⚡️ ต่อโปรฯ 8.8 Flash SALE ⚡️
ด่วน! 36 ชั่วโมงเท่านั้น รีบช็อป❗️
➖➖➖➖➖
💥 Audio Book (หนังสือเสียง) ราคาพิเศษ 💥
.
จากราคาเต็ม 1,900 บาท
⭐️ ราคาพิเศษ #888บาท เท่านั้น
.
💢 หากซื้อ 2 เรื่อง(ใดก็ได้) จับคู่กัน
🔥 รับราคาพิเศษ #1588บาท เท่านั้น (จากราคาเต็ม 3,800 บาท)
.
รายการดังนี้...
🔺 เก่งก่อนได้เปรียบ
🔺 เก่งระดับโลกคุณก็ทำได้
🔺 ขายดีแบบมีสไตส์
🔺 ความลับข้อละล้าน
🔺 ความลับแห่งจักรวาล
🔺 คู่ชีวิต เนรมิตได้
🔺 คู่ชีวิตดึงดูดได้
🔺 เคล็ดลับดับเครียด
🔺 งานประจำ ทำไงให้รุ่ง
🔺 งานไม่ประจำ ทำเงินมาก
🔺 จักรวาลเข้าข้างคุณ
🔺 จักรวาลทำงานให้
🔺 ช่วยลูกให้เป็นแชมป์
🔺 ดูดีชีวิตก็ดี๊ดี
🔺 เป็นปลาอย่างปีนต้นไม้
🔺 พรสวรรค์ปั้นเองได้
🔺 พลังดึงดูด ในตัวคุณ
🔺 พลังสมอง 12 เท่า
🔺 มหัศจรรย์แม่มือใหม่
🔺 เรียนเร็วจำแม่น แบบแชมป์โลก
🔺 วัยรุ่น ไวสำเร็จ
🔺 วิธีทำนายอนาคตตัวเอง
🔺 ศาสตร์ใหม่แห่งกำลังใจ
🔺 17 เคล็ดลับสอนหญิงสาว
.
สนใจเรื่องอื่นๆ กดที่นี่... https://bundit.org/product-category/audiobooks-th/
.
ลูกค้าสามารถเลือกเป็น CD หรือ เรียนออนไลน์ก็ได้นะคะ 😁
.
➖ ➖ ➖ ➖ ➖
สมัครและชำระภายใน 23.59 วันที่ 10 สิงหาคม 64 เท่านั้น ‼️
⚠️ สมัครแล้วเริ่มเรียนได้ทันที ⚠️
แจ้งแอดมินได้เลย....ที่ 📢
.
✔️ ส่งข้อความ มาที่ inbox page : บัณฑิต อึ้งรังษี Bundit Ungrangsee
LINK :: m.me/BunditUngrangsee
.
ขอบคุณค่ะ
ทีมงานคบบัณฑิต 😁
「งานไม่ประจำ」的推薦目錄:
- 關於งานไม่ประจำ 在 บัณฑิต อึ้งรังษี Bundit Ungrangsee Facebook 的精選貼文
- 關於งานไม่ประจำ 在 สมองไหล Facebook 的精選貼文
- 關於งานไม่ประจำ 在 สมองไหล Facebook 的最佳解答
- 關於งานไม่ประจำ 在 งานไม่ประจำทำเงินกว่า l สรุปให้ Podcast EP. 86 - YouTube 的評價
- 關於งานไม่ประจำ 在 ETDA Thailand - Gig Economy: งานไม่ประจำทำหลายจ๊อบ ความ ... 的評價
งานไม่ประจำ 在 สมองไหล Facebook 的精選貼文
ตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่ผ่านมา ผมได้ผ่านชีวิตการเป็นพนักงานประจำ โดยทำธุรกิจเป็นงานเสริมควบคู่ไปด้วย อีก 2 ธุรกิจ โดยมีธุรกิจหนึ่งที่เจ๊งไป และ อีกธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างก้าวกระโดดภายใน 6 เดือน ซึ่งสามารถทำรายได้แซงงานประจำ 6 เท่า จนทำให้ผมตัดสินใจลาออกจากงานประจำได้
.
มาถึงวันนี้เมื่อมองย้อนกลับไปมันทำให้ผมได้เห็นภาพรวมอะไรบางอย่าง นั่นก็คือ อัตรารายได้ระหว่างงานประจำกับธุรกิจ จะเห็นว่างานประจำนั้นเป็นอะไรที่มั่นคง ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่เมื่อได้ชื่อว่ามั่นคง มันก็มั่นคงจริงๆ เพราะแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย
.
กลับกันการทำธุรกิจนั้นเป็นอะไรที่ไดนามิกมากๆ คือ มีการขึ้นลงตลอด แต่สิ่งที่เราจะได้กลับมานั่นคือ ผลตอบแทนที่คุ้มค่าตามผลลัพธ์ที่เราสร้าง ไม่ใช่ตามเวลาที่เราทำ
.
อย่างไรก็ตาม วันนี้ผมจึงขอถือโอกาสเอาประสบการณ์จริงของตัวเองมาเล่าให้ทุกคนฟัง เผื่อว่ามันจะช่วยให้ทุกคนสามารถนำสิ่งที่ผมประสบพบเจอไปปรับใช้กับ “ความฝัน” ทางธุรกิจของคุณได้
.
ก่อนอื่นต้องบอกว่า จริงๆ แล้ว ผมเองก็เริ่มทำธุรกิจเสริมตั้งเเต่สมัยเรียนมัธยมปลายเเล้ว เเต่เพื่อให้ภาพมันดูง่าย เลยขอทำภาพที่เริ่มต้นนับ 1 พร้อมงานประจำเลย
.
ด้วยความที่ผมเป็นนักกีฬาเทควันโดตั้งแต่อายุ 9 ขวบ บวกกับตัวเองพอมีชื่อเสียงอยู่บ้างเพราะเคยไปแข่งขันในระดับประเทศมาทุกรายการแล้ว เเละมีวุฒิสายดำดั่ง 4 ซึ่งมันมากพอสำหรับการเป็นครูได้ ก็เลยคิดว่าเราสามารถนำวิชาเเละประสบการณ์ที่มีมาสอนคนอื่นได้
.
ผมเริ่มจากการขอเปิดชมรมในโรงเรียนมัธยมแล้วเก็บค่าเรียน 500 บาท/เดือน ตอนนั้นก็มีคนเรียนนิดหน่อยไม่เกิน 10 คน มีรายได้ประมาณ 4,000-5,000 บาท
.
เเต่ก็ต้องไปซื้อน้ำให้นักเรียนดื่มระหว่างพักและซื้ออุปกรณ์มาให้นักกีฬาใช้ ซึ่งอุปกรณ์เเต่ละอย่างราคา 1,000 up
.
สรุปเดือนนึงเหลือไม่เกิน 3,000 บาท แต่มันก็ถือว่าเยอะมากๆ สำหรับเด็ก ม.5 คนนึง
.
หลังจากนั้นเมื่อเข้ามหาวิทยาลัยผมก็ยังสอนที่โรงเรียนมัธยมเดิมอยู่โดยมีคนเข้ามาเรียนมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นเป็นครั้งเเรกที่ผมมีรายได้ 20,000 เดือน เเต่ก็ได้ไม่นานผมมีรายได้ประมาณนี้อยู่ไม่เกิน 3 เดือน ก็เกิดปัญหาเกี่ยวกับนโยบายใหม่ของโรงเรียน
.
ผมจึงออกมาเช่าสถานที่เปิดเป็นโรงเรียนของตัวเอง แน่นอนว่ามีรายได้มากขึ้น แต่สิ่งที่ต้องแลกคือ “ค่าใช้จ่าย” ที่มากขึ้นเช่นกัน รายได้ที่ได้มาหักต้นทุนเเล้วผมเหลือเงินที่เป็นกำไรจริงๆ เดือนละไม่เกิน 8,000 บาท
.
เมื่อผมขึ้นปี 4 ตอนนั้นต้องมาฝึกงานที่กรุงเทพฯ ด้วยเงินเดือน Start เหมือนเด็กจบใหม่ทั่วไป ทำให้ผมเริ่มมีรายได้สองทาง
.
แต่พอผมเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ผมจำเป็นต้องจ้างครูเทควันโดมาสอนแทน ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก จนสุดท้ายผมแทบไม่เหลือเงินเป็นกำไรให้กับตัวเองเลย
.
บางเดือนก็ติดลบ เนื่องจากพอให้คนอื่นสอนแทน คุณภาพมันไม่ได้เท่าเรา คนที่เรียนก็เริ่มทยอยลาออกไป แต่ผมก็ยังต้องจ่ายค่าจ้าง และค่าเช่า เท่าเดิม
.
ผมทำประคองอยู่ประมาณ 4 เดือน ผมก็เริ่มมาทำงานประจำในกรุงเทพฯ กับบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบริษัทเดียวกับที่ผมฝึกงาน
.
ตอนนั้นเริ่ม Live เล่าเรื่องราวในหนังสือให้เพื่อนๆ ฟังใน FB ส่วนตัว เพราะเพื่อนหลายคนที่เห็นผมอ่านหนังสือ เลยมาขอให้ผมเล่าให้ฟัง พอหลายคนขอให้เล่า ผมต้องพูดเรื่องเดิมๆ กับหลายคน เลยเปลี่ยนเป็น Live ให้มาฟังกันที่เดียวเเทน
.
พอ Live ไปสักพักผมก็รู้จักกับแอพ Blockdit ซึ่งสามารถสร้างรายได้จากงานเขียนได้ ผมจึงตัดสินใจเปลี่ยนมาทำงานเขียนแทน
.
ตอนนั้นเริ่มเขียนแรกๆ มีรายได้เดือนละ 1,000-2,000 บาท พอทำไปสักพักเริ่มมีวินัยมากขึ้น ผมพยายามเขียนบทความให้ได้ทุกวัน จนมีรายได้ 7,000 บาท ต่อเดือน เป็นรายได้ทางที่สาม
.
พอเริ่มเขียนได้ไม่นานผมก็ได้มีโอกาสรู้จักกับพี่คนหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นเขามาทำการตลาดให้กับบริษัทที่ผมทำงานอยู่ บังเอิญว่าผมกับพี่เขาเป็นคนอ่านหนังสือเหมือนกัน ก็เลยคุยกันถูกคอ เหมือนคุยเรื่องเดียวกัน
.
คุยไปคุยมาก็มารู้ว่าพี่เขาเป็นเจัาของ 2 เพจ ไปให้ถึง100ล้าน และ เพจ TEDTOP ซึ่งเป็นเพจใหญ่มากๆ ในประเทศไทย
.
พี่เขาเลยให้โอกาสผมเป็นนักเขียนฟรีเเลนซ์ให้บริษัทเเก เป็นรายได้ทางที่สี่ พร้อมทั้งช่วยขัดเกลาฝีมือการเขียนของผม แถมให้ผมได้เข้าไปศึกษาการทำ Content ในคอร์สของบริษัทแกจนผมมีทักษะการเขียนที่เป็นมืออาชีพมากขึ้น
.
หลังจากทำมาอยู่สักพัก COVID-19 เริ่มเข้ามา ทำให้ผมต้องตัดสินใจปิดตัวโรงเรียนสอนเทควันโดลง เพราะนอกจากรายได้จะกลายเป็น 0 แล้ว ยังต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายอีก ซึ่งผมแบกไม่ไหว
.
คือ ผมต้องเอาเงินเดือนและรายได้เสริมทั้งหมดมาจ่ายค่าใช้จ่ายในธุรกิจตัวนี้ติดต่อกัน 3 เดือนแล้ว ซึ่งมันยื้อไม่ไหวจริงๆ ต่อให้ผมรักกีฬานี้มากแค่ไหนก็ไม่ไหว
.
ตอนนี้ผมเหลือรายได้แค่สามทางเหมือนเดิมเเล้ว
.
ช่วงนั้นผมเคว้งอยู่สักพักหนึ่ง เพราะเริ่มกลับมามีรายได้ทางเดียว ประกอบกับผมก็ทำเพจ สมองไหล นี้โดยไม่ได้คิดอะไร เพราะมันคืองานอดิเรก จึงทำเพราะความชอบล้วนๆ
.
แต่พอทำไปสักพักเริ่มมีคนสนับสนุนและสนใจมากขึ้น มีคนเข้ามาขอคำแนะนำให้เลือกหนังสือให้ แล้วบอกผมว่าถ้าผมมีขาย เขาจะซื้อ
.
ผมก็เลยเกิดไอเดีย ขายหนังสือผ่านเพจนี้ทันที ตอนนั้นก็มีรายได้ไม่มาก เพราะหนังสือมันไม่เหมือนสินค้าอื่น คือ เราซื้อจากร้านหนังสือราคาปก มาขายราคาปกเลย แทบไม่มีกำไร
.
แต่ผมก็ยังทำต่อไปเพราะอยากสนับสนุนให้คนอ่านหนังสือ และส่วนใหญ่คนที่เข้ามาคุยกับผมพวกเขาก็อ่านหนังสือเล่มแรกกันทั้งนั้น
.
เลยคิดแค่ว่าอยากเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนอ่านหนังสือเล่มแรกเเละเล่มต่อๆ ไป อีกอย่างผมก็ไม่ได้มีต้นทุนอะไรเลย ผมก็รับออเดอร์ก่อน แล้วขับรถไปซื้อหนังสือใกล้คอนโดมาเเพ็คส่ง ซึ่งเมื่อผมไม่ได้สต๊อกของ ผมก็ไม่มีความเสี่ยง
.
พอทำมา 1 เดือน โดยไม่มีกำไร มันก็เริ่มมียอดการสั่งซื้อมากขึ้น ผมก็เริ่มสามารถไปซื้อหนังสือจากร้านได้ทีละเยอะๆ พอเรามียอดจำนวนนวนเยอะๆ เราก็จะได้ส่วนลด แถมเริ่มรู้จักกับตัวนักเขียนเองโดยตรง
.
ซึ่งพอเราซื้อจากนักเขียนโดยตรงเราก็จะได้ส่วนลดอีก ซึ่งตรงนี้เเหละทำให้ผมเริ่มมีรายได้เพิ่มเป็นทางที่สาม
.
ประกอบกับพอเพจเริ่มโตก็มีผู้สนับสนุนเข้ามาซื้อโฆษณาเพิ่มรายได้ช่องทางที่ 4 อีกครั้ง
.
แต่หลายเจ้าผมก็ไม่รับโฆษณา ถ้าเนื้อหาและวิธีการนำเสนอที่ผมต้องทำมันไม่ได้ให้คุณค่าอะไรกับผู้อ่านของผม เพราะผู้อ่านเป็นคนสนับสนุนผมให้มีวันนี้
.
ดังนั้น คนที่ผมต้องเเคร์ที่สุดคือ “ลูกเพจ” ไม่ใช่ “ลูกค้า”
.
หลายคนอาจสังเกตได้ว่า บทความโฆษณาของผม จะมอบ ”คุณค่า” ผ่านตัวอักษรก่อนเสมอ
.
และในที่สุดผมก็สามารถทำให้ “รายได้เสริม” รวมกันทุกช่องทางแซง “รายได้หลัก” จากงานประจำไป 6 เท่า
.
และแน่นอนว่าเมื่อเราทำธุรกิจเติบโตไปในระดับหนึ่งแล้ว เราจะเริ่มรู้จักผู้คนมากขึ้น ได้เข้าไปในแวดวงของคนทำธุรกิจมากขึ้น มีโอกาสทางธุรกิจอื่นๆ เข้ามามากมาย
.
- ทั้งการเขียนหนังสือเล่มแรกของตัวเองที่มีชื่อว่า “งานประจำสอนทำธุรกิจ”
- อาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยวิชา Digital Marketing
- ธุรกิจร้านกาแฟที่ลงทุนซื้อหุ้นมาและกำลังจะขยายสาขาให้เติบโต
- และคอร์ส Online Business Pro ที่มีหลายคนเรียกร้องเข้ามาจนต้องมา ซึ่งตอนนี้ก็อยู่ในขั้นตอนการทดสอบเนื้อหากับนักศึกษาในมหาวิทยาลัย
.
จนสุดท้ายผมก็ตัดสินใจลาออกจากงานประจำ เพราะต้องการเวลา 8 ชั่วโมงต่อวันมาทำอย่างอื่นที่มีมูลค่ามากกว่า
.
แต่กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ สิ่งที่ต้องแลก คือ คุณต้องพยายามมากๆ ในช่วงแรก ต้องนอนน้อย ต้องเหนื่อยมาก ไม่มีวันหยุด ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ และต้องทำงานหนัก หนักจนแผ่นหลังผมแทบไม่ได้พิงที่นอนเลย
.
แต่สิ่งสำคัญไม่ใช่จำนวน “รายได้” เท่าไหร่ แต่คือ จะ “ยืนระยะ” ได้นานแค่ไหนต่างหาก
.
เพราะกุญแจความสำเร็จของ “งานไม่ประจำ” คือ ต้องทำมันเป็น “ประจำ” อย่างสม่ำเสมอ ด้วยความมี “วินัย”
.
ผมจึงอยากบอกทุกคนว่า เราทุกคนมีธุรกิจซ่อนอยู่ในตัว อย่างน้อยคนละ 1 ธุรกิจ
.
โดยสิ่งเหล่านี้มักจะอยู่ในรูปแบบของ ความชอบ งานอดิเรก หรือ สิ่งที่เราถนัด ขอเพียงแค่เราลองเอามันออกมาปัดฝุ่นใช้ “หาเงิน” เท่านั้นเอง
.
ไม่ต้องคิดมากว่าจะเริ่มต้นตรงไหนก่อน ไม่ต้องรอให้พร้อม แต่ให้เริ่มตรงไหนก็ได้ เพราะถ้าเราเริ่มจุดเเรก เราจะเริ่มมองเห็นโอกาส เริ่มรู้จักคนมากขึ้น เริ่มเห็นช่องทางที่จะต่อยอดจุดต่อไป
.
ใครมีงานประจำอยู่แล้วก็หาเวลาว่างทำควบคู่กันไปก็ไม่เสียหาย แถมลดความเสี่ยงเวลาล้มเหลวอีกต่างหาก
.
ไม่ต้องรอเงินทุน ลองหาวิธีใช้เงินทุนให้น้อยที่สุด โดยเฉพาะยุคนี้มีช่องทางออนไลน์ ลองโพสต์ลงไปก่อน ไม่ต้องลงทุนไปซื้อของมาสต๊อกหรอก โพสต์ทดลองความสนใจของคนไปก่อน ถ้าคนสนใจเราค่อยเริ่มทีละเล็กละน้อย เพราะถ้ามันล้มจะได้ไม่เจ็บหนัก
.
แต่สำคัญ คือ ต้อง “เริ่มลงมือทำ” ตั้งแต่วันนี้ เพราะถ้าเราไม่เริ่มจุดแรกเสียที มันก็ไม่มีทางเลยที่จะเห็นจุดต่อไป
.
.
ใครอยากจะสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ
โดยใช้ต้นทุนจากงานประจำ สามารถนำวิธีของสมองไหลไปใช้ได้ง่ายๆ
.
เพียงสั่งจอง หนังสือ งานประจำสอนทำธุรกิจ
.
.
ราคา 305 บาท รวมส่ง
.
.
วิธีการสั่ง
.
1.กดลิงก์ https://m.me/432860907260347?ref=sale_7GBExd45
.
2.กด “สั่งซื้อ”
.
3.เลือก “จำนวน” และ กด “ยืนยันคำสั่งซื้อ”
.
จากนั้น ชำระเงิน ตามเลขบัญชีที่ให้ไว้ใน Inbox
.
.
#งานประจำสอนทำสอนทำธุรกิจ
งานไม่ประจำ 在 สมองไหล Facebook 的最佳解答
[สมองไหล x ILP] หลังจากที่ผมตัดสินใจลาออกจากงานประจำเพื่อมาทำธุรกิจและเขียนหนังสือของตัวเองเต็มตัว จากที่เคยทำเป็นงานเสริมมาเกือบครึ่งปี ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตผมเปลี่ยนไปมากมาย
.
ซึ่งหลายคนพอรู้ว่าผมลาออกมาแล้ว ก็มักจะคิดว่าช่วงนี้ผมคงว่างหรือไม่ก็คงมีเวลามากขึ้น
.
แต่ความจริงแล้ว ผมเองก็ไม่ได้มีเวลาว่างมากขึ้นแต่อย่างใด เพราะผมยังคงต้องทำงานเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนจากงานประจำ เป็นธุรกิจเท่านั้น
.
แต่สิ่งที่แตกต่างคือ พอไม่ได้ทำงานประจำ ผมสามารถยืดหยุ่นและจัดการเวลาของตัวเองได้
.
จากแต่ก่อนที่ทำงานประจำกิจวัตรประจําวันคือ
.
- ตื่นเช้า ทำภารกิจส่วนตัว 7.00 น.
- เดินทางไปทำงาน 8.00-9.00 น.
- เริ่มทำงาน 9.00-18.00 น.
- เดินทางกลับ 18.00-19.00 น. โดยในระหว่างเดินทางไปกลับ คือ เวลาที่ผมจะได้อ่านหนังสือ หรือ ฟังพอดแคสต์ เพื่อเพิ่ม Input ให้กับตัวเอง
- ทานข้าวเย็น 19.00-19.30 น.
- เขียนบทความ ทำคอนเทนต์ 19.30-22.00 น.
- แพ็คของตามออเดอร์ที่ลูกค้าสั่งเข้ามา 22.00-23.00 น.
- ตอบแชท อาบน้ำ ทำธุระส่วนตัว กว่าจะได้นอนก็ เที่ยงคืน ถึง ตีหนึ่ง ทุกวัน
.
นี่เป็นกิจวัตรของผมคร่าวๆ ซึ่งยังไม่นับรวมรายการอื่นๆ ที่ต้องทำ จะเห็นได้เลยว่าผมใช้ร่างกายหนักมากๆ จนผมไม่มีเวลาพักผ่อน จนหลายครั้งที่ผมต้องไปตื่นไปทำงานเหมือนคนเมาอ่อนๆ เพราะอดนอน
.
แต่เมื่อทำออกมาทำธุรกิจวิถีชีวิตของผมก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
.
เริ่มจากที่ผมตื่นนอนช่วง 9.00 น. เพื่อลงไปวิ่งออกกำลังกายที่ห้องฟิตเนส และนี่เป็นสิ่งแรกที่ผมได้กลับมาทำ หลังจากไม่ได้ออกกำลังกายเลยตั้งแต่เรียนจบมา
.
นอกจากเรื่องการออกกำลังกายแล้ว การทำงานของผมก็มีประสิทธิภาพมากๆ คือ ใช้คำว่า “ทำน้อย ได้มาก” เลยก็ว่าได้
.
โดยผมจะจัดเวลาทำงานเอาไว้ในช่วงที่เหมาะกับตัวผมจริงๆ
.
Daniel Pink ได้เขียนเอาไว้ในหนังสือ When หรือ พลังแห่งเมื่อไหร่ ว่าคนเราจะถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม
.
1) นกลาร์ค คนกลุ่มนี้จะนอนเร็วและตื่นเช้ามากๆ โดยคนกลุ่มนี้สมองจะปลอดโปร่งมากในช่วงเช้า ซึ่งเป็นช่วงที่ทำงานได้ดีที่สุด เพราะฉะนั้น สำหรับงานที่ยากๆ หรือ ต้องใช้การวิเคราะห์ ให้ทำงานนี้ตอนเช้ามากๆ
.
2) นกฮูก คนกลุ่มนี้จะนอนดึกและตื่นสายสุดๆ ช่วงเช้าไม่ใช่เวลาที่ดี ความสามารถในการควบคุมอารมณ์จะต่ำ แต่ถ้าตกดึกเมื่อไหร่ ไอเดียพุ่งพรวดจะมากๆ ถ้าทำงานในช่วงเวลานี้จะได้ปริมาณและคุณภาพมากกว่าช่วงเวลาอื่น
.
3) Third Birds จะอยู่กึ่งกลางระหว่างประเภทที่ 1 และ 2 คือ ไม่นอนเร็วจนเกินไป และ ไม่ตื่นเช้าจนเกินไป จากงานวิจัยพบว่าคนประเภทนี้มีมากถึง 65 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือเป็นคนส่วนใหญ่เลย
.
จากงานวิจัยยังพบอีกว่า คนกลุ่มนี้จะอารมณ์ดีในตอนเช้าและจะอารมณ์ดีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงตอนเที่ยง แต่พอเริ่มเข้าช่วงบ่าย ความสามารถในการควบคุมอารมณ์จะเริ่มต่ำลง จนถึงจุดต่ำจุดในช่วงประมาณบ่าย 3 และหลังจากนั้นอารมณ์ก็จะเริ่มดีเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
.
ซึ่งแน่นอนว่า ผมเป็นคนประเภทนี้ เพราะโดยปกติผมเป็นคนตื่น 9 โมงเช้า และเข้านอน 5 ทุ่ม
.
นั่นจึงทำให้หลังจากออกกำลังกายตอนเช้าแล้วอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย สมองผมจะปลอดโปร่งมาก เพราะเหมือนมันเพิ่งถูกกระตุ้นมาจากการออกกำลังกาย
.
ช่วงเวลา 10.00-12.00 น. นี่แหละผมจะเริ่มทำงานที่ยากๆ ต้องจดจ่อ และ ใช้ทักษะการคิดมากๆ นั่นคือ การเขียนบทความ และ การจัดการเรื่องตัวเองการเงินต่างๆ ซึ่งพอผมได้ทำงานในช่วงเวลาที่เหมาะสมกับผมจริงๆ ปรากฎว่าปริมาณงานและคุณภาพที่ได้มันเพิ่มขึ้นมากๆ
.
พอเข้าช่วงบ่ายหลังจากทานอาหารเที่ยง ผมก็จัดการเคลียงานที่อาจจะยังค้างๆ อยู่นิดหน่อยให้เรียบร้อย พอเริ่มเข้าช่วงบ่าย 3 ซึ่งเป็นช่วงที่ประสิทธิภาพการทำงานของผมต่ำสุด ผมก็จะหยุดทำงาน แล้วหันไปทำอย่างอื่น นั่นคือ การอ่านหนังสือ และ พอดแคสต์ หรือ ไม่ก็ตอบแชทให้คำปรึกษาคนที่ทักอินบ็อกซ์เข้ามาในเพจ
.
จากเดิมเวลาทำงานประจำ ซึ่งผมเชื่อว่าหลายคนก็เป็น คือ พอเข้าช่วงบ่ายจะเริ่มรู้สึกเฉื่อยชา ไม่ค่อยอยากทำงาน บ้างก็ทำเป็นเปิดหน้าจอคอมทิ้งไว้ แล้วทำเป็นกดเปลี่ยนหน้าไปมา เพื่อให้ดูเหมือนคนทำงาน
.
บอกเลยว่าช่วงเวลาบ่างถึงประมาณ 5 โมงเย็น เป็นช่วงที่เสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์มากๆ และหลายคนคงรู้ดีว่า การทำงานตลอดทั้งวัน 8 ชั่วโมงนั้น ความจริงแล้ว เราไม่ได้ใช้ 8 ชั่วโมงนั้นอย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ หรือ พูดง่ายๆ ว่า “ใช้เวลามาก แต่ได้งานน้อย”
.
แต่พอผมได้จัดการเวลาเอง ผมก็ใช้ช่วงเวลาที่ประสิทธิภาพการทำงานของผมต่ำ ทำงานง่ายๆ ที่ไม่ต้องใช้ทักษะการคิดวิเคราะห์อะไรมาก ซึ่งมันก็ช่วยให้งานของผมเสร็จเรียบร้อยเหมือนกัน
.
ที่สำคัญถ้าผมต้องเดินทางเข้าออฟฟิศ หรือ ไปทำธุระที่ไหน ผมก็จะเลือกเดินทางช่วงสายๆ และกลับช่วงบ่ายแก่ๆ ซึ่งเป็นช่วงที่คนในกรุงเทพฯ ไม่ค่อยเดินทางกัน บอกเลยว่าความรู้สึกมันดีมากๆ
.
จากที่เคยต้องรอรถติดเป็นชั่วโมงกับการเดินทางแค่ไม่ไกล ชวนอารมณ์ตลอดเวลา เปลี่ยนเป็นถนนโล่งๆ ที่ขับรถไปแค่ 20 นาที ก็ถึง จากที่เคยขึ้นรถไฟฟ้า ต้องยืนเบียดกันจนแน่นขบวน เปลี่ยนเป็นนั่งสบายๆ ตากแอร์เย็นๆ
.
ซึ่งมันทำให้ผมลดโอกาสที่จะอารมณ์เสียได้เยอะมากๆ แถมได้เวลาจากการเดินทางที่เคยใช้เวลานานกลับคืนมาอีกเยอะเลย
.
พอเริ่มเข้าช่วง 5 โมงเย็น ผมก็จะเริ่มทำเข้าครัวทำอาหารกินเอง จากที่ปกติต้องซื้ออาหารจานเดียว หรือ พวกฟาสฟู้ด ซึ่งบอกเลยว่าร่างกายผมได้ห่างไกลจากผงชูรสเยอะมากๆ แถมเงินในกระเป๋าก็เหลืออีก เพราะผมจ่ายตลาดครั้งล่ะ ประมาณ 700-800 บาท แต่สามารถทำอาหารกินทั้งได้ทั้งสัปดาห์
.
เมื่อท้องอิ่มผมก็ตรงไปที่โต๊ะทำงาน แล้วเริ่มทำงานที่ต้องใช้ทักษะการคิดอีกครั้ง แต่ไม่ได้ใช้มากเท่ากับตอนเช้า อาจจะเขียนหนังสือบ้าง วางแผนไอเดียธุรกิจบ้าง เชิญแขกมาไลฟ์ในรายการของเพจสมองไหลบ้าง แล้วแต่ว่ามีงานอะไรบ้างในช่วงนี้
.
พอเริ่มเข้าช่วงประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง ผมก็เริ่มทำภารกิจส่วนตัวและเตรียมเข้านอน ซึ่งบอกเลยว่าพอได้พักผ่อนเต็มที่ ได้นอนเต็มอิ่ม มันทำให้พอตื่นเช้ามา ผมมีทั้งพลังสมอง และ พลังกาย ที่พร้อมจะทำตามเป้าหมายมากกว่าเมื่อก่อนหลายเท่าเลย
.
จะเห็นว่าเอาจริงๆ การลาออกจากงานประจำมาทำธุรกิจ ไม่ได้มีเวลาว่างมากกว่า หรือ ทำงานน้อยกว่าคนทำงานประจำ กลับกัน ยังทำงานหนักกว่าตอนทำงานประจำด้วยซ้ำ
.
แต่สิ่งที่แตกต่างคือ สามารถยืดหยุ่นและจัดเวลาเองได้ เพื่อที่จะได้ทำงานที่สำคัญในช่วงเวลาที่เหมาะสมจริงๆ เพื่อให้ได้สิ่งตอบแทนตาม “ผลลัพธ์” ไม่ใช่ “ตามเวลา”
.
สรุปง่ายๆ คือ คนทำธุรกิจไม่ได้มีเวลามากกว่าคนทำงานประจำ เพราะทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่คนทำธุรกิจสามารถใช้เวลาที่มีทุกนาที ได้อย่างคุ้มค่าจริงๆ เท่านั้นเอง
.
มาถึงตรงนี้หลายคนคงอยากจะคิดในใจว่า ก็อยากจะมีชีวิตที่ยืดหยุ่นได้เหมือนกัน แต่จะให้ทำยังไงล่ะ ให้ออกไปทำธุรกิจตอนนี้มันคงเป็นไปได้ยาก ถ้าเกิดกระโดดออกมาทำธุรกิจแล้วเจ๊งล่ะ
.
ซึ่งมันก็ยากจริงๆ ครับ เพราะกว่าผมจะออกมาจากงานประจำได้มาทำธุรกิจเต็มตัวได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย การจะกระโดดออกมาเริ่มต้นทำธุรกิจตอนนี้อาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก
.
แต่วิธีที่ผมใช้คือ การทำธุรกิจเป็นงานเสริม จนรายได้จากงานเสริมแซงงานประจำติดต่อกัน 6 เดือน แล้วนำส่วนต่างรายได้จากงานเสริมมาเก็บไว้เป็นเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน
.
เช่น ปกติงานประจำรายได้ 20,000 บาท งานเสริม 50,000 บาท
.
ผมก็จะจ่ายเงินเดือนให้ตัวเองจากงานเสริม 20,000 บาท เท่ากับงานประจำ โดยส่วนนี้นำไปเก็บใน “ตะกร้าเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน” ส่วนอีก 30,000 บาท ก็หมุนในธุรกิจต่อ
.
ส่วนเงินที่เอาไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ผมจะใช้แค่ส่วนที่อยู่ใน “ตะกร้าเงินเดือน” จากงานประจำเท่านั้น โดยไม่แตะเงินจากงานเสริมแม้แต่บาทเดียว
.
ทำไปอย่างนี้ 6 เดือน ผมก็จะมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินให้ตัวเอง 6 เดือน ในขณะเดียวกันธุรกิจก็โตขึ้นกว่าเดิมมีรายได้มากขึ้น สามารถจ่ายเงินเดือนให้ตัวเองได้พอมากกว่างานประจำ เพื่อให้ยังมีเงินเก็บและนำไปลงทุนได้ทุกเดือน
.
เมื่อทุกอย่างพร้อม รายได้ก็มี เงินเก็บเหลือ เงินสำรองก็พร้อม ธุรกิจก็เติบโต คราวนี้จะรออะไรอีก “ลาออก” สิครับ
.
อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนคงคิดในใจว่า ก็อยากทำนะงานเสริม คิดมานานแล้วเหมือนกัน แต่ปัญหาคือ ไม่รู้จะทำงานอะไร ?
.
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสพูดคุยกับพี่ที่รู้จักคนหนึ่ง ซึ่งเป็นทีมงานของ ILP อยู่ในเครือของ AIA
.
ซึ่งตอนแรกๆ ผมก็คิดในใจว่า “อ่อ คงเป็นพวกขายประกันทั่วไปนั่นแหละ”
.
แต่พอได้พูดคุยกันจริงๆ ผมก็เพิ่งรู้ว่า วงการนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว และเป็นการเปิดโลกผมอีกครั้ง
.
เพราะตอนนี้เขาจะไม่ขายประกันแบบที่เข้าไปยัดเยียดกรมธรรม์ให้ลูกค้าอีกแล้ว แต่มันคือ “การเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน” ให้กับลูกค้าโดยมีประกันเป็นเครื่องมือหนึ่งเท่านั้น
.
เริ่มตั้งแต่การวางแผนการเงินให้ลูกค้าสามารถมีเงินเก็บ เผื่อสำรอง 3-6 เท่าของรายจ่ายก่อน เมื่อสามารถทำให้ลูกค้ามีเงินเหลือแล้ว เขาก็จะสามารถมองอนาคตได้ไกลขึ้น คราวนี้ก็มาจัดการเรื่องความเสี่ยงต่างๆ ทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งตรงนี้แหละจะมี “ประกัน” เป็นเครื่องมือหนึ่ง
.
เมื่อมีเงินเหลือพอจ่าย จัดการความเสี่ยง เราถึงจะให้คำปรึกษาลูกค้าเรื่องแผนการออมเกษียณ และเงินทุนการศึกษาของบุตรหลาน แล้วค่อยไปสู่การลงทุน
.
ซึ่งจริงๆ การบริหารเงินจะเป็นแบบนี้ แต่ส่วนใหญ่คนไทยมักคิดไปถึงการลงทุนก่อน ทั้งที่ยังไม่มีเงินเก็บ ไม่จัดการความเสี่ยง เพราะหวังแต่จะรวยเร็ว จากการเห็นคนมากมายขายฝันเรื่องนี้ แต่สุดท้ายมันก็ทำไม่ได้จริง
.
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่วิธีการขาย แต่มันคือ “ขั้นตอนก่อนที่คุณจะขาย” ต่างหาก
.
เพราะการที่เราจะไปให้คำปรึกษาทางการเงินกับชาวบ้านได้ เราต้องจัดการเงินของตัวเองให้ดีก่อน
.
ทาง ILP เขาเลยจัดหลักสูตรการเทรนผู้ร่วมธุรกิจทุกคนก่อน 12 เดือน โดยในแต่ละเดือนจะมีตารางการเข้าเรียนอย่างชัดเจน โดยจะมีช่วงทดลอง 1 เดือน โดยช่วงนี้เขาจะดูว่าคุณเป็นคนมีทัศนคติแบบไหน เพราะคนที่จะทำงานตรงนี้ได้ต้องมีทัศนคติแบบผู้ประกอบการจริงๆ ไม่ใช่เห็นลูกค้าเป็นตู้เอทีเอ็มเดินได้
.
ที่สำคัญคือ ในระยะเวลาที่คุณเรียน 12 เดือนนี้ หมายความว่าเวลาการทำงานหารายได้ของคุณจะหายไป เขาจึงได้กำหนดแผนรับรองรายได้เอาไว้ให้นั่นหมายความว่า คุณจะมีรายได้แน่นอนระหว่างกำลังเรียนอยู่
.
และเมื่อคุณผ่านการเทรนแล้ว หมายความว่าคุณต้องมีพื้นฐานการเงินที่พร้อมแล้ว เขาก็จะให้คุณออกไปเป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้กับลูกค้าได้เต็มตัว โดยมีเป้าหมายในแต่ละปีให้ โดยประมาณ 5 ปี ซึ่งถ้าหากใน 5 ปีนี้ คุณทำตามเป้าหมายได้ ก็จะได้รับรางวัลอีก 5 ล้านบาท
.
และที่สำคัญ ต่อให้วันข้างหน้าคุณจะเกษียณ สิ่งที่ทำไว้ก็ไม่สูญเปล่า เพราะมันสามารถส่งต่อให้รุ่นลูกทำต่อได้เลย
.
ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นไอเดียที่ดีมากๆ สำหรับคนที่อยากย้ายตัวเองจาก “งานประจำ” มาเป็น “งานไม่ประจำ” ที่ทำเงินกว่า
.
ดังนั้น สำหรับคนกล้าจะเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง อยากท้าทายอะไรเดิมๆ ก็ลอง Add Line ทักเข้าไปสอบถามรายละเอียดได้ที่ @lifeproject หรือ ลิ้งข้างล่างนี้ได้เลยครับ
.
https://lin.ee/xy056N1
งานไม่ประจำ 在 ETDA Thailand - Gig Economy: งานไม่ประจำทำหลายจ๊อบ ความ ... 的推薦與評價
Gig Economy: งานไม่ประจำทำหลายจ๊อบ ความหวังคนรุ่นใหม่ ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือหลัก เวลาเปลี่ยน ค่านิยมคนก็เปลี่ยนตาม ในยุคเก่าย้อนกลับไปสัก 40 ปี... ... <看更多>
งานไม่ประจำ 在 งานไม่ประจำทำเงินกว่า l สรุปให้ Podcast EP. 86 - YouTube 的推薦與評價
หนังสือเล่มนี้ ไม่ ได้ช่วยให้คุณลาออกจาก งานประจำ แต่ถ้าคุณคิดแบบนั้นอยู่แล้ว หรือกำลังอยากจะมีชีวิตอิสระ หนังสือเล่มนี้มีวิธีคิด ... ... <看更多>