=========
ภาษี E-service ตัวร้าย? กับนายเกมเมอร์ 💸💸💸
=========
.
“ภาษี” คือหนึ่งใน “ค่าใช้จ่าย” ของประชาชนที่มีหน้าที่จ่าย เพื่อแลกมาซึ่งสวัสดิการทางสังคมต่าง ๆ ในอีกด้านหนึ่งภาษีคือ “รายได้” ของภาครัฐที่เรียกเก็บจากประชาชนในประเทศ เพื่อนำมาใช้อย่างคุ้มค่า สร้างสวัสดิการอันดีงามให้ประชาชนใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข ทั้งเรื่องสาธารณสุข การคมนาคม สวัสดิภาพและความปลอดภัยในชีวิต เป็นต้น
.
(แต่ต้องขอวงเล็บไว้นะครับว่า ความพึงพอใจในสวัสดิการที่ภาครัฐส่งมอบให้ประชาชนในแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่ามลรัฐไหนจะสามารถใช้ภาษีแล้วทำให้ประชาชนรู้สึกว่ามันคุ้มค่ากับที่ต้องเสียไป)
.
ทางภาครัฐจะเรียกเก็บภาษีผ่านเครื่องมือต่าง ๆ เช่น ‘ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา’ เรียกเก็บจากคนธรรมดาผู้มีรายได้ตามเกณฑ์และอาศัยอยู่ในประเทศไทย ‘ภาษีนิติบุคคล’ ที่เรียกเก็บจากธุรกิจเอกชนที่จดทะเบียนจัดตั้งและมีกำไรอยู่ในประเทศไทย หรือ ‘ภาษีมูลค่าเพิ่ม’ ที่เรียกเก็บจากมูลค่าของการซื้อขายสินค้าและบริการในประเทศไทย เป็นต้น
.
ล่าสุดนี้ ทางรัฐบาลไทยได้ประกาศใช้เครื่องมือเรียกเก็บภาษีตัวใหม่ที่มีชื่อว่า ‘ภาษี e-service’ ที่พอเหมาะพอดีกับวิถีชีวิตในโลกปัจจุบัน เพราะด้วยรูปแบบของการให้บริการและการทำธุรกรรมในยุคนี้เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนมาก การซื้อขายสินค้าบริการทั้งหลายแปรสภาพไปอยู่บนช่องทางอิเล็กทรอนิกส์และอินเตอร์เน็ตมากขึ้น เครื่องมือนี้จึงเกิดขึ้น
.
เรื่องนี้ส่งผลกระทบกับผู้บริโภค ผู้ใช้บริการบนแพลตฟอร์มออนไลน์ และเหล่าเกมเมอร์ที่ซื้อเกมผ่านแพลตฟอร์มเกมต่าง ๆ อย่างแน่นอน เพราะโดยภาพรวมแล้วภาระของผู้ประกอบการก็อาจจะถูกผลักมาให้ผู้บริโภคช่วยกันแบ่งรับแบ่งสู้ ราคาของสินค้าและบริการก็มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นนั่นเองครับ
.
แต่จะส่งผลกระทบในรูปแบบอย่างไรบ้าง ค่อย ๆ ไปทำความรู้จักกับ e-service ตัวนี้กันครับ
.
📌 ภาษี e-service คือ อะไร?
.
ปกติแล้วธุรกิจที่ขายสินค้าและบริการในประเทศไทยจะถูกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT ในอัตรา 7% จากผู้บริโภค ซึ่งผู้ประกอบการจะมีหน้าที่เก็บและนำส่งให้สรรพากร แต่ e-service จะเป็น VAT หรือภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ในต่างประเทศซึ่งไม่ได้จดทะเบียนจัดตั้งในประเทศไทย ต้องมีหน้าที่เสียภาษีนี้ให้กับประเทศไทย เมื่อมีรายได้ค่าบริการผ่านแพลทฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ ในอัตรา 7% ของยอดสินค้าหรือบริการ
.
หลังจากวันที่ 1 กันยายน 2564 ผู้ที่ขายสินค้าและบริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ให้กับลูกค้าในประเทศไทยจะมีภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้นจากเดิมตามกฏหมาย
.
📌 ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาษี e-service มีใครบ้าง?
.
โดยหลัก ๆ แล้วก็จะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เราคุ้นเคยกันดี เช่น Facebook Instagram Youtube ซึ่งให้บริการเกี่ยวกับโฆษณาทางโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ธุรกิจให้บริการสตรีมมิ่งเพื่อความบันเทิง เช่น Netflix Spotify ธุรกิจที่ให้บริการออนไลน์ เช่น Agoda Booking.com Airbnb Grab และแพลตฟอร์มที่เป็นมาร์เก็ตเพลส หรือขายสินค้าออนไลน์ ทั้ง App Store, Play Store, Shopee, Amazon.com
.
สำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเหล่าเกมเมอร์ ก็จะเป็นธุรกิจจำพวก Online Store ทั้ง Steam, PS Store, Nintendo Store และ XBOX Store รวมถึงตัวเกมที่มีการซื้อขายสินค้าด้วยเงินจริง การเติมเงินผ่านระบบที่อยู่ในต่างประเทศก็ต้องเสียภาษีนี้เช่นกัน เพราะในยุคนี้เกมต่าง ๆ จะถูกพัฒนาขึ้นมาภายใต้รูปแบบ in-game purchasing เสียเป็นส่วนใหญ่
.
📌 e-services เก็บทำไม มีในประเทศไทยที่เดียวหรือเปล่า?
.
อันที่จริงภาษี e-service เป็นภาษีที่ถูกเก็บตามคำแนะนำของ OECD โดยในหลายประเทศทั่วโลกกว่า 60 ประเทศ เช่น ออสเตรเลีย ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย ก็ได้ออกหรือแก้ไขกฎหมายเพื่อรองรับธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์มาก่อนหน้าประเทศไทยกันบ้างแล้ว
.
ว่ากันว่า e-service จะช่วยสร้างความเป็นธรรมให้แก่ธุรกิจภายในประเทศมากขึ้น ลองนึกดูเล่น ๆ ก็ได้ครับ ถ้าร้านเกมค้าปลีกในไทยต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มให้สรรพากรตามปกติ แต่ Steam ที่ขายเกมเหมือนกันไม่ต้องเสียภาษีอัตรา 7% เลย ชัดเจนว่าภาระค่าใช้จ่ายของร้านค้าปลีกจะเยอะกว่า ทำให้แพลตฟอร์มจากต่างประเทศรายนี้ได้เปรียบ เพราะมีช่องทางที่สามารถลดราคาเพื่อแข่งขันกับร้านเกมในไทยได้
.
📌 แล้วใครมันจะไปอยากเสียเงินมากกว่าเพื่อซื้อเกมที่เหมือนกันล่ะครับ ถูกไหม?
.
เมื่อมีการเก็บภาษีอย่างเท่าเทียมแล้ว แน่นอนว่ารายได้ของรัฐบาลไทยก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล มีการคาดการณ์ว่าจะสามารถเรียกเก็บภาษี e-service ได้มากกว่า 5 พันล้านบาทเลยล่ะครับ
.
📌 ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้บริโภคล่ะ มีอะไรบ้าง?
.
ถ้าพูดถึงผลกระทบที่เกิดกับผู้บริโภคที่เป็นบุคคลธรรมดาอย่างเรา ๆ โดยทั่วไป e-service ก็จะคล้ายกับ VAT ที่เราต้องเสียให้กับร้านค้าและบริการต่าง ๆ ในประเทศอยู่แล้ว
.
ซึ่งการเกิดขึ้นมาของภาษีตัวนี้จะทำให้ภาระค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น เพราะพวกเขามีหน้าที่ต้องนำส่งภาษีตัวนี้ให้กับทางสรรพากรตามข้อตกลง ทำให้จากเดิมที่ผู้ให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ไม่เคยต้องเสียภาษี e-service มาก่อน ต้องหาทางออกให้กับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
.
มีทางเลือกให้ 2 ทางครับ ทางเลือกแรกคือเรียกเก็บค่าสินค้าและบริการเท่าเดิม ไม่ชาร์จภาษี e-service เพิ่มจากลูกค้า อันนี้ก็เป็นผลดีกับตัวลูกค้า เพราะผู้ประกอบการใจป๋ายอมแบกรับต้นทุนส่วนเพิ่มนี้เอาไว้เอง
.
หากเป็นทางเลือกที่สอง คือ ผู้ประกอบการไม่อยากรับภาระส่วนนี้ไว้ เพราะต้องการรักษาความสามารถในการทำกำไรให้ได้เท่าเดิม แน่นอนว่าเขาก็ต้องผลักภาระส่วนนี้ให้กับผู้บริโภคอย่างเรา สินค้าก็จะแพงขึ้นประมาณ 7% บวกลบจากราคาก่อนหน้านี้
.
ในฐานะนักลงทุนที่คลุกคลีกับวงการเกมอยู่บ้าง ผมเชื่อว่าผู้พัฒนาเกมจะเลือกผลักภาระนี้มาให้ลูกค้าครับ เพราะโดยส่วนใหญ่อำนาจต่อรองของผู้พัฒนาเกมมีสูงกว่าผู้เล่น โดยเฉพาะเกมที่มีกลุ่มคนเล่นมากมาย และมี Network Effect ที่แข็งแกร่งมหาศาล
.
นึกภาพตามครับว่าเรากำลังเล่นเกม MOBA ยอดนิยมเกมหนึ่งมาอย่างยาวนาน ซื้อของในเกมไว้มากมาย ไต่แรงค์ไปอยู่เทียร์บนได้อย่างสง่าผ่าเผย ถ้าอนาคตผู้พัฒนาเกมจะขึ้นราคาสินค้าอีก 7% หรือมากกว่า เราจะยอมเลิกเล่นเกมนั้นแล้วเปลี่ยนไปเล่นเกมอื่น หรือหยุดซื้อของในเกมนั้นเพื่อแอนตี้ภาษีตัวนี้ แล้วยอมให้คนอื่น ๆ ที่ยังจ่ายเงินซื้อของในเกมเหมือนเดิมแซงหน้าไปหรือเปล่าล่ะ?
.
และสำหรับเกมเมอร์ที่ชอบไปลองเล่นเกมตามหน้าร้านแล้วรอกดซื้อเกมตอน Steam ประกาศลดราคา ก็อาจจะไม่เห็นความแตกต่างในการทำโปรโมชั่นบนแพลตฟอร์มออนไลน์มากเหมือนที่ผ่านมา เพราะการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการไทยกับต่างประเทศจะมีความเท่าเทียมมากขึ้น
.
สรุปโดยง่าย หลังจากวันที่ 1 กันยายน 2564เป็นต้นไป เกมเมอร์ทุกคนอาจจะต้องซื้อเกมผ่านดิจิตอลแพลตฟอร์ม และ Online Store ต่าง ๆ เพิ่มขึ้นจากปกติ 7% บวกลบ นอกจากนี้ระบบการเติมเงินหรือซื้อสินค้าในเกมก็อาจจะโดนชาร์จภาษีตัวนี้เพิ่มเข้าไปด้วยเช่นกัน
.
ผมเข้าใจว่าเกมเมอร์ ผู้บริโภค ทุกคนย่อมหงุดหงิดเป็นธรรมดาเมื่อสินค้าและบริการมีโอกาสแพงขึ้น 7% แต่อัตราภาษีที่ถูกเรียกเก็บนี้ถือว่าไม่แพงมากนัก เมื่อเทียบกับประเทศต่าง ๆ ในทวีปยุโรปที่เก็บภาษี e-service ในอัตรา 17-27% แม้กระทั่งเพื่อนบ้านอย่างอินโดนิเซียก็เรียกเก็บภาษีนี้ในอัตรา 10% และภาษีนี้จะเป็นหนึ่งในรายได้ที่ไหลเข้ากระเป๋าเงินของรัฐเพิ่มขึ้นในอนาคต
.
อันที่จริงผมเชื่อครับว่า ภาษี e-service ที่ชาร์จเพิ่ม 7% บนมูลค่าของสินค้าและบริการทางอิเล็กทรอนิกส์นี้จะไม่เป็นเรื่องใหญ่อะไร หรือเป็นตัวร้ายในสายตาของใครเลย หากผู้บริโภคอย่างเรารู้สึกว่าเงินเหล่านี้จะถูกนำไปใช้อย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ สามารถสร้างสวัสดิการที่ดีให้ทุกคนภายในประเทศมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
.
เหมือนอย่างที่ผมกล่าวมาในตอนต้น ถ้าเงินภาษีเหล่านี้ถูกนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับประชาชนคนไทย (ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของคนกลุ่มใด) อย่างแท้จริง
.
รัฐอยากจะเก็บ 10-20% ประชาชนก็คงไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไรเลย...
.
บทความโดย ปั้น - จิตรกร แสงวิสุทธิ์ Investment Planner แอดมินเพจ "นายปั้นเงิน"
.
💡 ติดตามความรู้ด้านการเงิน การออมและการลงทุน ได้ที่เพจ นายปั้นเงิน เพจที่จะทำให้เรื่องการเงินเป็นเรื่องง่าย ( https://www.facebook.com/artisanmoney/ )
「จิตรกร คือ」的推薦目錄:
- 關於จิตรกร คือ 在 GamingDose Facebook 的最讚貼文
- 關於จิตรกร คือ 在 สาระศาสตร์ Facebook 的最佳貼文
- 關於จิตรกร คือ 在 ครูแป้งสอนจีน Facebook 的精選貼文
- 關於จิตรกร คือ 在 The Space Someone EP.11 ศักดิ์วุฒิ วิเศษมณี จิตรกรอิสระอันดับต้น ... 的評價
- 關於จิตรกร คือ 在 จิตรกรไร้แขนชื่อก้องโลก ในหลวง ร.9 คือแรงบันดาลใจสู้ทุกทาง 的評價
- 關於จิตรกร คือ 在 ปู จิตกร บุษบา - "จิตรกร" คือ นักวาดรูป แล้ว "จิตกร"... | Facebook 的評價
จิตรกร คือ 在 สาระศาสตร์ Facebook 的最佳貼文
ความหมายของชื่อสายพันธุ์มนุษย์นั้น แปลว่า "มนุษย์ที่ฉลาด" หรือที่รู้จักกันดีว่า โฮโมเซเปียนส์ (Homo sapiens) (homo = มนุษย์ sapiens = ฉลาด)
ระยะเวลา 2564 ปีของมนุษย์ตั้งแต่ที่เริ่มมีการนับพุทธศักราช ได้กำเนิดมนุษย์ที่มีความฉลาด และมีความสามารถมากมาย บ้างก็เป็นนักปราชญ์ บ้างก็เป็นจิตกร บ้างก็เป็นนักธุกิจ ภูมิปัญญามากมายต่างถูกส่งต่อจากอดีต มาถึงยังพวกเราคนในยุคปัจจุบัน
1. ขงจื๊อ นักคิดและนักปรัชญา ( 8 กันยายน 551 – 479 ปีก่อน ค.ศ )
คำสอนของขงจื๊อนั้น ฝังรากอิทธิพลลึกลงไปในสังคมเอเชียตะวันออกมาเป็นเวลาถึง 20 ศตวรรษ หลักปรัชญาของขงจื๊อนั้นเน้นเกี่ยวกับศีลธรรมส่วนตัว และศีลธรรมในการปกครอง ความถูกต้องเหมาะสมของความสัมพันธ์ในสังคม และ ความยุติธรรมและบริสุทธิ์ใจ นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ผู้มีคนให้ความเคารพศรัทธา และยึดถือแนวทางคำสอนกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก ได้สอนหลักในการคบคนไว้ ดังนี้ "การคบคน ต้องเลือกคบคนที่มีคุณธรรมสูงกว่าหรือเท่า ๆ กับเรา" หากเราคบหาสมาคมกับคนที่ขาดคุณธรรม จะทำให้จิตใจของเรา ตกต่ำตามไปด้วย ดังนั้น ถ้าอยากมีชีวิตที่ดี มีความสุข ประสบความสำเร็จ จะต้องเลือกคบคนดีมีคุณธรรม
หลักการของจื๊อได้แก่
#ศาสตร์สี่แขนง
รากฐานที่ขงจื๊อวางไว้ ได้แก่ วัฒนธรรม ความประพฤติ ความจงรักภักดี และ ความซื่อสัตย์ โดยวัฒนธรรมเน้นถึงการเคารพบรรพบุรุษและพิธีการโบราณ ยึดถือผู้อาวุโสเป็นหลัก แต่ไม่ยึดติดหรืออายที่จะหาความรู้จากคนที่ต่ำชั้นหรืออายุน้อยกว่า
#แปดหลักการพื้นฐานในการเรียนรู้
ได้แก่ สำรวจตรวจสอบ ขยายพรมแดนความรู้ จริงใจ แก้ไขดัดแปลงตน บ่มเพาะความรู้ ประพฤติตามกฎบ้านเมือง ประเทศต้องได้รับการดูแล นำความสงบสุขมาสู่โลก
#ลำดับการเรียนรู้
ได้แก่ พิธีกรรม ดนตรี ยิงธนู ขี่ม้า ประวัติศาสตร์ และ คณิตศาสตร์
#คุณธรรมทั้งสาม
ได้แก่ ภูมิปัญญา เมตตากรุณา และความกล้าหาญ
#สี่ขั้นตอนหลักการสอน
ตั้งจิตใจไว้บนมรรควิธี ตั้งตนในคุณธรรม อาศัยหลักเมตตาเกื้อกูล สร้างสรรค์ศิลปะใหม่
#สี่ลำดับการสอน
ได้แก่ คุณธรรมและความประพฤติ ภาษาและการพูดจา รัฐบาลและกิจการบ้านเมือง และสุดท้ายคือวรรณคดี
2. ลีโอนาโด ดาวินชี จิตรกร นักปั้น นักพฤกษศาสตร์ ( 15 เมษายน ค.ศ. 1452 - 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1519 )
คงมีน้อยคนที่จะไม่รู้จัก ลีโอนาโด ดาวินชี เพราะความสามารถอย่างล้นเหลือ จนเป็นที่กล่าวขวัญไปทั่วโลก ชายผู้ที่เป็น จิตรกร นักปั้น นักพฤกษศาสตร์ และบิดาแห่งศิลปะทางด้านกายวิภาคศาสตร์ (Gross Anatomy) สิ่งที่ดาวินชี่ได้ถ่ายทอดไว้ให้แก่ชาวโลกมีมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ปรัชญาในการดำรงชีวิตที่เป็นอมตะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทุกเวลา ทุกสถานที่
หลักปรัชญาที่สำคัญจากหนังสือเรื่อง How to Think Like Leonardo da Vinci แต่งโดย Michael Gelb มีใจความสำคัญ ดังนี้
"คุณมองแต่คุณไม่เห็น (You look but you don't see)
คุณฟังแต่คุณไม่ได้ยิน (You listen but you don't hear)
คุณสัมผัสแต่คุณไม่รู้สึก (You touch but you don't feel)
คุณพูดแต่ไม่ได้คิดก่อนที่จะพูด (You speak but you don't think)"
มนุษย์มักทำอะไรโดยขาดสติ ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ทำให้ประสิทธิภาพในการเรียนรู้ต่ำลง การมีสติตลอดเวลา ทำให้ความสามารถในการเรียนรู้รวดเร็ว ว่องไว และเฉียบคม สามารถรู้ว่าตนเองกำลังทำอะไร ที่ไหน อย่างไร และเพื่ออะไร สามารถเลือกเส้นทางชีวิตของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีชีวิตเป็นของตนเอง
3. เดล คาร์เนกี นักเขียนและผู้พัฒนาหลักสูตรการพัฒนาตนเอง (24 พฤศจิกายน 1888 – 1 พฤศจิกายน 1955)
อดีตเด็กรับจ้างตัดหญ้าด้วยค่าแรงชั่วโมงละ 5 เซนต์ สู่นักพูดค่าตัวนาทีละ 1 ดอลลาห์ และนักเขียนผู้ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของหนังสือที่ขายดีที่สุดตลอดกาลอย่าง How to Win Friends and Influence People และ How to Stop Worrying and Start Living
หากคุณอยากที่จะผูกมิตรกับใครสักคน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามลองปฏิบัติตาม กฏทั้ง 6 ข้อนี้
กฎข้อที่ 1 จงเอาใจใส่อย่างแท้จริงต่อผู้อื่น
การผูกมิตรกับผู้อื่นจะได้ผลเรียบร้อยภายในสองเดือนด้วยการเอาใจใส่อย่างแท้จริงต่อเค้าผู้นั้น มันดีกว่าที่จะให้คนอื่นมาพยามใส่ใจเรา เพราะธรรมชาติของมนุษย์ชอบที่จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ เริ่มจากใส่ใจที่จะจำชื่อใครก็ตามที่อยากรู้จักตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ ใส่ใจรายละเอียดเล็กน้อยของเค้าไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ชอบ สีโปรด หรือแม้แต่ความเป็นอยู่ของคนในครอบครัวของเค้าคนนั้น
กฎข้อที่ 2 ยิ้ม
รอยยิ้มเป็นสิ่งมีค่าที่เราให้คนอื่นได้ฟรีๆ หมั่นยิ้มทักทายให้ทุกคนที่ท่านอยากผูกมิตรด้วย รอยยิ้มเปรียบเสมือนเป็นประตูแห่งความสัมพันธ์ เมื่อรอยยิ้มปรากฎมาบนรอยหน้าของคนใดคนนึง เรื่องต่อๆ ไปก็จะง่ายเอง
กฎข้อที่ 3 จงจำไว้ว่าชื่อของบุคคลใดก็ตามสำหรับบุคคลนั้นเป็นสำเนียงหวานที่สุดและสำคัญที่สุดในภาษามนุษย์
หมั่นทักทายผู้อื่นด้วยชื่อของเค้า จดจำชื่อของคนที่ท่านปราถนาจะผูกมิตรให้แม่น เอ่ยชื่อของเค้าอย่างชัดถ้อยชัดคำเมื่อท่านต้องการสรรเสริญถึงความดีความชอบใดๆ ที่เค้าทำ ทั้งหมดทั้งมวลนี้เพราะคนเราให้ความสำคัญกับชื่อตัวเองอย่างที่สุด
กฎข้อที่ 4 จงเป็นนักฟังที่ดี
จงสนับสนุนให้อีกฝ่ายหนึ่งคุยถึงเรื่องของเขา พูดถึงตัวเองให้น้อยฟังคนอื่นพูดให้เยอะ ทุกคนล้วนอยากเป็นคนสำคัญ อยากถูกเอาใจใส่ การรับฟังเป็นเรื่องง่ายๆ ที่สามารถตอบสนองความต้องการเหล่านั้นได้ หากคุณทำได้คุณจะเป็นคู่สนทนาคนโปรดของใครหลายๆ คน
กฎข้อที่ 5 สนทนาในเรื่องที่อีกฝ่ายสนใจ
ศึกษาดูว่าคนที่คุณอยากผูกมิตรชอบอะไรเป็นพิเศษ คุณสามารถหยิบมาเป็นประเด็นในการสนทนาได้เสมอ หากคุณทำการบ้านมาดีคุณจะคุยกับเค้าคนนั้นได้อย่างลื่นไหล
กฎข้อที่ 6 จงทำให้ผู้อื่นรู้สึกสำคัญ และจงทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ
เราทุกคนต่างมีข้อดีในแบบของตัวเอง ไม่ว่าใครก็ต้องมีเรื่องที่เก่งกว่าคนอื่นสักเรื่องสองเรื่อง ในขณะเดียวกันผู้อื่นก็มีเรื่องที่เราเทียบไม่ได้เลยเช่นกัน หาเรื่องนั้นให้เจอและเอ่ยปากชมเค้าผู้นั้นด้วยความบริสุทธิ์ใจ
4. นโปเลียน ฮิลส์ เนักเขียนแนวพัฒนาตัวเอง ( 26 ตุลาคม 1883 – 8 พฤศจิกายน 1970 )
ปี 1928 นโปเลียน ฮิลล์ ได้เผยแพร่ผลงานของเขา กฎแห่งความสำเร็จ (The Law of Success) ได้แสดงถึง 45 รายชื่อที่เขาศึกษา “ชีวิตส่วนใหญ่ของบุคคลเหล่านี้ในระยะใกล้ ด้วยตัวเอง” เช่นเดียวกับบุคคลที่หนังสือได้อุทิศไว้ แอนดรูว์ คาร์เนกี้, เฮนรี่ ฟอร์ด และ เอ็ดวิน ซี บานส์ (ผู้ร่วมงานของ โทมัส เอดิสัน) คาร์เนกี้ได้ให้จดหมายแนะนำฮิลล์แก่ฟอร์ด ซึ่งเป็นผู้แนะนำให้ฮิลล์รู้จักกับ อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์, เอลเมอร์ อาร์ เกตส์, โทมัส เอดิสัน และ ลูเธอร์ เบอร์แบงก์
"ท่านทำได้ ถ้าท่านคิดว่าท่านทำได้"
การเชื่อมั่นในตนเองไม่ใช่การหลอกตัวเอง แต่เป็นการตั้งหลักในจิตใจว่า เราจะต้องทำสิ่งเหล่านั้นให้จงได้ เมื่อเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนพอที่จะเป็นไปได้ และท้าทายความสามารถในระดับหนึ่งรวมกับขั้นตอนและกลยุทธต่าง ๆ ที่จะต้องทำและแผนสำรอง เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือ "ความเชื่อมั่นว่าเราสามารถทำได้"
"ว่าวจะลอยสูงได้ต้องมีลมมาปะทะ"
ผู้ที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น จะต้องฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการ ต้องรับได้ในทุกสถานการณ์ และเมื่อเจอปัญหาต้องนิ่งสงบใช้สติปัญญาแก้ไขปัญหาอย่างสุดความสามารถ
5. แจ็ค เวลช์ ผู้จัดการแห่งศตวรรษที่ 21 ( 19 พฤศจิกายน 2478 - 1 มีนาคม 2563 )
แจ็ค เวลซ์ คือ หนึ่งใน CEO ที่ประสบความสำเร็จจนมีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของโลก พูดได้ว่า ไม่มีหนังสือที่เกี่ยวกับ CEO เล่มไหนในโลกที่ไม่อ้างถึงแนวคิดและวิธีการบริหารจัดการของ แจ็ค เวลซ์ เขาจึงเป็น“ต้นแบบ”ที่ผู้บริหารระดับสูงในองค์กรชั้นนำทั่วโลกต่างยึดถือเป็นแบบอย่าง
แจ็ค เวลส์ คืออดีต CEO ของบริษัท General Electric หรือ GE ที่มีค่าตัวสูงที่สุดในโลก สุดยอดแนวคิดของ Jack Welch นำมาจากหนังสือเรื่อง Control the Destiny or Someone Else Will คือการรู้จักกำหนดชะตาชีวิตของตนเองก่อนที่คนอื่นจะเข้ามาบงการชีวิตคุณ
"Live with the present reality as it is, not the kind of reality that used to be in the past or the reality that you want it to be"
"จงอยู่กับความเป็นจริงในปัจจุบันที่คุณกำลังประสบอยู่ ไม่ใช่ความเป็นจริงที่มันเคยเป็น หรือความเป็นจริงที่คุณอยากให้มันเป็น"
จงอยู่กับปัจจุบัน มนุษย์มักยึดติดกับความสุข ความสำเร็จในอดีต และคิดว่ามันจะต้องเป็นเช่นนั้นดังเดิมตลอดไป แต่เมื่อปัจจุบันไม่เป็นอย่างที่หวังก็เศร้าเสียใจ หรือติดกับความทุกข์ในอดีตจนไม่กล้าที่จะทำสิ่งใดต่อไปในอนาคต ชีวิตก็จมปรักอยู่กับที่ การดำเนินชีวิตเพื่อไปสู่ความสำเร็จ คือการอยู่กับปัจจุบันทิ้งอดีต และทำวันนี้ให้ดีที่สุด
6. สตีฟ จ็อบส์ นักธุรกิจและนักประดิษฐ์ (24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1955 - 5 ตุลาคม ค.ศ. 2011)
ชายผู้ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีแห่งทศวรรษ 21 อัจฉริยะผู้พลิกโลกแห่งวงการไอที แม้ว่าในวันนี้เขาจะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่สิ่งที่เขาสร้างเอาไว้ได้เปลี่ยนแปลงโลกของไอทีไปตลอดกาล และตลอดระยะเวลาของการมีชีวิตอยู่ สตีฟ จ็อบส์ ก็ได้ทิ้งบทเรียนดีๆไว้มากมาย
8 บทเรียนที่ สตีฟ จ๊อปส์ ได้บอกคนทั้งโลกผ่านการทำงานของเขาทั้งชีวิตได้แก่
1. อย่าไปฟังความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ
ไม่ว่าจะเป็นนักวิเคราะห์ หรือพวกกูรูทั้งหลาย ความเห็นของพวกเขาเป็นร้อยก็ช่วยคุณเป็นผู้ประกอบการไม่ได้หรอก มันก้เป็นเพียงแค่ “ความเห็น” เท่านั้น
“ถ้าคุณเป็นผู้ประกอบการตัวจริง หาทางเอาเองสิ อย่ามัวแต่พึ่งคนอื่น”
2. ลูกค้าบอกไม่ได้หรอกว่าเขาต้องการอะไร
สตีฟ จ็อฟส์บอกเสมอว่า “หลายๆครั้ง คนก็บอกไม่ได้ว่าเขาต้องการอะไรจนกว่าคุณเอาสิ่งที่พวกเขาอยากได้ไปให้เขาเห็น” จงหาปัญหาของผู้คนให้เจอแล้วแก้ปัญหาให้เขาก่อนที่คนอื่นจะทำ
3. ดีไซน์เป็นเรื่องจำเป็น
"ในโลกที่คนพูดแต่เรื่องราคา การออกแบบก็เป็นเรื่องสำคัญ สำหรับหลายๆคนแล้ว ดีไซน์เป็นสินค้าอย่างหนึ่งด้วย"
4. จงทำให้ดีขึ้น 10 เท่า ไม่ใช่ 10 %
นวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นถ้าผู้ประกอบการทำสินค้าและบริการให้ดีขึ้น 10 เท่า ไม่ใช่เพียงแค่ 10%
5. ความเป็นเลิศ
ผู้คนตัดสินคุณจากการกระทำ ดังนั้นจงมุ่งเป้าหมายไปที่ผลลัพธ์ จงเป็นมาตราฐานในการวัดคุณภาพ เพราะคนบางคนไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่ต้องการความเป็นเลิศ
6. อย่ากลัวการแข่งขัน
ผมไม่คิดว่า Apple เป็นเจ้าของผม ผมคิดว่าผมเป็นเจ้านายตัวเอง และการที่ผมจะไม่สามารถทำอาชีพที่ถนัดได้อีกในชีวิตนี้ผมเห็นว่าเป็นเรื่องประหลาดพิลึก เราไม่ได้นำเทคโนโลยีหรือความคิดที่เป็นของ Apple โดยเฉพาะใดๆไปจากที่นั่น ไม่มีอะไรที่ระบุว่า Apple ไม่สามารถแข่งขันกับเราถ้าพวกเขาคิดว่าสิ่งที่เราทำนั้นเป็นความที่วิเศษ มันยากนะที่จะคิดว่าบริษัทที่มีมูลค่า 2,000 ล้าน และพนักงานกว่า 4,300 คน จะไม่สามารถแข่งขันกับคนนุ่งกางเกงยีนส์แค่หกคน ( หลังจากที่ สตีฟ จ็อบส์ โดนไล่ออก เขาและอดีตพนักงาน Apple ทั้งหกคนต่อมาได้ก่อตั้งบริษัท NEXT )
7. ปฏิเสธเพื่อเป้าหมาย
คนมักคิดว่าการมุ่งเป้า หมายถึง การตอบรับสิ่งที่คุณต้องมุ่งไปหา แต่นั่นไม่ใช่ความหมายของมันเลย มันหมายถึงการ "ปฏิเสธ" ความติดดีๆ อื่นๆ นับร้อยต่างหาก คุณต้องเลือกอย่างระมัดระวัง จรีงๆแล้วผมภูมิใจที่ไม่ได้ทำพอๆกับสิ่งที่ได้ทำ นวัตกรรมนั้นคือ "การปฏิเสธ" อะไรเป็นพันๆอย่าง
8. คิดอย่างผู้เริ่มต้น
ความหนักอึ้งของการประสบความสำเร็จถูกแทนที่ด้วยความเบาหวิวของการเป็นผู้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ความรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจในทุกอย่าง มันทำให้ผมมีอิสระที่จะเข้าสู่ช่วงเวลาที่สร้างสรรค์ที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิต
จิตรกร คือ 在 ครูแป้งสอนจีน Facebook 的精選貼文
ภาษาจีนในชีวิตประจำวัน
วันนี้ขอเสนอคำว่า จิตรกร 👨🎨👩🎨👩🎨👨🎨
จิตรกร คือ ผู้สร้างสรรค์งานศิลปะ งานเขียนหรืองานวาดภาพศิลปะ เป็นงานที่สร้างสรรค์โลกให้มีสุนทรียภาพให้สวยงามนั่นเองจ้า
ฝากติดตามช่องยูทูปครูแป้งสอนจีนด้วยนะคะ
https://www.youtube.com/channel/UCZo68YVh1XsL53J7fgp-XnQ
จิตรกร คือ 在 จิตรกรไร้แขนชื่อก้องโลก ในหลวง ร.9 คือแรงบันดาลใจสู้ทุกทาง 的推薦與評價
![影片讀取中](/images/youtube.png)
จิตรกร ไร้แขนชื่อก้องโลก ในหลวง ร.9 คือ แรงบันดาลใจสู้ทุกทาง | TOP NEWS TALK | ช่วง 3 | TOP NEWS. 1.1K views · 10 months ago #TOPNEWS ... ... <看更多>
จิตรกร คือ 在 ปู จิตกร บุษบา - "จิตรกร" คือ นักวาดรูป แล้ว "จิตกร"... | Facebook 的推薦與評價
"จิตรกร" คือ นักวาดรูป แล้ว "จิตกร" แปลว่าอะไร ใครแปลถูก แจกเสื้อ 2 ตัว หญิงตัว ชายตัว ตอบได้ทั้งวัน 5โมงเย็นประกาศผลครับ อิอิ... ... <看更多>
จิตรกร คือ 在 The Space Someone EP.11 ศักดิ์วุฒิ วิเศษมณี จิตรกรอิสระอันดับต้น ... 的推薦與評價
จิตรกร คือ อาชีพของนักสร้างสรรค์ผลงาน ที่สื่อออกมาโดยใช้ลายเส้น และฝีมือที่แตกต่างกันไปของแต่ละคน ... “ศิลปะ” ในแบบฉบับของ “ ศักดิ์วุฒิ วิเศษมณี ” ... <看更多>