีวิตก็ไร้ความหมาย
นั่นคือ เหตุผลที่ผมเสนอให้เริ่มเปิดร้าน 7 โมงเช้า ปิดบ่ายสอง
หยุดทุกวันจันทร์เพื่อพักผ่อน
มีระบบการแบ่งเงินอย่างชัดเจน
และจะต้องหาเวลาไปเที่ยว เฉลิมฉลอง หรือกินข้าวด้วยกันข้างนอก
ให้ภาพจำในใจไม่ได้มีแต่การทำงาน
เพื่อเรียกรอยยิ้มในครอบครัวให้กลับมา
"ขาหมู"ที่อร่อย ไม่ใช่จะมีเพียงความหอมและรสชาติ ที่น่ากินเท่านั้น
"สีสัน และความสะอาด" ก็สำคัญ
คงเหมือนกับ "ชีวิต" ที่ต้องมี "รอยยิ้ม" ให้แก่กัน
เพียงเห็นรอยยิ้มจากคนในครอบครัว เราก็มีความสุขแล้ว
เรื่องราวของ "เบิร์ด-ตี๋" คงให้บทเรียนหลายอย่างกับทุกคน ทั้งเรื่องการทำธุรกิจและการใช้ชีวิต
ที่สำคัญที่สุด คงสร้างแรงบันดาลใจแก่หลายคนที่หมดกำลังใจในชีวิต
ถ้า "ตี๋-เบิร์ด" ทำได้
คุณก็ต้องทำได้
เริ่มต้นใหม่ได้ ถ้าหัวใจไม่ยอมแพ้
การเอาใจใส่ลูกค้า 在 ตัน ภาสกรนที Facebook 的最佳解答
ในที่สุดผมก็ค้นพบความอร่อยของตี๋ขาหมูที่หายไป ไม่ได้อยู่ที่ความหอมของเครื่องเทศ
แต่กลับอยู่ที่ความพิถีพิถันและไม่ได้ทำจากใจ
ผมเป็นคนชอบเรียนรู้
ไม่ว่าสำเร็จหรือล้มเหลว ผมจะต้องถามตัวเองเสมอว่าได้บทเรียนอะไรจากเรื่องราวที่ผ่านไปบ้าง
เช่นเดียวกับครั้งนี้
ในขณะที่ "เบิร์ด-ตี๋" และครอบครัวของเขาขอบคุณผม
ผมกลับรู้สึกขอบคุณเขามากกว่าที่ให้ "ความรู้" และ "บทเรียน" กับผม
อะไรบ้างที่ผมได้เรียนรู้
-\-\เรื่องแรก-\-\ ทำอะไรก็ตามต้องรู้จริง
เพียงแค่มองหรือดูอาม่าและอากงทำ แต่ไม่ได้ลงมือทำเอง
..ไม่รู้จริง
ไม่รู้ว่าทำไมต้องลวกขาหมูในน้ำร้อนก่อนแล้วค่อยเผา ใส่เหล้าจีนยี่ห้ออะไร จังหวะไหน แต่ละขั้นตอนใช้เวลานานเท่าไร
เครื่องเทศใหม่เก่ามีผลต่างกันอย่างไร เช่น น้ำปลาทิพรสที่ทำจากปลากะตัก กับน้ำปลาขวดละ 10 บาทที่ทำจากเกลือ เค็มเหมือนกันแต่อร่อยแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงครับ
การทำอาหารก็เหมือนกับการทำงานอื่นๆ
อ่านแต่หนังสือ หรือฟังแต่ที่คนอื่นเล่ามา ไม่มีทางจะรู้จริง
ความรู้ที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้จากการลงมือทำ
-\-\เรื่องที่สอง-\-\ อย่าละเลย "เรื่องเล็กๆ"
ตอนที่ "เบิร์ด" เริ่มขาดเงิน ติดเงินร้านเขียงหมู หรือ ต้องไปซื้อขาหมูแช่แข็งจากห้างที่ขาเล็กกว่า และเครื่องเทศบางอย่างไม่ได้ใส่ หรือใช้ซ้ำรอบสอง
จากเรื่องเล็กๆ เมื่อสะสมรวมกันก็มีผลต่อรสชาติรวมของ "ขาหมูพะโล้"
เช่นเดียวกับเรื่อง "ครอบครัว"
เมื่ออาม่า-อากง เสียชีวิตไปอย่างต่อเนื่องภายในเวลา 2 ปี เงินทองเริ่มขาดมือ บรรยากาศภายในบ้านก็แย่ลงเรื่อยๆ
จากเรื่องเล็กๆ ที่แค่ทะเลาะกันธรรมดา พัฒนาการมาเรื่อยๆ แต่ละคนต่างใช้ชีวิต ไม่สนใจกัน จนแทบจะไม่เหลือสายใยแห่งความรักของครอบครัว
เมื่อสะสมเรื่อยมาก็กลายเป็นเรื่องใหญ่จนแทบจะทำให้ครอบครัวพังทลายลง
-\-\เรื่องที่สาม-\-\ อย่าหวงวิชา
ปัญหาของร้าน "ตี๋ขาหมู" จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าอาม่า-อากง วางแผนเรื่องการถ่ายทอดวิชาการทำขาหมูเทวดาอย่างจริงจัง
ชีวิตเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน
อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ไม่รู้
ทุกอย่างจึงต้องมีการวางแผน โดยเฉพาะการวางแผนเรื่องการถ่ายทอดความรู้
เช่นเดียวกับการทำงานทุกอย่าง หัวหน้าต้องกล้าถ่ายทอดวิชาให้ลูกน้อง
อย่าหวงวิชา อย่ากลัวลูกน้องจะเก่งกว่า
เราต้องสอนลูกน้องให้เก่งเร็วๆ เพื่อเราจะได้มีเวลาไปเรียนรู้สิ่งใหม่
-\-\เรื่องที่สี่-\-\ อย่าลืมความสำคัญของสิ่งแวดล้อมในที่ทำงานและจิตใจของคนที่ทำงาน
มีคนถามว่าชอบตอนไหนที่สุด
ผมบอกว่าตอน "ขยะ"
ภาพของขยะในบ้านที่กองสุมอยู่เต็มไปหมด สะท้อนให้เห็นถึงความหมดอาลัยตายอยากของครอบครัวนี้
ทุกคนขาดกำลังใจในการเริ่มต้นใหม่
ยิ่งไม่สะสาง ยิ่งสะสม
เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้นได้ถ้าสภาพแวดล้อมยังเป็นแบบนี้
การเริ่มต้นร่วมกันกำจัดขยะในบ้าน ไม่เพียงแต่ทำให้สภาพแวดล้อมดีขึ้น น่าอยู่ขึ้น
แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นให้เชื่อมั่นว่าถ้าทุกคนตั้งใจทำ ทุกอย่างเป็นไปได้
แต่ "ขยะ" ในบ้าน ไม่สำคัญเท่ากับ "ขยะ" ในใจเรา
ถ้าในใจเราเต็มไปด้วยความเกลียดชัง โทษคนอื่นตลอดเวลา ก็เหมือนเราเก็บขยะไว้ในใจ
ผมสอน "เบิร์ด" ว่าทุกเช้าให้ยิ้ม เอ่ยคำว่าขอบคุณ และขอโทษ 20 ครั้ง
ทำทุกวันให้เป็นเรื่องธรรมดา
แล้วผมก็ได้เห็นภาพหนึ่งที่ประทับใจมาก
"ตี๋" บอก "เบิร์ด" ว่าเขาจะช่วยล้างจานให้
"เบิร์ด" ยิ้มแล้วเอ่ยคำ "ขอบคุณ"
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดในครอบครัวนี้มายาวนาน
เรื่องสภาพแวดล้อม ไม่ใช่แต่เพียงในครอบครัว แต่การทำร้านอาหารก็เป็นเรื่องที่สำคัญ
ความสะอาด รอยยิ้ม การเอาใจใส่ลูกค้า ฯลฯ ล้วนเป็นสิ่งแวดล้อมที่ทำให้คนอยากเข้ามากินอาหารในร้านเรา
ไม่ใช่แค่รสชาติของอาหาร
-\-\เรื่องสุดท้าย-\-\ ชีวิตต้องมีรางวัล
เราเหน็ดเหนื่อยหาเงินมาเพื่ออะไร
ถ้าเรามีชีวิต แต่ไม่เคยใช้ชีวิต
มีเงิน แต่ไม่เคยใช้เงิน
ไม่เคยแสวงหาความสุข หรือ ไม่เคยตั้งเป้าหมายให้กับตัวเอง
ชีวิตก็ไม่มีโอกาสได้ฉลอง และ ชีวิตก็ไร้ความหมาย
นั่นคือ เหตุผลที่ผมเสนอให้เริ่มเปิดร้าน 7 โมงเช้า ปิดบ่ายสอง
หยุดทุกวันจันทร์เพื่อพักผ่อน
มีระบบการแบ่งเงินอย่างชัดเจน
และจะต้องหาเวลาไปเที่ยว เฉลิมฉลอง หรือกินข้าวด้วยกันข้างนอก
ให้ภาพจำในใจไม่ได้มีแต่การทำงาน
เพื่อเรียกรอยยิ้มในครอบครัวให้กลับมา
"ขาหมู"ที่อร่อย ไม่ใช่จะมีเพียงความหอมและรสชาติ ที่น่ากินเท่านั้น
"สีสัน และความสะอาด" ก็สำคัญ
คงเหมือนกับ "ชีวิต" ที่ต้องมี "รอยยิ้ม" ให้แก่กัน
เพียงเห็นรอยยิ้มจากคนในครอบครัว เราก็มีความสุขแล้ว
เรื่องราวของ "เบิร์ด-ตี๋" คงให้บทเรียนหลายอย่างกับทุกคน ทั้งเรื่องการทำธุรกิจและการใช้ชีวิต
ที่สำคัญที่สุด คงสร้างแรงบันดาลใจแก่หลายคนที่หมดกำลังใจในชีวิต
ถ้า "ตี๋-เบิร์ด" ทำได้
คุณก็ต้องทำได้
เริ่มต้นใหม่ได้ ถ้าหัวใจไม่ยอมแพ้
การเอาใจใส่ลูกค้า 在 การอบรม หลักสูตรการเอาใจใส่ลูกค้าอย่างมีเทคนิค (รุ่น 2)18 มิ.ย57 的推薦與評價
- การอบรม หลักสูตรการเอาใจใส่ลูกค้าอย่างมีเทคนิค (รุ่น 2)_18 มิ.ย. 2557. 8 Likes. Penpuk Noinumkhum and 7 others like this. ... <看更多>