📌รูเล็ต 11แถว 1ไม้1win (ทุน340 กำไร 20บาท) I นิรนามเทรดเดอร์
https://vimeo.com/395532749
ลิงค์ดาวน์โหลด ตารางการเดินเงิน รูเล็ต 11 แถว 1ไม้1win
https://bit.ly/3meTvt8
👉 ติดต่อสอบถาม ขอเข้ากลุ่ม ทักไลน์ @nntd014 (อย่าลืมเติม@)
#นิรนามเทรดเดอร์ "มีสติก็จะมีสตางค์"
同時也有75部Youtube影片,追蹤數超過189萬的網紅ครัวพิศพิไล,也在其Youtube影片中提到,ทำอาหารง่ายๆ กับครัวพิศพิไล วันนี้จิมจะมาชวนทำ เมนูข้าวเหนียวมูน ทุเรียน สูตรทำกินก็ได้ ทำขายก็รวย ช่วงนี้เป็นหน้าทุเรียนด้วย เดินไปทางไหนก็หอมแต่ทุเร...
กำไร1 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
ทำไม บางบริษัทมีกำไร แต่ไม่ยอมจ่ายเงินปันผล /โดย ลงทุนแมน
สำหรับคนที่ลงทุนในหุ้น ผลตอบแทนจากการลงทุนจะมาจาก 2 ส่วน คือ
1. กำไรจากการขายหุ้น (Capital Gain) และ
2. เงินปันผล (Dividend)
ซึ่งโดยพื้นฐาน ทั้ง 2 ส่วนจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับเรื่องของ กำไรของกิจการเป็นหลัก
เพราะโดยทั่วไปแล้ว ถ้าบริษัทมีกำไรเติบโตมาก
ราคาหุ้นก็จะปรับเพิ่มขึ้น รวมไปถึงจ่ายเงินปันผลมากขึ้น
แต่ประเด็นของบทความนี้ก็คือ มีบางบริษัท ที่แม้ว่าจะมีกำไรมาก แต่กลับเลือกที่จะไม่จ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นเลย
มีเหตุผลอะไรที่บางบริษัทแม้ว่าจะมีกำไรมหาศาล
แต่เลือกที่จะไม่จ่ายเงินปันผลออกมา
แล้วถ้าเราอยู่ในฐานะนักลงทุน เราควรหลีกเลี่ยงหุ้นที่ไม่จ่ายเงินปันผลหรือไม่ ?
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า นักลงทุนบางส่วนที่ลงทุนในหุ้น หวังจะได้ผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ เป็นประจำทุก ๆ ปี เพราะฉะนั้น นักลงทุนในกลุ่มนี้ จึงชอบมองหา บริษัทที่มีการประกาศจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น จึงอาจมีนักลงทุนจำนวนหนึ่ง
ที่มีกฎเหล็กเลยว่า จะไม่ลงทุนในบริษัทที่ไม่จ่ายเงินปันผล
ในมุมของบริษัท หลัก ๆ แล้วจะสามารถจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้ เมื่อในรอบปีบัญชีนั้น บริษัทมีกำไร และไม่มีผลขาดทุนสะสม
อย่างไรก็ตาม ก็มีบริษัทจำนวนไม่น้อย ที่เลือกไม่จ่ายเงินปันผล ทั้งที่บริษัทก็มีกำไร และไม่ได้ขาดทุนสะสม
ซึ่งก็มีเหตุผลที่ไม่จ่ายหลากหลายกรณี เช่น
กรณีแรก: บริษัทต้องการนำผลกำไรนั้น ไปลงทุนต่อ
การนำผลกำไรกลับไปลงทุนต่อ (Reinvesting Profits)
คือสิ่งที่หลายบริษัทเลือกทำ โดยเฉพาะถ้าบริษัทนั้น กำลังอยู่ในช่วงของการเติบโต ซึ่งต้องการทุ่มเงินลงทุนไปในโครงการต่าง ๆ
บางบริษัทเชื่อว่า การนำผลกำไรนั้นกลับไปลงทุนต่อ จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า การที่ผู้ถือหุ้นได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล
ซึ่ง Netflix ผู้ให้บริการสตรีมมิงวิดีโอรายใหญ่ของโลก ก็คือกรณีศึกษาที่ดีของเรื่องนี้
เราลองมาดูผลประกอบการของ Netflix ในช่วงปี 2018-2020
ปี 2018 รายได้ 521,000 ล้านบาท กำไร 40,000 ล้านบาท
ปี 2019 รายได้ 666,000 ล้านบาท กำไร 62,000 ล้านบาท
ปี 2020 รายได้ 833,000 ล้านบาท กำไร 92,000 ล้านบาท
รู้ไหมว่า สิ้นปี 2020 Netflix มีกำไรสะสมมากถึง 252,000 ล้านบาท แต่ที่ผ่านมา บริษัทไม่เคยจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นเลย
เนื่องจากบริษัทนำผลกำไรนั้นกลับไปลงทุนต่อในการผลิตคอนเทนต์ เช่น สร้างภาพยนตร์ สร้างแอนิเมชัน ซีรีส์ รวมไปถึงการจ่ายคืนหนี้ และซื้อหุ้นคืน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้ถือหุ้นจะไม่ได้เงินปันผล แต่มูลค่าบริษัทของ Netflix ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 119,000 ล้านบาท เมื่อ 10 ปีที่แล้ว มาอยู่ที่ 8.5 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน
หมายความว่า ถ้าเราลงทุนในหุ้น Netflix 1 ล้านบาท เมื่อ 10 ปีที่แล้ว
มาวันนี้ เงิน 1 ล้านบาทนั้นของเรา จะกลายเป็น 71 ล้านบาท
และนั่นคงไม่ทำให้ผู้ถือหุ้น Netflix มีปัญหาอะไร แม้ว่าจะไม่เคยได้รับเงินปันผลเลยก็ตาม..
กรณีที่สอง: เก็บเงินสดไว้ซื้อกิจการเป้าหมาย
อีกหนึ่งบริษัทที่ไม่จ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นมานานแล้ว คือ Berkshire Hathaway ที่มีวอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนชื่อดังระดับโลกเป็นผู้บริหารอยู่
รู้ไหมว่า ปัจจุบัน Berkshire Hathaway นั้นมีเงินสดอยู่ในบริษัทกว่า 2 ล้านล้านบาท ซึ่งการที่ Berkshire Hathaway เลือกถือเงินสดไว้มาก ๆ เหตุผลหนึ่งก็คือ เก็บเอาไว้ใช้ซื้อกิจการที่น่าสนใจ
ตัวอย่างกิจการที่ Berkshire Hathaway เข้าไปซื้อในอดีตที่ผ่านมา เช่น
ปี 2010 ซื้อหุ้น 100% ของบริษัท BNSF Railway ผู้ให้บริการขนส่งสินค้าทางรถไฟรายใหญ่ ที่มีเครือข่ายในทวีปอเมริกาเหนือ มูลค่ากว่า 1.5 ล้านล้านบาท
ปี 2013 ซื้อหุ้น 50% ใน The H. J. Heinz Company บริษัทแปรรูปอาหารและผลิตซอสมะเขือเทศ มูลค่ากว่า 410,000 ล้านบาท
แม้ว่าหลัง ๆ มา Berkshire Hathaway จะไม่ได้เข้าซื้อกิจการด้วยมูลค่ามาก ๆ เท่าในอดีต
แต่การที่บริษัทมีเงินสดอยู่มหาศาล ก็ทำให้บริษัทสามารถเข้าไปซื้อกิจการเป้าหมายได้ เมื่อไรก็ตามที่บริษัทต้องการ
กรณีที่สาม: ปัญหาทางการเงินของบริษัท
นอกเหนือจากการนำผลกำไรนั้นกลับไปลงทุนต่อ และเก็บเงินไว้เพื่อซื้อกิจการเป้าหมายแล้ว การที่บริษัทจะไม่จ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นอาจเกิดจากปัญหาทางการเงินของบริษัทเอง
บางบริษัทแม้ว่า จะมีกำไรในบางปี แต่ก็ไม่สามารถจ่ายเงินปันผลออกมาได้ เนื่องจากบริษัทยังมีผลขาดทุนสะสมอยู่ ซึ่งตามกฎแล้ว บริษัทจะยังไม่สามารถที่จะจ่ายเงินปันผลออกมาให้ผู้ถือหุ้นได้
หรือแม้แต่กรณีที่บริษัทมีกำไรสะสม และสามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้ แต่บริษัทก็อาจจะยังไม่จ่าย เนื่องจากสถานะการเงินที่ยังไม่แข็งแรง จึงเลือกที่จะเก็บเงินสดไว้ระดับหนึ่งก่อน
อ่านมาถึงตรงนี้ เราก็น่าจะพอได้ไอเดียแล้วว่า
ทำไมบางบริษัทที่มีกำไรแต่ไม่จ่ายเงินปันผลออกมาให้ผู้ถือหุ้น
เพราะว่าบริษัทเหล่านั้น ต้องการที่จะนำผลกำไรไปลงทุนต่อในธุรกิจตัวเอง ไปซื้อกิจการอื่น จ่ายคืนหนี้ ซื้อหุ้นคืน หรือแม้แต่เก็บเงินสดไว้ เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงิน
ดังนั้น ก่อนที่เราจะปฏิเสธไม่ลงทุนในบริษัทที่ไม่จ่ายเงินปันผล เราต้องดูให้ดีก่อนว่า ที่บริษัทไม่ยอมจ่ายเงินปันผลนั้น เพราะอะไร หรือมีแผนเอาเงินที่ไม่จ่ายออกมาเป็นปันผลนั้น ไปต่อยอดได้ดีแค่ไหน
ถ้ามองแล้วว่า ถึงแม้บริษัทจะไม่จ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น
แต่มีการเอาเงินส่วนนั้น ไปต่อยอดสร้างอนาคตที่ดีให้กิจการ
หุ้นที่เราถืออยู่ ก็สามารถมีมูลค่าที่เติบโตเพิ่มขึ้น
จนทำให้สุดท้ายแล้ว เราในฐานะผู้ถือหุ้น ก็อาจได้ผลตอบแทนจากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ซึ่งถ้าผู้ถือหุ้นอยากได้เงินสดมาใช้ ก็อาจแบ่งขายหุ้นออกมาได้..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.suredividend.com/why-companies-never-pay-dividends/
-https://www.set.or.th/th/regulations/simplified_regulations/files/20200914_Dividend.pdf
-https://ir.netflix.net/financials/financial-statements/default.aspx
-https://www.investopedia.com/ask/answers/12/why-do-some-companies-pay-a-dividend.asp
-https://www.wallstreetzen.com/stocks/us/nasdaq/nflx/dividends
-https://finance.yahoo.com/quote/NFLX/balance-sheet?p=NFLX
-https://www.investopedia.com/ask/answers/021615/why-doesnt-berkshire-hathaway-pay-dividend.asp
-https://kunaldesai.blog/berkshire-hathaway-acquisitions/
กำไร1 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
สรุปประเด็นจากห้อง Clubhouse
ทำไมเงินถึงไหลเข้ากองทุน ESG ถึง 1,000,000,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ ?
Clubhouse BBLAM x ลงทุนแมน
ถ้าพูดถึง Theme การลงทุนพลังงานสะอาด หลายคนก็มักจะติดภาพความน่าเบื่อ และไม่ตื่นเต้น
แต่หลังจากที่ ลงทุนแมน ได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์คือ คุณมทินา วัชรวราทร CFA®, Head of Investment Strategy กองทุนบัวหลวง ในวันพุธที่ 22 กันยายน ที่ผ่านมา
ก็พบว่า Theme พลังงานสะอาด ไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่หลายคนคิด นอกจากนั้นยังเป็น Theme ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงรอบใหญ่ของโลก และยังเกี่ยวโยงกับหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตในอนาคต อีกด้วย
ความน่าสนใจของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร
ลงทุนแมนจะมาสรุปให้ฟังง่าย ๆ 9 ข้อ..
1. ทำไมกระแส ESG จึงกลายเป็นที่พูดถึงในตอนนี้ ?
พลังงานสะอาดคือ เทรนด์การลงทุนที่สำคัญมากในอนาคต และไม่ใช่แค่เทรนด์ระยะสั้น
สังเกตได้จากเม็ดเงินที่ไหลเข้ากองทุน ESG ทั่วโลกแตะ 1,000,000,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ อ่านว่า “1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ” เป็นครั้งแรก
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในยุโรป และการลงทุนใน ESG ยังให้ผลตอบแทนที่ดีด้วย จึงเป็นหลักของการลงทุนที่เรียกว่า Green and Great Return
ถ้าเราลองมาดูผลตอบแทนของ กองทุน Pictet Global Environmental กองทุนรวมที่ลงทุนในธุรกิจที่ดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นกองทุนหนึ่งที่ B-SIP เข้าไปลงทุน ก็ให้ผลตอบแทนดีในหลายไตรมาส
และหากลงทุนตั้งแต่ก่อตั้งกองทุนในปี 2014 ก็จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 14.92% ถือว่าทำได้ดีกว่า เมื่อเทียบกับการลงทุนในดัชนีโลกที่มีทั้ง ESG และไม่มี ESG ที่ให้ผลตอบแทนเพียง 10%
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้การลงทุนกองทุนที่ลงทุนในธุรกิจที่ดูแลสิ่งแวดล้อมให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
ก็เป็นเพราะว่าบริษัทที่ยึดหลัก ESG จะมีคุณภาพทั้งด้านรายได้ กำไร และผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น ดีกว่า บริษัททั่ว ๆ ไป
ทำให้สามารถกำหนดราคาสูงขึ้นได้ ดึงดูดคนที่มีความสามารถเข้ามาร่วมงานได้ง่าย รวมทั้งยังมีโอกาสด้านต้นทุนการกู้ยืมที่ถูกกว่า เสียดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า และธนาคารปล่อยสินเชื่อง่ายกว่าอีกด้วย
2. ทำไม พลังงานสะอาด จะเป็นการเปลี่ยนแปลงรอบใหญ่ของโลก ?
สิ่งที่ทำให้ กองทุนบัวหลวงมองว่า พลังงานสะอาดจะไม่ใช่เทรนด์ระยะสั้น
ก็คือการสังเกตคลื่นนวัตกรรมเปลี่ยนโลกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่ผ่านมาแล้ว 5 คลื่นด้วยกัน นั่นคือ
- คลื่นที่ 1 คือ การปฏิวัติอุตสาหกรรม
- คลื่นที่ 2 คือ การเริ่มใช้พลังงานไอน้ำ
- คลื่นที่ 3 คือ การใช้รถยนต์แทนม้า
- คลื่นที่ 4 คือ การเดินทางโดยเครื่องบิน
- คลื่นที่ 5 คือ โลกออนไลน์ เช่น Microsoft, Facebook, Amazon, Netflix
สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่กินระยะเวลายาวนานหลายสิบปี และนำมาซึ่งกิจการขนาดใหญ่ที่มีความมั่งคั่งมากขึ้น
แต่ในโลกอีก 25 ปีข้างหน้า สิ่งที่จะกลายเป็นประเด็นสำคัญ และทั่วทั้งโลกกำลังเผชิญเหมือนกันอยู่ก็คือ “ภาวะโลกร้อน”
เพราะฉะนั้น คลื่นที่ 6 ก็คือ “เทคโนโลยีพลังงานสะอาด” ซึ่งจะเป็นหนึ่งเทรนด์ต่อจากนี้ไปอีก 25 ปี พร้อม ๆ กับ Robotics, Drones, AI, IoT สิ่งนี้เองที่จะเป็นแนวทางให้เราได้ว่า โลกในอนาคตจะเป็นไปในทิศทางไหน แล้วเราควรจะลงทุนอะไรต่อไป
3. สัญญาณสำคัญที่ชี้ว่า โลกกำลังอยู่ในช่วงต้น คลื่นที่ 6 พลังงานสะอาด คืออะไร ?
กองทุนบัวหลวงมองว่า Megatrends จะต้องมี 3 องค์ประกอบ คือ
1. ความร่วมมือระดับโลก
2. การเห็นด้วยจากรัฐบาล
3. ความร่วมมือภาคเอกชน
เมื่อครบทั้ง 3 องค์ประกอบนี้ เงินลงทุนก็จะหลั่งไหลมายังเทรนด์นั้น ๆ อย่างแน่นอน ซึ่งเทรนด์ ESG ตอนนี้มีครบทั้ง 3 องค์ประกอบเรียบร้อยแล้ว
เริ่มต้นด้วยความร่วมมือระดับโลกคือ ข้อตกลง Paris Agreement จาก UN
ที่ต้องการให้ประเทศต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันภัยพิบัติต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นจากภาวะโลกร้อน
ต่อมาคือ การขานรับนโยบาย จากรัฐบาลของประเทศมหาอำนาจ
เราได้เห็นประเทศต่าง ๆ ในยุโรปมีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เช่น
- European Green Deal เพื่อที่จะลดการปล่อยคาร์บอนให้เหลือศูนย์ ภายในปี 2050
- European Climate Law กฎหมายที่พูดถึงการลดการปล่อยมลพิษลงอย่างน้อย 55% ภายในปี 2030
นอกจากนี้มหาอำนาจอย่าง “สหรัฐอเมริกา” ก็ได้จัดตั้งแผนงบประมาณด้านสิ่งแวดล้อม เช่น
- แผนที่ 1 วงเงิน 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการผลิตรถยนต์ EV และแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน
- แผนที่ 2 วงเงิน 5.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสีเขียว ซึ่งภายในปี 2035 สหรัฐอเมริกาตั้งเป้าจะใช้พลังงานแสงอาทิตย์ 40% ของพลังงานทั้งหมด
ขณะเดียวกัน มหาอำนาจซีกโลกตะวันออกอย่าง “จีน” ที่แม้จะยังคงใช้พลังงานถ่านหินเป็นหลัก แต่ก็มีการคาดการณ์ว่าจะมีสัดส่วนพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2035 เป็นต้นไป
โดยล่าสุดประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยังกำหนดนโยบายสิ่งแวดล้อม ไว้ในแผนการพัฒนาประเทศฉบับที่ 14 ซึ่งจะลดการปล่อยคาร์บอนต่อสัดส่วนของ GDP ลง 65% และจะเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทน 25% ภายในปี 2030 อีกด้วย
หรือประเด็นรถยนต์ไฟฟ้า แม้ในปี 2020 ยุโรปขายรถยนต์ EV ไปแล้ว 1.3 ล้านคน ขณะที่จีนขายรถยนต์ EV ไปแล้ว 1.2 ล้านคัน แต่ก็มีการคาดการณ์ว่าจีนจะสามารถแซงหน้าและกินส่วนแบ่ง 20% จากตลาดรถยนต์ทั้งหมดภายในปี 2025 ได้ไม่ยากเลย
4. แล้วภาครัฐและภาคเอกชน เชื่อมั่นใน Megatrends เรื่องพลังงานสะอาด แค่ไหน ?
ผลสำรวจของ UBS หรือธนาคารเพื่อการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์
ที่ได้สอบถามองค์กรต่าง ๆ ว่าอยากลงทุนใน Theme อะไรเป็นอันดับหนึ่ง
ปรากฏว่า 2 ใน 3 ตอบว่า จะลงทุนในพลังงานสะอาด เพราะเป็นปัญหาที่โลกเราต้องแก้ไข และยังให้ผลตอบแทนที่ดีด้วย
ซึ่งหากลงทุนในด้านพลังงานทดแทนเป็นระยะเวลา 5 ปี เมื่อเทียบกับการลงทุนในพลังงานแบบเก่า
จะเห็นว่า ผลตอบแทนแตกต่างกันค่อนข้างมาก จุดนี้เองที่บอกว่ามันคือ Green and Great Return
นอกจากนี้กองทุนใหญ่ ๆ ก็ประกาศเข้ามาลงทุนในเรื่องพลังงานสะอาดเช่นกัน
เช่น Cathie Wood ผู้จัดการกองทุน ETF ARK
ประกาศว่าจะทำกองทุน ETF ใหม่ ที่ใช้ ESG Score ทั้งสามด้าน
คือ ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล
โดยจะไม่ลงทุนในบริษัทที่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม หรือไม่ส่งผลดีต่อสังคม
ขณะเดียวกัน กองทุนมหาวิทยาลัย Harvard ที่มีขนาด 4.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็ประกาศหยุดการลงทุนในบริษัทที่ผลิตพลังงานฟอสซิลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
รวมทั้งบริษัทผลิตน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Saudi Aramco ก็ประกาศลงทุนในพลังงานสะอาด
โดยลงทุนในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในซาอุดีอาระเบีย
นอกจากนี้ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ยังวางเป้าหมายประเทศว่าจะใช้พลังงานสะอาดให้ได้ 50% ภายในปี 2030 และจะไม่ได้ลงทุนแค่พลังงานลมและแสงอาทิตย์ แต่ยังลงทุนในพลังงานไฮโดรเจน อีกด้วย
5. แล้วอะไรคือ ความเสี่ยงของเทรนด์ ESG และพลังงานสะอาด ?
ความเสี่ยงของ ESG พลังงานสะอาดอย่างแรกคือ กองทุนที่เสนอขายเป็น ESG จริงหรือไม่ แล้วมีมาตรฐานขอบเขตการลงทุนด้านพลังงานสะอาดที่ชัดเจนจริง ๆ หรือไม่
ความเสี่ยงที่สองคือ ต้องระวังว่าบริษัทที่เกี่ยวกับพลังงานสีเขียวนี้ มีราคาแพงไปแล้วหรือยัง มีฟองสบู่ที่เรียกว่า Green Bubble จากเม็ดเงินที่เข้าไปลงทุน 1.65 แสนล้านในปี 2019 และอีกกว่า 3.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020 อยู่หรือไม่
ดังนั้น วิธีการลงทุนที่สำคัญ คือ การเลือกกองทุนที่ใส่ใจเรื่อง Valuation และใช้เรื่องมูลค่ามาเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญในการลงทุน
6. แล้วเราควรเลือกลงทุนใน ธุรกิจพลังงานสะอาด อย่างไร ?
เราลองมาดูตัวอย่างธุรกิจที่เกี่ยวกับการผลิตไฟฟ้า การขนส่ง การทำการเกษตร ว่าจะสามารถ Green and Great Return ไปพร้อมกับการให้ผลตอบแทนที่ดีได้จริงหรือไม่
เริ่มต้นที่ Orsted บริษัทพลังงานลมนอกชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดในโลกของเดนมาร์ก เดิมทีเคยเป็นบริษัทพลังงานถ่านหินเก่าแก่มาตั้งแต่ปี 1972 โดย 85% ของการผลิตไฟฟ้ามาจากฟอสซิล
จากนั้นในปี 2008 ก็พลิกธุรกิจครั้งใหญ่มาสู่เส้นทางพลังงานสะอาด โดย 85% ของการผลิตไฟฟ้ามาจากพลังงานสีเขียว และเดินทางสู่การเป็นบริษัทพลังงานลมที่ใหญ่ที่สุดของโลกได้สำเร็จ
ซึ่งรู้หรือไม่ว่า กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ หรือ GULF บริษัทพลังงานของไทย ก็ได้ร่วมลงทุนใน Orsted เช่นกัน เพราะมองเห็นนวัตกรรมของพลังงานลมที่ดีที่สุดในโลกของ Orsted โดย 1/3 ของพลังงานลมของโลก มาจากบริษัทนี้
ที่น่าสนใจก็คือ ราคาของพลังงานลม ถูกกว่า ราคาพลังงานของถ่านหินไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปี 2018 และยังคาดการณ์ว่าภายในปี 2030 พลังงานลมและแสงอาทิตย์จะเป็นแหล่งพลังงานที่ถูกที่สุดในโลก
ในแง่ของ Green and Great Return อย่าง Orsted เริ่มเข้าตลาดปี 2016 ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ราคาปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 96% ต่อปี
ขณะเดียวกันยังมีรายได้เติบโตเฉลี่ย 30% ต่อปี และจะเป็นเช่นนี้ต่อเนื่องไปอย่างน้อยถึงปี 2050 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยังมีโอกาสขยายตลาดไปยังประเทศต่าง ๆ ได้อีกมาก เช่น อินเดีย ญี่ปุ่น
7. ธุรกิจพลังงานสะอาดที่ไม่พูดไม่ได้ในตอนนี้ ก็คือ EV ?
เราทราบดีอยู่แล้วว่า หนทางลดปัญหามลภาวะจากการใช้รถยนต์ก็คือ การหันมาใช้รถยนต์ EV หรือรถไฟฟ้า แต่สงสัยไหมว่า ทำไมเทรนด์นี้จึงกลายเป็นโอกาสลงทุนมหาศาลในอนาคต
จากข้อมูลคาดการณ์ว่า ยอดขายรถยนต์ EV จะเพิ่มขึ้น 18 เท่าในอีกสิบปีข้างหน้า แสดงว่าอาจเพิ่มขึ้นสองเท่าทุก ๆ ปี ซึ่งในอนาคตรถยนต์ทั่วโลกจะกลายเป็นรถยนต์ EV อย่างน้อย 80%
เหตุผลก็เพราะว่า ราคารถยนต์ไฟฟ้าจะถูกลงเรื่อย ๆ สังเกตได้จาก ลิเทียมไอออนแบตเตอรี่ ที่มีราคาถูกลง 88% เมื่อเทียบกับสิบปีก่อน หากราคายังคงลดลงเรื่อย ๆ ก็เชื่อว่า ราคารถยนต์ EV และรถยนต์สันดาป จะมีระดับราคาใกล้เคียงกัน
นอกจากนี้ นโยบายของประเทศแถบยุโรปยังให้ความสำคัญเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยจะยกเลิกการขายรถยนต์สันดาปแล้วจริง ๆ เช่น สวีเดน ประกาศยกเลิกในปี 2025 หรืออังกฤษ ก็ประกาศยกเลิกในปี 2035
พอเป็นแบบนี้ แบรนด์รถยนต์ต่าง ๆ จึงต้องปรับตัวกันถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์เก่าแก่อย่าง Honda, Toyota หรือแบรนด์ใหม่อย่าง Tesla, BYD, XPeng แม้กระทั่งค่ายเก๋าอย่าง Harley-Davidson, Porsche ก็ต้องปรับตัวตามเช่นกัน
ที่น่าสนใจก็คือ การเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมรถยนต์รอบนี้ ทิศทางเงินลงทุนไม่ใช่แค่ส่วนของรถยนต์ EV เพียงอย่างเดียว แต่จะไปถึง Supply Chain ต่าง ๆ ทั้งหมด เช่น
- บริษัทผลิตแบตเตอรี่
- บริษัทชิป Semiconductor
- บริษัท Software ที่ทำ ADAS (รถยนต์ไร้คนขับ Autonomous Driving) และบริษัท Simulation ทำการจำลองการขับรถ
ทีนี้ลองมาดูตัวอย่างธุรกิจรถยนต์ EV ที่กองทุน B-SIP เข้าไปลงทุนกันบ้าง
XPeng อ่านว่า เสี่ยวเผิง เป็นบริษัทรถยนต์ EV เน้นตลาดระดับกลางเเละระดับสูงในจีน ที่เรียกได้ว่าท้าชนกับ Tesla ได้เลย เช่น รถยนต์ EV รุ่น XPeng P7 ที่มีราคาเปิดตัวล้านกว่าบาท ชาร์จหนึ่งครั้งจะวิ่งได้ 700 กิโลเมตร โครงสร้างต่าง ๆ มาจากการออกแบบของวิศวกรที่มาจาก Apple, Tesla
XPeng ยังใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ อย่าง 5G, AI ซึ่งตอนนี้ก็มีเทคโนโลยี Autonomous Driving เรียบร้อยแล้ว และยังใช้แบตเตอรี่ของ CATL ผู้ผลิตแบตเตอรี่จีนที่ใหญ่ที่สุด ที่เพียงใช้เวลา 30 นาที ก็สามารถชาร์จได้ 80% อีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ กองทุน B-SIP จึงไม่พลาดที่จะเข้าไปลงทุน IPO ปีที่แล้ว เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งธุรกิจพลังงานสะอาดที่มี Green and Great Return เลยทีเดียว
8. นอกจาก พลังงานลม และรถยนต์ EV ยังมีธุรกิจไหนจะเป็นเทรนด์อนาคตได้อีกบ้าง ?
เริ่มต้นด้วยเรื่องใกล้ตัว อย่างอาหารที่เรียกว่า “Beyond Meat” ซึ่งเป็นธุรกิจผู้ผลิตอาหารคล้ายเนื้อที่ไม่ได้มาจากเนื้อจริง ๆ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมเรื่องปัญหาดิน ปัญหาน้ำ และปัญหามลพิษ
โดยในปี 2050 คาดว่าจะมีการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก 2.8 พันล้านคน และจะตามมาด้วยปริมาณอาหารที่ต้องการเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
หากเป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ จำเป็นต้องใช้พื้นที่เลี้ยงสัตว์และปัจจัยต่าง ๆ มากกว่าการปลูกพืชอย่างมาก เช่น การเลี้ยงวัว จะใช้ที่ดินมากกว่า 18 เท่า รวมทั้งใช้น้ำและพลังงานมากกว่า 10 เท่า และยังจะปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซมีเทน ออกมาจากร่างกายอีกด้วย
จึงไม่แปลกใจเลยว่า สัดส่วน 79% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการเกษตรมาจาก “การเลี้ยงสัตว์”
ปัจจุบัน Beyond Meat กำลังขยายฐานลูกค้าได้ดี สังเกตได้จากแบรนด์อาหารต่าง ๆ ที่หันมานำเสนอผลิตภัณฑ์จาก Beyond Meat มากขึ้นทั่วสหรัฐอเมริกา
เช่น แมคโดนัลด์, เอแอนด์ดับบลิว, Dunkin'
และยังกระจายไปตามร้านสะดวกซื้อ ที่เราสามารถซื้อกลับไปปรุงอาหารที่บ้านได้เองอีกด้วย
Beyond Meat กลายเป็นบริษัทที่น่าจับตามอง และเข้า IPO ในปี 2019 ที่มีมูลค่าบริษัท 3.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มาในปีนี้มูลค่าบริษัทเพิ่มขึ้นมาเป็น 9.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นสองเท่ากว่า ๆ ภายในสองปี นอกจากนี้ยังมีรายได้ปี 2020 เติบโต 36% อีกด้วย
นอกจากธุรกิจอาหารแล้ว ก็ยังธุรกิจอื่น ๆ ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เช่น
- Schneider Electric เป็นบริษัทผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น ลิฟต์ ที่มีการคำนวณการใช้งานแบบประหยัดพลังงาน ซึ่งในอนาคตหากอาคารไหนเป็นอาคารประหยัดพลังงาน ก็จะสามารถเรียกค่าเช่าสูงขึ้นได้
- Equinix เป็นบริษัทโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของโลก เป็นศูนย์จัดเก็บข้อมูลที่ไม่สามารถหยุดทำงานได้ ต้องใช้ไฟตลอดทั้งวันทั้งคืน ปัจจุบันบริษัทสามารถใช้พลังงานหมุนเวียน 92% ของพลังงานทั้งหมด
- Ansys เป็นบริษัทจำลองผล จำลองสถานการณ์สำหรับรถยนต์, เครื่องบิน และอื่น ๆ เพื่อช่วยลดปริมาณการสูญเสียทรัพยากรในช่วงของการทดสอบ
เช่น Dyson แบรนด์เครื่องเป่าผมของผู้หญิง ทำให้แห้งเร็วขึ้นและดีขึ้น
Ansys เข้ามาช่วยคำนวณทิศทางลม, ลมแรง และค้นหาประสิทธิภาพที่ดีที่สุด โดยใช้ซอฟต์แวร์จำลองผลการทดสอบ ช่วยประหยัดทรัพยากร และประหยัดต้นทุนไปได้อย่างมาก
สรุปแล้ว แค่ Theme พลังงานสะอาดอย่างเดียว ก็ทำให้เราเห็นโอกาสของธุรกิจหลากหลายสาขา
ไม่ว่าจะเป็น การผลิตไฟฟ้าที่จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนด้วยพลังงานลม
หรือจะเป็นการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากรถยนต์ที่จะเปลี่ยนทั้ง EV Supply Chain
รวมทั้ง การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนด้วยอุตสาหกรรมอาหาร และการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเหลือมากขึ้น นั่นเอง
9. แล้วเราจะเข้าถึงโอกาสการลงทุนในบริษัทเหล่านี้ได้อย่างไร ?
กองทุน B-SIP เป็นหนึ่งกองทุนเพื่อตอบโจทย์การลงทุนในพลังงานสะอาดโดยตรง และมีจุดเด่นด้วยสไตล์การลงทุนของกองทุนบัวหลวง ที่จะเฟ้นหาธุรกิจดีมีคุณภาพและเติบโต ซึ่งจะสร้างความแตกต่างจากกองทุนอื่นทั่วไป นั่นคือ
1. เน้นลงทุนธุรกิจรักษาสิ่งแวดล้อม ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในอนาคตที่เรียกว่า Green and Great Return นั่นเอง
2. มองว่าเทรนด์รักษาสิ่งแวดล้อมและพลังงานสะอาด จะเป็น Megatrends ของโลกที่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น จึงเชื่อว่า Theme นี้มีความน่าสนใจและสามารถลงทุนระยะยาวได้
3. เปลี่ยนภาพจำว่า การลงทุนในพลังงานสะอาดและสิ่งแวดล้อมไม่จำเป็นต้องเป็นหุ้นน่าเบื่อหรือหุ้นโครงสร้างพื้นฐานเสมอไป
เพราะการลงทุนของ B-SIP ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นเติบโต มีนวัตกรรม มีเทคโนโลยี และยังคำนึงถึงการประเมิน Valuation ด้วย
ถ้าฉายภาพใหญ่ ๆ ก็คือ กองทุน B-SIP จะลงทุนทั้งในฝั่ง Global Environmental Opportunities และ Clean Energy นั่นเอง
โดยฝั่ง Global Environment จะมีสัดส่วนธุรกิจเทคโนโลยี 40% นอกจากนั้นจะเป็นบริษัทอุตสาหกรรม, กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มเคมีภัณฑ์
ซึ่งจะมีรูปแบบลงทุน Active Management เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างหุ้นเติบโตและหุ้นคุณค่า
ส่วนในฝั่งของพลังงานสะอาด จะมีสัดส่วนธุรกิจเทคโนโลยี 48% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะได้เข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรม EV ทั้ง Supply Chain ราว 33% ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทฝั่งสหรัฐอเมริกา และยุโรป เพราะเป็นผู้นำเรื่องเทคโนโลยีพลังงานสะอาด
เช่น Orsted ธุรกิจพลังงานลมนอกชายฝั่งมากว่า 10 ปี มีเทคโนโลยีน่าสนใจ และยังมีโอกาสขยายตลาดได้อีกมาก
ทั้งหมดนี้ จึงสะท้อนได้ว่า กองทุน B-SIP เป็นอีกหนึ่งช่องทางลงทุนใน Theme พลังงานสะอาดที่จะสร้างการเติบโตในระยะยาวได้แบบ Green and Great Return นั่นเอง..
กำไร1 在 ครัวพิศพิไล Youtube 的精選貼文
ทำอาหารง่ายๆ กับครัวพิศพิไล วันนี้จิมจะมาชวนทำ เมนูข้าวเหนียวมูน ทุเรียน สูตรทำกินก็ได้ ทำขายก็รวย ช่วงนี้เป็นหน้าทุเรียนด้วย เดินไปทางไหนก็หอมแต่ทุเรียน สาวกทุเรียนต้องไม่พลาดข้าวเหนียวมูน น้ำราดทุเรียน ใส่ทุเรียนเยอะๆ ได้ตามที่ใจต้องการได้เลย หรือใครที่อยากจะลองทำขาย หารายได้เสริมอีกทาง จิมก็มีสูตรพร้อมคำนวณต้นทุนให้ด้วยจ้า
ส่วนผสมข้าวเหนียว
- ข้าวเหนียว 1 กิโลกรัม
- น้ำสะอาด
ส่วนผสมน้ำมูนข้าวเหนียว
- กะทิไทยโคโค่ 800 ml
- น้ำตาลทรายขาว 400 กรัม
- น้ำ 200 ml
- เกลือ 2 ช้อนชา
- ใบเตย 5-6 ใบ
ส่วนผสมน้ำกะทิทุเรียน สำหรับราดข้าวเหนียวมูน
- กะทิไทยโคโค่ 1200 ml
- เกลือ 3 ช้อนชา
- น้ำตาลทรายขาว 100 กรัม
- น้ำตาลมะพร้าว 200 กรัม
- น้ำสะอาด 500 ml
- ทุเรียน 1 ลูก
ข้อมูลการสั่งซื้อ ลิ้งค์ต่างๆ
Facebook : https://www.facebook.com/kathi.Thaicoco
ช่องทางการสั่งซื้อออนไลน์
- Shopee : https://bit.ly/3rSUfG9
- Lazada : http://bit.ly/3lvs5yv
ต้นทุน-กำไร สูตรข้าวเหนียว 1 โล และจิมใช้ทุเรียนเยอะมาก ขายราคาสูงได้ค่ะ แต่ถ้าทำตามตลาดนัดลดต้นทุนทุเรียนลงได้ค่ะ
กะทิไทยโคโค่ 2 กล่อง 110 บาท
น้ำตาลทราย 11 บาท
น้ำตาลมะพร้าว 7 บาท
เกลือ 50 สตางค์
ข้าวเหนียว 35 บาท
ใบเตย 5 บาท
ทุเรียน 1 ลูก 350 บาท (ใส่ปริมาณตามราคาขายได้ค่ะ ไม่ต้องเยอะเท่าจิมก็ได้ค่ะ)
กล่องกลมใหญ่ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 20 cm กล่องน้ำทุเรียน ขนาด 8 cm รวมราคาชุดละ 4 บาท ใช้ไป 12 ชุด = 48 บาท
รวมต้นทุนทั้งหมด 566.50 บาท (ยังไม่รวมค่าแรง ค่าแก๊ส ค่าเช่า)
ขายกล่องใหญ่ ลองทำดูได้ประมาณ 12 กล่อง ขายกล่องละ 100 บาท รวม 1,200 บาท หักทุน 566.50 = กำไร 633.50 บาท
กล่องเล็กขาย 40-50 บาทได้ค่ะ กำไรไกล้เคียงกันจ้า
ถ้าทำขายสามารถคูณปริมาณเพิ่ม ได้ทำเยอะขึ้นได้อีกค่ะ
“ถ้าชอบคลิปนี้ฝากกดไลค์ กดแชร์ กดติดตามให้ด้วยนะคะ”
กำไร1 在 ลงทุนแมน Youtube 的最佳解答
ทำไมหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ กำไรเพิ่ม ในช่วงที่ผ่านมา...
ทั้งๆที่เป็นช่วงที่หลายธุรกิจยังเจอแรงกดดันจากโควิดกันอยู่ อะไรคือ สาเหตุที่ทำให้งบของบริษัทหลักทรัพย์ ฟื้นกลับมาจากปีที่แล้ว ชนิดที่เรียกได้ว่าถล่มทลายทั้งผลประกอบการและราคาหุ้น
ลงทุนแมน ลงทุนในความรู้
การลงทุนในความรู้ไม่มีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรกด”Subscribe”ลงทุนแมนไว้ในทุกช่องทาง
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website -https://www.longtunman.com/
Blockdit - https://www.blockdit.com/longtunman
Facebook - http://facebook.com/longtunman
Twitter - http://twitter.com/longtunman
Instagram - http://instagram.com/longtunman
Line - http://page.line.me/longtunman
YouTube -https://www.youtube.com/longtunman
Spotify - https://open.spotify.com/show/4jz0qVn...
Soundcloud - http://soundcloud.com/longtunman
Apple Podcasts - http://podcasts.apple.com/th/podcast/...
Clubhouse - @longtunman
#ลงทุนแมน #ห้องประชุมลงทุนแมน #ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง #BREAKTHROUGH #THEBRIEFCASE #longtunman #ลงทุนแมนORIGINALS #ลงทุนเกิร์ลTALK #ลงทุนเกิร์ล
กำไร1 在 ครัวพิศพิไล Youtube 的最佳解答
ทำอาหารง่ายๆ กับครัวพิศพิไล วันนี้จิมมาชวนทำวุ้นกะทิรวมมิตร สูตรทำขาย ทำตัววุ้นกะทิสูตรเดียว แต่จะมีหน้าต่างๆ หลากหลาย อย่างฝอยทอง มะพร้าวอ่อน ทับทิมกรอบ ใส่เพิ่ม ให้ลูกค้าได้เลือกกินได้ตามชอบ ซึ่งจิมก็จะมีวิธีเลือกวัตถุดิบที่ใช้ วิธีทำ และการคำนวนต้นทุนกำไร มาให้ดูกันแบบง่ายๆ เลย ใครก็ทำตามได้ค่ะ ไปดูกันเลย
#กะทิไทยโคโค่ #กะทิคู่ครัวแม่ครัวตัวจริง#ครัวพิศพิไล
ส่วนผสม
น้ำ 3 ลิตร
กะทิ ไทยโคโค่ 3 ลิตร ( กล่องละ 1 ลิตร ใช้ 3 กล่อง )
หน้ารวมมิตร ท็อปปิ้งต่างๆ (ฝอยทอง ทับทิมกรอบ วุ้นลูกตาล ฟักทองเชื่อม ถั่วแดงต้ม)
น้ำตาลทรายขาว 1 กิโลกรัม
ผงวุ้น 50 กรัม ( ซองละ 25 กรัม 2 ซอง)
เกลือ 3 ช้อนชา
วิธีทำ
เริ่มจากการเตรียมหม้อใส่น้ำสะอาดลงไป โรยผงวุ้นใส่ในหม้อ พักไว้ 10-15 นาที ให้ผงวุ้นจมน้ำ และอิ่มน้ำดี นำขึ้นตั้งไฟ ต้มให้เดือด ดูให้ผงวุ้นละลายดี ใส่น้ำตาลทราย เกลือ รอให้เดือดอีกรอบ ใส่ กะทิไทยโคโค่ ลงไป รอเดือดปุดๆ ปิดไฟได้เลย ไม่ต้องเดือดจัด เดี๋ยวกะทิแตกมัน
ที่จิมเลือกใช้เป็นกะทิกล่อง ไม่ใช้กะทิสด เพราะว่า ถ้าเราทำขาย เราจะคุมคุณภาพและรสชาติได้ดีกว่า รสชาติมีความสม่ำเสมอ อร่อยคงที่ และไม่เสียเร็วด้วยค่ะ
ตักใส่พิมพ์ พักไว้ให้หน้าวุ้นพอเซ็ตตัว ก็ใส่ท็อปปิ้งด้วยรวมมิตรต่างๆ ตามชอบ รอให้เย็นและเซ็ตตัวดีก็ปิดฝา กล่อง แช่เย็นๆ พร้อมขายได้เลยค่ะ สูตรนี้เก็บในตู้เย็นได้ 2-3 วันค่ะ ถ้าจะเอาออกไปขายควรจะเก็บไว้ในที่เย็น อากาศไม่ร้อน ไม่โดนแดดด้วยนะคะ เพื่อเป็นการรักษาคุณภาพและรสชาติของวุ้นกะทิค่ะ”
สรุปต้นทุนกำไร สูตรนี้ได้ 45 ถ้วย
น้ำ 3 ลิตร = 3 บาท
กะทิ ไทยโคโค่ 3 ลิตร ( กล่องละ 55 บาท )= 165 บาท
หน้ารวมมิตร ท็อปปิ้งต่างๆ รวม = 495 บาท ใช้ไปประมาณ 1 ใน 3 เหลือทำได้อีก 2-3 รอบ = ใช้ไปแค่ 165 บาท
- ฝอยทองเหลือง 80 บาท (500 กรัม)
- ฝอยทองใบเตย 105 บาท (500 กรัม)
- ทับทิมกรอบ ,แห้ว 87 บาท,น้ำตาล 22 บาท,แป้งมัน 15 บาท, รวม 127 บาท
- วุ้นลูกตาล 45 บาท ( 1 ก.ก.)
- ฟักทอง 40 บาท ,น้ำตาลครึ่งโล 11 บาท (ใช้ไปครึ่งลูก)
- ถั่วแดง 40 บาท ,น้ำตาลครึ่งโล 11 บาท
น้ำตาลทรายขาว 1 กิโลกรัม = 22 บาท
ผงวุ้น 50 กรัม ( ซองละ 32 บาท ) = 64 บาท
เกลือ 3 ช้อนชา
ถ้วยพลาสติก ขนาด กว้างประมาณ 10 ซม. สูงรวมฝา 7 ซม. (ราคาห่อละ 135 บาท มี 100 ใบ) ใช้ไป 45 ใบ =60.75 บาท
ค่าแรง ค่าแก๊ส ค่าเดินทาง ค่าเช่า ค่าอื่นๆ ยังไม่ได้คิด
สูตรนี้ได้ 45 ถ้วย ขายถ้วยละ 25 บาท
ก็จะได้ 1,125 บาท
ต้นทุน 479.75
กำไร 645.25 บาท
ติดต่อกะทิไทยโคโค่
Facebook : https://www.facebook.com/kathi.Thaicoco
ช่องทางการสั่งซื้อออนไลน์
Shopee : https://bit.ly/3rSUfG9
Lazada : http://bit.ly/3lvs5yv
“ถ้าชอบคลิปนี้ฝากกดไลค์ กดแชร์ กดติดตามให้ด้วยนะคะ” ติดต่อโฆษณาหรือสปอนเซอร์
อีเมล์ : [email protected]
โทร : 090-512-4555 (คุณแฟง) ติดต่อโฆษณาหรือสปอนเซอร์
อีเมล์ : [email protected]
โทร : 090-512-4555 (คุณแฟง)
กำไร1 在 Join - Facebook 的推薦與評價
ไห้กำไร 1-2.5% ต่อวัน จ่ายให้ทุกวัน ถอนได้ทุกวัน:จ-ศไม่จำกัดจำนวน ! ด้วย Ai Trad !! Ii !!คนที่สนใจเข้าห้องนี้ค่ะ!!(ลง)... ... <看更多>