ถ่ายรูป ที่ guriko ค่ะ📸
@jaa.bnk48official กับ @kate.bnk48official
ทำ pose อะไร หรือ!?😂555
พรุ่งนี้ จะ มี BNK48 Theatre นะคะ✨...
See More
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過42萬的網紅Call Me Petchy,也在其Youtube影片中提到,...
จะ ทำ อะไร 在 DjFiat LinkCorner Facebook 的最佳貼文
โลกใบนี้ไม่มีคนแปลกหน้า
เพียงแค่ยังไม่มีเวลารู้จักกัน
โลกนี้ไม่มีคนแปลกหน้า เพียงแค่ยังไม่มีเวลาได้รู้จักกัน
เมื่อนานมาแล้ว มีคนพยายามจะอธิบายภาพความสัมพันธ์บนโลกใบนี้ ว่าจริงๆแล้ว คนเรานั้นเกี่ยวข้องกันมากน้อยขนาดไหน ทฤษฏีทั้ง 2 ต่อไปนี้ ถูกอธิบายเป็นภาพชัดเจนมากขึ้นเมื่อเรามี Online Social Network และ 2 ทฤษฏีนี้สนับสนุนเหตุผลว่าทำไม...เราควรทำดีต่อกัน ไม่เบียดเบียนกัน หรือ ทำร้ายใครเลย
1. Six Degrees of Separation - เราห่างกันไม่เกิน 6 ช่วงคน
นักเขียนชาวฮังการีชื่อ Frigyes Karinthy เคยพูดไว้ว่า จริงๆแล้ว คนนับพันล้านบนโลกใบนี้รู้จักกันหมด ห่างกันอย่างมากไม่เกิน 6 ช่วงคน
ตัวอย่างเช่น เชื่อหรือไม่ เด็กบ้านนอกในชนบทห่างไกลของประเทศไทยเชื่อมโยงกับประธานธิบดีโอบาม่าได้
สมมุตเราเป็นเด็กบ้านนอกป.6คนนั้น เราก็รู้จักกับครูใหญ่ - ครูใหญ่ของโรงเรียนท่านก็รู้จักกับ สส. -ท่านสส.นั้นก็รู้จักกับ ท่านฑูตอเมริกา - ท่านฑูตอเมริกา รู้จักกับ ท่านประธานธิบดี โอบาม่า เป็นต้น
คิดตามไปเรื่อยๆ คนทุกคนก็เพื่อนๆกันทั้งนั้น ถ้าทุกคนรู้ความจริงนี้ เราอาจจะอยากแบ่งปันกันมากขึ้น เราอาจจะหยุดรถให้คนข้ามถนน เพราะคิดว่านั่นก็อาจเป็นเพื่อนของแม่เรา เราอาจจะไม่ยืนขวางประตู แล้วเดินชิดในเวลาขึ้นรถไฟฟ้า เพราะคนที่กำลังรอขึ้นรถไฟฟ้าอาจเป็นญาติของเพื่อนเรา
เราอาจจะเลิกทำอะไร ด้วยเหตุผลว่า ไม่เป็นไร เราไม่รู้จักกัน -เลิกทิ้งขยะหน้าบ้านคนอื่น เพราะอาจจะเป็นบ้านของเพื่อนของเพื่อนเรา เราอาจหยุดเลือกของดีๆให้ตัวเองก่อน แต่แบ่งให้คนอื่นด้วย และหยุดเอาของไม่ดีให้คนอื่น เลิกคิดว่า ช่างมันไม่ใช่ญาติเรา ไม่เกี่ยวกับเรา - เอาเข้าจริงก็อาจไม่มีคนแปลกหน้าบนโลกใบนี้เลย เพราะเราเชื่อมโยงกันหมด เพียงแต่เรายังไม่รู้จักกันเท่านั้นเอง
2. Three Degrees of Influence - สิ่งที่เราทำ กระทบคนอย่างน้อย 3 คน
เป็นทฤษฏีที่สร้างโดย Nicholas A. Christakis and James H. Fowler ว่าในยุคที่ผู้คนล้วนเชื่อมโยงกัน ทุกอย่างที่เราทำ ก็ไม่ต่างกับโยนหินลงไปในน้ำ วงน้ำกระจายออกไปรอบๆ บางทีวงเล็ก บางทีวงใหญ่ ทุกอย่างที่เราทำ จะกระทบคนอย่างน้อย 3 คน เช่น อาจจะกระทบเพื่อนของเรา ส่งต่อไปหาเพื่อนของเพื่อนเรา และต่อๆไป บางคนมีความสามารถกระทบได้หลายคน มีอิทธิพลต่อวงกว้าง หรือ บางสถานการณ์กระทบคนหลายคนพร้อมๆกันได้ และผลของการกระทบก็ไม่จำกัดเวลา
ตัวอย่างเช่น สมทรงแม่ค้าตลาดสดขายอารมณ์เสีย โยนทิ้งถุงขยะขวางทางเท้า มีชายคนนึงเดินมาเหยียบลื่นล้ม โดนรถทับ ชายผู้เสียชีวิตนั้น มีลูกเล็กอยู่ที่บ้าน 3คน เด็กๆเติบโตขึ้นมาอย่างยากลำบากเพราะแม่ต้องหาเลี้ยงครอบครัวคนเดียว
20ปีต่อมา ลูกชายคนเล็ก จาก 3พี่น้องของครอบครัวนั้น ติดยา ไปปล้นฆ่านักศึกษาแอน - แฟนของนักศึกษาแอนซึ่งมีปัญหาชีวิตอยู่แล้ว เสียใจขาดสติ กราดยิงปืนใส่ผู้คนในโรงหนัง หนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายในโรงหนัง คือนักวิจัยที่กำลังจะทำยารักษาโรคมะเร็งระยะสุดท้ายสำเร็จ
- สมทรง(ผู้หญิงที่ทิ้งขยะบนทางเท้าเมื่อ 20ปีก่อน)กำลังรอยารักษามะเร็งระยะสุดท้าย แต่โครงการไม่ได้ไปต่อ เพราะนักวิจัยเสียชีวิตโดนยิงตายในโรงหนัง
- พ่อของนักศึกษาแอนที่โดนโจรฆ่าตาย เป็นนักการเมือง ผลักดันกฏหมายคุมเข้มการถือครองอาวุธ "จับตาย" ผู้ค้ายาเสพติด
-หัวคะแนนนักการเมืองโดนป้ายสี ข้อหาค้ายาเสพติด ถูกวิสามัญจับตายตามกฏหมายใหม่ , ครอบครัวหัวคะแนน เลยหันเข้าร่วมขบวนการผู้ก่อการร้าย
และอื่นๆอีกมากมาย
นี่เป็การสมมุตผลกระทบด้านลบแบบสุดโต่งแบบหนึ่ง สถานการณ์อาจเบา หรือ แรงกว่านี้ ขึ้นอยู่กับ คน และสถานการณ์ที่กระทบ
ในทางกลับกัน เราก็สามารถสร้างผลกระทบมุมบวก ได้โดยไม่ต้องลงทุนอะไรมาก ในวิชาจิตวิทยาความสุขของ ม.ฮาร์วาร์ดเคยบอกไว้ วิธีง่ายที่สุด ในการส่งความสุขออกไปทั้งโลกคือการยิ้ม
การยิ้ม และหัวเราะ สามารถส่งต่อได้ ถ้ามีใครยิ้มให้เรา แม้เราจะไม่ยิ้มกว้างๆตอบ แต่กล้ามเนื้อเล็กบนใบหน้าเรามีการตอบสนอง เราสัมผัสได้ว่าเรารู้สึกดี เมื่อมีคนยิ้มให้เรา
ถ้าเรายิ้มให้คน 3 คน แล้วคนเหล่านั้น ยิ้มส่งต่ออีก 3 คน ไปเรื่อยๆ เพียงแค่ 20 ทอด คนทั้งโลกก็จะยิ้มกันหมด
โลกนี้จะเป็นอย่างไร เราทุกคนล้วนมีผลกระทบต่อกันและ กัน ไปมาอย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด เรามีพลังมากกว่าที่เราคิด ทีนี้ก็อยู่ที่เราว่า-จะ-ทำ-อะไร
######################
ในคติแบบพุทธ พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ ทุกสิ่งมีชีวิตล้วนเคยผ่านภพชาติมาแล้วนับไม่ถ้วน ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเลย ที่ไม่เคยเป็นญาติพี่น้องเรา
และ"กรรมตามสนอง"ที่บางคนไม่มั่นใจว่ามีจริง อาจะไม่ได้สนองคืนกลับมา ในรูปแบบเดียวกับสิ่งที่เราทำไป แต่อาจเอาคืนเราในรูปแบบอื่นก็เป็นได้
เวร ย่อมระงับได้ ด้วยการไม่จองเวร วัฐจักรแห่งการกระทบ(กรรม)ที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด แต่เรา สามารถ"จบมันได้" เมื่อเรามีสติมากพอ
เมื่อเราถูกกระทบในด้านร้าย เราตั้งสติ และมีทางเลือก เลือกที่จะขยายการกระทบด้านร้ายนั้นให้ทวีคูณขึ้น หรือ เลือกที่จะหยุด ไม่ส่งการกระทบต่อ แล้วสร้างแต่สิ่งดีๆ ..อยู่ที่เรา
จะ ทำ อะไร 在 DjFiat LinkCorner Facebook 的最佳貼文
โลกนี้ไม่มีคนแปลกหน้า เพียงแค่ยังไม่มีเวลาได้รู้จักกัน
เมื่อนานมาแล้ว มีคนพยายามจะอธิบายภาพความสัมพันธ์บนโลกใบนี้ ว่าจริงๆแล้ว คนเรานั้นเกี่ยวข้องกันมากน้อยขนาดไหน ทฤษฏีทั้ง 2 ต่อไปนี้ ถูกอธิบายเป็นภาพชัดเจนมากขึ้นเมื่อเรามี Online Social Network และ 2 ทฤษฏีนี้สนับสนุนเหตุผลว่าทำไม...เราควรทำดีต่อกัน ไม่เบียดเบียนกัน หรือ ทำร้ายใครเลย
1. Six Degrees of Separation - เราห่างกันไม่เกิน 6 ช่วงคน
นักเขียนชาวฮังการีชื่อ Frigyes Karinthy เคยพูดไว้ว่า จริงๆแล้ว คนนับพันล้านบนโลกใบนี้รู้จักกันหมด ห่างกันอย่างมากไม่เกิน 6 ช่วงคน
ตัวอย่างเช่น เชื่อหรือไม่ เด็กบ้านนอกในชนบทห่างไกลของประเทศไทยเชื่อมโยงกับประธานธิบดีโอบาม่าได้
สมมุตเราเป็นเด็กบ้านนอกป.6คนนั้น เราก็รู้จักกับครูใหญ่ - ครูใหญ่ของโรงเรียนท่านก็รู้จักกับ สส. -ท่านสส.นั้นก็รู้จักกับ ท่านฑูตอเมริกา - ท่านฑูตอเมริกา รู้จักกับ ท่านประธานธิบดี โอบาม่า เป็นต้น
คิดตามไปเรื่อยๆ คนทุกคนก็เพื่อนๆกันทั้งนั้น ถ้าทุกคนรู้ความจริงนี้ เราอาจจะอยากแบ่งปันกันมากขึ้น เราอาจจะหยุดรถให้คนข้ามถนน เพราะคิดว่านั่นก็อาจเป็นเพื่อนของแม่เรา เราอาจจะไม่ยืนขวางประตู แล้วเดินชิดในเวลาขึ้นรถไฟฟ้า เพราะคนที่กำลังรอขึ้นรถไฟฟ้าอาจเป็นญาติของเพื่อนเรา
เราอาจจะเลิกทำอะไร ด้วยเหตุผลว่า ไม่เป็นไร เราไม่รู้จักกัน -เลิกทิ้งขยะหน้าบ้านคนอื่น เพราะอาจจะเป็นบ้านของเพื่อนของเพื่อนเรา เราอาจหยุดเลือกของดีๆให้ตัวเองก่อน แต่แบ่งให้คนอื่นด้วย และหยุดเอาของไม่ดีให้คนอื่น เลิกคิดว่า ช่างมันไม่ใช่ญาติเรา ไม่เกี่ยวกับเรา - เอาเข้าจริงก็อาจไม่มีคนแปลกหน้าบนโลกใบนี้เลย เพราะเราเชื่อมโยงกันหมด เพียงแต่เรายังไม่รู้จักกันเท่านั้นเอง
2. Three Degrees of Influence - สิ่งที่เราทำ กระทบคนอย่างน้อย 3 คน
เป็นทฤษฏีที่สร้างโดย Nicholas A. Christakis and James H. Fowler ว่าในยุคที่ผู้คนล้วนเชื่อมโยงกัน ทุกอย่างที่เราทำ ก็ไม่ต่างกับโยนหินลงไปในน้ำ วงน้ำกระจายออกไปรอบๆ บางทีวงเล็ก บางทีวงใหญ่ ทุกอย่างที่เราทำ จะกระทบคนอย่างน้อย 3 คน เช่น อาจจะกระทบเพื่อนของเรา ส่งต่อไปหาเพื่อนของเพื่อนเรา และต่อๆไป บางคนมีความสามารถกระทบได้หลายคน มีอิทธิพลต่อวงกว้าง หรือ บางสถานการณ์กระทบคนหลายคนพร้อมๆกันได้ และผลของการกระทบก็ไม่จำกัดเวลา
ตัวอย่างเช่น สมทรงแม่ค้าตลาดสดขายอารมณ์เสีย โยนทิ้งถุงขยะขวางทางเท้า มีชายคนนึงเดินมาเหยียบลื่นล้ม โดนรถทับ ชายผู้เสียชีวิตนั้น มีลูกเล็กอยู่ที่บ้าน 3คน เด็กๆเติบโตขึ้นมาอย่างยากลำบากเพราะแม่ต้องหาเลี้ยงครอบครัวคนเดียว
20ปีต่อมา ลูกชายคนเล็ก จาก 3พี่น้องของครอบครัวนั้น ติดยา ไปปล้นฆ่านักศึกษาแอน - แฟนของนักศึกษาแอนซึ่งมีปัญหาชีวิตอยู่แล้ว เสียใจขาดสติ กราดยิงปืนใส่ผู้คนในโรงหนัง หนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายในโรงหนัง คือนักวิจัยที่กำลังจะทำยารักษาโรคมะเร็งระยะสุดท้ายสำเร็จ
- สมทรง(ผู้หญิงที่ทิ้งขยะบนทางเท้าเมื่อ 20ปีก่อน)กำลังรอยารักษามะเร็งระยะสุดท้าย แต่โครงการไม่ได้ไปต่อ เพราะนักวิจัยเสียชีวิตโดนยิงตายในโรงหนัง
- พ่อของนักศึกษาแอนที่โดนโจรฆ่าตาย เป็นนักการเมือง ผลักดันกฏหมายคุมเข้มการถือครองอาวุธ "จับตาย" ผู้ค้ายาเสพติด
-หัวคะแนนนักการเมืองโดนป้ายสี ข้อหาค้ายาเสพติด ถูกวิสามัญจับตายตามกฏหมายใหม่ , ครอบครัวหัวคะแนน เลยหันเข้าร่วมขบวนการผู้ก่อการร้าย
และอื่นๆอีกมากมาย
นี่เป็การสมมุตผลกระทบด้านลบแบบสุดโต่งแบบหนึ่ง สถานการณ์อาจเบา หรือ แรงกว่านี้ ขึ้นอยู่กับ คน และสถานการณ์ที่กระทบ
ในทางกลับกัน เราก็สามารถสร้างผลกระทบมุมบวก ได้โดยไม่ต้องลงทุนอะไรมาก ในวิชาจิตวิทยาความสุขของ ม.ฮาร์วาร์ดเคยบอกไว้ วิธีง่ายที่สุด ในการส่งความสุขออกไปทั้งโลกคือการยิ้ม
การยิ้ม และหัวเราะ สามารถส่งต่อได้ ถ้ามีใครยิ้มให้เรา แม้เราจะไม่ยิ้มกว้างๆตอบ แต่กล้ามเนื้อเล็กบนใบหน้าเรามีการตอบสนอง เราสัมผัสได้ว่าเรารู้สึกดี เมื่อมีคนยิ้มให้เรา
ถ้าเรายิ้มให้คน 3 คน แล้วคนเหล่านั้น ยิ้มส่งต่ออีก 3 คน ไปเรื่อยๆ เพียงแค่ 20 ทอด คนทั้งโลกก็จะยิ้มกันหมด
โลกนี้จะเป็นอย่างไร เราทุกคนล้วนมีผลกระทบต่อกันและ กัน ไปมาอย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด เรามีพลังมากกว่าที่เราคิด ทีนี้ก็อยู่ที่เราว่า-จะ-ทำ-อะไร
######################
ในคติแบบพุทธ พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ ทุกสิ่งมีชีวิตล้วนเคยผ่านภพชาติมาแล้วนับไม่ถ้วน ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเลย ที่ไม่เคยเป็นญาติพี่น้องเรา
และ"กรรมตามสนอง"ที่บางคนไม่มั่นใจว่ามีจริง อาจะไม่ได้สนองคืนกลับมา ในรูปแบบเดียวกับสิ่งที่เราทำไป แต่อาจเอาคืนเราในรูปแบบอื่นก็เป็นได้
เวร ย่อมระงับได้ ด้วยการไม่จองเวร วัฐจักรแห่งการกระทบ(กรรม)ที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด แต่เรา สามารถ"จบมันได้" เมื่อเรามีสติมากพอ
เมื่อเราถูกกระทบในด้านร้าย เราตั้งสติ และมีทางเลือก เลือกที่จะขยายการกระทบด้านร้ายนั้นให้ทวีคูณขึ้น หรือ เลือกที่จะหยุด ไม่ส่งการกระทบต่อ แล้วสร้างแต่สิ่งดีๆ ..อยู่ที่เรา