ทำไม สิงคโปร์ จึงเป็นประเทศแห่ง บริการทางการเงิน ? /โดย ลงทุนแมน
ประเทศเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้มีประชากรเพียงราว ๆ 5.7 ล้านคน
แต่สามารถส่งออกบริการด้านการเงินมากเป็นอันดับ 1 ของทวีปเอเชีย
คิดเป็นมูลค่าถึง 1,210,000 ล้านบาท ในปี 2019
จากการจัดอันดับเมืองศูนย์กลางการเงินโลกของ Long Finance ประจำปี 2021
สิงคโปร์คือศูนย์กลางการเงินอันดับ 5
เป็นรองเพียงนิวยอร์ก กรุงลอนดอน และเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นมหานครหลักของประเทศมหาอำนาจ
กับฮ่องกง ที่เป็นเมืองเชื่อมต่อธุรกิจระหว่างโลกกับจีนแผ่นดินใหญ่
สำหรับประเทศเกาะเล็ก ๆ ที่เพิ่งก่อตั้งในปี 1965 และแทบไม่มีทรัพยากรธรรมชาติอะไรเลย
แม้แต่น้ำจืดก็ยังขาดแคลนจนต้องนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน
แต่สามารถเติบโตจนแซงหน้ามหานครในหลายประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่า
และก้าวขึ้นมาอยู่ระดับแถวหน้าของโลกได้ภายในเวลาไม่ถึง 50 ปี..
ความมหัศจรรย์ทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์ มีเส้นทางเป็นอย่างไร ?
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ซีรีส์บทความ “Branding the Nation” ปั้นแบรนด์ แทนประเทศ
ตอน ทำไม สิงคโปร์ จึงเป็นประเทศแห่ง บริการทางการเงิน ?
ถึงแม้ประเทศจะมีขนาดเล็ก ไม่ค่อยเหมาะสมกับการเพาะปลูก และแทบไม่มีทรัพยากรอะไรเลย
แต่เกาะสิงคโปร์ยังมีความโชคดีอยู่ประการหนึ่ง คือ
“ทำเลที่ตั้งที่อยู่ปลายสุดของคาบสมุทรมลายู”
ทำเลนี้เป็นจุดสำคัญของเส้นทางเดินเรือ ที่เชื่อมต่อระหว่างเอเชียตะวันออก กับอินเดียและยุโรป
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 อังกฤษรวบรวมดินแดนแถบนี้และเรียกว่า “อาณานิคมช่องแคบ”
สิงคโปร์จึงถูกวางให้เป็นเมืองท่าสำคัญของบริษัท บริติช อีสต์ อินเดีย ซึ่งเป็นบริษัทที่เดินเรือทำการค้าขายระหว่างยุโรป กับอินเดียและโลกตะวันออก
ต่อมาเมื่อมีการปฏิวัติอุตสาหกรรมในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เกิดอุตสาหกรรมอาหารกระป๋องที่ได้รับความนิยมสูงในยุโรป แร่ธาตุที่จะนำมาทำกระป๋องก็คือ ดีบุก ซึ่งพบมากแถบคาบสมุทรมลายู เมืองท่าสิงคโปร์จึงถูกพัฒนาให้เป็นตลาดค้าดีบุกที่สำคัญของโลก
นอกจากดีบุกแล้ว การนำยางพาราเข้ามาปลูกในแถบมลายูในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน
ก็ทำให้สิงคโปร์กลายเป็นศูนย์กลางของตลาดประมูลยางพาราอีกหนึ่งตำแหน่ง
การเป็นทั้งเมืองท่า เป็นศูนย์กลางการค้าดีบุกและยางพารา ส่งผลให้การแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศในสิงคโปร์คึกคัก ดึงดูดชาวต่างชาติให้เข้ามาเปิดกิจการธนาคาร
ธนาคารต่างชาติแห่งแรกที่เข้ามาเปิดทำการในสิงคโปร์ คือ The Union Bank of Calcutta
เปิดในปี 1840 มีการจัดตั้งสกุลเงินประจำอาณานิคมช่องแคบ คือ Straits Dollar ในปี 1845
ส่วนธนาคารแห่งแรกที่ก่อตั้งในสิงคโปร์ ก่อตั้งโดยชาวจีนโพ้นทะเลที่อพยพมาจากกวางตุ้ง
ชื่อว่า Kwong Yik Bank ในปี 1903 และหลังจากนั้นก็ตามมาด้วยธนาคารอีกหลายแห่ง
แต่ก็มีธนาคารมากมายที่ล้มหายตายจาก หรือถูกควบรวมกับธนาคารอื่น ๆ
ส่วนธนาคารที่ยังดำเนินการมาจนถึงปัจจุบันก็คือ
OCBC หรือ Oversea-Chinese Banking Corporation Limited ซึ่งเกิดจากการควบรวมธนาคารของชาวจีนฮกเกี้ยน 3 แห่ง ในปี 1932
และอีกธนาคารหนึ่งก็คือ UOB หรือ United Overseas Bank ซึ่งก่อตั้งโดยชาวมาเลย์เชื้อสายจีนในปี 1935
แต่ท่ามกลางการวางรากฐานด้านการเงินการธนาคารของสิงคโปร์
การเติบโตทางเศรษฐกิจของเมืองท่าแห่งนี้ต้องหยุดชะงักลงในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เพราะถูกยึดครองโดยกองทัพญี่ปุ่น
เมื่อหลังจบสงคราม อาณานิคมช่องแคบได้รับเอกราชจากอังกฤษ และสิงคโปร์ก็ได้ขอรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซีย ในปี 1963
แต่ด้วยปัญหาความขัดแย้งด้านเชื้อชาติ และอุดมการณ์ทางการเมือง
ท้ายที่สุดสิงคโปร์จึงแยกตัวออกจากมาเลเซีย และก่อตั้งประเทศในปี 1965
พร้อมกับตั้งสกุลเงินดอลลาร์สิงคโปร์ของตัวเองในอีก 2 ปีถัดมา
สิงคโปร์ถือกำเนิดประเทศด้วยการไม่มีทรัพยากรอะไรเลย
และเต็มไปด้วยแรงงานชาวจีนที่หลั่งไหลมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในช่วงหลังสงครามโลก
ลี กวน ยู (Lee Kuan Yew) นายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงคโปร์ จึงให้ความสำคัญกับเรื่องสวัสดิภาพความเป็นอยู่ รวมไปถึงการสร้างทักษะให้กับแรงงาน ต่อยอดจากการเป็นเมืองท่าค้าขาย
มีการจัดตั้ง Housing and Development Board เพื่อดูแลในเรื่องที่พักอาศัย
และสร้างนิคมอุตสาหกรรมในเขต Jurong ทางตะวันตกของเกาะ
เพื่อสร้างงานในภาคอุตสาหกรรม
โครงการพัฒนาขนาดใหญ่ทั้ง 2 โครงการ ต้องใช้เงินลงทุนสูง รัฐบาลสิงคโปร์จึงลงทุนเองบางส่วนในโครงการเหล่านี้ และได้ตั้ง The Development Bank of Singapore Limited หรือ ธนาคาร DBS ในปี 1968 เพื่อรองรับเงินทุน กระตุ้นให้เงินทุนหมุนเวียน และโครงการพัฒนาดำเนินไปอย่างราบรื่น
เมื่อผู้คนมีที่อยู่อาศัย มีงานทำ และค่อย ๆ หลุดพ้นจากความยากจนแล้ว รัฐบาลก็ต้องวางแผนต่อเนื่องเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน
ประการแรก: พัฒนาการศึกษา
เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดของประเทศที่ขาดแคลนทรัพยากรอย่างสิงคโปร์ ก็คือ “ทรัพยากรมนุษย์”
รัฐบาลสิงคโปร์จึงให้ความสำคัญต่อนโยบายการศึกษาอย่างสูงสุด โดยมีการปฏิรูปคุณภาพของระบบ และมาตรฐานการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่อง
เริ่มจากการมีบุคลากรครูคุณภาพสูง โดยครูทุกคนต้องจบการศึกษาในด้านที่เกี่ยวข้อง หลังจบการศึกษาต้องเข้ารับการฝึกอบรมวิชาชีพครูจากสถาบันการศึกษาแห่งชาติสิงคโปร์ (National Institute of Education หรือ NIE) เป็นเวลา 1 ปี เมื่อปฏิบัติหน้าที่ครูแล้วต้องได้รับการประเมิน และพัฒนาในทุก ๆ ปี
และด้วยความหลากหลายทางเชื้อชาติและภาษาของผู้คนในสิงคโปร์ ที่มีทั้งชาวจีน ชาวมาเลย์ ชาวทมิฬ ซึ่งแต่ละเชื้อชาติต่างก็มีการใช้ภาษาเป็นของตัวเองแตกต่างกันไป
สิ่งที่จะหลอมรวมให้คนทุกเชื้อชาติสามารถอยู่ร่วมกันก็คือ
“ชาวสิงคโปร์ทุกคนจะต้องสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้”
นำมาสู่ระบบการเรียนการสอนสองภาษา ที่มีการใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก
ส่วนภาษาที่สองก็เป็นภาษาของแต่ละเชื้อชาติ
รัฐบาลสิงคโปร์ยังได้สร้างทางเลือกในการศึกษาระดับมัธยมให้กับประชาชน โดยแบ่งเป็น
หลักสูตรมัธยมศึกษาเชิงวิชาการ สำหรับนักเรียนที่มุ่งเรียนต่อในมหาวิทยาลัย
และหลักสูตรมัธยมศึกษาโพลีเทคนิค สำหรับนักเรียนที่มุ่งเรียนต่อในสายอาชีวะ
ซึ่งรัฐบาลสิงคโปร์ก็ผลักดันมาตรฐานในการเรียนสายอาชีวะให้มีคุณภาพสูง
เพราะมองว่านักเรียนแต่ละคนมีความถนัดทางวิชาการไม่เท่ากัน และสายอาชีวะสามารถผลิตบุคลากรเพื่อป้อนตลาดแรงงานในทันที
โดยหนึ่งในสายวิชาชีพ ที่รัฐบาลผลักดันตั้งแต่การก่อตั้งวิทยาลัยอาชีวะแห่งแรก ๆ ก็คือ “นักบัญชี”
สำหรับการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย มีการจัดตั้ง National University of Singapore (NUS) ที่เกิดจากการควบรวมมหาวิทยาลัย 2 แห่งในปี 1980 และเริ่มพัฒนาหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการ โดยจัดตั้ง NUS Entrepreneurship Centre ในปี 1988
ซึ่งในปีการศึกษา 2022 มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ก็เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดอันดับ 1 ของทวีปเอเชีย
จากการจัดอันดับโดย QS
ต่อมาในปี 1981 มีการจัดตั้ง Nanyang Technological University (NTU)
ซึ่งก็กลายเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดอันดับ 2 ของทวีปเอเชีย
โดยมี Nanyang Business School เป็นสถาบันด้านบริหารธุรกิจอันดับ 1 ของสิงคโปร์
เมื่อสร้างแรงงานที่เป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉพาะในภาคบริหารธุรกิจและการเงิน รวมไปถึงด้านกฎหมาย และแรงงานส่วนใหญ่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี
ปัจจัยเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ ทำให้สิงคโปร์มีความเป็นเมืองนานาชาติ และมีข้อได้เปรียบดึงดูดบริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะสถาบันการเงิน บริษัทด้านบัญชี และกฎหมาย ให้เลือกมาตั้งสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาคในสิงคโปร์
รัฐบาลได้จัดตั้ง ธนาคารกลางแห่งสิงคโปร์ (Monetary Authority of Singapore หรือ MAS) ในปี 1971 เพื่อควบคุมสถาบันการเงิน และบริหารจัดการนโยบายทางการเงิน
ด้วยความที่สิงคโปร์เป็นประเทศขนาดเล็กและเป็นเมืองท่าค้าขาย และพึ่งพาการค้าจากต่างประเทศสูงมาก สิงคโปร์จึงอาศัยกลไก “อัตราแลกเปลี่ยน” เป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายการเงิน ภายใต้การบริหารจัดการของ MAS
ประการที่ 2: ปฏิรูประบบราชการ
เมื่อวางแผนระบบการศึกษาเพื่อสร้างแรงงานที่มีคุณภาพแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องพัฒนาเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติก็คือ “ความโปร่งใส”
ในช่วงหลังการแยกตัวเป็นเอกราช
สิงคโปร์เคยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการคอร์รัปชันสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
รัฐบาลภายใต้การนำของนายก ลี กวน ยู ได้ย้ายสำนักสืบสวนการทุจริตคอร์รัปชัน (Corrupt Practices Investigation Bureau หรือ CPIB)
ซึ่งเป็นองค์กรที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1952 มาอยู่ภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรี
และทำการปฏิรูปกฎหมายป้องกันและปราบปรามการคอร์รัปชัน ให้ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ
ทั้งการตัดสินลงโทษผู้ต้องหาโดยไม่ต้องมีหลักฐานชัดเจน แค่มีพฤติกรรมโน้มเอียงไปในทางไม่ซื่อสัตย์ก็สามารถตัดสินได้ หากผู้ต้องหาถูกตัดสินว่าผิดจริง ก็จะได้รับโทษอย่างรุนแรง
นอกจากโทษทางกฎหมายแล้ว ยังต้องชดใช้ค่าเสียหายเท่ากับจำนวนเงินที่ทำการทุจริตด้วย
หลังจากตัวบทกฎหมาย และกระบวนการลงโทษเริ่มเข้าที่เข้าทาง
ขั้นต่อมา คือการเพิ่มผลตอบแทนให้ข้าราชการ โดยเริ่มในปี 1989
เพื่อจูงใจให้คนเก่งเข้ารับราชการ และลดการรับสินบนของเจ้าหน้าที่รัฐ
รัฐบาลสิงคโปร์ใช้เวลาต่อสู้กับการคอร์รัปชันมาเป็นเวลากว่า 50 ปี
จนสิงคโปร์กลายเป็นประเทศที่มีดัชนีความโปร่งใส (Corruption Perceptions Index)
สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก ในปี 2020
เมื่อประเทศมีความโปร่งใส ก็ดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ในขณะที่รัฐบาลก็มีเงินมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ทั้งการคมนาคมขนส่ง ไปจนถึงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
รัฐบาลสิงคโปร์ยังได้ก่อตั้ง คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจ (Economic Development Board หรือ EDB) เพื่อวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่ชัดเจน
จากเมืองท่าปลอดภาษี ในช่วงทศวรรษ 1970s สิงคโปร์ต่อยอดมาสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และปิโตรเคมี ในทศวรรษ 1980s
และในช่วงทศวรรษ 1990s ประเทศแห่งนี้ก็เปลี่ยนไปเป็นศูนย์กลางบริการทางการเงินของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ประการที่ 3: พัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ
รัฐบาลสิงคโปร์ได้จัดตั้ง The Smart Nation and Digital Government Group หรือ SNDGG รับผิดชอบในการเปลี่ยนแปลงบริการต่าง ๆ ของภาครัฐสู่ระบบดิจิทัล เพื่อเก็บข้อมูล และประยุกต์ใช้ในการวางแผนพัฒนาประเทศ ทำให้รัฐบาลสิงคโปร์มี Big Data โดยเฉพาะข้อมูลทางการเงิน
รัฐบาลจึงสามารถตรวจสอบเส้นทางทางการเงินได้ ป้องกันการฟอกเงิน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองทำให้สิงคโปร์ได้รับความน่าเชื่อถือ สามารถเป็นศูนย์กลางทางการเงิน
รัฐบาลยังต่อยอดและให้การสนับสนุนเทคโนโลยีทางการเงิน หรือ FinTech โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้สิงคโปร์เป็น The FinTech Nation
ทั้งการเปิดให้บริษัท FinTech จากทั่วโลก ขอใบอนุญาต Digital Banking ได้เต็มรูปแบบ
ไม่ปิดกั้นเฉพาะองค์กรในสิงคโปร์ และให้การสนับสนุนนวัตกรรมทางการเงินหลายรูปแบบ
ทั้งระบบชำระเงิน, บล็อกเชน ไปจนถึงเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์
ในขณะที่ธนาคารกลางสิงคโปร์ ก็เป็นผู้ริเริ่มจัดงาน Singapore FinTech Festival ซึ่งจัดขึ้นครั้งแรกในปี 2016 และจัดขึ้นติดต่อกันมาเป็นประจำทุกปี ซึ่งถือว่าเป็นมหกรรม FinTech ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ปัจจุบัน ธนาคารสิงคโปร์ที่ใหญ่ที่สุด 3 แห่ง คือ DBS, OCBC และ UOB
ล้วนเป็น 3 ธนาคารที่ใหญ่อันดับต้น ๆ ในภูมิภาคอาเซียน มีผลิตภัณฑ์การเงินที่หลากหลาย ทั้งประกันภัย ผลิตภัณฑ์การลงทุนต่าง ๆ ไปจนถึงสกุลเงินดิจิทัล
ภาคบริการการเงินคิดเป็นสัดส่วนราว 7.4% ของการส่งออกสินค้าและบริการของสิงคโปร์ ซึ่งบริการขั้นสูงเหล่านี้ มีส่วนสำคัญที่ผลักดัน GDP ต่อหัวของชาวสิงคโปร์ให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ
ในปี 1965 ที่ก่อตั้งประเทศ ชาวสิงคโปร์เคยมี GDP ต่อหัวน้อยกว่า เจ้าอาณานิคมอย่างสหราชอาณาจักร ประเทศแห่งนวัตกรรมอย่างเยอรมนี หรือประเทศมหาอำนาจในเอเชียอย่างญี่ปุ่น
แต่ในปี 2020 GDP ต่อหัวชาวสิงคโปร์แซงหน้าประเทศเหล่านี้ทั้งหมด และมากเป็นเกือบ 1.5 เท่า ของอดีตเจ้าอาณานิคม..
เรื่องทั้งหมดนี้เกิดจากการวางแผนระยะยาว
ทั้งการเตรียมทรัพยากรมนุษย์ให้พร้อมสำหรับงานบริการ
การพัฒนาประเทศให้โปร่งใสและมีความน่าเชื่อถือในระดับสากล
รวมไปถึงการช่วยเหลือของภาครัฐในทุก ๆ ด้าน
จากเมืองท่าศูนย์กลางการค้า สิงคโปร์ก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางการเงินของภูมิภาค และกำลังจะกลายเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีทางการเงินแห่งศตวรรษที่ 21
เรื่องราวของประเทศเกาะมหัศจรรย์แห่งนี้ บอกให้เรารู้ว่า
เมื่อเริ่มเป็นศูนย์กลางอะไรสักอย่าง และสั่งสมประสบการณ์จนมากพอแล้ว
ก็จะง่ายในการดึงดูดสิ่งใหม่ ๆ และกลายเป็นศูนย์กลางด้านอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
และในวันนี้ สิงคโปร์กำลังเตรียมพร้อมทุกอย่าง
สำหรับการเป็นศูนย์กลางอีกหลายด้าน ที่กำลังจะเกิดขึ้นในโลกอนาคต..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-http://prp.trf.or.th/download/2538/
-https://atlas.cid.harvard.edu/explore?country=undefined&product=404&year=2019&productClass=HS&target=Product&partner=undefined&startYear=undefined
-https://remembersingapore.org/2011/10/07/money-never-sleeps-a-brief-history-of-banking-in-sg/
-https://lkyspp.nus.edu.sg/docs/default-source/case-studies/entry-1516-singapores_transformation_into_a_global_financial_hub.pdf
-https://data.worldbank.org/indicator/NY.GDP.PCAP.CD?locations=SG-GB-JP-DE
-https://www.moneyandbanking.co.th/article/news/dbs-cryptocurrency-trading-130964?fbclid=IwAR2VVHEH9_n29fpyXSQ6EgSGDm63Lhm3aQF0aj7I8LIQ_B2wgjIXSazIVxU
บริติช คือ 在 Vikrom วิกรม Facebook 的最佳貼文
อมตะสปริงคันทรีคลับ พร้อมต้อนรับศึกยิ่งใหญ่แห่งปี “ไทยแลนด์ กอล์ฟ แชมเปี้ยนชิพ 2011” ระหว่างวันที่ 15-18 ธันวาคม 54 นักกอล์ฟชั้นนำของโลกอย่าง รอรีย์ แม็คอิลรอย ดาร์เรน คลาร์ก ลี เวสต์วูด เรียว อิชิกาวา และยอดโปรฝีมือดีของเอเชียนำโดย ธงชัย ใจดี นักกอล์ฟขวัญใจชาวไทยต่างตอบรับเข้าร่วมการแข่งขัน “ไทยแลนด์ กอล์ฟ แชมเปี้ยนชิพ” ซึ่งเป็นการแข่งขันกอล์ฟรายการล่าสุดที่บรรจุเข้าในตารางการแข่งขันของเอเชียน ทัวร์ และเป็นรายการปิดฤดูกาลเอเชียน ทัวร์ 2011 ซึ่งแชมป์ในรายการนี้จะได้รับเงินรางวัล 158,500 เหรียญสหรัฐ รวมถึงยังได้สิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขัน WGC-Bridgestone Invitational ในปี 2012 ซื้อบัตรได้ที่ Thaiticketmajor นะครับ
รอรีย์ แม็คอิลรอย ดาร์เรน คลาร์ก และ ลี เวสต์วูด
ร่วมแข่งขัน Thailand Golf Championship ธันวาคมนี้
กรุงเทพฯ: 2 สิงหาคม 2554 รอรีย์ แม็คอิลรอย ดาร์เรน คลาร์ก สองแชมป์เมเจอร์แห่งปี และลี เวสต์วูด โปรกอล์ฟอันดับสองของโลก ตบเท้าเข้าร่วมดวลวงสวิงการแข่งขันกอล์ฟรายการใหม่ “Thailand Golf Championship” ชิงเงินรางวัลรวม 1 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 31 ล้านบาท) ปิดฤดูกาลเอเชียน ทัวร์ 2011 อย่างยิ่งใหญ่ที่ประเทศไทยในเดือนธันวาคมนี้
กอล์ฟรายการ Thailand Golf Championship จะแข่งขันกันในระหว่างวันที่ 15–18 ธันวาคม 2554 ณ สนามอมตะ สปริง คันทรี คลับ จ.ชลบุรี ถือเป็นกอล์ฟรายการล่าสุดที่บรรจุเข้าเป็นรายการแข่งขันของเอเชียน ทัวร์ และเป็นการแข่งขันรายการสุดท้ายปิดฤดูกาลเอเชียน ทัวร์ 2011 หลังจากการแข่งขันอย่างเข้มข้นตลอดฤดูกาลจะได้ทราบอันดับเงินรางวัลสะสมของนักกอล์ฟเอเชียนทัวร์ และใครจะครองตำแหน่งมือหนึ่งแห่งเอเชียประจำปี เมื่อการแข่งขันครั้งนี้สิ้นสุดลง โดยมีโปรกอล์ฟชื่อดังของโลกเข้าประชันวงสวิงร่วมกับโปรกอล์ฟจากเอเชีย
นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ รองประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในฐานะประธานการจัดการแข่งขันกอล์ฟรายการ ‘Thailand Golf Championship’ ร่วมกับหน่วยงานสำคัญ ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดยคุณสรัญ รังคสิริ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท. เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โดยคุณสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์ ผู้ว่าการ และกลุ่มบริษัท กัลฟ์ สนามอมตะ สปริง คันทรี คลับ และไอเอ็มจี เผยถึงวัตถุประสงค์ของการจัดการแข่งขันกอล์ฟในครั้งนี้ว่า “ผมรู้สึกเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสจัดการแข่งขันกอล์ฟที่ยิ่งใหญ่แห่งปีเพื่อเฉลิมฉลองปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 84 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งปวงชนชาวไทยต่างน้อมใจถวายพระพรในวาระสำคัญอันเป็นมิ่งมงคลนี้”
“ผมเชื่อมั่นว่าการแข่งขัน “Thailand Golf Championship” ในครั้งนี้ จะเป็นการแข่งขันที่ประทับใจผู้ที่ชื่นชอบกีฬากอล์ฟทุกท่าน เพราะมีนักกอล์ฟฝีมือดี อันดับต้นๆของโลกมาร่วมการแข่งขัน จึงถือว่าทุกท่านที่ได้มีส่วนร่วมจัดการแข่งขัน ผู้สนับสนุน ผู้ชม ล้วนมีส่วนร่วมในการสร้างประวัติศาสตร์แห่งวงการ
การแข่งขันกอล์ฟในประเทศไทย และเหนือสิ่งอื่นใด ช่วยเรียกความเชื่อมั่นของประเทศไทยในสังคมโลกให้กลับคืนมาได้อีกแนวทางหนึ่ง ซึ่งจะช่วยเอื้อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของประเทศไทยในระยะยาว” สนามอมตะ สปริง คันทรี คลับ เป็นสนามกอล์ฟชั้นนำของประเทศไทย และเป็นหนึ่งในสนามกอล์ฟที่ดีที่สุดในภูมิภาคเอเชีย ได้ใช้เป็นสถานที่จัดการแข่งขัน Thailand Golf Championship ซึ่งเป็นการแข่งขันระดับแชมเปี้ยนชิพรายการใหม่ และมีการถ่ายทอดสดการแข่งขันตลอดทั้ง 4 วันไปทั่วโลก ผ่านทางเครือข่ายโทรทัศน์ของเอเชียนทัวร์ คาดว่าผู้ชมกว่า 800 ล้านครัวเรือน จาก 200 ประเทศทั่วโลกจะได้รับชมบรรยากาศอันสวยงามและท้าทายของสนามกอล์ฟอมตะ สปริง คันทรี คลับ อย่างทั่วถึง
คุณสารัชถ์ รัตนาวะดี ผู้อำนวยการบริหาร สนามกอล์ฟ อมตะ สปริง คันทรี คลับ เปิดเผยว่า “การแข่งขัน Thailand Golf Championship เป็นก้าวย่างที่สำคัญของสนาม และเป็นโอกาสอันดีสำหรับโปรกอล์ฟชาวไทยและโปรกอล์ฟในเอเชียที่จะได้เข้าร่วมการแข่งขันของเอเชียนทัวร์เพิ่มขึ้นอีก 1 รายการ นอกจากนี้ยังเป็นรายการสุดท้ายปิดฤดูกาล ซึ่งเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของสนามอมตะ สปริง คันทรี คลับ ที่ได้เป็นสนามสำหรับจัดการแข่งขันกอล์ฟระดับแชมเปี้ยนชิพ และเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาศักยภาพวงการกอล์ฟของไทย เพราะได้มีโอกาสประชันวงสวิงร่วมกับนักกอล์ฟอาชีพมือระดับโลกที่เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้”
“การแข่งขันกอล์ฟรายการ Thailand Golf Championship เกิดขึ้นจากความตั้งใจที่ต้องการให้กอล์ฟรายการนี้เป็นรายการที่พิเศษจากการแข่งขันทั่วไป ด้วยการเชิญโปรกอล์ฟชื่อดังของโลกมาร่วมแข่งขันกับโปรกอล์ฟแถวหน้าของเอเชียนทัวร์ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยไปสู่เวทีกอล์ฟระดับโลก และเพื่อเป็นการฉลองวาระอันน่าจำจดนี้ 3 โปรกอล์ฟซูเปอร์สตาร์ของโลกในขณะนี้ คือ
รอรีย์ แม็คอิลรอย โปรหนุ่มไฟแรง เจ้าของแชมป์ ยูเอส โอเพ่นคนล่าสุด ดาร์เรน คลาร์ก ดีกรีแชมป์
บริติช โอเพ่น ที่ผ่านมา และ ลี เวสต์วูด โปร กอล์ฟหมายเลขสองของโลก ได้ตอบรับเข้าร่วมแข่งขันกับโปรไทยและยอดโปรกอล์ฟจากเอเชียนทัวร์ และคาดว่าการแข่งขันรายการนี้จะถูกใจแฟนกอล์ฟชาวไทยอย่างแน่นอน” คุณสารัชถ์ กล่าวเพิ่มเติม
สนามกอล์ฟอมตะ สปริง คันทรี คลับ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เปิดบริการเมื่อปี พ.ศ. 2548 และในปีที่แล้วได้จัดการแข่งขันกอล์ฟสกินเกมการกุศลรายการ World Golf Salutes King Bhumibol นอกจากนี้ยังเป็นสนามแข่งขันรอบคัดเลือกรอบสุดท้ายโซนเอเชียสำหรับการแข่งขัน บริติช โอเพ่น อีกด้วย ด้วยความมุ่งมั่นในการเป็นสนามกอล์ฟชั้นนำของประเทศไทยที่มีศักยภาพทัดเทียมสนามกอล์ฟชั้นนำของโลก และด้วยความโดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ของกรีนกลางน้ำหลุม 17 ของสนามที่ทุกคนต่างประทับใจ
มร.ชี ลา ฮาน ประธานเอเชียนทัวร์ กล่าวว่า “กอล์ฟรายการ Thailand Golf Championship 2011 เป็นการแข่งขันกอล์ฟรายการสุดท้ายที่ทำให้เอเชียนทัวร์ปิดฤดูกาลได้อย่างมีสีสัน น่าตื่นตาตื่นใจ ด้วยจำนวนเงินรางวัลรวมสูงถึง 1 ล้านเหรียญสหรัฐและสนามที่มีความท้าทาย อีกทั้งนอกจากแชมป์ในรายการนี้จะได้รับเงินรางวัลมูลค่า 158,500 เหรียญสหรัฐแล้ว ยังได้สิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขัน WGC-Bridgestone Invitational ในปี 2012 อีกด้วย ผมเชื่อมั่นว่านักกอล์ฟทุกคนต่างมุ่งมั่นคว้าชัยชนะเพื่อก้าวขึ้นสู่การเป็นนักกอล์ฟที่ทำเงินรางวัลสูงสุดประจำฤดูกาล การแข่งขันรายการนี้ยังช่วยพัฒนาศักยภาพของนักกอล์ฟในเอเชียนทัวร์ และนักกอล์ฟรุ่นใหม่ๆ ที่มีความสามารถ ผมขอแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจที่สนามกอล์ฟ อมตะ สปริง คันทรี คลับ ได้ริเริ่มการจัดการแข่งขันรายการนี้ขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรีประเทศไทย”
“ทั้งนี้โปรกอล์ฟของเอเชียนทัวร์ต่างตื่นเต้นเมื่อทราบว่าจะมีการจัดการแข่งขันรายการสุดท้ายเพิ่มเข้ามาในตารางการแข่งขัน และยังแข่งขัน ณ สนามกอล์ฟอมตะ สปริง คันทรี คลับ ซึ่งที่มีความท้าทายเป็นอย่างมาก ด้วยการทำงานอย่างใกล้ชิดกับสนาม เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการแข่งขัน Thailand Golf Championship จะเป็นการแข่งขันกอล์ฟระดับแนวหน้าของเอเชียนทัวร์อย่างแน่นอน”
มร.แกรนท์ สแล็ค รองประธานฝ่ายกอล์ฟ ประจำภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิค ไอเอ็มจี กล่าวว่า “ไอเอ็มจี ภูมิใจเป็นอย่างยิ่งได้รับความเชื่อมั่นให้จัดกอล์ฟรายการนี้ ในฐานะที่เป็นผู้จัดการแข่งขันกอล์ฟรายการใหญ่ๆมาแล้วในทุกภูมิภาคทั่วโลก เราเชื่อว่าจากประสบการณ์ที่สั่งสม บุคลากรที่มีประสิทธิภาพ ศักยภาพที่สมบูรณ์ของสนาม ประกอบกับนักกอล์ฟที่เข้าร่วมล้วนมีฝีมือเป็นที่น่าจับตามอง กอล์ฟรายการ Thailand Golf Championship จะสร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนกอล์ฟในประเทศไทยและผู้ชมทั่วโลก และถือได้ว่าเป็นรายการกอล์ฟชายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย”
ทางด้าน รอรีย์ แม็คอิลรอย และดาร์เรน คลาร์ก สองโปรกอล์ฟเจ้าของแชมป์เมเจอร์ชาวไอร์แลนด์เหนือนั้น รอรีย์ ถูกจับตามองในฐานะโปรหนุ่มไฟแรงผู้ที่จะก้าวสู่การเป็นนักกอล์ฟอันดับหนึ่งในอนาคต หลังจากคว้าแชมป์ ยูเอส โอเพ่น เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาได้อย่างประทับใจด้วยสกอร์ทิ้งห่างถึง 8 สโตรค โปรหนุ่มวัย 22 ปี กล่าวว่า “ผมได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับอมตะ สปริง สนามกอล์ฟระดับแชมเปี้ยนชิพแห่งนี้ ผมตั้งตารอคอยที่จะมาแข่งขันในรายการ Thailand Golf Championship ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในเดือนธันวาคมนี้ และหวังว่าจะปิดฤดูกาลด้วยชัยชนะ”
ดาร์เรน คลาร์ก โปรวัย 42 ปี ที่เพิ่งคว้าแชมป์ ดิ โอเพ่น ที่สนามรอยัล เซนต์ จอร์จ เมื่อเดือนที่แล้ว กล่าวว่า “ผมคุ้นเคยกับการแข่งขันกอล์ฟในภูมิภาคเอเชียมาตั้งแต่ปี 1990 ผมชื่นชอบการแข่งขันในสนามกอล์ฟชั้นนำร่วมกับโปรจากเอเชียนทัวร์คนอื่นๆ และการเดินทางมาแข่งขันรายการนี้จะเป็นการแข่งขันที่สนุกท้าทายอย่างแน่นอน”
ส่วนลี เวสต์วูดนั้นมุ่งมั่นคว้าชัยชนะรายการที่ 3 ของปี หลังจากที่สามารถครองแชมป์ 2 รายการติดกันคือ Indonesian Masters ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปีนี้ และรายการ Ballantine’s Championship ที่ประเทศเกาหลี
ลี เวสต์วูด กล่าวว่า “ผมชอบที่จะเดินทางไปประเทศในเอเชียโดยเฉพาะประเทศไทย เพราะคนไทยต้อนรับอย่างอบอุ่นด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดี ผมเคยเล่นที่สนามอมตะ สปริงมาก่อน และรู้สึกดีมากเพราะสภาพสนามยอดเยี่ยม ประเทศไทยและเอเชียนับว่าเป็นตลาดที่สำคัญของกอล์ฟ มีนักกอล์ฟฝีมือดีมากมาย การแข่งขันครั้งนี้ถือเป็นการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งช่วยตอกย้ำความสำเร็จของวงการกอล์ฟในภูมิภาคนี้ได้เป็นอย่างดี
“ผมประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการแข่งขันแถบเอเชีย และคงจะเป็นเกียรติเป็นอย่างมาก หากผมสามารถคว้าชัยชนะในการแข่งขัน Thailand Golf Championship ได้อีกหนึ่งรายการ ทั้งนี้ สนามอมตะ สปริง ถือเป็นสนามที่ดีที่สุดสนามหนึ่งของเอเชีย ผมรอคอยการแข่งขันในครั้งนี้ และหวังว่าจะคว้าแชมป์มาครองให้ได้”
กอล์ฟรายการ Thailand Golf Championship 2011 เป็นการแข่งขันรายการล่าสุดที่บรรจุเข้าในตารางการแข่งขันของเอเชียน ทัวร์ โดยในปีนี้ จะจัดในระหว่างวันที่ 15–18 ธันวาคม ณ สนามอมตะ สปริง คันทรี คลับ จ.ชลบุรี ร่วมจัดการแข่งขันโดยกลุ่มบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กลุ่มบริษัท กัลฟ์ จำกัด เอเชียน ทัวร์ สนามกอล์ฟ อมตะ สปริง คันทรี คลับ และไอเอ็มจี
*********************************
ข้อมูลเพิ่มเติมบริษัท กัลฟ์ เจพี จำกัด
บริษัท กัลฟ์ เจพี จำกัด จึงเป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุด ซึ่งขายไฟให้กับทั้ง กฟผ. และลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมหลักของประเทศ ไม่เพียงแต่พัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าภายในประเทศเท่านั้น แต่บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจในต่างประเทศ เพื่อการเติบโตของบริษัทฯอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนต่อไปในอนาคต
บริษัท กัลฟ์ เจพี จำกัดประกอบด้วย โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) 2 บริษัท คือ บริษัท สยาม เอ็นเนอร์จี จำกัด และ บริษัท เพาเวอร์ เจเนอเรชั่น ซัพพลาย จำกัด โรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) 7 บริษัท คือ บริษัท สระบุรี เอ โคเจนเนอเรชั่น จำกัด บริษัท สระบุรี บี โคเจนเนอเรชั่น จำกัด บริษัท คอมไบน์ ฮีท แอนด์ เพาเวอร์ จำกัด บริษัท อินดัสเทรียล โคเจน จำกัด บริษัท ฉะเชิงเทรา โคเจนเนอเรชั่น จำกัด บริษัท อาร์ไอแอล โคเจนเนอเรชั่น จำกัด บริษัท ปทุม โคเจนเนอเรชั่น จำกัด
รายละเอียดเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ
IMG
ฐิติพร ธนโสภณชัยกุล
โทรศัพท์: 0 2651 8323 • โทรสาร: 0 2651 8324
Tropical Hospitality Management Co., Ltd. (THM)
ประสานงานฝ่ายประชาสัมพันธ์การแข่งขันฯ
คุณเพื่อนใจ โพธิ์พะเนาว์ มือถือ 081 257 7679
มานะชัย อินทร์แก้ว มือถือ 081 306 2266
บริติช คือ 在 สำหรับวันนี้นะคะ... - British Council Thailand 的推薦與評價
8) DNES คือสถานที่ที่ให้คำปรึกษาธุรกิจสตาร์ทอัพใหม่ ๆ จัดทำเวิร์คช้อป รวมถึงเป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อกับคนที่ทำธุรกิจสตาร์ทอัพ ... <看更多>
บริติช คือ 在 พูดอังกฤษให้ฟังดูบริติชได้ หากใช้ศัพท์สำนวนพวกนี้ (เจ้าของภาษามา ... 的推薦與評價
... คุณผู้ฟังของเราเฝ้าถามหาสำเนียงอังกฤษแบบ บริติช เข้ามาอย่างล้นหลาม ซึ่งที่ไม่ยอมทำให้เสียทีไม่ใช่เพราะอินดี้หรืออยากขัดใจอะไร ... ... <看更多>