หลักกฎหมายว่าด้วยหนี้
สำหรับเรื่องหนี้เป็นหัวใจของกฎหมายแพ่งในระบบกฎหมายซิวิลลอว์ (Civil Law) มีความยิ่งใหญ่ในอดีตโดยเฉพาะประมวลกฎหมายแพ่งสวิสเซอร์แลนด์ได้แยกเป็นประมวลกฎหมายว่าด้วยหนี้ไว้เป็นอีกเรื่องหนึ่งแยกต่างหากไปจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
หนี้ คือ ความเกี่ยวพันระหว่างบุคคล 2 ฝ่าย คือ เจ้าหนี้กับลูกหนี้ โดยเจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้กระทำการงดเว้นการกระทำ หรือส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ตนเพื่อชำระหนี้ หนี้นั้นเรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า “สิทธิเรียกร้อง” หรือนักกฎหมายเรียกหนี้ว่าเป็นบุคคลสิทธิ
1.บ่อเกิดแห่งหนี้
บ่อเกิดแห่งหนี้หรือเรียกว่ามูลแห่งหนี้ที่มีผลเกิดขึ้นระหว่างบุคคลที่เกิดได้ 2 ประการดังนี้ คือ จากนิติกรรมสัญญา (เป็นหนี้ที่เกิดจากการสมัครใจ) กับนิติเหตุ (เป็นหนี้ที่เกิดจากกฎหมาย)
บ่อเกิดแห่งหนี้ (มูลแห่งหนี้)
นิติกรรมสัญญา กฎหมาย(นิติเหตุ)
เอกเทศสัญญา บรรพอื่น สัญญาไม่มีชื่อ
จัดการงานนอกคำสั่ง ลาภมิควรได้ ละเมิด บรรพอื่น กฎหมายอื่น
1.1 หนี้ที่เกิดขึ้นโดยนิติกรรมสัญญา
หนี้ที่เกิดขึ้นโดยนิติกรรมสัญญา เป็นการสมัครใจในการที่ก่อหนี้ขึ้นแบ่งออกเป็น 2
ประการ
1.1.1 หนี้ที่เกิดจากเอกเทศสัญญา
หนี้ที่เกิดจากเอกเทศสัญญา หมายความว่าคนสองฝ่ายมาทำกันกฎหมายตั้งชื่อไว้แล้วกำหนดสิทธิหน้าที่เป็นสัญญาที่มีชื่อตามกฎหมายที่ตั้งไว้ มีอยู่ 22 สัญญา เช่น สัญญาซื้อขาย แลกเปลี่ยน ให้ เช่าทรัพย์ เช่าซื้อ จ้างแรงงาน จ้างทำของ รับขน ยืม ฝากทรัพย์ ค้ำประกัน จำนอง จำนำ เก็บของในคลังสินค้า ตัวแทน นายหน้า ประนีประนอมยอมความ การพนันขันต่อ บัญชีเดินสะพัด ประกันภัย ตั๋วเงิน หุ้นส่วนบริษัท
1.1.2 หนี้ที่เกิดขึ้นได้โดยการทำนิติกรรมตามบรรพอื่น
หนี้ที่เกิดขึ้นได้โดยการทำนิติกรรมตามบรรพอื่น เช่น สมาคมในบรรพ1หรือตามบรรพ 5 ครอบครัว คือสัญญาก่อนสมรส, สัญญาระหว่างสมรสที่สามีภริยาทำกัน,สัญญาหมั้น เป็นต้น
1.1.3 สัญญาไม่มีชื่อเป็นสัญญาที่ไม่อยู่ในเอกเทศสัญญาตามบรรพ 3
สัญญาไม่มีชื่อเป็นสัญญาที่ไม่อยู่ในเอกเทศสัญญาตามบรรพ 3 บางคนเรียกสัญญานอกบรรพ 3 เช่น สัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา สัญญากองทุนสมรส เป็นต้น
1.2 หนี้ที่เกิดโดยนิติเหตุหรือหนี้เกิดจากกฎหมาย
หนี้ที่เกิดโดยนิติเหตุหรือหนี้เกิดจากกฎหมาย หนี้ในลักษณะนี้เกิดขึ้นโดยไม่สมัครใจในการเกิดหนี้ขึ้น แบ่งออกได้ 5 ประการ คือ
1.2.1 หนี้ที่เกิดจากการจัดการงานนอกสั่ง
หนี้ที่เกิดจากการจัดการงานนอกสั่ง คือการที่บุคคลหนึ่งเรียกว่าผู้จัดการได้สอดเข้าทำกิจการของบุคคลหนึ่ง เรียกว่า ตัวการ โดยเขามิได้ว่าขานวานใช้ให้กระทำหรือโดยมิได้มีสิทธิที่จะทำการงานนั้นแทนเขาได้ ผู้จัดการมีสิทธิเรียกให้ตัวการชดใช้ค่าใช้จ่ายที่ตนเสียไปเพราะจัดการงานนอกสั่ง
1.2.2 หนี้ที่เกิดจากลาภมิควรได้
หนี้ที่เกิดจากลาภมิควรได้ คือ การที่บุคคลใดได้ทรัพย์จากบุคคลอื่นไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ ผู้ที่รับทรัพย์ย่อมเป็นลูกหนี้ที่ต้องคืนแก่เจ้าหนี้
1.2.3 หนี้ที่เกิดจากการละเมิด
หนี้ที่เกิดจากการละเมิด คือ การกระทำใด ที่กระทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายไม่ว่ากระทำโดยจงใจ หรือประมาทเลินเล่อให้เขาได้รับความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ หรือสิทธิอย่างใดหนึ่งอย่างใด การกระทำเช่นว่านั้นเข้าการกระทำละเมิด หรือเป็นการกระทำล่วงสิทธิผิดหน้าที่ ทำให้เขาเสียหาย ละเมิดนั้นอยู่บนหลักที่ว่าบุคคลอื่นต้องได้รับความเสียหายผู้กระทำละเมิดต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน
หลักที่ใหญ่ที่สุดของการละเมิด คือ หลักที่ว่าละเมิดนั้น เป็นความรับผิดที่เกิดขึ้นเนื่องจากการกระทำความผิด กฎหมายทำให้เสียหายโดยตรง (Liability with fault) กับความรับผิดแม้ไม่ได้กระทำ (Liability without fault) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้ยอมรับทฤษฎีในเรื่องความรับผิดเพื่อการละเมิดเกิดขึ้น 3 ทฤษฎี
1.ทฤษฎีที่ 1 ความรับผิดของผู้กระทำละเมิด (Tortfeasur’s Liability) ซึ่งเป็นความรับผิดโดยตรงจากผู้กระทำละเมิดโดยตรง ซึ่งเป็นความผิดอาจเกิดจากใช้สิทธิของตนปกติตั้งแต่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนการไขข่าวแพร่หลายทำให้บุคคลเสียหาย เป็นต้น
2.ทฤษฎีที่ 2 ความรับผิดแม้จะไม่ได้กระทำละเมิด(Vicarious Liability) ความรับผิดแม้จะไม่ได้กระทำความผิดก็ถูกเกณฑ์ให้รับผิดหากดูแล้วเหมือนไม่เป็นธรรมแต่ถ้าไม่เกณฑ์ก็ยิ่งไม่ยุติธรรม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้บัญญัติความรับผิดแม้จะไม่ได้กระทำความผิด คือ ลูกจ้างทำละเมิด นายจ้างรับผิด ตัวแทนทำละเมิด ตัวการรับผิด ลูกศิษย์ทำละเมิดอาจารย์ต้องรับผิด คนวิกลจริต คนไร้ความสามารถ ผู้อนุบาลต้องรับผิด บุตรผู้เยาว์ทำละเมิด บิดามารดาต้องรับผิด เป็นต้น
3.ทฤษฎีที่ 3 ความรับผิดเพราะคนที่มีความเกี่ยวพันกับผู้กระทำละเมิด (Strict Liability) คือ ความรับผิดที่เกิดขึ้นการที่ทรัพย์ซึ่งอยู่ความดูแลของตนไปก่อความเสียหายแก่คนอื่น เจ้าของทรัพย์หรือผู้ดูแลทรัพย์ต้องรับผิดไม่ว่าจะเป็นเจ้าของสัตว์ หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงสัตว์ไว้แทนเจ้าของ ผู้ครอบครองโรงเรือน หรือเจ้าของ บุคคลผู้อยู่ในโรงเรียน ผู้ครอบครองยานพาหนะ เป็นต้น
1.2.4 หนี้ที่เกิดจากบรรพอื่น
หนี้ที่เกิดจากบรรพอื่น หนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตามบรรพอื่น เช่น สามีภรรยาต้องอุปการะเลี้ยงดูกัน ทรัพย์สินมรดกใดถ้าไม่มีผู้ใดรับมรดกให้ตกเป็นของรัฐ รัฐจึงเป็นเจ้าหนี้ เป็นต้น
1.2.5 หนี้ที่เกิดจากกฎหมายอื่น
หนี้ที่เกิดจากกฎหมายอื่น เช่น หนี้ที่เกิดจากประมวลกฎหมายรัษฎากร คือ บุคคลผู้ต้องมีหน้าที่เสียภาษีให้แก่รัฐเพื่อนำภาษีมาพัฒนาบ้านเมือง เป็นต้น
2.ผลแห่งหนี้
เมื่อหนี้เกิดขึ้นแล้ว ผลแห่งหนี้ก็จะเกิดขึ้น คือ สิทธิและหน้าที่ของเจ้าหนี้กับสิทธิและหน้าที่ของลูกหนี้ เจ้าหนี้มีสิทธิจะเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ซึ่งเราเรียกว่า เป็นวัตถุแห่งหนี้ ซึ่งแยกออกเป็น 3 กรณี คือ การให้ลูกหนี้กระทำการการ งดเว้นกระทำการ และการโอนทรัพย์สิน หากลูกหนี้ได้ชำระหนี้ตามวัตถุแห่งหนี้ถูกต้องแล้ว หนี้ก็เป็นอันระงับไป แต่ปัญหาว่าหากลูกหนี้ไม่ยอมชำระหนี้ เจ้าหนี้มีมาตรการอย่างไรในการบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้ตามที่ผูกพันที่มีอยู่นั้น
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้อำนาจเจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้ศาลสั่งบังคับชำระหนี้ หากลูกหนี้ละเลยเสีย ไม่ชำระหนี้ของตน และเมื่อการไม่ชำระหนี้ของลูกหนี้นั้น ทำให้เจ้าหนี้เสียหาย เจ้าหนี้มีสิทธิจะเรียกค่าเสียหายได้นอกจากกฎหมายจะให้เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะร้องของให้ศาลบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้แล้ว กฎหมายยังได้คุ้มครองสิทธิเจ้าหนี้อีก โดยให้เจ้าหนี้ใช้สิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ หรือเพิกถอนการฉ้อฉลซึ่งทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบได้
ในกรณีเรื่องเจ้าหนี้และลูกหนี้นั้น ฝ่ายลูกหนี้อาจเป็นลูกหนี้หลายคนหรือ ฝ่ายเจ้าหนี้อาจจะเป็นเจ้าหนี้หลายคนก็ได้ ซึ่งในกรณีเป็นลูกหนี้หลายคนร่วมกันผูกพันในอันที่จะต้องกระทำการชำระหนี้นั้นเราเรียกว่าลูกหนี้ร่วม ผลแห่งการเป็นลูกหนี้ร่วมก็คือ เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ร่วมคนใดคนหนึ่งชำระหนี้ได้โดยสิ้นเชิง การกระทำแทนการชำระหนี้หรือการหักกลบลบหนี้ร่วมคนใด ย่อมเป็นประโยชน์ แก่ลูกหนี้ร่วมคนอื่นๆ การปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้ร่วมคนอื่นๆ ย่อมเป็นประโยชน์แก่ลูกหนี้ร่วมอื่นๆ เพียงเท่าส่วนของลูกหนี้ที่ได้ปลดหนี้ การผิดนัดของเจ้าหนี้ต่อลูกหนี้ร่วมคนใดคนหนึ่ง ย่อมเป็นประโยชน์แก่ลูกหนี้ร่วมอื่นๆ
3.การชำระหนี้หรือการระงับแห่งหนี้
ความระงับแห่งหนี้นั้นหมายความว่าหนี้นั้นได้สิ้นสุดลงหรือได้ระงับลง ซึ่งการที่หนี้จะระงับลงได้นั้นมีอยู่ด้วยกัน 5 กรณี คือ การชำระหนี้ การปลดหนี้ หักกลบลบหนี้ แปลงหนี้ใหม่ หนี้เกลื่อนกลืน
3.1 การชำระหนี้
การชำระหนี้ เมื่อลูกหนี้ได้ชำระหนี้ถูกต้องตามวัตถุแห่งหนี้แก่เจ้าหนี้แล้ว หนี้ย่อมระงับหรืออาจเป็นกรณีบุคคลภายนอกจะชำระหนี้แทนลูกหนี้แต่การชำระหนี้ของบุคคลภายนอกนั้นจะทำไม่ได้ หากสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้กระทำหรือขัดกับเจตนาอันคู่กรณีได้แสดงไว้
3.2 การปกลดหนี้
ปลดหนี้ คือ การทำหนี้สิ้นสุดลง เพราะเจ้าหนี้ได้ยินยอมยกหนี้ให้แก่ลูกหนี้ให้แก่ลูกหนี้โดยไม่ต้องเรียกร้องค่าตอบแทนอย่างใด ตัวหนี้มีหนังสือเป็นหลักฐาน การปลดหนี้ก็ต้องทำเป็นหนังสือ หรือต้องเวนคืน เอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ หรือขีดฆ่าเอกสารนั้นเสีย
3.3 การหักลบกลบหนี้
การหักกลบลบหนี้ คือเมื่อบุคคล 2 ฝ่ายมีความผูกพัน ซึ่งกันและกันโดยความผูกพันนั้น คือ หนี้ซึ่งบุคคลทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็เป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้กัน และหนี้นั้นมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกัน และถึงกำหนดชำระฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะหักกลบลบหนี้เพื่อให้หนี้ระงับเพียงเท่าจำนวนที่ตรงกันในมูลหนี้ทั้ง 2 ฝ่ายก็ได้ เว้นแต่สภาพแห่งหนี้ฝ่ายหนึ่งจะไม่เปิดช่องให้หักกลบลบหนี้กันได้
3.4 การแปลงหนี้ใหม่
แปลงหนี้ใหม่ ได้แก่ การระงับหนี้เก่า แต่มีหนี้ใหม่ขึ้นมาแทน
3.5 หนี้เกลื่อนกลืนกัน
หนี้เกลื่อนกลืนกัน ได้แก่ กรณีซึ่งสิทธิและหน้าที่ของเจ้าหนี้และลูกหนี้ได้มารวมกันอยู่ในตัวบุคคลเดียวกัน
「ตัวการ คือ」的推薦目錄:
- 關於ตัวการ คือ 在 sittikorn saksang Facebook 的最讚貼文
- 關於ตัวการ คือ 在 sittikorn saksang Facebook 的最佳解答
- 關於ตัวการ คือ 在 sittikorn saksang Facebook 的最佳解答
- 關於ตัวการ คือ 在 ตัวการตามประมวลกฎหมายอาญ... - ทบทวนหลักกฎหมายกับ ... 的評價
- 關於ตัวการ คือ 在 ตัวการ ผู้ร่วมกระทำความผิด ตาม ป.อ.... - รวมเด็ดเกร็ดกฎหมาย 的評價
- 關於ตัวการ คือ 在 #หลักกฎหมายเน้นๆ [ตัวการ] [ผู้ใช้] [ผู้สนับสนุน] - YouTube 的評價
- 關於ตัวการ คือ 在 ผู้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด (ตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน) - YouTube 的評價
- 關於ตัวการ คือ 在 ตัวการ - YouTube 的評價
ตัวการ คือ 在 sittikorn saksang Facebook 的最佳解答
ความรู้ทั่วไปของกฎหมายอาญา
ในทางกฎหมายอาญาจัดเป็นกฎหมายมหาชนว่าด้วยความผิดและโทษทางอาญามีบทบัญญัติถึงความเกี่ยวพันธ์ระหว่างเอกชนกับรัฐ แม้การกระทำบางอย่างจะได้กระทำโดยตรงต่อเอกชนให้ได้รับอันตรายเสียหายก็ตาม การกระทำความผิดนั้นก็ยังเชื่อว่ากระทบกระเทือนต่อมหาชนเป็นส่วนรวม ถึงขนาดที่รัฐต้องเข้าดำเนินการป้องกันและปราบปราม ดังนั้นต้องมีกฎหมายบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรที่กำหนดความผิดและโทษซึ่งแยกพิจารณาได้ดังนี้
1. การกำหนดเป็นความผิด ได้แก่ การพิจารณาว่าการกระทำใดสมควรจะลงโทษในทางอาญา เช่น การฆ่าผู้อื่น การล่วงละเมิดทางเพศ หรือการฉ้อโกงประชาชน ตลอดจนการกระทำอื่นๆ ที่กระเทือนต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
2. การกำหนดโทษ ได้แก่ การที่บุคคลจะรับโทษทางอาญาได้ ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายในขณะกระทำกำหนดโทษไว้ ดังนั้น การบัญญัติโทษ ภายหลังการกระทำจึงไม่ย้อนไปใช้กับการกระทำที่เกิดขึ้นมาก่อนการบัญญัตินั้น แต่ถ้าเคยกำหนดโทษไว้ในขณะกระทำ แล้วต่อมายกเลิกโทษนั้นไป ผู้กระทำย่อมหลุดพ้นจากโทษนั้นไปด้วย
ตามที่ได้กล่าวมานี้เราพอสรุปลักษณะของกฎหมายอาญาได้ดังนี้
1)กฎหมายอาญาเป็นกฎหมายมหาชน
2) กฎหมายอาญาเป็นกฎหมายว่าด้วยความผิดและโทษทางอาญา
3) กฎหมายอาญาตามปกติบังคับการกระทำในอาณาเขต
4) กฎหมายอาญาเป็นกฎหมายที่บัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษร
5) กฎหมายอาญาเป็นกฎหมายที่ไม่มีผลย้อนหลังในทางลงโทษหนักขึ้นหรือให้รับโทษหนักขึ้น
ประมวลกฎหมายอาญาไทย มีบทบัญญัติทั้งหมด 398 มาตราได้แบ่งออกเป็น 3 ภาค ดังนี้ คือภาคทั่วไป ภาคความผิด และภาคลหุโทษ ซึ่งบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2500
1. กฎหมายอาญาภาคทั่วไป
ประมวลกฎหมายอาญา ภาค 1 ซึ่งเป็นภาคทั่วไปที่ต้องนำไปใช้ในความผิดอื่นๆ ด้วย ซึ่งประกอบด้วยการใช้กฎหมายอาญา โครงสร้างความผิดอาญา การใช้บทบังคับของกฎหมาย และบทบัญญัติที่ใช้แก่ความผิดลหุโทษ ซึ่งสามารถอธิบายโดยสรุปได้ดังนี้
1.1 การใช้กฎหมายอาญา
การใช้กฎหมายอาญานั้นจะต้องคำนึงถึงบุคคล สถานที่ และเวลาในการกระทำความผิดดังต่อไปนี้
1.1.1 การใช้กฎหมายอาญาเกี่ยวกับบุคคล
บุคคลที่กฎหมายอาญาใช้บังคับแก่คนไทยและคนต่างด้าวเสมอหน้ากันหมด แต่มีข้อยกเว้นเกี่ยวกับบุคคลทั่วไปนี้คือ
1.ข้อยกเว้นตามรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 ได้กำหนดยกเว้นไม่ใช้กฎหมายอาญาบังคับกับบุคคลดังต่อไปนี้
1) พระมหากษัตริย์ไทย ผู้ใดจะกล่าวหาฟ้องร้องในทางใดๆมิได้
2)สมาชิกรัฐสภาไม่ว่าจะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา มีเอกสิทธิในการแถลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความคิดเห็นหรือออกเสียงลงคะแนนในการประชุมของรัฐสภา และคุ้มครองไปถึงผู้พิมพ์และโฆษณารายงานการประชุมเป็นต้น
2. ข้อยกเว้นตามกฎหมายระหว่างประเทศ บุคคลซึ่งกฎหมายกำหนดข้อยกเว้นตามกฎหมายระหว่างประเทศอันได้แก่
1) ประมุขแห่งรัฐต่างประเทศ ทูต และบุคคลในคณะทูตและครอบครัว
2) เจ้าหน้าที่หรือพนักงานขององค์การระหว่างประเทศซึ่งกฎหมายระหว่างประเทศให้เอกสิทธิ์และคุ้มครองไว้
3) กองทหารต่างประเทศที่เข้ามายึดครองราชอาณาจักร การกระทำความผิดใดๆในกองทัพ ไม่ขึ้นกับอำนาจศาลของประเทศที่กองทัพนั้นยึดครองอยู่
1.1.2 การใช้กฎหมายอาญาเกี่ยวกับสถานที่
กฎหมายอาญาใช้บังคับโดยหลักดินแดน มาจากหลักที่ว่า “กฎหมายของรัฐใดย่อมใช้บังคับ แก่การกระทำความผิดที่เกิดขึ้นภายในเขตของรัฐนั้น” ดินแดนในราชอาณาจักรไทย ได้แก่
1. พื้นดินและพื้นน้ำที่อยู่ในอาณาเขตของประเทศไทย
2. ทะเลอันเป็นอ่าวไทย
3. ทะเลอาณาเขตของไทย 12 ไมล์ทะเล
4. พื้นอากาศเหนือ ข้อ 1,2,3
5. เรือไทยหรืออากาศยานไทย ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด กฎหมายให้ถือว่าเป็นการกระทำในราชอาณาจักรไทย
1.1.3 การใช้กฎหมายอาญาเกี่ยวกับเวลา
มาจากหลักที่ว่ากฎหมายไทยไม่มีผลย้อนหลัง คือกฎหมายจะไม่ย้อนหลังไปใช้บังคับแก่ข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันที่กฎหมายใช้บังคับ ไม่ว่าจะเป็นความผิด การลงโทษหรือการเพิ่มโทษก็ตาม แต่อย่างไรก็ตาม มีการยกเว้น ในกรณีที่กฎหมายอาญาที่บัญญัติขึ้นมาใหม่นั้นออกใช้บังคับที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำก็สามารถย้อนหลังได้
1.2 โครงสร้างความผิดอาญา
การจะวินิจฉัยความรับผิดทางอาญานั้น ต้องพิจารณาหลักเกณฑ์ตามโครงสร้างความรับผิดอาญา ซึ่งประกอบด้วยส่วนใหญ่ 3 ส่วน ตามลำดับ คือ การพิจารณาว่ามีการกระทำครบองค์ประกอบความผิดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้หรือไม่ ถ้ามีพิจารณาต่อไปว่าการกระทำนั้นๆ มีอำนาจกระทำก็ต้องรับผิด แล้วจึงพิจารณาต่อไปเป็นประการสุดท้ายว่ามีเหตุที่กฎหมายยกเว้นโทษให้แก่ผู้กระทำการหรือการกระทำนั้นๆ หรือไม่ ซึ่งสามารถแยกพิจารณาได้ดังนี้ คือ
1.2.1 องค์ประกอบความผิดอาญา
องค์ประกอบความผิดอาญา พิจารณาได้จากบทบัญญัติของกฎหมายประกอบด้วย องค์ประกอบภายนอก องค์ประกอบภายใน การพยายามกระทำความผิด และความรับผิดในกรณีผู้กระทำหลายคน
1. องค์ประกอบภายนอก คือ สิ่งที่เป็นส่วนภายนอกที่ประกอบอยู่ในความผิดฐานใด ฐานหนึ่ง เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ส่วนภายในจิตใจของผู้กระทำ (การกระทำโดยเจตนาที่มีจิตชั่วร้าย)
สิ่งที่เป็นส่วนภายนอกหรือองค์ประกอบภายนอกมีอยู่หลายอย่างเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ในความผิดแต่ละฐาน ซึ่งประกอบด้วย
1) ผู้กระทำ โดยปกติกฎหมายจะใช้คำว่า “ผู้ใด” ซึ่งหมายความว่าจะเป็นใครก็ได้ไม่จำกัด แต่หากกฎหมายมุ่งที่จะลงโทษบุคคลใดโดยเฉพาะก็จะระบุโดยชัดเจนในบทบัญญัตินั้นๆ เช่น ผู้ใดฆ่าผู้อื่น หรือระบุว่าหญิงใด หรือผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน หรือชายใดตามที่ปรากฏ ใน พ.ร.บ. เกณฑ์ทหาร เป็นต้น
2) การกระทำ เป็นไปตามความหมายในความผิดแต่ละฐาน เช่น การ “ฆ่า” ในความผิดต่อชีวิต “การทำร้าย” ในความผิดต่อร่างกาย “การเอาไป” ในความผิดฐานลักทรัพย์ “การใส่ความ” ในความผิดฐานหมิ่นประมาท เป็นต้น
3) กรรมของการกระทำ (ผู้ถูกกระทำ) ซึ่งก็เป็นไปตามฐานความผิดนั้นๆ เช่น ในความผิดต่อชีวิต ความผิดต่อร่างกาย กรรมของการกระทำ คือผู้อื่น (ผู้ถูกกระทำ) ซึ่งต้องมีสภาพความเป็นมนุษย์ในความผิดฐานทำแท้ง คือสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในครรภ์มารดา ในความผิดฐานลักทรัพย์ วัตถุแห่งการกระทำคือทรัพย์ของผู้อื่น เป็นต้น
4) ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล จำเป็นต้องพิจารณาปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลเพื่อจะได้ทราบว่าผู้กระทำเป็นเหตุให้เกิดผลหรือไม่และควรรับผิดในผลนั้นเพียงใด ถ้าผลที่เกิดไม่สัมพันธ์กับการกระทำหรือไม่ใช่ผลโดยตรง แล้วผู้กระทำก็ไม่ต้องรับผิด ผลโดยตรงนี้ ได้แก่ผลตาม “ทฤษฎีเงื่อนไข” ซึ่งมีสาระสำคัญว่า “ถ้าไม่มีการกระทำผลไม่เกิด” ต้องถือว่า ผลเกิดจากการกระทำนั้น แม้จะมีเหตุอื่น หรือสุขภาพไม่ดีอยู่ก่อน แต่ถ้าเป็นเหตุที่เกิดขึ้นใหม่ภายหลังจากการกระทำที่เรียกว่า “เหตุแทรกแซง” แล้วผู้กระทำจะต้องรับผิดในผลนั้นปลายเหตุที่เกิดขึ้นหรือไม่ ต้องพิจารณาโดยละเอียดต่อไป
2. องค์ประกอบภายใน เป็นสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจของบุคคล
เป็นส่วนสำคัญในการกำหนดความรับผิดของบุคคล โดยหลักแล้วบุคคลจะต้องรับผิดเมื่อกระทำโดยเจตนา การกระทำนั้นกฎหมายให้รวมถึงการงดเว้นการกระทำตามที่ตกลงใจหรือเจตนาที่จะงดเว้นการกระทำ
แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้การกระทำนั้นไม่ได้เจตนากฎหมายก็บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ว่าความผิดใดต้องรับผิด เมื่อได้กระทำโดยประมาทหรือกำหนดไว้ชัดแจ้งว่า แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนาก็ต้องรับผิด
1)การกระทำโดยเจตนา คือการกระทำไปโดยรู้สำนึก และผู้กระทำนั้นประสงค์ต่อผลหรือผู้กระทำนั้นย่อมเล็งเห็นผล บางประการของการกระทำนั้น
2)การกระทำโดยประมาท คือการกระทำที่ผู้กระทำมิได้ตั้งใจให้เกิดผลร้ายแก่ใคร แต่เนื่องจากการกระทำโดยไม่ระมัดระวังหรือระมัดระวังไม่เพียงพอทำให้เกิดผลร้ายแก่ผู้อื่นถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาทแล้ว
3)การกระทำที่ไม่ได้เจตนา คือการกระทำที่ผู้กระทำตั้งใจทำเพื่อให้เกิดผลอย่างหนึ่งแต่ผลเกิดขึ้นมากกว่าที่ตั้งใจเมื่อกฎหมายบัญญัติไว้ว่ากระทำในลักษณะเช่นนั้นต้องรับผลร้ายผู้กระทำต้องรับผิดด้วย
4)การกระทำโดยพลาด คือการกระทำที่มีเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป กฎหมายให้ถือผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่ผู้ซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำ
5)การกระทำที่สำคัญผิด คือการกระทำที่สำคัญนี้อาจมีได้ 2 ลักษณะคือ การกระทำที่สำคัญผิดในตัวบุคคล กับ การกระทำที่สำคัญผิดในข้อเท็จจริง
(1)การกระทำที่สำคัญผิดในตัวบุคคล คือการกระทำที่ผู้กระทำเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิดเรียกว่า เป็นการสำคัญผิดตัว
(2)การกระทำที่สำคัญผิดว่ามีข้อเท็จจริง การกระทำที่สำคัญผิดในข้อเท็จจริงแยกออกไปเป็น 3 กรณี คือ
ก.การกระทำที่สำคัญผิดว่ามีข้อเท็จจริงที่ทำให้ไม่เป็นความผิด เช่นการป้องกันตัวสมควรแก่เหตุ การกระทำที่จำเป็น
ข.การกระทำที่สำคัญผิดว่ามีข้อเท็จจริงที่ทำให้ไม่ต้องรับโทษ เช่น การลักทรัพย์บิดา มารดา เป็นต้น
ค.การกระทำที่สำคัญผิดที่ทำให้รับโทษน้อยลง เช่น การบันดาลโทสะ หรือการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ เป็นต้น
6)การกระทำที่ไม่รู้กฎหมาย บุคคลใดก็ตามเมื่อได้กระทำผิดจะแก้ตัวว่าไม่รู้กฎหมาย หรือไม่รู้ว่ากฎหมายบัญญัติว่าการกระทำอย่างนั้นอย่างนี้เป็นความผิดเพื่อให้พ้นจากความรับผิดในทางอาญาไม่ได้ หรือที่เรียกกันว่าถูกกฎหมายปิดปาก (Estoppel Law) แต่ถ้าศาลเห็นว่าบุคคลนั้นอาจไม่รู้ว่ามีกฎหมายบัญญัติว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดศาลอาจอนุญาตให้ผู้นั้นแสดงพยานหลักฐานต่อศาล ซึ่งถ้าศาลฟังพยานหลักฐานนั้นแล้วเชื่อว่าเป็นจริงก็อาจจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่กฎหมายเปิดโอกาสให้ศาลพิจารณาลงโทษให้เหมาะสมกับผู้กระทำความผิดซึ่งกระทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
3. การเริ่มต้นกระทำความผิด สำหรับการเริ่มต้นกระทำความผิดนั้น มีกระบวนการจากการคิด ตกลงใจ และกระทำตามที่ตกลงใจนั้น ซึ่งส่วนสุดท้ายนี้ เป็นส่วนที่แสดงออกภายนอกแล้ว ซึ่งอาจมีขั้นตอนของการเตรียมลงมือกระทำไปตลอดจนบรรลุผลสำเร็จ อย่างไรก็ตาม การรอจนกระทั่ง ผู้กระทำลงไปจนความผิดสำเร็จ ย่อมก่อความเสียหายกระทบกระเทือนความสงบของสังคมอย่างมาก สำหรับความผิดที่ร้ายแรงที่ผู้กระทำได้แสดงเจตนา ออกมาเป็นการกระทำอย่างชัดแจ้งแล้ว กฎหมายจำต้องยับยั้งไว้ เพื่อมิให้ลุกลามเป็นความผิดสำเร็จก่อความเสียหายต่อไปโดยการกำหนดเป็นความผิดเสียก่อนตั้งแต่เริ่มแรก เช่น ในเรื่องอั้งยี่ ซ่องโจร หรือ ผู้ใช้ให้กระทำความผิด กฎหมายบัญญัติให้เป็นความผิดโดยไม่ต้องมีการกระทำความผิดที่ได้ตกลงกัน หรือตามที่ได้ใช้ให้กระทำการ ตระเตรียมในความผิดที่ร้ายแรงบางความผิดก็เป็นความผิดในตัวเองได้เลย ตลอดจนการพยายามกระทำความผิด กฎหมายก็กำหนดให้รับผิดโดยไม่ต้องรอให้เกิดผลสำเร็จ เพียงแต่ผู้กระทำมีการกระทำที่แสดงเจตนาและมุ่งต่อความผิดสำเร็จโดยไม่มีการหยุดยั้ง
ดังนั้น ความผิดอันเป็นการเริ่มต้นเหล่านี้ย่อมเป็นธรรมดาที่จะไม่มีการพยายามกระทำความผิดในฐานะต่างๆ เหล่านั้นอีกไม่ว่าจะเป็นการพยายามเป็นอั้งยี่หรือซ่องโจรหรือพยายามใช้ให้กระทำความผิด เพราะความผิดเหล่านี้เกิดขึ้นก่อนการพยายาม หรือการตระเตรียมการกระทำความผิดเสียอีก
การพยายามกระทำความผิด ประกอบด้วย การลงมือและการไม่บรรลุผล
1)การลงมือ ในการที่กฎหมายจะลงโทษการพยายามกระทำความผิดนั้น ขั้นแรกผู้กระทำจะต้องมีเจตนา กระทำความผิดเสียก่อน ถ้าไม่มีเจตนาก็จะเป็นการพยายามกระทำความผิดไม่ได้ ต่อจากนั้นผู้กระทำต้องมีการกระทำเพื่อมุ่งถึงผลสำเร็จ การกระทำที่จะเป็นการพยายามกระทำคามผิดต้องถึงขั้น “ลงมือ” เช่น การพยายามฆ่า พยายามทำร้ายร่างกาย พยายามข่มขืน เป็นต้น
ข้อสังเกต เกี่ยวกับการลงมือกระทำแล้วไม่บรรลุผลที่เรียกว่าพยายาม ตามแนวคิดของศาล(ไทย) ศาลไทยถือว่าการลงมือได้แก่การกระทำที่ใกล้ชิดกับผลสำเร็จ คือหลักความใกล้ชิดต่อผล ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลในแต่ละเรื่องว่าแค่ไหนเพียงใดถึงจะว่าใกล้ชิด หรือห่างไกลความสำเร็จการตีความดังกล่าวอาจจะยืดหยุ่นดีแต่ขาดความแน่นอนชัดเจนกรณี
ตัวอย่าง เช่นคำพิพากษาฎีกาที่ 1685/2516 ในกรณีข่มขืนกระทำชำเราแม้จำเลยซึ่งนุ่งผ้าขาวม้าอยู่ตัวเดียวกระทำการถึงขั้นกดหญิงผู้เสียหายนอนลงที่พื้นขึ้นคร่อมและถลกผ้าขึ้นแล้วด้วยเจตนาจะกระทำชำเรา ศาลก็เห็นว่ายังไม่ถึงขึ้นพยายาม ทั้งที่มีการข่มขืนใจหญิงแล้วเพียงแต่ยังไม่ถึงขั้นที่จะกระทำชำเราได้เท่านั้น
คำพิพากษาฎีกาที่ 1885/2522 ในกรณีความผิดฐานชิงทรัพย์ เมื่อประทุษร้ายแล้วแม้ยังไม่ได้ทรัพย์ไป ศาลก็ลงโทษฐานพยายามชิงทรัพย์ หรือคำพิพากษาฎีกาที่ 41/2510 ในกรณีเพียงงัดประตูบ้านเข้าไป ยังไม่ทันได้เห็นทรัพย์ที่จะลัก ศาลก็ถือว่าลงมือแล้วเช่นdyo
จากคำพิพากษาของศาลไทยดังกล่าวข้างต้นนั้นแสดงว่าศาลไทยตีความคำว่าลงมือเพื่อคุ้มครองทรัพย์มากกว่าคุ้มครองหญิงจะถูกข่มขืน การกระทำอันที่จริงการลงมือควรถือ การกระทำที่จะนำไปสู่ความสำเร็จโดยไม่มีการหยุดยั้งในระหว่างการกระทำนั้น มิฉะนั้น แม้ผู้กระทำถูกจับได้ก็ลงโทษได้ โอกาสจะป้องกันความเสียหายก็จะลดลง
2)การไม่บรรลุผล ได้แก่ การกระทำไม่เกิดผล เป็นความผิดสำเร็จตามที่ผู้กระทำเจตนา ซึ่งอาจเป็นเพราะผู้กระทำยังไม่ได้กระทำให้ครบถ้วนทุกขั้นตอนที่ตนมุ่งหมายหรือกระทำไปครบถ้วนทุกขั้นตอนแล้วผลไม่เกิดขึ้นความที่คิดไว้ การไม่บรรลุผลมีได้ 3 ลักษณะคือ
(1)การไม่บรรลุผลโดยบังเอิญ กาจเกิดได้จากสาเหตุ 2 ประการคือ
ก.การไม่บรรลุผลเพราะกระทำไปไม่ตลอด หมายถึงว่าผู้กระทำได้ลงมือแล้วแต่จำต้องยุติการกระทำนั้นโดยไม่สมัครใจเพราะมีเหตุมาป้องปัดขัดขวาง
ข.กระทำไปตลอดแล้วแต่ไม่บรรลุผล ได้แก่การที่
ผู้กระทำได้ลงมือกระทำการทุกอย่างที่เขาเชื่อว่าเป็นเหตุให้เกิดความผิดสำเร็จขึ้นได้ แต่ก็ไม่บรรลุผล ซึ่งอาจเป็นเหตุแห่งวัตถุที่มุ่งหมายกระทำต่อ หรือเหตุแห่งปัจจัยที่ใช้ในการกระทำความผิด
(2)การไม่บรรลุผลอย่างแน่แท้ ได้แก่ กรณีที่ผู้กระทำจะทำ
อย่างไรก็ไม่มีทางบรรลุผลเป็นความผิดสำเร็จได้เป็นการพิจารณาในแง่จิตใจผู้กระทำ ถ้ากระทำได้กระทำโดยมุ่งต่อผล ซึ่งกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด แต่การกระทำไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้เพราะปัจจัยที่ใช้ในการกระทำหรือเหตุแห่งวัตถุที่มุ่งหมายกระทำต่อ
ส่วนการไม่บรรลุผลเพราะความเชื่ออย่างงมงาย เช่น คั่วพริกสาปแช่ง โดยวิธีการไสยศาสตร์ ด้วยความเชื่ออย่างงมงายว่าจะเป็นวิธีทำอันตรายผู้อื่นได้ แต่ไม่สามารถทำอันตรายได้ แต่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษเช่นกันแต่ศาลจะลงโทษก็ได้ เพราะถือว่าเป็นการแสดงเจตนาอันชั่วร้ายที่จะกระทำความผิดอาญาของผู้กระทำแล้วหากไม่ลงโทษเพื่อเป็นการตักเตือนยับยั้งเสียก่อน ผู้กระทำอาจเปลี่ยนแปลงวิธีการกระทำที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นก็ได้
(3)การไม่บรรลุผลเพราะผู้กระทำเอง ได้แก่การสมัครใจกระทำการเพื่อไม่ให้ความมุ่งหมายอันที่ร้ายของตนบรรลุผล ซึ่งอาจเป็นการยับยั้งเสียเอง คือได้ลงมือไปแล้ว แต่สมัครใจยุติการกระทำของตนเอง ไม่กระทำต่อไปให้ตลอดทั้งๆที่ตนเองมีความมั่นใจว่าสามารถกระทำไปให้ตลอดได้ ซึ่งอาจเป็นเหตุภายนอกหรืออาจจะเป็นเหตุภายใน การยับยั้งนี้ต้องเป็นไปโดยสมัครใจ หากเป็นไปเพราะถูกกดดันจนผู้กระทำรู้สึกว่าไม่สามารถกระทำไปได้ ดังนี้เป็นการยับยั้งโดยไม่สมัครใจ
4. โทษของการพยายามกระทำความผิด โดยหลักแล้วการพยายามกระทำความผิดมีโทษดังนี้คือ
1)มีโทษ 2 ใน 3 ส่วน ของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับผิดนั้นตาม
2)มีโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งเป็นการพยายามกระทำความผิดที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่แท้หรือไม่บรรลุผลอย่างแน่แท้
3)ศาลอาจไม่ลงโทษเลยก็ได้กรณีกระทำลงด้วยความงมงาย
ข้อสังเกต การพยายามกระทำความผิดที่มีโทษเท่ากับความผิดสำเร็จได้แก่การพยายาม กระทำความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ และการพยายามกระทำความผิดต่อความมั่นคงของรัฐและสัมพันธ์ไมตรี
ข้อสังเกต การพยายามกระทำผิดที่ไม่มีโทษ ได้แก่ การพยายามกระทำความผิดแต่ยับยั้งเสียเอง หรือกลับใจแก้ไข ไม่ให้การกระทำบรรลุผล การพยายามกระทำความผิดลหุโทษและการพยายามทำให้แท้งลูก
5. ผู้เกี่ยวข้องในการกระทำความผิดตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ในการกระทำความผิดฐานหนึ่ง อาจมีผู้กระทำความผิดตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปซึ่งอาจแยกได้ 3 ลักษณะ คือ
1)ตัวการ คือ เป็นผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันคือ
(1) จะต้องมีการกระทำร่วมกัน เช่น อาจแบ่งหน้าที่กันทำหรือ
อยู่ร่วมในการเกิดเหตุ
(2) มีเจตนาร่วมกัน ได้แก่ การที่ผู้กระทำความผิดทุกคนมี
เจตนาร่วมกันกระทำความผิดโดยถือว่าการกระทำของผู้ร่วมถึงการกระทำทุกอย่างที่เป็นความผิดร่วมกระทำจะต้องรู้ถึงเจตนาของกันและกัน ดังนั้นถ้ามีเจตนาร่วมเพียงใด ก็เป็นตัวการเพียงนั้น
2)ผู้ใช้ หมายถึงผู้ที่ก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด คือกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดให้ผู้อื่นตัดสินใจกระทำความผิด ไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน ยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีการอื่นใด เมื่อได้มีการใช้แล้วผู้ใช้มีความผิดทันที แม้ว่าผู้ถูกใช้จะยังไม่ยอมกระทำหรือรับปากว่ากระทำแล้ว หรือเปลี่ยนใจไม่กระทำหรือผู้ถูกกระทำใช้ยังมิได้ลงมือกระทำ แต่อย่างไรก็ตามถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำถึงขึ้นลงมือแล้ว ผู้ใช้ก็รับโทษเสมือนตัวการ
3)ผู้สนับสนุน ได้แก่บุคคลที่เข้าช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่
ผู้กระทำความผิดก่อนหรือ ขณะกระทำความผิดหรือการให้สถานที่ หรืออุปกรณ์ในการกระทำความผิด ซึ่งจะต้องพิจารณาตามพฤติการณ์ไปว่า การให้สนับสนุนแค่ไหนมีความผิด มีหลักเกณฑ์ดังนี้
(1)การสนับสนุนต้องมีเจตนาที่จะช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกแต่การกระทำความผิดด้วย
(2)การสนับสนุนจะต้องเกิดขึ้นก่อนหรือขณะกระทำความผิดหากเกิดขึ้นหลังการกระทำความผิดแล้ว ก็ไม่ใช่การสนับสนุน
(3)ถ้าผู้กระทำไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นองค์ประกอบความผิดได้
4)กรณีการกระทำเกินขอบเขต ถ้าความผิดที่เกิดขึ้นนั้นกระทำได้กระทำไปเกินขอบเขตที่ใช้หรือผู้สนับสนุน คงรับผิดเท่าที่อยู่ในขอบเขตของตนเท่านั้น
ข้อสังเกต ถ้าโดยพฤติการณ์อาจเล็งเห็นได้ว่า ผู้ถูกใช้จะกระทำไปเกินขอบเขตเช่นนั้น ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุนต้องรับผิดทางอาญาที่เกิดได้จริง
1.2.2 ข้อยกเว้นไม่ต้องรับผิดทางอาญา
เมื่อได้มีการกระทำครบองค์ประกอบความผิดตามข้อ 1.2.1 ทั้งองค์ประกอบภายในและภายนอกแล้ว ถ้ามีกฎหมายหรือเหตุยกเว้นความผิด ทำให้การกระทำนั้นเป็นความผิดแต่ยกเว้นโทษ ดังนี้
1. เหตุยกเว้นความผิดที่ไม่ต้องรับผิดทางอาญานั้นต้องเป็นการกระทำดังนี้
1)การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ในกรณีที่มีการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายมาคุกคามโดยที่รัฐไม่สามารถเข้าคุ้มครองได้ทันท่วงที กฎหมายก็เปิดโอกาสให้ผู้ที่จะต้องเสียหายถูกประทุษร้ายมีอำนาจป้องกันตนเองได้โดยไม่ต้องรอให้ความเสียนั้นเกิดขึ้นก่อน ซึ่งมีเกณฑ์พิจารณาดังต่อไปนี้
(1)ต้องมีภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายได้แก่ ภยันตรายที่เกิดขึ้นจากการกระทำใดอย่างหนึ่ง โดยที่ผู้ก่อภยันตรายนั้นไม่มีอำนาจตามที่จะทำได้
(2)ภยันตรายใกล้จะถึง ต้องดูตามพฤติการณ์ถ้าเกิดขึ้นในทันทีทันใดย่อมเป็นภัยที่ใกล้จะถึง
(3)ผู้กระทำจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่นให้พ้นจากภยันตราย
(4)การกระทำโดยป้องกันนั้นไม่เกินขอบเขตหรือพอสมควรแก่เหตุ
ข้อสังเกต การป้องกันโดยสำคัญผิด การป้องกันโดยพลาดไป นั้นยังถือว่าเป็นการป้องกันอยู่ ซึ่งจะต้องเข้าหลักเกณฑ์ในการป้องกันสมควรแก่เหตุเท่านั้นที่จะชอบด้วยกฎหมาย
2)ผู้เสียหายยินยอมให้กระทำในขณะหรือก่อนที่จะมีการกระทำความผิด
ต้องเป็นความยินยอมที่มิได้เกิดจากการข่มขู่ประทุษร้าย และต้องไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
3)กฎหมายประเพณี เช่น การชกมวยตามกติกาแม้จะมีการตายเกิดขึ้นผู้กระทำก็ไม่มีความผิด
4)กรณีกฎหมายอื่นให้อำนาจกระทำได้
2. เหตุยกเว้นโทษทางอาญา แม้การกระทำนั้นจะยังคงความผิดทางอาญา แต่ผู้กระทำก็ไม่ต้องรับโทษ ถ้ามีเหตุอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย ดังนี้คือ
1)เหตุที่ผู้กระทำไม่มีทางเลือก เหตุที่กฎหมายยกเว้นโทษให้นี้เป็นเพราะผู้กระทำความผิดไม่มีอิสระในการตัดสินใจ แบ่งออกได้ 2 กรณีคือ
(1)ความจำเป็น เป็นการกระทำความผิดด้วยความจำเป็น เพราะเหตุถูกบังคับซึ่งเป็นการที่ผู้กระทำตกอยู่ภายใต้อำนาจของใครหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งอันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้และเป็นการกระทำด้วยความจำเป็นเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่จะใกล้ถึงโดยไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ทั้งนี้ภยันตรายนั้นต้องมิใช่เกิดจากการกระทำผิดของตนเอง
(2)กระทำตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน โดยสุจริตใจแม้คำสั่งนั้นจะไม่ถูกต้อง แต่ผู้กระทำเชื่อโดยสุจริตใจว่าตนเองมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามผู้นั้นก็ไม่ต้องรับโทษ
2)เหตุเกี่ยวกับความรู้ผิดชอบ ถ้าผู้กระทำความผิดกระทำไปโดยไม่รู้ผิดชอบกฎหมายยกเว้นโทษให้เพราะเห็นว่าผู้กระทำไม่ได้มีความชั่วร้ายในการกระทำความผิด การลงโทษบุคคลดังกล่าวจึงไม่เกิดประโยชน์ ดังนั้นเหตุเกี่ยวกับความรู้ผิดชอบในการกระทำที่ยกเว้นโทษดังนี้
(1)การกระทำของเด็ก เด็กอายุไม่เกิน 14 ปี โดยแยกออกเป็นกรณีเด็กอายุไม่เกิน 7 ปี กระทำความผิดเด็กนั้นไม่ต้องรับโทษ ส่วนกรณีเด็กอายุ 7 ปีแต่ไม่เกิน 14 ปี กระทำความผิด เด็กนั้นไม่ต้องรับโทษ แต่ศาลมีอำนาจว่ากล่าวตักเตือนวางข้อกำหนดหรือคุมประพฤติเด็กนั้นได้
(2)ความบกพร่องทางจิต (คนวิกลจริต) ได้การที่ผู้กระทำได้ทำ
ลงไปในขณะที่ตนไม่สามารถรู้สึกผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้เพราะมีโรคจิตจิตบกพร่องหรือจิตฟั่นเฟือน
(3)ความมึนเมา โดยหลักแล้วความมึนเมาเพราะเสพสุราหรือของมึนเมาจะยกขึ้นแก้ตัวเพื่อให้ตนไม่ต้องรับโทษไม่ได้ เว้นแต่ความมึนเมานั้นได้เกินขึ้นโดยการไม่รู้ของผู้กระทำ กล่าวคือ ผู้เสพไม่รู้ว่าสิ่งนั้นจะทำให้มึนเมา หรือเพราะถูกขืนใจให้เสพและผู้นั้นกระทำผิดในขณะที่ไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้
3)เหตุเกี่ยวกับการเป็นสามีภริยา ความเป็นสามีภริยาที่จะได้รับยกเว้น
โทษนี้ต้องเป็นสามีภริยาที่จดทะเบียนสมรสโดยชอบด้วยกฎหมาย สามีภริยากระทำความผิดต่อกันในเรื่องทรัพย์ เช่นการลักทรัพย์ , วิ่งราวทรัพย์ ,ฉ้อโกง ซึ่งไม่เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส ถึงแก่ความตาย ผู้กระทำก็ไม่ต้องรับโทษ
1.3 การบังคับใช้ของกฎหมายอาญา
การบังคับใช้ของกฎหมายอาญานี้จะได้กล่าวถึงความหมายของโทษ และการกำหนดโทษ การใช้วิธีการเพิ่มความปลอดภัยและการระงับความผิดและโทษ ซึ่งจะอธิบายรายละเอียดดังนี้
1.3.1 โทษทางอาญา
โทษทางอาญา ที่จะใช้ลงโทษผู้กระทำความผิดมีอยู่ 5 ชนิดเท่านั้น หากผู้ใดกระทำความผิดอาญา เมื่อจะลงโทษผู้ลงโทษจะสรรหาวิธีการลงโทษแปลกๆมาลงโทษผู้กระทำความผิดไม่ได้ ต้องใช้โทษอย่างใดอย่างหนึ่งที่กฎหมายกำหนดไว้ลงโทษซึ่งเรียงจากโทษหนักไปหาโทษเบา คือ
1.โทษประหารชีวิต ได้แก่ การใช้วิธีการฉีดยาพิษให้ตาย
2.โทษจำคุก ได้แก่ การเอาตัวไปขังในเรือนจำ
3.โทษกักขัง ได้แก่ การเอาตัวไปกักขังหรือควบคุมไว้ในสถานที่กักขังซึ่งกำหนด
ไว้อันมิใช่เรือนจำ
4.โทษปรับ ได้แก่ การลงโทษด้วยการปรับให้ผู้กระทำจ่ายเงินให้แก่รัฐ
5.ให้ริบทรัพย์สิน ได้แก่ การลงโทษริบเอาข้าวของเงินทองของผู้กระทำความผิด
มาเป็นของรัฐ
ข้อสังเกต การลงโทษตามกฎหมายอาญานั้นมีจุดประสงค์ในการลงโทษ มี 4 ประการ คือ
1)เพื่อเป็นการปราบปรามโจรผู้ร้าย โดยทำโทษผู้กระทำผิดกฎหมายอาญาให้เป็นตัวอย่างเป็นเครื่องเตือนใจให้ผู้ร้ายรู้สำนึก
2)เพื่อเป็นการป้องกันมิให้ความผิดเกิดขึ้นอีก โดยการทำให้ผู้ร้ายไม่สามารถจะกระทำร้ายได้ต่อไป เช่น คำพิพากษาให้ลงโทษประหารชีวิตก็ย่อมทำให้ผู้รับโทษไม่สามารถกระทำความผิดอีกได้
3)เพื่อเป็นการดัดสันดานผู้ร้ายให้กลายเป็นคนดี ถ้าเด็กกระทำแต่ถ้ามีทางดัดสันดานได้ ศาลก็มีอำนาจที่จะไม่ลงโทษเด็กและส่งเด็กไม่ยังสถานฝึกอบรมแทนได้ ถ้าผู้ใหญ่กระทำผิดและเป็นความผิดเล็กน้อย ศาลก็จะรอการลงโทษได้
4)เพื่อชดใช้ความเสียหาย ไม่ใช่แต่ของผู้ถูกทำอันตรายเท่านั้นแต่เป็นการทำให้เหมาะสมกับความประสงค์และเป็นที่พอใจของสาธารณชนของสังคม
1.3.2 การกำหนดโทษทางอาญา
การกำหนดโทษต้องให้เหมาะสมกับความผิดและเหมาะสมแก่ตัวผู้กระทำความผิดจึงจะเกิดประโยชน์แก่สังคมส่วนรวมในการกำหนดโทษจึงต้องคำนึงถึงการกระทำและพฤติการณ์ต่างๆ ประกอบด้วยกันดังนี้
1. หลายบทหลายกระทง บุคคลคนเดียวอาจกระทำความผิดได้หลายฐาน ใน
การกระทำอันเดียวกันหรือหลายๆ การกระทำ ซึ่งสามารถแยกพิจารณาได้ 2 ลักษณะคือ
1)ความผิดหลายบท ได้แก่ กรณีเมื่อการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทการกระทำกรรมเดียวนี้อาจหมายถึงเจตนาเดียวและมีการกระทำเดียว ซึ่งเป็นความผิดต่อเนื่องกลายเป็นความผิดที่สำเร็จเด็ดขาดซึ่งผิดกฎหมายหลายฐานและผิดกฎหมายฐานเดียวหลายครั้ง
2)ความผิดหลายกรรมต่างกัน การจะเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันนั้น จะต้องเป็นการกระทำที่มีแสดงว่ามีเจตนาต่างกันซึ่งในการพิพากษากรณีการกระทำอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันกฎหมายให้ศาลพิพากษาโทษผู้กระทำความผิดทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป แล้วรวมโทษทุกกระทงเข้าด้วยกัน
2. เหตุเพิ่มโทษและเหตุลดโทษ เมื่อมีการกระทำความผิดเกิดขึ้นแล้ว การ
กำหนดโทษผู้กระทำจะต้องคำนึงถึงเหตุต่างๆ เกี่ยวกับตัวผู้กระทำด้วย เพื่อกำหนดโทษให้เหมาะสมกับตัวผู้กระทำความผิด ที่ศาลจะเพิ่มโทษหรือลดโทษถ้ามีเหตุ ดังนี้
1)เหตุเพิ่มโทษ ได้แก่ กรณีที่ต้องคำพิพากษาให้ลงโทษเพราะได้กระทำความผิดมาแล้ว ได้กระทำความผิดขึ้นอีกภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด เพื่อเป็นการควบคุม ข่มขู่ให้ผู้ที่พ้นโทษแล้วกลับมาทำความผิดอีก
2)เหตุลดโทษ ได้แก่ผู้กระทำความผิดมีได้หลายลักษณะ คือ
(1)การกระทำความผิดโดยทั่วไปที่ลดโทษ ได้แก่ ความไม่รู้กฎหมาย ความมึนเมา ความมีอายุน้อย ความเป็นญาติ การกระทำโดยป้องกันหรือจำเป็นเกินขอบเขต
(2)การกระทำความโดยเหตุแห่งบันดาลโทสะ ผู้ที่กระทำความผิดเพราะบันดาลโทสะนั้น กฎหมายลดโทษให้บ้างเพราะเห็นว่าผู้นั้นถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงโดยไม่เป็นธรรมและได้กระทำต่อผู้ที่เป็นต้นเหตุให้บันดาลโทสะนั่นเอง
3)เหตุบรรเทาโทษอื่น ได้แก่ ผู้กระทำความผิดเป็นผู้โฉดเขลา เบาปัญญาตกอยู่ในความทุกข์อย่างสาหัส มีคุณความดีมาแต่ก่อน รู้สึกความผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดนั้นลุแก่โทษต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาหรือเหตุอื่นที่ศาลเห็นว่ามีลักษณะทำนองเดียวกัน
ข้อสังเกต เหตุเพิ่มโทษและเหตุลดโทษนี้อาจมาจากเหตุส่วนตัวและเหตุในลักษณะคดี
3. วิธีการกำหนดโทษ เมื่อศาลได้พิจารณาความผิดแล้วจะกำหนดโทษผู้กระทำความผิดโดยมีเหตุที่อาจจะเพิ่มโทษ ลดโทษและรอการลงโทษเป็นขั้นตอนในการวางโทษให้เหมาะสมแก่ผู้กระทำความผิด ทั้งนี้เพื่อป้องกันสังคม และเพื่อเยียวยาแก้ไขผู้กระทำความผิดให้กลับเป็นคนดีเข้าอยู่ในสังคมได้โดยไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่ผู้อื่น ดังนี้คือ
1)การเพิ่มโทษหรือลดโทษ การเพิ่มโทษหรือลดโทษนี้ มี 2 ลักษณะคือ การเพิ่มโทษ หรือลดโทษตามอัตราโทษที่กฎหมายบัญญัติไว้
2)การรอการลงโทษหรือรอการกำหนดโทษ เป็นขั้นตอนสุดท้ายในกรณีที่ศาลวางโทษที่จะลงสำหรับผู้กระทำความผิดซึ่งไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนหรือแม้จะเคยต้องโทษจำคุกแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่กระทำโดยประมาท หรือลหุโทษ หลังจากลดหย่อนโทษแล้ว ถ้าผู้นั้นจะต้องจำคุกไม่เกิน 2 ปี เมื่อศาลใช้ดุลพินิจแล้วเห็นว่ามีเหตุอันควรปราณีให้โอกาสผู้นั้นกลับตัวมาเป็นคนดี เข้าอยู่ในสังคมได้โดยไม่ต้องจำคุก ก็อาจส่งรอการกำหนดโทษจะกำหนดเงื่อนไขคุมประพฤติด้วยหรือไม่ก็ได้
ข้อสังเกต นอกจากการเพิ่มโทษ การลดโทษการรอการกำหนดโทษหรือการรอการลงโทษแล้วในประมวลกฎหมายอาญายังกำหนดมีการเปลี่ยนโทษ ซึ่งกฎหมายให้ศาลทำได้ได้ 2วิธีคือ วิธีให้ยกเว้นโทษจำคุกเสียกับวิธีเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นโทษกักขัง
4. วิธีการเพื่อความปลอดภัย ในกรณีบุคคลที่อาจเป็นอันตรายต่อสังคม เช่น การเสพสุรา ยาเสพติด ซึ่งยังไม่กระทำความผิดหากปล่อยบุคคลเหล่านี้ไปเฉยๆ ก็อาจไปก่อความผิดขึ้นได้กฎหมายจึงกำหนดวิธีการเพื่อความปลอดภัย เพื่อป้องกัน หรือปรับปรุงแก้ไขบุคคลเหล่านี้ มีอยู่ด้วยกัน 5 ประการ คือ กักกัน ห้ามเข้าเขตกำหนดเรียกประกันทัณฑ์บน คุมตัวไว้ในสถานพยาบาลและห้ามประกอบอาชีพบางอย่าง การบังคับใช้วิธีการเพื่อความปลอดภัย
ข้อสังเกต วิธีการเพื่อความปลอดภัยนี้ไม่ใช่โทษผู้ที่ถูกใช้วิธีการดังกล่าว จึงไม่ถือว่าเป็นผู้ได้รับโทษและนำไปใช้ย้อนหลังได้ ซึ่งก็อาจทำให้เกิดข้อคิดว่าหากมีการนำวิธีการนี้ไปใช้อย่างกว้างขวางแล้วอาจกระทบกระเทือนเสรีภาพของบุคคลได้เพราะวิธีการบางอย่าง
1.3.3 การระงับความผิดและโทษทางอาญา
ความผิดอาญาและโทษทางอาญาย่อมระงับไปด้วยเหตุต่างๆ เช่นเมื่อมีกฎหมายออกมายกเลิกการกระทำความผิดนั้น (โปรดดูการยกเลิกกฎหมายที่ได้อธิบายไว้แล้วในบทที่7) ยกเว้นโทษนั้นหรือเมื่อขาดอายุความ เป็นต้น ประมวลกฎหมายได้กำหนดในเรื่อง การระงับความผิดและโทษไว้ดังนี้
1. ความตายของผู้กระทำความผิด เมื่อผู้กระทำความผิดตายโทษทั้งหลายก็เป็นอันระงับไป
2. การยอมความ ในความผิดอันยอมความได้ คือความผิดส่วนตัว ซึ่งหมายถึงความผิดทางอาญาที่ไม่ได้มีผลร้ายกระทบต่อสังคมโดยตรง หากตัวผู้รับผลร้ายไม่ติดใจเอาความแล้วรัฐก็ไม่อาจยื่นมือเข้าไปดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดได้และถึงแม้จะได้ดำเนินคดีไปบ้างแล้ว เมื่อตัวผู้เสียหายพอใจยุติคดีเพียงใดก็ย่อมทำได้ด้วยการถอนคำร้องทุกข์ ถอนฟ้องหรือยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย
ข้อสังเกต ในคดีอาญาความผิดอาญามีการแบ่งความผิดส่วนตัวแล้ว จะมีการแบ่งความผิดต่อแผ่นดิน ซึ่งหมายถึง ความผิดในทางอาญาเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่นอกจากจะมีผลต่อตัวผู้รับผลร้ายยังมีผลกระทบต่อสังคมอีกด้วย คือทำให้บุคคลที่อยู่ในสังคมเกิดความหวาดกลัวว่าสักวันเหตุการณ์นั้นอาจจะเกิดขึ้นกับตนก็ได้ รัฐจึงจำเป็นต้องป้องกันสังคมเอาไว้ด้วยการยื่นมือเข้ามาเป็นผู้เสียหายเอง ซึ่งประมวลอาญาได้กำหนดไว้ว่าอะไรเป็นความผิดส่วนตัวที่ยอมความได้กับความผิดต่อแผ่นดินอันยอมความไม่ได้
3. อายุความ การฟ้องหรือการลงโทษผู้กระทำความผิดอาญาต้องกระทำภายในขอบเขตอายุความ อายุความฟ้องคดีมี 3 ประเภทดังนี้ คือ
1)อายุความฟ้องคดีทั่วไป มี 5 ระดับ คือ 20 ปี, 15 ปี, 10 ปี, 5 ปี และ1 ปี
2)อายุความฟ้องคดีความอิดอันยอมความได้ต้องร้องทุกข์ภายใน 3 เดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องและรู้ตัวผู้กระทำความผิดและภายในอายุความทั่วไป
3)อายุความฟ้องขอให้กักกัน จะฟ้องไม่พร้อมกันการฟ้องคดีอันเป็นมูลให้เกิดเหตุกักกัน
2. กฎหมายอาญาภาคความผิด
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามีหลายลักษณะ แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะลักษณะความผิดที่มีผลกระทบต่อประชาชนและเป็นคดีไปสู่ศาลมากน้อยตามลำดับ ดังนี้ คือ
2.1 ความผิดที่เกี่ยวกับรัฐและความสงบสุขของส่วนรวม
ความผิดที่เกี่ยวกับรัฐและความสงบสุขส่วนรวมเป็นความผิดสาธารณะเราสามารถแยกพิจารณาศึกษาทำความเข้าใจได้ดังนี้คือ
2.1.1 ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ
ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ ได้แก่ การกระทำความผิดที่มีผลกระทบของประเทศชาติบ้านเมืองหรือความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านหรือต่างประเทศหากปล่อยให้มีการกระทำความผิดประเภทนี้เกิดขึ้น ทำให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวายไม่สงบ เช่น
1. การคิดร้ายทำลายสถาบันกษัตริย์ ไม่ว่าด้วยการใช้กำลังทำร้ายหรือดูหมิ่น
เหยียดหยามด้วยวิธีการใดๆหรือแม้เพียงแต่ตระเตรียมจะทำก็เป็นความผิด
2. การคิดร้ายทำลายผู้แทนของประเทศเพื่อนบ้านหรือต่างประเทศที่มีไมตรีกับประเทศไทย
3. การคิดร้ายต่อประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการตั้งตัวเป็นกบฏล้มล้างรัฐธรรมนูญแบ่งแยกดินแดน หรือก่อกวนให้เกิดความไม่สงบ ยุยงให้เกิดความบาดหมางระส่ำระสายในประเทศหรือการเข้าไปอยู่ฝ่ายรัฐคู่สงครามกับรัฐไทย
2.1.2 ความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชน
ความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชนได้แก่ ความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น ทำลายทางสาธารณะหรือสัญญาณไฟ ไปรษณีย์ โทรเลข โทรศัพท์ ปลอมปนอาหาร ยา เครื่องอุปโภค บริโภค ก่ออันตรายแก่ยานพาหนะ หรือเครื่องสัญญาณไฟการจราจร เป็นต้น
2.1.3 ความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน
ความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน ได้แก่ความผิดเกี่ยวกับการเหยียดหยามศาสนา เป็นอั้งยี่ โดยสมคบกันจัดตั้งเป็นองค์การเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายหรือเป็นช่องโจร โดยสมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิด
2.1.4 ความผิดเกี่ยวกับเจ้าพนักงาน
ความผิดเกี่ยวกับเจ้าพนักงานเป็นเรื่องที่กำหนดความผิดที่ประชาชนกระทำต่อเจ้าพนักงานและเจ้าพนักงานกระทำผิดต่อตำแหน่งของตน ดังนี้ คือ
1. ความผิดที่ประชาชนกระทำต่อเจ้าพนักงานที่กระทำตามกฎหมายของประเทศ ซึ่งส่งผลให้เกิดความเสื่อมเสียแก่ประเทศ ซึ่งประชาชนส่วนรวมย่อมได้รับความเดือดร้อน หรือเรียกว่าความผิดเกี่ยวกับการปกครอง
1)การดูหมิ่นเจ้าพนักงาน
2)การต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน
3)การติดสินบนเจ้าพนักงาน เป็นต้น
2. ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการของเจ้าพนักงาน ได้แก่ การกระทำ
ความผิดที่ผู้กระทำเป็นผู้มีตำแหน่งหน้าที่ เป็นเจ้าพนักงานของรัฐอาศัยโอกาสและตำแหน่งหน้าที่กระทำความผิดเสียเอง จำต้องรับโทษหนักกว่าการที่บุคคลทั่วไปกระทำความผิด เช่น
1)เจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ของทางราชการ
2)เจ้าพนักงานรับสินบน
3)เจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยไม่ชอบ
4)เจ้าพนักงานทุจริตต่อหน้าที่
5)เจ้าพนักงานละทิ้งหน้าที่ เป็นต้น
2.2 ความผิดเกี่ยวกับชีวิต ร่างกาย และเสรีภาพของผู้อื่น
มนุษย์ทุกคนย่อมมีสิทธิในตัวเองเกี่ยวกับชีวิตร่างกายที่ได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมาย หากแต่เมื่อผู้ใดผู้นั้นเข้าไปเกี่ยวข้องกับการฆ่าหรือทำร้ายร่างกายผู้อื่นย่อมเป็นความผิด ซึ่งได้แก่ การฆ่าคนตาย การทำร้ายผู้อื่น และการทอดทิ้งเด็ก คนป่วย คนชรา ซึ่งอาจแยกพิจารณาได้ดังนี้คือ
2.2.1 ความผิดฐานฆ่าคนตาย
การฆ่าคนตายไม่ว่าด้วยวิธีใดๆ และจะได้ทำลงโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ย่อมมีความผิด ซึ่งจะต้องรับโทษมากหรือน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับการกระทำของผู้นั้น
ข้อสังเกต ความผิดฐานฆ่าคนตายที่ต้องรับโทษหนักกว่าการฆ่าผู้อื่นโดยทั่วๆไปหรือการทำให้คนตาย คือ
1.การฆ่า บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย
2.ฆ่าเจ้าพนักงานหรือผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานตามกฎหมาย
3.ฆ่าผู้อื่นโดยการไตร่ตรองไว้ก่อน
4.ฆ่าเพื่อกระทำความผิดอย่างอื่นเพื่อปกปิดความผิด
2.2.2 ความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น
การทำร้ายร่างกาย คือ การทำผู้อื่นให้ได้รับความเจ็บปวดทรมาน โดยตนเองไม่มีสิทธิจะทำได้ ผลจากการทำร้ายที่นั้นความหนักเบาไม่เท่ากันย่อมจะส่งผลถึงการลงโทษผู้กระทำ ซึ่งแบ่งผลของการทำร้ายร่างกาย ออกได้ 4 ระดับตามความหนักเบา คือ
1. ทำร้ายไม่เป็นอันตรายแก่ร่างกาย เช่น ตบหน้า 1 ที ไม่มีแผลเป็นความผิดลหุโทษลงโทษเปรียบเทียบปรับได้
2. ทำร้ายเป็นอันตรายแก่ร่างกาย เช่น ตบหน้าจนบวมช้ำ บาดแผลรักษาไม่เกิน 20 วัน เป็นต้น
3. ทำร้ายเป็นอันตรายสาหัส เช่น ตบหน้าจนหูหนวก เป็นต้น
4. ทำร้ายจนถึงตาย เช่น ซึ่งเป็นการทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย เช่นต่อยหน้าเขาล้มหัวฟาดพื้น เป็นต้น
ข้อสังเกต การทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัส ที่มีบาดแผลรักษาเกินกว่า 20 วัน หรือถึงตาย เป็นคดีที่เป็นความผิดต่อแผ่นดินยอมความกันไม่ได้ และเปรียบเทียบปรับไม่ได้
2.2.3 ความผิดฐานทอดทิ้งเด็ก คนป่วย หรือคนชรา
การทอดทิ้งคนซึ่งไม่สามารถช่วยตนเองได้ เช่น เด็กเล็กอายุไม่เกิน 9 ขวบ คนป่วย คนพิการ คนแก่ คนชรา ซึ่งต้องอาศัยคนช่วยเหลือ ซึ่งหากญาติพี่น้องทอดทิ้งไม่สนใจ ใยดีอาจทำให้คนเหล่านี้ อดอยาก หิวโหย และอาจถึงตายได้ ดังนั้นกฎหมายจึงเอาผิดต่อญาติพี่น้อง ซึ่งมีหน้าที่ดูแล แล้วทอดทิ้งคนเหล่านี้ด้วย
2.2.4 ความผิดต่อเสรีภาพและชื่อเสียง
ความผิดต่อเสรีภาพและชื่อเสียง ได้แก่การข่มขู่ให้ผู้อื่นกระทำการหรือไม่กระทำการหรือยอมจำนนต่อสิ่งใดโดยให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขู่ หรือบุคคลที่สาม หรือหน่วงเหนี่ยว กักขังผู้อื่นโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เรียกค่าไถ่ พรากผู้เยาว์ ล่อลวงผู้เยาว์ไปเพื่อการค้าหากำไรหรือเพื่ออนาจารทั้งที่ผู้เยาว์เต็มใจและไม่เต็มใจ ตลอดจนความผิดข่มขืนกระทำชำเรา และการเป็นแมงดา แม่เล้าด้วย ความผิดฐานเปิดเผยความลับ ซึ่งอาจได้มาเพราะวิชาชีพ เช่น เป็นแพทย์ เภสัชกร หรือทนายความ ความผิดฐานหมิ่นประมาท เป็นต้น
2.2.5 ความผิดเกี่ยวกับเพศ
การกระทำความผิดเกี่ยวกับเพศ ได้แก่ การกระทำให้เกิดความเสื่อมเสียในทางเพศ แก่ผู้อื่น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเด็กสาวหรือหญิงสาวแต่บางความผิดอาจเป็นผู้ชาย หรือคนชราก็ได้
1. ความผิดที่กระทำต่อหญิงโดยเฉพาะความผิดที่กระทำต่อหญิงโดยเฉพาะ เราสามารถแยกพิจารณาทำเข้าใจได้ดังนี้ คือ
1)การข่มขืน ร่วมประเวณีกับผู้หญิงซึ่งไม่ใช่ภริยาตนโดยหญิงนั้นไม่
ยินยอม
2)การร่วมประเวณีกับเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปีมีความผิด ไม่ว่า
เด็กหญิงนั้นยินยอมหรือไม่ก็ตาม
3)พาหญิงไปเพื่อการอนาจารหรือการล่วงเกินทางเพศแต่ไม่ถึงขนาด
ร่วมประเวณี โดยหญิงไม่ยินยอม
4)เป็นคนกลางพาหญิงไป เพื่อให้ผู้อื่นทำอนาจารไม่ว่าหญิงจะสมัครใจ
หรือไม่
5)เป็นแมงดา เกาะผู้หญิงเขากิน หรือให้ผู้หญิงที่ค้าประเวณีเลี้ยงดู
2. ความผิดที่กระผิดต่อคนทั่วไปความผิดที่กระทำต่อคนทั่วไปเราสามารแยก
อธิบายได้ดังนี้ คือ
1)ทำอนาจารหญิงหรือชายโดยเขาไม่ยินยอม
2)ทำอนาจารเด็กหญิงหรือเด็กชายอายุไม่เกิน 14 ปี
3)การค้าวัตถุลามก
2.3 ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์
ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์สามารถแยกพิจารณาได้ดังนี้
2.3.1 ความผิดฐานลักทรัพย์
การลักทรัพย์ ได้แก่การเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยเจตนาเอาไปเป็นของตน โดยเจ้าของทรัพย์ไม่ยินยอมให้เอาไปหรือเจ้าของทรัพย์ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจให้เอาไป เช่น ล้วงเอาเงินในกระเป๋าของผู้อื่น เป็นต้น
2.3.2 วิ่งราวทรัพย์
การวิ่งราวทรัพย์ ได้แก่การลักทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยใช้กริยาฉกฉวยเอาของนั้นไปซึ่งหน้าของเจ้าของทรัพย์ เช่น ใช้มือกระชากสร้อยคอของผู้อื่นที่เขาสวมใสอยู่ที่คอไปโดยเร็วเป็นต้น
2.3.3 ความผิดฐานการชิงทรัพย์
การชิงทรัพย์ ได้แก่การลักทรัพย์ของผู้อื่น โดยผู้ลักได้ใช้กำลังประทุษร้าย (ทำร้าย) เจ้าของทรัพย์หรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย(ทำร้าย) นั้นก็เพื่อ
1. ให้เกิดความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป
2. เพื่อให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น
3. เพื่อยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้
4. เพื่อปกปิดการกระทำผิดนั้น
5. เพื่อให้พ้นจากการจับกุม
2.3.4 ความผิดฐานปล้นทรัพย์
การปล้นทรัพย์ ได้แก่การชิงทรัพย์ของผู้อื่น โดยคนร้ายที่ร่วมกันทำการชิงทรัพย์นั้นต้องมีตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป หากคนร้ายที่ทำการชิงทรัพย์นั้นไม่ถึง 3 คน ก็ไม่เป็นการปล้นทรัพย์
ข้อสังเกต การกระทำความผิดเช่นไรเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ ชิงทรัพย์และปล้นทรัพย์ เราสามารถพิจารณาให้เข้าใจ ดังนี้ คือ
1.ความผิดลักทรัพย์ คือการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริตโดยไม่มีการใช้กำลังทำร้ายคนร้ายจะมีกี่คนไม่สำคัญ
2. ความผิดวิ่งราวทรัพย์ คือการลักทรัพย์ผู้อื่นโดยการฉกฉวยทรัพย์นั้นไปต่อหน้าไม่มีการใช้กำลังทำร้าย
3.ความผิดฐานชิงทรัพย์ คือการลักทรัพย์โดยมีการใช้กำลังประทุษร้ายหรือทำร้ายหรือขู่เข็ญ ว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย คนร้ายจะต้องไม่เกิน 3 คน
4. ความผิดปล้นทรัพย์ คือ การชิงทรัพย์โดยคนร้ายจะต้องมีตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปถ้าไม่ถึง 3 คนไม่เป็นการปล้นทรัพย์
2.3.5 ความผิดฐานการยักยอกทรัพย์
การยักยอกทรัพย์ ได้แก่ การที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดได้ทรัพย์ของบุคคลอื่นมาไว้ในความครอบครองของตน เช่น มีคนเอาของมาฝากหรือรับทรัพย์ไว้เพราะมีหน้าที่ต้องรับแล้วเบียดบังทรัพย์นั้นไว้เป็นของตนหรือบุคคลอื่นเสียเช่นนี้เป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์
อนึ่งการเก็บของทรัพย์ที่หล่นหายเอาเป็นของตนถือว่าเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ของหล่นหาย
2.3.6 ความผิดฐานการฉ้อโกงทรัพย์
การฉ้อโกงทรัพย์ ได้แก่ การกระทำความผิดโดยใช้วิธีหลอกลวงคนอื่น ไม่ว่าการหลอกลวงนั้นกระทำโดยการพูดการแสดงออกโดยท่าทางหรือโดยพฤติการณ์ก็ตาม โดยผู้กระทำ (ผู้หลอกลวง) นั้นมีเจตนาจะให้ทรัพย์สินไปจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทำถอนหรือทำลายเอกสิทธิและจากการหลอกลวงดังกล่าวทำให้ผู้กระทำ(ผู้หลอกลวง) ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ที่ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามหรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทำถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ
อนึ่งการฉ้อโกงทรัพย์จะมีลักษณะความผิดอันยอมความได้ ถือเป็นความผิดส่วนตัว แต่ถ้าฉ้อโกงทรัพย์ 10 คนขึ้นไปที่เรียกว่าฉ้อโกงประชาชนจะเป็นความผิดต่อแผ่นดินจะยอมความไม่ได้
2.3.7 ความผิดฐานรับของโจร
การรับของโจรเป็นความผิดอาญา ซึ่งนอกจากผู้รับของโจรจะต้องคืนข้าวของให้แก่เจ้าของที่แท้จริงโดยไม่ได้ค่าตอบแทน ซึ่งมีความผิดและมีโทษมีความผิดฐานรับของโจร
ลักษณะสำคัญของการรับของโจร เราอาจพิจารณาทำความเข้าใจ ได้ดังนี้ คือ
1.รู้ว่าของสิ่งนั้นเป็นของโจร หรือของที่ได้มาโดยผิดกฎหมาย คือมาจากการลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอกหรือเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ แล้วรับเอาทรัพย์ไว้
2. มีการเข้าไปเกี่ยวข้องกับทรัพย์สิ่งของผิดกฎหมายโดยตรง ด้วยการรับซื้อไว้ รับฝาก รับจำนำ รับดูแลหรือรับไว้ด้วยวิธีใดๆ
3.การเข้าไปเกี่ยวข้องกับทรัพย์สิ่งของกฎหมายนั้นด้วยการช่วยหาที่ซ่อนให้ ช่วยขาย ช่วยหาคนซื้อ จำหน่ายจ่ายแจก แลกเปลี่ยน เป็นต้น
2.3.8 ความผิดฐานบุกรุก
การบุกรุก คือการเข้าไปรบกวน หรือเข้าไปอยู่อาศัยในบ้านที่อยู่อาศัยของคนอื่นโดยผู้บุกรุกเองไม่มีสิทธิที่จะทำเช่นนั้น และเจ้าของเขาไม่ยินยอมให้ทำเช่นนั้น ซึ่งได้แก่
1. เข้าไปรบกวนเขา เช่น เข้าไปขโมยของ เข้าไปตัดฟันต้นไม้ใบหญ้าของเขา เข้าไปเกะกะที่ทางของผู้อื่น เป็นต้น
2. เข้าไปอยู่อาศัย เช่น เข้าไปปลูกบ้านอยู่อาศัยในเขตป่าสงวน การเข้าไปปลูกบ้านหรือทำกินในเขตการรถไฟ เข้าไปทำนาในที่ทางของเขา เป็นต้น
3. ภาค 3 ความผิดลหุโทษ
ความผิดลหุโทษภาค 3 นี้เราแยกพิจารณา คือลักษณะสำคัญของความผิดลหุโทษ ความผิดลหุโทษในฐานต่างๆ และข้อสังเกตความผิดลหุโทษ
3.1 ลักษณะสำคัญของความผิดลหุโทษ
ความผิดลหุโทษมีลักษณะสำคัญ ดังนี้ คือ
1.ความผิดลหุโทษเป็นที่มีโทษเบากว่าความผิดอื่นเป็นความผิดเล็กน้อยที่กฎหมายระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
2.แม้การกระทำโดยไม่เจตนาก็เป็นความผิด
3.ผู้ใดพยายามกระทำความผิดลหุโทษไม่ต้องรับโทษ
4.ผู้สนับสนุนในความผิดลหุโทษไม่ต้องรับโทษ
5.ผู้ที่ถูกจำคุกในความผิดลหุโทษมาแล้วและกระทำความผิดอื้นขึ้นอีก ไม่ห้ามที่ศาลเปลี่ยนโทษจำคุกในคดีหลังเป็นกักขัง ไม่ห้ามที่ศาลจะรอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษ และไม่ให้นำความผิดลหุโทษมาบวกกับโทษที่กำหนดไว้ก่อนหรือลงโทษที่รอไว้
6.ความผิดลหุโทษไม่ใช่ต่อส่วนตัว เมื่อพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนแล้วพนักงานอัยการย่อมมีอำนาจฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาตามมาตรา 120
3.1 ความผิดลหุโทษในฐานความผิดต่างๆ
ความผิดลหุโทษในฐานความผิดต่างๆมีดังนี้ คือ เมื่อเจ้าพนักงานถามชื่อที่อยู่เพื่อปฏิบัติตามกฎหมายไม่ยอมบอกหรือแกล้งบอกชื่อที่อยู่อันเป็นเท็จ , ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานที่ชอบด้วยกฎหมาย , ทำให้สิ่งที่เจ้าพนักงานปิด-แสดงไว้เสียไป , ส่งเสียง-กระทำอื้ออึงโดยมีเหตุอันควร,พาอาวุธไปในที่ชุมชน,ทะเลาะกันในทางสาธารณะหรือสาธารณะสถาน, ปละปล่อยละเลยบุคคลวิกลจริต, ไม่ช่วยผู้อยู่ในภยันตรายแห่งชีวิต, ทำให้สิ่งระบายสาธารณะขัดข้อง, ยิงปืนในที่ชุมชนโดยใช้ดินระเบิด, ปล่อยปละละเลยสัตว์ดุหรือสัตว์ร้าย, เมาครองสติไม่ได้-ประพฤติวุ่นวายในถนนสาธารณ-สาธารณสถาน,ชัก-แสดงอาวุธในการวิวาทต่อสู้ ทำให้เกิดปฏิกูลในที่น้ำขัง,ทารุณสัตว์-ฆ่าสัตว์ให้รับทุกขเวทนา ใช้สัตว์ทำงานเกินควรไม่ช่วยเมื่อเพลิงไหม้-สาธารณะภัยอื่น ,บอกกล่าวความเท็จให้ประชาชนตกใจ กีดขวางทางสาธารณะโดยไม่จำเป็น, ปัก-วางสิ่งเกะกะ-ไม่แสดงสัญญาณในทางสาธารณะ,ติดตั้งสิ่งของที่อาจตก-พังลงในทางสาธารณะ,กระทำการอันควรขายหน้าโดยเปลือย-ลามกต่อสาธารณะกำนัล, ทำให้ของแข็งตก-ให้ของโสโครกเปรอะเปื้อน,กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ,ใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ, ทำให้ผู้อื่นกลัว-ตกใจโดยการขู่เข็ญ,ดูหมิ่นซึ่งหน้าหรือด้วยโฆษณา,ไล่ต้อนสัตว์เข้าไปสวน-ไร่นาของผู้อื่น,ปล่อยปละละเลยให้สัตว์เข้าสวน-ไร่-นาผู้อื่น, ทิ้งซากสัตว์ซึ่งอาจเน่าเหม็นในทางสาธารณะหรือริมทางสาธารณะ,ข่มเหงทำให้ผู้อื่นอับอายเดือดร้อนรำคาญ ,ทารุณเด็ก คนป่วย คนชรา การกระทำดังกล่าวล้วนเป็นความผิดลหุโทษที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายอาญา
3.2 ข้อสังเกตเกี่ยวกับการกระทำความผิดลหุโทษ
การกระทำความผิดลหุโทษมีข้อสังเกตมีดังนี้ คือ
1. เป็นความผิดที่แม้กระทำโดยไม่มีเจตนาก็เป็นความผิดซึ่งต่างกับหลักของกฎหมายอาญาทั่วไป คือ บุคคลต้องรับผิดในทางอาญา ก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่ตามบทบัญญัตินี้จะมีบทบัญญัติว่าผู้กระทำต้องมีเจตนา
2. การเพิ่มโทษ ความผิดลหุโทษนั้นว่าจะได้กระทำในครั้งก่อนหรือหลังไม่ถือว่าเป็นความผิดเพื่อเพิ่มโทษ
3. การพยายามกระทำความผิด ผู้ใดพยายามกระทำความผิดลหุโทษผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ
4. ผู้สนับสนุน ในความผิดลหุโทษไม่ต้องรับโทษ
5. ความผิดลหุโทษ ไม่ต้องห้ามในการที่ศาลจะพิจารณารอการกำหนดโทษหรือการรอการลงโทษ
หนังสือและเอกสารอ่านประกอบเพิ่มเติม
ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ์ “หลักกฎหมายอาญาภาคทั่วไป”กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์วิญญูชน,2546
หยุด แสงอุทัย “กฎหมายอาญาภาค 1”กรุงเทพฯ:มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ตัวการ คือ 在 sittikorn saksang Facebook 的最佳解答
หลักกฎหมายเกี่ยวกับการทำธุรกิจ
รศ.สิทธิกร ศักดิ์แสง
คณะนิติศาสตร์ มหาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ผู้เขียนแยกหลักการใช้กฎหมายในประมวลกฎหมาแพ่งและพาณิชย์ ออกเป็น 2 เรื่อง เพื่อให้ได้เข้าใจถึงหลักกฎหมายเอกชน คือ หลักการใช้กฎหมายแพ่งและหลักการใช้กฎหมายพาณิชย์ แต่ในส่วนนี้เขียนจะขออธิบายหลักกฎหมายเกี่ยวกับการทำธุรกิจ
1.หลักกฎหมายเกี่ยวบุคคล ทรัพย์สิน หนี้ ในการทำธุรกิจ
หลักกฎหมายว่าด้วยบุคคล
หลักกฎหมายแพ่งในเรื่องบุคคลและครอบครัวผู้เขียนเห็นว่าน่าจะอยู่ในเรื่องเดียวกันเกี่ยวข้องกันมากจึงได้กำหนดไว้ในหัวข้อเดียวกัน เพื่อสะดวกในการอธิบายและทำความเข้าใจถึงหลักกฎหมายของไทยและในต่างประเทศที่เราได้รับอิทธิพลแนวคิดหลักกฎหมายตั้งแต่การปฏิรูป การปกครองสมัยรัชกาลที่ 5
1. หลักกฎหมายว่าด้วยบุคคล
บุคคล หมายถึงสิ่งที่สามารถมีสิทธิและหน้าที่ได้ตามกฎหมายซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือบุคคลธรรมดา กับ นิติบุคคล
1. บุคคลธรรมดา คือ มนุษย์ทั้งปวงไม่จำกัดเพศ อายุ ฐานะ สติปัญญาและ
สภาพร่างกาย ซึ่งถือว่าล้วนแล้วแต่สามารถมีสิทธิหน้าที่ตามกฎหมายด้วยทั้งสิ้น สิ่งที่เรา
ต้องศึกษาเกี่ยวกับบุคคลธรรมดา มีดังนี้
1)สภาพบุคคล สำหรับคนธรรมดามีสภาพบุคคลเริ่มตั้งแต่เมื่อคลอดแล้ว
อยู่รอดเป็นทารกและสิ้นสุดเมื่อตาย ทารกในครรภ์มารดาก็สามารถมีสิทธิต่างๆได้ หากว่าภายหลังคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก
2)ความสามารถของบุคคล หมายความถึง ความสามารถที่บุคคลจะใช้สิทธิตามกฎหมายที่มีกฎหมายรับรองไว้ว่าผู้นั้นจะใช้สิทธิได้ตามลำพังตนเองหรือถูกจำกัดในการใช้สิทธิเพราะเป็นผู้หย่อนความสามารถ ผู้หย่อนความสามารถ ได้แก่ ผู้ที่ไม่อาจใช้สิทธิได้ตามปกติ เช่นบุคคลทั่วไปมี 3 ประเภท ได้แก่ ผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ และคนเสมือนไร้ความสามารถ
(1)ผู้เยาว์ ได้แก่ ผู้มีอายุไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ถือว่ายังไม่บรรลุ
นิติภาวะแต่ผู้เยาว์บรรลุนิติภาวะเมื่อทำการสมรสโดยการจดทะเบียน เมื่อชายและหญิงมีอายุครบ 17 ปี โดยได้รับการยินยอมจากบิดา มารดาหรือผู้ปกครอง ก็จะหลุดพ้นการเป็นผู้หย่อนความสามารถ
การทำนิติกรรมของผู้เยาว์ ผู้เยาว์ทำนิติกรรมโดยลำพังไม่ได้เว้นแต่นิติกรรมบางประเภทที่ผู้เยาว์ทำได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมเสียก่อน เช่น การทำพินัยกรรมเมื่ออายุครบ 15 ปี (ถ้าทำอายุต่ำกว่า 15 ปีเป็นโมฆะ) การทำนิติกรรมอันสมควรแก่ฐานานุรูปและจำเป็นในการเลี้ยงชีพเป็นต้น
ข้อสังเกต ในทางกฎหมายผู้ที่ให้รับรองหรือการยินยอมการทำนิติกรรมของผู้เยาว์จะมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ
ผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้เยาว์ต้องมีผู้แทนโดยชอบธรรม ซึ่งได้แก่ บิดา มารดา ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ผู้ใช้อำนาจปกครอง เป็นผู้มีอำนาจ หน้าที่ในการทำนิติกรรมต่างๆ แทนผู้เยาว์หรือให้ความยินยอมในการทำนิติกรรม แต่นิติกรรมที่สำคัญบางประเภทต้องให้ศาลอนุญาต ด้วยเช่น การขาย ขายฝาก จำนองอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
ผู้ปกครอง คือ ผู้อื่นที่มิใช่บิดา มารดาของผู้เยาว์ แต่เป็นผู้ดูแลหรือผู้ปกครองผู้เยาว์จะมีผู้ปกครองก็ต่อเมื่อไม่มีบิดา มารดา หรือบิดามารดาถูกถอนอำนาจปกครอง ผู้ปกครองเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ เช่นเดียวกับบิดา มารดา
นิติกรรมที่ผู้เยาว์ทำเองไปโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมเป็นโมฆียะ บิดา มารดาผู้ใช้อำนาจปกครองหรือผู้ปกครองซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมมีอำนาจบอกล้างได้ ทำให้นิติกรรมนั้นเป็นโมฆะไม่มีผลในกฎหมาย แต่อย่างไรก็ตามการบอกล้างนิติกรรมนี้ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกที่ได้ทรัพย์มาโดยมีค่าตอบแทนและโดยสุจริต
(2)คนไร้ความสามารถ คือคนวิกลจริตหรือคนบ้าที่มีผู้ร้องขอให้ศาลสั่งให้เป็นบุคคลไร้ความสามารถ ทำให้มีผลในกฎหมายคือไม่สามารถทำนิติกรรมใดได้เลย ถ้าทำลงไปเป็นโมฆียะ บุคคลไร้ความสามารถต้องมีผู้อนุบาลเป็นผู้ดูแลหรือทำนิติกรรมแทน เป็นผู้ปกครองดูแลอุปการะเลี้ยงดูบุคคลไร้ความสามารถ ได้แก่ บิดา มารดา สามีภรรยา ผู้สืบสันดาน เป็นต้น ซึ่งการที่จะเป็นคนไร้ความสามารถได้นั้นจะต้องมีคำสั่งของศาลเสมอ
(3)คนเสมือนไร้ความสามารถ คือผู้ที่มีความบกพร่องอย่าง
หนึ่งอย่างใด ใน 5 ประการ คือ กายพิการ จิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ ติดสุรายาเมา
ประพฤติสุรุ่ยสุร่ายเสเพลเป็นอาจิณ หรือ มีเหตุอื่นใดในทำนองเดียวกันนั้นและเหตุบกพร่องดังกล่าวทำให้ไม่สามารถจัดทำการงานของตนเองได้ หรือจัดกิจการไปในทางที่อาจจะเสื่อมเสียแก่ทรัพย์สินของตนเองหรือครอบครัว ผู้มีส่วนได้เสีย เช่น บิดา มารดา สามีภรรยา ผู้สืบสันดาน ลูกหลาน เหลน ลื่อ ร้องขอต่อศาลให้สั่งเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ ซึ่งจะต้องอยู่ในความพิทักษ์ของผู้พิทักษ์
ข้อสังเกต ผู้พิทักษ์มิใช่เป็นผู้ทำนิติกรรมแทนคนเสมือนไร้ความสามารถ จึงแตกต่างจากผู้อนุบาลคนไร้ความสามารถ ซึ่งมีอำนาจทำนิติกรรมได้ทุกกรณี ผู้พิทักษ์มีหน้าที่เพียงให้ความยินยอม แต่คนเสมือนไร้ความสามารถในการทำนิติกรรมที่สำคัญบางประเภทที่กฎหมายกำหนดไว้ เช่น นำทรัพย์สินไปลงทุน กู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน เช่าหรือให้เช่าอสังหาริมทรัพย์มีกำหนดเวลาเกินกว่า 3 ปี หรือ เช่าอสังหาริมทรัพย์เกิน 6 เดือน รับประกันโดยประการใดๆ อันมีผลให้ตนต้องถูกบังคับชำระหนี้ ให้โดยเสน่หา ต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปเพื่อการกุศล การสังคมหรือตามหน้าที่จรรยา เสนอคดีต่อศาลประนีประนอมยอมความ เป็นต้น
การทำนิติกรรมของคนเสมือนไร้ความสามารถทำได้ตามลำพังนิติกรรมมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย เว้นแต่นิติกรรมบางประเภทที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้นจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ ถ้าไม่ได้รับความยินยอมนิติกรรมนั้นเป็นโมฆียะทำให้บอกล้างได้ ส่วนในเรื่องการทำพินัยกรรม สามารถทำได้สมบูรณ์ เพราะไม่มีกฎหมายห้ามไว้
3)ภูมิลำเนาของบุคคล ภูมิลำเนา ได้แก่ การที่บุคคลนั้นมีสถานที่อยู่เป็นสำคัญ การมีภูมิลำเนามีประโยชน์ต่อบุคคล เช่นการมีสิทธิหรือการใช้สิทธิตามกฎหมาย ได้แก่ การเลือกตั้ง สมัครรับเลือกตั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น การส่งหมายเรียก การฟ้องคดี เป็นต้น สำหรับบุคคลที่กฎหมายกำหนดให้เป็นผู้หย่อนความสารถมีภูมิลำเนา คือ
(1)ผู้เยาว์ ได้แก่ภูมิลำเนาของผู้แทนโดยชอบธรรม
(2)คนไร้ความสามารถ ได้แก่ภูมิลำเนาของผู้อนุบาล
(3)คนเสมือนไร้ความสามารถมีภูมิลำเนาของตนเองต่าง
หากจากผู้พิทักษ์ สามีและภรรยา ได้แก่ การที่สามีและภรรยาอยู่กันด้วยกันฉันสามีภรรยาเว้นแต่ สามีหรือภรรยา ได้แสดงเจตนาให้ปรากฏว่าภูมิลำเนาแยกต่างหากจากกัน
(4)ข้าราชการ ได้แก่ถิ่นที่ทำการตามตำแหน่งหน้าที่
(5)ผู้ที่ถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลหรือตาม
คำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ได้แก่เรือนจำหรือทัณฑสถานที่ถูกจำคุกอยู่จนกว่าจะได้รับการปล่อยตัว
4)การส้นสภาพบุคคล ตามกฎหมายแพ่ง บุคคลสิ้นสภาพบุคคลมีได้ 2 ลักษณะ คือ การตายโดยธรรมชาติกับการตายโดยกฎหมายคือสาบสูญ
(1)ตายโดยธรรมชาติ คือการที่บุคคลตายโดยไม่หายใจ หัวใจหยุดเต้น สมองหยุดทำงาน
(2)ตายโดยกฎหมายสั่งให้สาบสูญ คือการที่บุคคลหายไปจาก
ภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่โดยไม่มีใครทราบว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร โดยไม่มีใครทราบว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่เป็นเวลานานครบ 5 ปีในกรณีธรรมดา และ 2ปี ในกรณีพิเศษ เช่นเกิดสงคราม เรืออับปาง ตึกถล่ม เป็นต้น
ผลของการสาบสูญ ทำให้สิ้นสภาพบุคคล ถือว่าผู้นั้นถึงแก่ความตาย แต่การสาบสูญไม่ทำให้การสมรสขาดจากกัน แต่เป็นเหตุให้คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้ คู่สมรสที่มีชีวิตอยู่มีสิทธิเกี่ยวกับทรัพย์สิน รวมทั้งการปกครองบุตร และสิทธิส่วนตัวของเขาในการทำนิติกรรม หรือการที่จะสมรสใหม่
2. นิติบุคคล คือ สิ่งที่กฎหมายจัดตั้งให้เป็นบุคคลมีสิทธิและหน้าที่
ได้ตามกฎหมายเช่นเดียวกับบุคคลธรรมดา
1) การเกิดขึ้นของนิติบุคคล นิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้แก่ สมาคม มูลนิธิ ห้างหุ้นส่วนที่จดทะเบียนแล้ว คือห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด เป็นต้น ส่วนนิติบุคคลที่จัดตั้งตามกฎหมายอื่นที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์รับรอง ได้แก่ กระทรวง ทบวง กรม สภาตำบล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มหาวิทยาลัยที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติจัดตั้งมหาวิทยาลัยนั้น พรรคการเมือง โรงเรียนที่สังกัดกรมสามัญศึกษา ซึ่งเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายมหาชน เป็นต้น
2)สิทธิและหน้าที่ของนิติบุคคล นิติบุคคลมีสิทธิหน้าที่ภายในวัตถุประสงค์เท่านั้น เช่น กระทรวง ทบวง กรม มหาวิทยาลัยแต่ละแห่ง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ห้างหุ้นส่วน บริษัทจำกัด เป็นต้น มีสิทธิและหน้าที่แตกต่างกันไปตามตราสารที่จัดตั้งกำหนดไว้จะทำกิจการนอกเหนือจากที่วัตถุที่กำหนดไว้ไม่ได้
3)ผู้แทนของนิติบุคคล เนื่องจากนิติบุคคลไม่มีชีวิตจิตใจ ดังนั้นการดำเนินกิจการ การใช้สิทธิหน้าที่ต้องมีผู้แทนคนหนึ่งหรือหลายคนตามที่กฎหมาย ข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้งกำหนดไว้
4) ภูมิลำเนาของนิติบุคคล ได้แก่ ถิ่นที่ตั้งสำนักงานใหญ่หรือที่จัดตั้งที่ทำการ หรือถิ่นที่ได้เลือกเอาเป็นภูมิลำเนา เฉพาะการตามข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้ง
3. การทำนิติกรรมของบุคคล นิติกรรม หมายความว่า การใดๆอันทำลงไป
โดยชอบด้วยกฎหมายและด้วยใจสมัคร มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล เพื่อจะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ เช่น การทำสัญญาซื้อขาย การเช่าทรัพย์กู้ยืมเงิน จ้างแรงงาน หุ้นส่วนบริษัท การหมั้น การจดทะเบียนสมรส การรับรองบุตร การทำพินัยกรรม การยกให้ทรัพย์สิน เป็นต้น
1)หลักในการทำนิติกรรม การทำนิติกรรมให้มีผลสมบูรณ์มีหลักเกณฑ์
คือ
(1)ต้องมีเจตนาทำนิติกรรมให้ปรากฏออกมาภายนอก
(2)บุคคลผู้แสดงเจตนาทำนิติกรรมจะต้องมีความสามารถใน
การทำนิติกรรม คือมีความรู้ความเข้าใจ มีสิติปัญญาในการแสดงเจตนาที่ไม่มีกฎหมายจำกัดไว้ เช่น ผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ ถูกจำกัดความสามารถในการทำนิติกรรม ถือว่าเป็นผู้หย่อนความสามารถ
(3)วัตถุประสงค์ของนิติกรรมต้องชอบด้วยกฎหมายไม่พ้นวิสัย
ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เช่น การทำสัญญาซื้อขายอาวุธสงคราม เป็นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือทำสัญญาซื้อขายพื้นที่ดวงจันทร์เป็นสัญญาที่เป็นการพ้นวิสัย เป็นต้น
ข้อสังเกต การเกิดมามีสภาพบุคคล การมีอายุครบบรรลุนิติภาวะ (20 ปีบริบูรณ์) การตายทำให้เกิดผลในทางกฎหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่าง มีสิทธิหน้าที่กฎหมายรับรอง กรณีเหล่านี้ ถือว่าเป็นนิติเหตุ
นิติเหตุ คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่เกี่ยวกับเจตนาของบุคคลหรือเป็นการที่ก่อขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจที่จะให้เกิดผลในกฎหมาย แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วมีผลให้กฎหมายต้องรับรู้ เช่น ละเมิด จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้
2)ผลของการทำนิติกรรม การทำนิติกรรมที่ไม่สมบูรณ์นั้นจะมีอยู่ 2 ลักษณะคือ นิติกรรมที่เป็น “โมฆะ” กับ นิติกรรมที่เป็น “โมฆียะ”
(1)นิติกรรมที่เป็นโมฆะนั้นจะเป็นนิติกรรมที่สูญเปล่า
เปรียบเสมือนไม่ได้ทำตั้งแต่ต้น
(2)นิติกรรมที่เป็นโมฆียะนั้นเป็นนิติกรรมที่ทำลงโดยผู้หย่อน
ความสามารถ เช่นผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ เป็นต้น ผลของการทำนิติกรรมที่เป็นโมฆียะ นั้นสมบูรณ์จนกว่าผู้มีอำนาจจะบอกล้าง เมื่อบอกล้างแล้วนิติกรรมนั้นเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก แต่ถ้าไม่บอกล้าง คือการยอมรับ หรือยินยอมที่เรียกว่า “การให้สัตยาบัน” ถือว่านิติกรรมนั้นสมบูรณ์
หลักกฎหมายว่าด้วยทรัพย์สิน
ก่อนที่เราจะพูดถึงในเรื่องทรัพย์สินการได้มาซึ่งในทรัพย์ในบรรพ 4 นั้นเราจำเป็นต้องทราบถึงความหมายทรัพย์สิน ทรัพย์ ลักษณะของทรัพย์ เสียก่อน
1. ความหมายทรัพย์สิน ในทางกฎหมายได้ให้ความหมายของทรัพย์สิน คือ
1)ทรัพย์ คือ วัตถุมีรูปร่าง เช่น รถยนต์ ปากกา เสื้อผ้า ธนบัตร สิ่งไม่เป็นรูปร่างไม่เป็นทรัพย์แต่อาจเป็นทรัพย์สิน
2)ทรัพย์สิน มีความหมายกว้างกว่า ทรัพย์ คือเป็นทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุมีรูปร่างหรือไม่มีรูปร่างก็ได้ แต่ต้องอาจมีราคาและอาจถือเอาได้ เช่น พลังงาน กระแสไฟฟ้า ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร เป็นต้น
2. ประเภทของทรัพย์ สามารถแบ่งประเภทได้ดังนี้ คือ
1)อสังหาริมทรัพย์ หมายถึง ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ เช่นที่ดินทรัพย์อันติดกับที่ดิน หรือประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดิน และสิทธิทั้งหลายอันเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ได้แก่ ทรัพย์สิทธิต่างๆ คือ ภาระจำยอม สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิอาศัย สิทธิเก็บกิน และภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์
2)สังหาริมทรัพย์ หมายถึง ทรัพย์อื่นนอกจากอสังหาริมทรัพย์และรวม ถึงสิทธิอันเกี่ยวกับทรัพย์สินนั้นด้วย สังหาริมทรัพย์จึงเป็นทรัพย์ที่เคลื่อนที่ได้ ซึ่งอาจจะเป็นทรัพย์ที่อาจเคลื่อนที่ด้วยตัวของมันเองตามธรรมชาติ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย หมู สุนัข เป็ด ไก่ เป็นต้น กับทรัพย์ที่เคลื่อนที่ได้จากการที่บุคคลที่ทำให้เคลื่อนที่ เช่น เสื้อผ้า รถไฟ รถยนต์ รถจักรยาน วิทยุ ปากกา ข้าวสาร น้ำตาล เป็นต้น
3)ทรัพย์แบ่งไม่ได้ หมายถึงทรัพย์ที่จะแยกออกจากันไม่ได้นอกจากเปลี่ยนแปลงภาวะของทรัพย์ ซึ่งถ้าแบ่งออกแล้วสิ่งเหล่านี้คงจะไม่คงสภาพเป็นตัวทรัพย์อยู่อย่างเดิม เช่น บ้าน ตึก อาคาร เป็นต้น
4)ทรัพย์ที่แบ่งได้ หมายถึงทรัพย์ที่อาจแยกออกจากันเป็นส่วนได้ ส่วนที่แยกออกมายังคงมีรูปร่างมีสภาพสมบูรณ์เป็นทรัพย์เดิมอยู่ เช่น ข้าวสาร น้ำตาล น้ำเปล่า น้ำมันพืช ผงซักฟอก เงิน เป็นต้น
5)ทรัพย์นอกพาณิชย์ หมายถึง ทรัพย์ที่ไม่สามารถถือเอาได้และทรัพย์ที่ไม่อาจโอนให้แก่กันได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เช่น สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ เป็นต้น
3. ส่วนประกอบของทรัพย์ ส่วนประกอบของทรัพย์ ได้แก่
1)ส่วนควบ หมายถึง ส่วนซึ่งโดยสภาพแห่งทรัพย์หรือโดยจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นถือได้ว่าเป็นอยู่ของทรัพย์นั้นและไม่อาจแยกจากกันได้นอกจะทำลาย ทำให้บุบสลายหรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนรูปทรงหรือสภาพไป เช่น ประตู หน้าต่าง ย่อมเป็นส่วนควบของบ้าน ล้อรถยนต์ย่อมเป็นส่วนควบของรถยนต์ เป็นต้น กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนควบ ใครเป็นเจ้าของทรัพย์ใดย่อมมีกรรมสิทธิ์ในส่วนควบเหล่านั้น รวมทั้งไม้ยืนต้นเป็นส่วนควบกับที่ดินที่ไม้นั้นขึ้นอยู่ด้วย
ข้อยกเว้นไม่เป็นส่วนควบของทรัพย์มีดังนี้
(1)ไม้ล้มลุกหรือธัญชาติอันจะเก็บเกี่ยวผลได้คราวหนึ่ง หรือหลายคราวต่อปี
(2)ทรัพย์อันติดกับที่ดินหรือโรงเรือนชั่วคราว เช่น อาคารที่ปลูกไว้ที่ท้องสนามหลวงใน ระหว่างงานพิธีต่างๆ เป็นต้น
2)อุปกรณ์ หมายถึงสังหาริมทรัพย์ซึ่งโดยปกตินิยมเฉพาะถิ่นหรือโดยเจตนาชัดแจ้งของเจ้าของทรัพย์ที่เป็นประธาน เป็นของใช้ประจำอยู่กับทรัพย์ที่เป็นประธานเป็นอาจิณ เพื่อประโยชน์แก่การจัดการดูแล ใช้สอยหรือรักษาทรัพย์ที่เป็นประธาน และเจ้าของทรัพย์ได้นำมาสู่ทรัพย์ที่เป็นประธาน โดยการนำมาติดต่อหรือปรับเข้าไว้ หรือทำโดยประการอื่นใดในฐานะเป็นของใช้ประกอบทรัพย์ที่เป็นประธานนั้น เช่น แม่แรงประจำรถ กลอนประตูหน้าต่างเป็นอุปกรณ์ของบ้าน เป็นต้น
3)ดอกผล หมายถึง ผลประโยชน์ที่ได้งอกเงยจากทรัพย์โดยสม่ำเสมอ แยกออก 2 ประเภทคือ
(1)ดอกผลธรรมดา คือ สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของทรัพย์ซึ่งได้มาจากตัวทรัพย์ โดยมีการใช้ทรัพย์นั้นตามปกตินิยม และสามารถถือเอาได้เมื่อขาดจากทรัพย์นั้น เช่น ผลไม้ นมสัตว์ ลูกสัตว์ เป็นต้น
(2)ดอกผลนิตินัย คือ ทรัพย์หรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้มา เป็นครั้งคราว แก่เจ้าของทรัพย์ จากผู้อื่นเพื่อการที่ได้ใช้ทรัพย์นั้นและสามารถคำนวณและถือเอาได้เป็นรายวัน หรือตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ เช่น ดอกเบี้ย เป็นต้น
4.การได้มาซึ่งทรัพย์สิน ในเรื่องของทรัพย์หรือทรัพย์สินนั้น มีหลักกฎหมายที่สำคัญที่ควรทราบในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 4คือ การได้มาและการสิ้นไปซึ่งทรัพย์สิทธิอัน หมายถึง สิทธิเหนือทรัพยสิทธิโดยไม่คำนึงถึงตัวบุคคลว่าเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่อย่างไร เพราะเมื่อบุคคลหนึ่งมีทรัพยสิทธิ คือ สิทธิเหนือทรัพย์แล้ว บุคคลอื่นต้องยอมรับนับถือในสิทธินั้นคือมีหน้าที่ในสิทธิของผู้เป็นเจ้าของ การได้มาซึ่งทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดไว้ดังต่อไปนี้
1)กรรมสิทธิ์ คือ สิทธิของบุคคลที่มีอยู่ในทรัพย์สิน เป็นสิทธิที่แสดงถึงความเป็นเจ้าของทรัพย์สิน เมื่อบุคคลมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินแล้วจะมีสิทธิ ดังต่อไปนี้
(1)สิทธิครอบครองและยึดถือ
(2)สิทธิใช้สอย
(3)สิทธิจำหน่ายจ่ายโอน
(4)สิทธิได้ดอกผล
(5)สิทธิติดตามเอาทรัพย์สินคืนจากผู้อื่น
(6)สิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
2)การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ แยกได้เป็นกรณี คือ
(1)การได้มาซึ่งนิติกรรม เช่น การซื้อขาย แลกเปลี่ยน ให้ เป็นต้น
(2)การได้มาซึ่งทางอื่นนอกจากนิติกรรม เช่น ได้มาในเรื่องของส่วนควบ การได้มาโดยเข้าถือเอา สังหาริมทรัพย์อันไม่มีเจ้าของ การได้มาทางมรดก หรือการได้มาโดยคำพิพากษาของศาล เป็นต้น
3)กรรมสิทธิ์รวมหรือเจ้าของรวม คือการที่บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปมีกรรมสิทธิ์รวมกันในทรัพย์สินสิ่งใด ผู้เป็นของรวมคนหนึ่งมีสิทธิ เรียกให้แบ่งทรัพย์ได้เพื่อแต่ละคนจะได้มีกรรมสิทธิ์เป็นสัดส่วนตามส่วนแบ่งของตน
4)สิทธิครอบครอง คือการที่บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนายึดถือเพื่อตน บุคคลนั้นได้สิทธิครอบครองแต่บุคคลจะให้ผู้อื่นยึดถือทรัพย์สินแทนตนก็ได้ การมีสิทธิครอบครองเป็นทางทำให้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินได้
5)การครอบครองปรปักษ์ คือ การที่บุคคลได้ครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นโดยสงบโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเมื่อครบกำหนด 10 ปี สำหรับอสังหาริมทรัพย์และ 5 ปีสำหรับสังหาริมทรัพย์แล้วผู้ครอบครองย่อมได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น เจ้าของทรัพย์สินสิ้นสิทธิในทรัพย์สินนั้น เพราะถือว่านอนหลับทับสิทธิ เป็นการทำให้ผู้ครอบครองได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินโดย “อายุความ”
6)ทางจำเป็น คือ ทางที่เกิดขึ้นเนื่องจากความจำเป็นที่ที่ดินแปลงใดมีที่ดินแปลงอื่นล้อมรอบอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้เจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิผ่านที่ดินที่ล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้ โดยทางที่ผ่านนั้นจะต้องทำทางที่จำเป็นเท่านั้น โดยอาจต้องเสียค่าทดแทนจากการใช้ทางผ่านได้
7)ทรัพยสิทธิ คือสิทธิที่บุคคลมีอยู่ในทรัพย์สินที่เรียกสิทธิเหนือทรัพย์สิน ได้แก่
(1)ภาระจำยอม คือ ที่อสังหาริมทรัพย์สิ่งหนึ่งเรียกว่า “ภารยทรัพย์” ทำให้เจ้าของทรัพย์ต้องยอมรับกรรมหรือรับภาระหรืองดเว้น การให้สิทธิบางอย่าง เพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่นเรียกว่า สามยทรัพย์
(2)สิทธิอาศัย คือ สิทธิที่บุคคลได้อยู่ในโรงเรือนของผู้อื่นโดยไม่ต้องเสียค่าเช่าหรือค่าใช้จ่าย การให้สิทธิอาศัยจะกำหนดเวลาหรือตลอดชีวิตของผู้อาศัยก็ได้ ซึ่งถ้ามีกำหนดเวลาต้องไม่เกิน 30 ปี แต่ต่ออายุได้ สิทธิอาศัยเป็นสิทธิเฉพาะตัวโอนไปยังผู้อื่นไม่ได้
(3)สิทธิเหนือพื้นดิน คือการที่เจ้าของที่ดินให้ผู้อื่นมีสิทธิ เป็นเจ้าของโรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง หรือสิ่งเพาะปลูกบนดินหรือใต้ดินนั้น การใช้สิทธิต้องจดทะเบียนมีกำหนดเวลาหรือตลอดชีวิตของเจ้าของที่ดินหรือตลอดชีวิตของผู้ทรงสิทธิก็ได้
(4)สิทธิเก็บกิน คือการที่ผู้ทรงสิทธิมีสิทธิครอบครอง ถือเอาประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น
(5)ภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์ คือการที่อสังหาริมทรัพย์ต้องตกอยู่ในภาวะที่ผู้รับประโยชน์มีสิทธิได้รับชำระหนี้เป็นคราวๆ หรือได้ใช้แล้วถือเอาประโยชน์จากทรัพย์สินตามที่ระบุไว้
หลักกฎหมายว่าด้วยหนี้
สำหรับเรื่องหนี้เป็นหัวใจของกฎหมายแพ่งในระบบกฎหมายซีวิวลอว์มีความยิ่งใหญ่ในอดีตโดยเฉพาะประมวลกฎหมายแพ่งสวิสเซอร์แลนด์ได้แยกเป็นประมวลกฎหมายว่าด้วยหนี้ไว้เป็นอีกเรื่องหนึ่งแยกต่างหากไปจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
หนี้ คือ ความเกี่ยวพันระหว่างบุคคล 2 ฝ่าย คือ เจ้าหนี้กับลูกหนี้ โดยเจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้กระทำการงดเว้นการกระทำ หรือส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ตนเพื่อชำระหนี้ หนี้นั้นเรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า “สิทธิเรียกร้อง” หรือนักกฎหมายเรียกหนี้ว่าเป็นบุคคลสิทธิ
1.บ่อเกิดแห่งหนี้
บ่อเกิดแห่งหนี้หรือเรียกว่ามูลแห่งหนี้ที่มีผลเกิดขึ้นระหว่างบุคคลที่เกิดได้ 2 ประการดังนี้ คือ จากนิติกรรมสัญญา(เป็นหนี้ที่เกิดจากการสมัครใจ)กับนิติเหตุ (เป็นหนี้ที่เกิดจากกฎหมาย)
บ่อเกิดแห่งหนี้(มูลแห่งหนี้)
นิติกรรมสัญญา กฎหมาย(นิติเหตุ)
เอกเทศสัญญา บรรพอื่น สัญญาไม่มีชื่อ
จัดการงานนอกคำสั่ง ลาภมิควรได้ ละเมิด บรรพอื่น กฎหมายอื่น
1. หนี้ที่เกิดขึ้นโดยนิติกรรมสัญญา เป็นการสมัครใจในการที่ก่อหนี้ขึ้นแบ่งออกเป็น 2 ประการ
1)หนี้ที่เกิดจากเอกเทศสัญญา หมายความว่าคนสองฝ่ายมาทำกันกฎหมายตั้งชื่อไว้แล้วกำหนดสิทธิหน้าที่เป็นสัญญาที่มีชื่อตามกฎหมายที่ตั้งไว้ มีอยู่ 22 สัญญา เช่น สัญญาซื้อขาย แลกเปลี่ยน ให้ เช่าทรัพย์ เช่าซื้อ จ้างแรงงาน จ้างทำของ รับขน ยืม ฝากทรัพย์ ค้ำประกัน จำนอง จำนำ เก็บของในคลังสินค้า ตัวแทน นายหน้า ประนีประนอมยอมความ การพนันขันต่อ บัญชีเดินสะพัด ประกันภัย ตั๋วเงิน หุ้นส่วนบริษัท
2)หนี้ที่เกิดขึ้นได้โดยการทำนิติกรรมตามบรรพอื่น เช่น สมาคมในบรรพ 1 หรือตามบรรพ 5 ครอบครัว คือสัญญาก่อนสมรส, สัญญาระหว่างสมรสที่สามีภริยาทำกัน,สัญญาหมั้น เป็นต้น
3)สัญญาไม่มีชื่อเป็นสัญญาที่ไม่อยู่ในเอกเทศสัญญาตามบรรพ 3 บางคนเรียกสัญญานอก บรรพ 3 เช่น สัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา สัญญากองทุนสมรส เป็นต้น
2. หนี้ที่เกิดโดยนิติเหตุหรือหนี้เกิดจากกฎหมาย หนี้ในลักษณะนี้เกิดขึ้นโดยไม่สมัครใจในการเกิดหนี้ขึ้น แบ่งออกได้ 5 ประการ คือ
1)หนี้ที่เกิดจากการจัดการงานนอกสั่ง คือการที่บุคคลหนึ่งเรียกว่าผู้จัดการได้สอดเข้าทำกิจการของบุคคลหนึ่ง เรียกว่า ตัวการ โดยเขามิได้ว่าขานวานใช้ให้กระทำหรือโดยมิได้มีสิทธิที่จะทำการงานนั้นแทนเขาได้ ผู้จัดการมีสิทธิเรียกให้ตัวการชดใช้ค่าใช้จ่ายที่ตนเสียไปเพราะจัดการงานนอกสั่ง
2)หนี้ที่เกิดจากลาภมิควรได้ คือการที่บุคคลใดได้ทรัพย์จากบุคคลอื่นไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ ผู้ที่รับทรัพย์ย่อมเป็นลูกหนี้ที่ต้องคืนแก่เจ้าหนี้
3)หนี้ที่เกิดจากการละเมิด คือการกระทำใด ที่กระทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายไม่ว่ากระทำโดยจงใจ หรือประมาทเลินเล่อให้เขาได้รับความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ หรือสิทธิอย่างใดหนึ่งอย่างใด การกระทำเช่นว่านั้นเข้าการกระทำละเมิด หรือเป็นการกระทำล่วงสิทธิผิดหน้าที่ ทำให้เขาเสียหาย ละเมิดนั้นอยู่บนหลักที่ว่าบุคคลอื่นต้องได้รับความเสียหายผู้กระทำละเมิดต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน
หลักที่ใหญ่ที่สุดของการละเมิด คือ หลักที่ว่าละเมิดนั้น เป็นความรับผิดที่เกิดขึ้นเนื่องจากการกระทำความผิด กฎหมายทำให้เสียหายโดยตรง (Liability with fault) กับความรับผิดแม้ไม่ได้กระทำ (Liability without fault) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้ยอมรับทฤษฎีในเรื่องความรับผิดเพื่อการละเมิดเกิดขึ้น 3 ทฤษฎี
(1)ทฤษฎีที่ 1 ความรับผิดของผู้กระทำละเมิด (Tortfeasur’s Liability) ซึ่งเป็นความรับผิดโดยตรงจากผู้กระทำละเมิดโดยตรง ซึ่งเป็นความผิดอาจเกิดจากใช้สิทธิของตนปกติตั้งแต่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนการไขข่าวแพร่หลายทำให้บุคคลเสียหาย เป็นต้น
(2)ทฤษฎีที่ 2 ความรับผิดแม้จะไม่ได้กระทำละเมิด(Vicarious Liability) ความรับผิดแม้จะไม่ได้กระทำความผิดก็ถูกเกณฑ์ให้รับผิดหากดูแล้วเหมือนไม่เป็นธรรมแต่ถ้าไม่เกณฑ์ก็ยิ่งไม่ยุติธรรม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้บัญญัติความรับผิดแม้จะไม่ได้กระทำความผิด คือ ลูกจ้างทำละเมิด นายจ้างรับผิด ตัวแทนทำละเมิด ตัวการรับผิด ลูกศิษย์ทำละเมิดอาจารย์ต้องรับผิด คนวิกลจริต คนไร้ความสามารถ ผู้อนุบาลต้องรับผิด บุตรผู้เยาว์ทำละเมิด บิดามารดาต้องรับผิด เป็นต้น
(3)ทฤษฎีที่ 3 ความรับผิดเพราะคนที่มีความเกี่ยวพันกับผู้กระทำละเมิด (Strict Liability) คือ ความรับผิดที่เกิดขึ้นการที่ทรัพย์ซึ่งอยู่ความดูแลของตนไปก่อความเสียหายแก่คนอื่น เจ้าของทรัพย์หรือผู้ดูแลทรัพย์ต้องรับผิดไม่ว่าจะเป็นเจ้าของสัตว์ หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงสัตว์ไว้แทนเจ้าของ ผู้ครอบครองโรงเรือน หรือเจ้าของ บุคคลผู้อยู่ในโรงเรียน ผู้ครอบครองยานพาหนะ เป็นต้น
4)หนี้ที่เกิดจากบรรพอื่น หนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตามบรรพอื่น เช่น สามีภรรยาต้องอุปการะเลี้ยงดูกัน ทรัพย์สินมรดกใดถ้าไม่มีผู้ใดรับมรดกให้ตกเป็นของรัฐ รัฐจึงเป็นเจ้าหนี้ เป็นต้น
5)หนี้ที่เกิดจากกฎหมายอื่น เช่น หนี้ที่เกิดจากประมวลกฎหมายรัษฎากร คือบุคคลผู้ต้องมีหน้าที่เสียภาษีให้แก่รัฐเพื่อนำภาษีมาพัฒนาบ้านเมือง เป็นต้น
2. ผลแห่งหนี้
เมื่อหนี้เกิดขึ้นแล้ว ผลแห่งหนี้ก็จะเกิดขึ้น คือ สิทธิและหน้าที่ของเจ้าหนี้กับสิทธิและหน้าที่ของลูกหนี้ เจ้าหนี้มีสิทธิจะเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ซึ่งเราเรียกว่า เป็นวัตถุแห่งหนี้ ซึ่งแยกออกเป็น 3 กรณี คือ การให้ลูกหนี้กระทำการ การงดเว้นกระทำการ และการโอนทรัพย์สิน หากลูกหนี้ได้ชำระหนี้ตามวัตถุแห่งหนี้ถูกต้องแล้ว หนี้ก็เป็นอันระงับไป แต่ปัญหาว่าหากลูกหนี้ไม่ยอมชำระหนี้ เจ้าหนี้มีมาตรการอย่างไรในการบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้ตามที่ผูกพันที่มีอยู่นั้น
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้อำนาจเจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้ศาลสั่งบังคับชำระหนี้ หากลูกหนี้ละเลยเสีย ไม่ชำระหนี้ของตน และเมื่อการไม่ชำระหนี้ของลูกหนี้นั้น ทำให้เจ้าหนี้เสียหาย เจ้าหนี้มีสิทธิจะเรียกค่าเสียหายได้นอกจากกฎหมายจะให้เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะร้องของให้ศาลบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้แล้ว กฎหมายยังได้คุ้มครองสิทธิเจ้าหนี้อีก โดยให้เจ้าหนี้ใช้สิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ หรือเพิกถอนการฉ้อฉลซึ่งทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบได้
ในกรณีเรื่องเจ้าหนี้และลูกหนี้นั้น ฝ่ายลูกหนี้อาจเป็นลูกหนี้หลายคนหรือ ฝ่ายเจ้าหนี้อาจจะเป็นเจ้าหนี้หลายคนก็ได้ ซึ่งในกรณีเป็นลูกหนี้หลายคนร่วมกันผูกพันในอันที่จะต้องกระทำการชำระหนี้นั้นเราเรียกว่าลูกหนี้ร่วม ผลแห่งการเป็นลูกหนี้ร่วมก็คือ เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ร่วมคนใดคนหนึ่งชำระหนี้ได้โดยสิ้นเชิง การกระทำแทนการชำระหนี้หรือการหักกลบลบหนี้ร่วมคนใด ย่อมเป็นประโยชน์ แก่ลูกหนี้ร่วมคนอื่นๆ การปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้ร่วมคนอื่นๆ ย่อมเป็นประโยชน์แก่ลูกหนี้ร่วมอื่นๆ เพียงเท่าส่วนของลูกหนี้ที่ได้ปลดหนี้ การผิดนัดของเจ้าหนี้ต่อลูกหนี้ร่วมคนใดคนหนึ่ง ย่อมเป็นประโยชน์แก่ลูกหนี้ร่วมอื่นๆ
3. การชำระหนี้หรือการระงับแห่งหนี้
ความระงับแห่งหนี้นั้นหมายความว่าหนี้นั้นได้สิ้นสุดลงหรือได้ระงับลง ซึ่งการที่หนี้จะระงับลงได้นั้นมีอยู่ด้วยกัน 5 กรณี คือ การชำระหนี้ การปลดหนี้ หักกลบลบหนี้ แปลงหนี้ใหม่ หนี้เกลื่อนกลืน
1. การชำระหนี้ เมื่อลูกหนี้ได้ชำระหนี้ถูกต้องตามวัตถุแห่งหนี้แก่เจ้าหนี้แล้วหนี้ย่อมระงับหรืออาจเป็นกรณีบุคคลภายนอกจะชำระหนี้แทนลูกหนี้แต่การชำระหนี้ของบุคคลภายนอกนั้นจะทำไม่ได้ หากสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้กระทำหรือขัดกับเจตนาอันคู่กรณีได้แสดงไว้
2. ปลดหนี้ คือการทำหนี้สิ้นสุดลง เพราะเจ้าหนี้ได้ยินยอมยกหนี้ให้แก่ลูกหนี้ให้แก่ลูกหนี้โดยไม่ต้องเรียกร้องค่าตอบแทนอย่างใด ตัวหนี้มีหนังสือเป็นหลักฐาน การปลดหนี้ก็ต้องทำเป็นหนังสือ หรือ ต้องเวนคืน เอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ หรือขีดฆ่าเอกสารนั้นเสีย
3. หักกลบลบหนี้ การหักกลบลบหนี้ คือเมื่อบุคคล 2 ฝ่ายมีความผูกพัน ซึ่งกันและกันโดยความผูกพันนั้น คือหนี้ซึ่งบุคคลทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็เป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้กัน และหนี้นั้นมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกัน และถึงกำหนดชำระฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะหักกลบลบหนี้เพื่อให้หนี้ระงับเพียงเท่าจำนวนที่ตรงกันในมูลหนี้ทั้ง 2 ฝ่ายก็ได้ เว้นแต่สภาพแห่งหนี้ฝ่ายหนึ่งจะไม่เปิดช่องให้หักกลบลบหนี้กันได้
4. แปลงหนี้ใหม่ ได้แก่ การระงับหนี้เก่า แต่มีหนี้ใหม่ขึ้นมาแทน
5. หนี้เกลื่อนกลืนกัน ได้แก่ กรณีซึ่งสิทธิและหน้าที่ของเจ้าหนี้และลูกหนี้ได้มารวมกันอยู่ในตัวบุคคลเดียวกัน
2. หลักกฎหมายเกี่ยวกับการทำธุรกิจ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับกฎหมายพาณิชย์ไว้ในบรรพ 3 เอกเทศสัญญา ว่าด้วยหลักกฎหมายในการจัดตั้งองค์กรทางธุรกิจ หลักกำหมายในการทำธุรกิจ หลักกฎหมายในการระงับข้อพิพาททางธุรกิจและหลักกฎหมายที่เกี่ยวกับหนี้ที่ไม่สามารถบังคับได้
2.1 กฎหมายที่เกี่ยวกับองค์กรธุรกิจ
กฎหมายที่เกี่ยวกับองค์กรธุรกิจ ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ได้แก่ห้างหุ้นส่วนและบริษัท
ห้างหุ้นส่วนหรือ บริษัท อันว่าสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้นคือสัญญา ซึ่งบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปตกลงกันเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกันด้วยประสงค์จะแบ่งปันกำไร อันจะพึงได้แต่กิจการที่ทำนั้นดังนั้นประเภทของห้างหุ้นส่วนและบริษัท มีดังนี้ คือ
2.1.1 ประเภทของห้างหุ้นส่วน
ห้างหุ้นส่วนนั้นจะประกอบได้ด้วยห้างหุ้นส่วนสามัญกับห้างหุ้นส่วนจำกัด ดังมีสาระสำคัญดังต่อไปนี้
1. ห้างหุ้นส่วนสามัญ คือห้างหุ้นส่วนประเภทซึ่งเป็นหุ้นส่วนหมดทุกคน
ต้องร่วมกันรับผิดเพื่อชำระหนี้ทั้งปวงของหุ้นส่วนโดยไม่จำกัด
1)สิ่งที่นำมาลงทุนหุ้นส่วน ทุกคนต้องมีสิ่งหนึ่งใดมาลงหุ้นอาจเป็นเงิน ทรัพย์สิน หรือแรงงานก็ได้
2)การจัดการห้างหุ้นส่วน ถ้ามิได้ตกลงไว้ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนย่อมจัดการห้างหุ้นส่วนได้ทุกคน
3)การจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนสามัญ ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียนก็ได้หรือไม่จดทะเบียนก็ได้ ถ้าจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนนั้นก็มีสภาพเป็นนิติบุคคล ซึ่งจะเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล
2. ห้างหุ้นส่วนจำกัด คือห้างหุ้นส่วนซึ่งมีผู้เป็นหุ้นส่วน 2 ประเภท คือ ประเภทที่หนึ่ง ผู้เป็นหุ้นส่วนคนเดียวหรือหลายคนจำกัดความรับผิดเพียงไม่เกินจำนวนเงินที่ตนรับจะลงหุ้นในห้างหุ้นส่วน ประเภทที่สอง ผู้เป็นหุ้นส่วนคนเดียว หรือหลายคน ซึ่งต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จำกัดจำนวน
1)การจัดการห้างหุ้นส่วนจำกัด เฉพาะหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดชอบเท่านั้นมีสิทธิจัดการห้างหุ้นส่วน หุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดจะจัดการห้างหุ้นส่วนไม่ได้
2)การจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัดต้องจดทะเบียนเสมอ การจดทะเบียนก็ยังจดสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดแต่ละแห่ง
ข้อสังเกต สิ่งที่นำมาลงหุ้นโดยเฉพาะหุ้นส่วนจำกัดความรับผิดนั้นจะต้องลงเป็นเงิน หรือทรัพย์สินอย่างอื่นๆ จะนำแรงมาลงไม่ได้
2.1.2 บริษัทจำกัด
บริษัทจำกัด คือบริษัทประเภทซึ่งตั้งขึ้นด้วยแบ่งทุนเป็นหุ้นมีมูลค่าเท่าๆกันโดยผู้ถือหุ้นต่างรับผิดจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงินที่ตนยังส่งใช้ไม่ครบมูลค่าของหุ้นที่ตนถือ
1. การจัดตั้งบริษัท จะต้องมีผู้เริ่มก่อการตั้งแต่ 7 คนขึ้นไป เข้าชื่อกันทำหนังสือ บริคณห์สนธิและดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายจนกว่าจะมีการจดทะเบียนบริษัทจำกัดและเป็นนิติบุคคล ซึ่งในทางปฏิบัติจะมีแบบฟอร์มหนังสือบริคณห์สนธิของทางราชการให้กรอกข้อความ สิ่งสำคัญคือวัตถุประสงค์ที่จะทำการค้าขาย กิจการธุรกิจการค้า ข้อบังคับ เป็นต้น
ข้อสังเกต บริษัทมหาชน คือบริษัทประเภทซึ่งตั้งขึ้นด้วยความประสงค์ที่จะเสนอขายหุ้นต่อประชาชน ต้องมีผู้เริ่มก่อการตั้งแต่ 15 คนขึ้นไป ทั้งนี้ได้มีกฎหมายบัญญัติแยกไว้ต่างหาก คือ พระราชบัญญัติบริษัทมหาชน พ.ศ.2535
2. การบริหารกิจการบริษัท บริษัทจำกัดให้มีกรรมการหนึ่งคนหรือหลายคนจัดการตามข้อบังคับของบริษัท และอยู่ภายใต้การควบคุมของที่ประชุมใหญ่แห่งผู้ถือหุ้นทั้งปวงโดยปกติมีการประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นปีละครั้งเรียกว่าประชุมสามัญ แต่กรรมการจะเรียกประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น เมื่อใดก็ได้ เรียกว่าประชุมวิสามัญ ที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นของบริษัทเป็นผู้ตั้งและถอดถอน กรรมการไม่จำเป็นต้องถือหุ้นในบริษัท และเมื่อบริษัทได้ดำเนินกิจการมีกำไรก็จะจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น
2.2 กฎหมายที่เกี่ยวกับการดำเนินทางธุรกิจ
กฎหมายที่เกี่ยวกับการทำธุรกิจประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้มีบทบัญญัติไว้ในเอกเทศสัญญาในการทำสัญญาต่างๆ เช่นสัญญาต่างตอบแทน สัญญาไม่ต่างตอบแทน หรือสัญญามุ่งโอนกรรมสิทธิ์เป็นต้น ซึ่งสามารถสรุปกลุ่มกฎหมายที่เกี่ยวกับการทำธุรกิจ ได้ดังนี้คือ
2.2.1 กฎหมายที่เกี่ยวกับการซื้อขาย แลกเปลี่ยน ให้
1. ซื้อขาย คือสัญญาซึ่งบุคคลฝ่ายหนึ่งเรียกว่า ผู้ขาย โอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่ง เรียกว่า ผู้ซื้อและผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินให้แก่ผู้ขาย ตามที่ได้กล่าวมานี้สรุปได้ว่าสัญญาซื้อขายก็คือสัญญาที่ตกลงเอาทรัพย์สินออกแลกกับเงินตรา(ราคา) นั่นเอง และเมื่อเป็นสัญญา ก็ต้อง อาศัยหลักกฎหมายว่าด้วยนิติกรรมสัญญา
การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งสังหาริมทรัพย์พิเศษเช่น เรือมีระวางตั้งแต่ 5 ตันขึ้นไป แพ หรือสัตว์ยานพาหนะได้แก่ ช้างม้า โค กระบือ ล่อ ลา ก็ต้องทำเป็นหนังสือแลจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆะ ส่วนการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ 500 บาท ทำเป็นหนังสือจะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ ได้
สัญญาซื้อขายประเภทหนึ่งที่นิยมทำกันมาก คือ สัญญาขายฝาก ซึ่งหมายถึง การซื้อขายที่กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินโอนไปยังผู้ซื้อโดยผู้ขายมีสิทธิไถ่ทรัพย์สินนั้นคืนได้ การขายฝากนั้นเป็นอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ก็ได้ แต่ต้องมีการกำหนดเวลาในการขายฝาก ถ้าไม่มาไถ่คืนภายในเวลาที่กำหนดก็หมดสิทธิในการไถ่คืน
การกำหนดเวลาไถ่คือ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ต้องไถ่คืนภายใน 10 ปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ต้องไถ่คืนภายใน 3 ปี
2. แลกเปลี่ยน คือสัญญาซึ่งคู่กรณีต่างโอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินให้กันและกันซึ่งการซื้อขายและการแลกเปลี่ยนทำให้กรรมสิทธิ์หรือความเป็นเจ้าของทรัพย์เปลี่ยนมือจากบุคคลหนึ่งมายังบุคคลหนึ่ง แต่ต่างกันด้วยการชำระเงินในการซื้อขาย ส่วนการแลกเปลี่ยนเป็นการชำระกันด้วยสิ่งของ การแลกเปลี่ยนอสังหาริมทรัพย์จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ด้วย
3. ให้ คือ สัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าผู้โอนทรัพย์สินของตนโดยเสน่หาให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับและผู้รับยอมรับเอาทรัพย์นั้น ซึ่งการให้ต้องเป็นการให้โดยเสน่หาโดย ไม่มีค่าตอบแทน ถ้ามีค่าตอบแทนราคาทรัพย์สินจะเป็นการซื้อขาย
การให้ทรัพย์สิน ซึ่งถ้าจะซื้อขายกันจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ส่วนในเรื่องของคำมั่นว่าจะให้ จะสมบูรณ์บังคับได้จะต้องทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งการให้อาจให้โดยการทำพินัยกรรมตาม บรรพ 6 มรดกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็ได้
การถอนคืนการให้ นั้นจะถอนคืนการให้ไม่ได้ เว้นแต่การถอนการให้เพราะเหตุเนรคุณ คือ
1)ผู้รับประทุษร้ายต่อผู้ให้เป็นความผิดอาญาอย่างร้ายแรงตามประมวลกฎหมายอาญา
2)ผู้รับทำให้ผู้ให้เสียชื่อเสียงหรือหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง
3)ผู้รับปกปิดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่ผู้ให้ ในเวลาที่ผู้ให้ยากไร้และผู้รับยังสามารถจะให้ได้ แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีการให้ที่ไว้ถอนการให้เพราะเหตุเนรคุณไม่ได้ดังนี้
(1)ให้เป็นบำเหน็จสินจ้างโดยแท้
(2)ให้สิ่งที่มีค่าภาระติดพัน เช่นให้ที่ดินที่ติดจำนองผู้อื่นผู้รับ
ต้องชำระหนี้ไถ่ถอนมา เป็นต้น
3)ให้โดยศีลธรรมจรรยา เช่นบิดามารดาให้เงินแก่บุตรในการ
เลี้ยงดูตามปกติ เป็นต้น
4)ให้ในการสมรส เช่นบิดามารดายกที่ดินหรือให้ทรัพย์สินแก่
บุตรหลาน ญาติในวันสมรส เป็นต้น
2.2.2 กฎหมายที่เกี่ยวกับเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ จ้างแรงงาน จ้างทำของ รับขน
1. เช่าทรัพย์ คือ สัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าผู้ให้เช่าตกลงให้บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้เช่าได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินอย่างใดอย่างหนึ่งชั่วระยะเวลาอันมีจำกัด และผู้เช่าตกลงจะให้ค่าเช่าเพื่อการนั้น
การเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดมิฉะนั้นจะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้และถ้าเช่าเกิน 3 ปีหรือตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าแต่ต้องไม่เกิน 30 ปี ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ถ้าทำเป็นหลักฐานเป็นหนังสือแต่ไม่จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะใช้บังคับได้เพียง 3 ปี
ข้อสังเกต ยังมีสัญญาเช่าทรัพย์ที่อยู่นอกบรรพ 3 คือสัญญาเช่าทรัพย์ที่เป็นสัญญาต่างตอบแทน คือสัญญาเช่าต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา ศาลฎีกาได้วินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานว่าบังคับกันได้ในระหว่างผู้ให้เช่า กับผู้เช่าแม้กำหนดเวลาเช่าเกิน 3 ปีและไม่ได้จดทะเบียนก็ตามในกรณีที่ผู้ให้เช่าตกลงกับผู้เช่าให้ผู้เช่าจ่ายช่วยค่าก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างขึ้นใหม่เพื่อให้ผู้เช่าได้มีสิทธินั้นในขณะก่อสร้างหรือในขณะที่การก่อสร้างไม่เสร็จเป็นต้น
2. เช่าชื้อ คือสัญญาซึ่งเจ้าของเอาทรัพย์ออกให้เช่าและให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้นหรือว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่าโดยเงื่อนไขที่ผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราว ซึ่งสัญญาเช่าซื้อต้องทำเป็นหนังสือมิฉะนั้นเป็นโมฆะ
ลักษณะสำคัญของเช่าซื้อ คือ เมื่อมีการเช่าซื้อแล้วในระหว่างชำระค่าเช่าผู้เช่าผิดนัดชำระค่าเช่า 2 ครั้งติดกันแล้ว ผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญาได้และสามารถเรียกเอาทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อคืน โดยไม่ต้องจ่ายเงินค่างวดที่ส่งมาคืนให้แก่ผู้เช่าซื้อ แต่ถ้าในระหว่างผ่อนชำระค่าเช่าซื้อนั้นผู้เช่าซื้อขายทรัพย์สินหรือจงใจทำให้ทรัพย์สินที่เช่าซื้อมาโอนไปหรือเบียดบังเอาเสีย เช่นการเอาไปจำนำ ผู้เช่ามีความผิดฐานอาญา ยักยอกทรัพย์เพราะกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินยังเป็นของผู้ให้เช่าซื้ออยู่
3. จ้างแรงงาน คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าลูกจ้างตกลงจะทำงานให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่านายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้
ข้อสังเกต การจ้างแรงงานในปัจจุบันที่ส่วนใหญ่บังคับตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน และพระราชบัญญัติจัดหางานสำหรับผู้ที่จะไปทำงานในต่างประเทศ เมื่อมีปัญหาข้อพิพาทในคดีเกี่ยวกับแรงงานขึ้นจะต้องฟ้องร้องต่อศาลแรงงานซึ่งเป็นศาลชำนัญพิเศษของศาลยุติธรรม
4. จ้างทำของ คือ สัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้างตกลงจะทำงานสิ่งหนึ่งจนสำเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ว่าจ้างและตกลงผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้น
5. รับขน แยกเป็นสัญญารับขนของ กับรับขนคนโดยสาร เป็นการกระทำเพื่อบำเหน็จทางการค้า คือ ค่าขนส่ง หรือค่าระวาง หรือค่าโดยสาร ซึ่งมีกฎหมายพิเศษอีกเช่น ขนส่งทางบก มีพระราชบัญญัติขนส่งทางบก พระราชบัญญัติรถยนต์ พระราชบัญญัติจราจรทางบก กำหนดรายละเอียด การขนส่งทางอากาศ เช่น พระราชบัญญัติเดินอากาศ ขนส่งทางทะเล เป็นต้น
ความรับผิดของผู้ขนส่ง ผู้ขนส่งจะต้องรับผิดในการที่ของสูญหายหรือบุบสลาย หรือขนส่งชักช้า รวมทั้งผู้ขนส่งจะต้องรับผิดกรณีคนโดยสารในความเสียหายอันเกิดแก่ตัวเขา หรือความเสื่อมเสียอย่างใดๆ อันเป็นผลโดยตรงแก่การที่ต้องชักช้าในขนส่ง เว้นแต่การเสียหายหรือชักช้านั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิดแต่ความผิดของคนโดยสาร
ข้อสังเกต มีข้อยกเว้นที่ผู้ขนส่งไม่ต้องรับผิดแก่คนโดยสารอีกเรื่องหนึ่งคือคนโดยสารได้ตกลงด้วยชัดแจ้งในการยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดเช่นว่านั้น
2.2.3 กฎหมายเกี่ยวกับยืม ฝากทรัพย์ เก็บของในคลังสินค้า
1. ยืม ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้กำหนดการยืมไว้ 2 เรื่องคือ ยืมใช้คงรูป กับยืมใช้สิ้นเปลือง
1)ยืมใช้คงรูป คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืมให้บุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ยืมใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่าและผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว
2)ยืมใช้สิ้นเปลือง คือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิดใช้ไปสิ้นไปนั้นเป็นปริมาณมีกำหนดให้ไปแก่ผู้ยืมและผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินประเภทชนิดและปริมาณเช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น
ข้อสังเกต การยืมเงิน (ซึ่งเป็นการยืมใช้สิ้นเปลือง) ตั้งแต่ 2,000 บาทขึ้นไปต้องทำเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญจึงจะฟ้องร้องบังคับคดีได้ ซึ่งการยืมเงินคิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปีไม่ได้ถ้าเกินจะตกเป็นโมฆะ แต่ส่วนของต้นเงินนั้นยังคงใช้ได้ เพราะสามารถแยกส่วนต้นเงิน ซึ่งสมบูรณ์อยู่ออกจากส่วนดอกเบี้ยได้
อย่างไรก็ตามในข้อนี้ มีกรณียกเว้นหากเป็นการคิดดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน คือพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ.2520 อันเป็นกฎหมายพิเศษ กำหนดให้สามารถคิดดอกเบี้ยได้สูงกว่าร้อยละ 15 ต่อปีได้
2. ฝากทรัพย์ คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ฝากส่ง
มอบทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับฝาก และผู้รับฝากตกลงว่าจะเก็บรักษาทรัพย์สิน นั้นไว้ในการรักษาดูแลจากผู้รับฝากแล้วจะคืนให้กับผู้ฝาก
ข้อสังเกต การฝากทรัพย์
1)การฝากทรัพย์ที่เป็นเงินจะมีเฉพาะการฝากเงิน ผู้ฝากไม่ต้องคืนเป็นเงินตราเดียวกันกับที่ฝากแต่จะต้องคืนเงินให้ครบจำนวนและผู้รับฝากเอาเงินนั้นใช้ก็ได้แต่ต้องคืนเงินให้ครบจำนวนเท่านั้น แม้เงินที่รับฝากจะสูญหายไป เพราะเหตุสุดวิสัยผู้รับฝากก็ต้องคืนเงินจำนวนนั้น
2)วิธีเฉพาะสำหรับเจ้าสำนักโรงแรม เจ้าสำนักโรงแรมหรือโฮเต็ลหรือสถานที่อันทำนองเช่นว่านั้นจะต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใดๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินที่คนเดินทางหรือแขกอาศัย
3. เก็บของในคลังสินค้า เนื่องจากปัจจุบันธุรกิจการค้าขยายตัว สินค้าทั้งเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมมีปริมาณมาก และจำนวนมากขึ้น เจ้าของสินค้าอาจไม่มีสถานที่เก็บรักษาหรือที่เรียกว่าโกดัง เพียงพอ จึงเกิดมีอาชีพของนักธุรกิจที่สนใจสร้างโกดังเก็บสินค้าให้เช่าหรือรับฝากสินค้านั้นไว้ ที่เรียกว่า นายคลังสินค้า ทำการเก็บรักษาสินค้าเพื่อบำเหน็จทางการค้า เมื่อรับฝากสินค้าไว้ นายคลังสินค้าจะออกใบรับฝากสินค้าให้กับผู้ฝากไว้เป็นหลักฐาน เรียกว่า ใบรับของคลังสินค้าและประทวนสินค้า
2.2.4 กฎหมายที่เกี่ยวกับการประกันบุคคลและทรัพย์
1.ค้ำประกัน คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ค้ำประกันผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่ง เพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น ซึ่งการค้ำประกันจะสมบูรณ์นั้นจะต้องทำเป็นหนังสือลงลายมือผู้ค้ำประกัน ผู้ค้ำประกันอาจจะเป็นคนเดียวหรือหลายคนก็ได้
ส่วนสิทธิและหน้าที่ของผู้ค้ำประกัน ผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดเมื่อลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ เจ้าหนี้เรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้แก่เจ้าหนี้เมื่อผู้ค้ำประกันชำระหนี้ให้แก่
เจ้าหนี้แล้ว ผู้ค้ำประกันย่อมที่จะเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ให้แก่ผู้ค้ำประกัน
2.จำนอง คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้จำนอง เอาทรัพย์สิน ตราไว้แก่
บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจำนองเป็นประกันการชำระหนี้โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ผู้รับจำนอง การทำสัญญาจำนองต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หากไม่ปฏิบัติตามสัญญาจำนองยอมตกเป็นโมฆะ
ทรัพย์สินที่จำนอง ต้องเป็นอสังหาริมทรัพย์ แต่สังหาริมทรัพย์บางชนิดกู้จำนองได้หากว่าได้จดทะเบียนไว้แล้วตามกฎหมาย ได้แก่
(1)เรือกำปั่น หรือ เรือมีระวางตั้งแต่ 6 ตันขึ้นไป เรือกลไฟ หรือเรือยนต์ที่มีระวางตั้งแต่ 5 ตันขึ้นไป
(2)แพ
(3)สัตว์พาหนะ
(4)สังหาริมทรัพย์อื่นๆ ซึ่งกฎหมายบัญญัติไว้ให้จดทะเบียนเฉพาะการ เช่น ตามพระราชบัญญัติเครื่องจักร พ.ศ.2514 อนุญาตให้จำนองเครื่องจักรซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ หากได้จดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักรตามพระราชบัญญัติแล้ว
สิทธิของผู้รับจำนอง ผู้รับจำนองมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้อื่น ซึ่งในทางกฎหมายล้มละลายเรียกว่า เจ้าหนี้มีประกัน ซึ่งหมายความว่าเจ้าหนี้มีสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ ในทางจำนอง จำนำ ในการฟ้องบังคับจำนอง หลุดแล้วทรัพย์สินนั้นไม่พอชำระหนี้เพราะราคาทรัพย์สินที่จำนองต่ำกว่าจำนวนหนี้หรือขายได้เงินน้อยไม่พอชำระหนี้ที่ค้างชำระกัน เงินยังขาดอยู่เท่าใดลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดในเงินนั้น
3. จำนำ คือสัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าผู้จำนำส่งมอบทรัพย์สินสิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนเรียกว่าผู้รับจำนำ เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ ความรับผิดของผู้จำนำ เช่นเดียวกับสัญญาจำนอง เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระและลูกหนี้ไม่ชำระเจ้าหนี้มีสิทธิจะบังคับจำนำได้ตามกฎหมาย นำทรัพย์สินขายทอดตลาด
ข้อสังเกต ความแตกต่างระหว่างจำนำกับจำนอง
จำนำต่างกับจำนอง คือผู้จำนำต้องส่งมอบทรัพย์สินไว้แก่ผู้รับจำนำ แต่จำนองไม่ต้องส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ผู้รับจำนอง และเมื่อบังคับจำนำได้เงินน้อยกว่าที่ค้างชำระลูกหนี้ต้องรับใช้ส่วนที่ขาดให้แก่เจ้าหนี้ด้วย ส่วนบังคับจำนองเมื่อนำขายทอดตลาดแล้วยังได้เงินน้อยกว่าที่จำนองไว้ลูกหนี้ไมต้องรับส่วนที่ขาดให้แก่เจ้าหนี้
2.2.5 หลักกฎหมายว่าด้วย ตัวแทน นายหน้า
1. ตัวแทน คือสัญญาซึ่งให้บุคคลหนึ่งเรียกว่าตัวแทนมีอำนาจทำการแทนบุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าตัวการ เมื่อตัวแทนไปทำการแทนตัวการกับบุคคลภายนอกตามที่ได้รับมอบหมายจากตัวการแล้ว ตัวการย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก
2. นายหน้า คือ บุคคลซึ่งทำสัญญากับบุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าตัวการ ตกลงทำหน้าที่เป็นคนกลางหรือเป็นสื่อชี้ช่องให้ตัวการได้เข้าทำสัญญากับบุคคลภายนอก
สัญญานายหน้านั้นตามปกติต้องว่ามีบำเหน็จ แม้จะไม่มีข้อตกลงกันไว้ ก็ต้องให้ตามธรรมเนียมคือร้อยละ 5 สิทธิเรียกค่าบำเหน็จเกิดขึ้นเมื่อตัวการกับบุคคลภายนอกได้ตกลงกันทำสัญญากันเสร็จ แม้ต่อมาจะมีการบอกเลิกสัญญาภายหลัง ก็ต้องจ่ายค่าบำเหน็จให้
ความรับผิดของนายหน้า นายหน้าไม่ต้องรับผิดในการปฏิบัติตามสัญญาของคู่สัญญา
2.2.6 หลักกฎหมายว่าด้วย ตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด
1. ตั๋วเงิน ตั๋วเงินมีลักษณะสำคัญคือ ต้องทำเป็นหนังสือตราสาร มีเนื้อความตามที่กฎหมายกำหนดโดยมีวัตถุแห่งหนี้เป็นเงินตราและเป็นตราสารเปลี่ยนมือได้โดยการส่งมอบหรือ สลักหลังตราสารนั้นๆ การชำระหนี้ด้วยตั๋วเงินจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อได้มีการใช้เงินตราตามตั๋วเงินนั้นและแม้การเรียกให้ใช้เงินตามมูลหนี้จะขาดอายุความแล้ว หากหนี้เดิมยังไม่ขาดอายุความ ก็ยังคงเรียกให้ชำระหนี้ตามมูลหนี้เดิมได้
ตั๋วเงินตามกฎหมายมี 3 ชนิด คือตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน และเช็ค
1)ตั๋วแลกเงิน คือหนังสือตราสารซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่า ผู้สั่งจ่ายสั่งบุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้จ่ายให้ใช้เงินจำนวนหนึ่งแก่บุคคลอีกคนหนึ่งให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่งซึ่งเรียกว่าผู้รับเงิน ตั๋วแลกเงินจะต้องมีข้อความบอกว่าเป็นตั๋วแลกเงิน ซึ่งอาจจะใช้ภาษาใดก็ได้ มีคำสั่งอันปราศจากเงื่อนไข ระบุชื่อผู้จ่ายเงิน แก่ผู้รับเงินหรือผู้ถือ เป็นจำนวนเงินอันแน่นอน ตามวันและสถานที่ที่ระบุ พร้อมทั้งลงวันเดือนปี สถานที่ออกตั๋วเงินและลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายด้วย หากขาดรายการหนึ่งรายการใด ย่อมไม่ใช่ตั๋วเงินตามกฎหมาย
2)ตั๋วสัญญาใช้เงิน คือหนังสือตราสารซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ออกตั๋ว ให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งหรือให้ใช้ตามคำสั่ง ของบุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับเงิน
รายการของตั๋วสัญญาใช้เงิน เช่น คำบอกชื่อว่าเป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน คำมั่นสัญญาปราศจากเงื่อนไขว่าจะใช้เงินเป็นจำนวนแน่นอน วันถึงกำหนดใช้เงิน สถานที่ใช้เงิน ชื่อหรือยี่ห้อของผู้รับเงิน วันและสถานที่ออกตั๋วสัญญาใช้เงินลายมือชื่อผู้ออกตั๋ว
3)เช็ค คือหนังสือตราสาร ซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าผู้สั่งจ่ายสั่งธนาคาร ให้ใช้เงินจำนวนหนึ่งเมื่อทวงถามให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่งอันเรียกว่าผู้รับเงิน
เช็คต้องมีรายการ เช่น คำบอกชื่อว่าเป็นเช็ค คำสั่งอันปราศจากเงื่อนไขให้ใช้เงินเป็นจำนวนแน่นอน ชื่อหรือยี่ห้อและสำนักของธนาคารชื่อยี่ห้อของผู้รับเงิน หรือคำจดแจ้งว่าให้ใช้เงินแก่ ผู้ถือ สถานที่ใช้เงิน วันและสถานที่ออกเช็คลายมือชื่อผู้สั่งจ่าย
ข้อสังเกต ในปัจจุบันผู้จ่ายเช็คไม่มีเงิน มีความผิดทางอาญาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534
2. บัญชีเดินสะพัด คือสัญญาซึ่งบุคคลสองคนตกลงกันว่าสืบแต่นั้นไป หรือในชั่วเวลากำหนดอันใดอันหนึ่งให้ตัดทอนบัญชีหนี้ทั้งหมด หรือแต่บางส่วนอันเกิดขึ้นแต่กิจการในระหว่างเขาทั้งสองหักกลบลบหนี้กันและคงชำระแต่ละส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือโดยดุลภาค
2.2.7 หลักกฎหมายว่าด้วยการประกันภัย
ประกันภัย เป็นกิจการที่ตั้งขึ้นโดยเอาบุคคลที่อยู่ในวาระอาจเสี่ยงภัยในลักษณะเดียวกันมารวบกันเข้า เพื่อช่วยเฉลี่ยค่าเสียหายกันเมื่อคนหนึ่งคนใดเกิดภัยพิบัติขึ้นดังนั้นการประกันภัยคือสัญญาซึ่งบุคคลหนึ่ง เรียกว่า ผู้เอาประกันภัย ซึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือใช้เงินจำนวนหนึ่งให้ เมื่อเกิดภัยในอนาคตแก่ผู้เอาประกันภัยซึ่งตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัยให้โดยอาจส่งเงินเป็นงวดหรือเป็นก้อนก็ได้
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แบ่งประเภทของประกันภัยได้ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ สัญญาประกันวินาศภัย กับสัญญาประกันชีวิต
1. สัญญาประกันวินาศภัย เป็นสัญญาที่มุ่งหมายชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นอันสามารถคำนวณเป็นราคาได้ เช่นประกันภัยขนส่ง ประกันภัยทางทะเล หรือประกันภัยค้ำจุน ประกันอัคคีภัย เป็นต้น
2. สัญญาประกันชีวิต มุ่งที่จะให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เอาประกันหรือผู้มีความสัมพันธ์กับผู้เอาประกันที่ต้องพึ่งพากัน ถ้าผู้เอาประกันถึงแก่กรรมลง
ในปัจจุบัน ธุรกิจประกันภัย ประกันวินาศภัย ประกันชีวิตมีกฎหมายพิเศษควบคุมอีกต่างหาก คือ พระราชบัญญัติประกันวินาศภัยและพระราชบัญญัติประกันชีวิตพ.ศ.2534 กระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้ดูแล
2.3 กฎหมายที่เกี่ยวกับการระงับข้อพิพาททางธุรกิจ
กฎหมายที่เกี่ยวกับการระงับข้อพิพาททางธุรกิจ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติไว้ในบรรพ 3 เอกเทศสัญญา ลักษณะ 17 สัญญาประนีประนอมยอมความ หมายถึงสัญญาซึ่งผู้เป็นสัญญาทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนฝันให้แก่กัน มีคดีขึ้นสู่ศาลเป็นจำนวนมาก คงจะเป็นเพราะประนีประนอมยอมความเป็นสัญญาที่ระงับข้อพิพาทที่มีอยู่จะมีขึ้นให้เสร็จสิ้นไป คู่กรณีจึงนิยมระงับข้อพิพาทด้วยการทำสัญญากันไว้ชั้นหนึ่ง แทนที่จะฟ้องต่อศาลเลย ยังผลให้หนี้เดิมระงับและก่อให้เกิดสิทธิหน้าที่ใหม่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่ภายหลังคู่กรณีฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามสัญญา อีกฝ่ายจึงต้องฟ้องร้องยอมความ แก่ภายหลังคู่กรณีฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามสัญญา อีกฝ่ายจึงต้องฟ้องร้องบังคับคดีต่อศาล และคงเป็นเพราะเมื่อมีการฟ้องคดีต่อศาลกันแล้ว แต่ระหว่างดำเนินคดีคู่ความตกลงกันได้ จึงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและให้ศาลพิพากษายอมความ
1. ลักษณะของประนีประนอมยอมความ สามารถแยกได้ดังนี้
1)เป็นสัญญา ซึ่งประกอบด้วยคู่สัญญาด้วยคู่สัญญา 2 ฝ่ายขึ้นไปหรืออาจเรียกสัญญานั้นว่านิติกรรมหลายฝ่าย
2)เป็นสัญญาที่ระงับข้อพิพาทให้เสร็จสิ้นไป
สัญญาประนีประนอมยอมความจะต้องทำ ณ สถานที่ใด กฎหมายไม่ได้กำหนดไว้ นั้นจะทำที่ใดก็ได้สุดแล้วแต่คู่สัญญา แต่ที่เป็นอยู่ขณะนี้พอจะแบ่งตามลักษณะของสถานที่ที่ทำสัญญาได้ 2 ประเภทดังนี้
(1)ทำสัญญาประนีประนอมยอมความในศาล
(2)ทำสัญญาประนีประนอมยอมความนอกศาล
2.4 หลักกฎหมายที่เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจที่ไม่สามารถบังคับกันได้
หลักกฎหมายที่เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจที่ไม่สามารถบังคับกันได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้บัญญัติไว้ในบรรพ 3 เอกเทศ คือ สัญญาลักษณะการพนันและขันต่อ เป็นสัญญาซึ่งผู้เป็นคู่สัญญาต่างเล่นเอาเงินหรือทรัพย์สินด้วยเสี่ยงโชคหรือฝีมือโดยการตกลงกันว่าในอนาคตหากมีเหตุการณ์อันไม่มีความแน่นอนเกิดขึ้นและเป็นไปอย่างที่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งคาดหมายไว้ คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งคาดหมายผิดเป็นฝ่ายข้างเสียพนันขันต่อจะต้องใช้หนี้เงินหรือทรัพย์แก่ฝ่ายนั้นซึ่งเป็นฝ่ายชนะพนัน ซึ่งการพนันหรือขันต่อนั้น เป็นหนี้ที่ไม่สามารถบังคับกันได้ ที่สามารถแยกผลทางกฎหมาย ได้ 3 ประการคือ
1. ไม่ก่อให้เกิดหนี้
2. สิ่งใดที่ให้กันทวงคืนไม่ได้
3. แม้ทำข้อตกลงเป็นมูลหนี้อื่นก็หาก่อให้เกิดหนี้ไม่
แต่อย่างไรก็ตาม การเล่นการพนันที่รัฐบาลอนุญาตให้เล่นการพนันเป็นการเฉพาะราย
เช่นสลากกินแบ่งรัฐบาลหรือ ล๊อตเตอรี่ สลากออมสิน หวยรัฐบาล เป็นต้น เป็นหนี้ที่สามารถบังคับกันได้ ซึ่งเป็นข้อยกเว้น รายละเอียดได้บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการพนันด้วย
ตัวการ คือ 在 ตัวการ ผู้ร่วมกระทำความผิด ตาม ป.อ.... - รวมเด็ดเกร็ดกฎหมาย 的推薦與評價
ตัวการ ผู้ร่วมกระทำความผิด ตาม ป.อ. มาตรา 83 การเป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอ าญา มาตรา 83 นั้น จะต้องเป็นกรณีที่บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ... <看更多>
ตัวการ คือ 在 #หลักกฎหมายเน้นๆ [ตัวการ] [ผู้ใช้] [ผู้สนับสนุน] - YouTube 的推薦與評價
หลักกฎหมายเน้นๆ [ ตัวการ ] [ผู้ใช้] [ผู้สนับสนุน] #คอร์สติวสรุปและเขียนตอบให้สอบได้เนติบัณฑิตภาค1สมัย74 #ขาแพ่ง และ #ขาอาญา กับBKL ... ... <看更多>
ตัวการ คือ 在 ตัวการตามประมวลกฎหมายอาญ... - ทบทวนหลักกฎหมายกับ ... 的推薦與評價
2. ตาม ป.อ. มาตรา 83 ตัวการคือ ผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน จะต้องมีการกระทำร่วมกันและมีเจตนาที่จะกระทำผิดด้วยกัน จะมีการคบคิดกันมาก่อนกระทำผิดหรือมีเจตนา ... ... <看更多>