((( เรื่องเล่าของคาฟคา )))
ฟรันทซ์ คาฟคา (1883-1924) เป็นนักเขียนชื่อดัง เขาเกิดที่กรุงปราก (ปัจจุบันเป็นเมืองหลวงของประเทศเช็กเกีย) ในครอบครัวชาวยิวสายกลางที่พูดภาษาเยอรมัน
คาฟคามีความขัดแย้งในตัวเองอยู่เสมอ เขาเขียนในไดอารี่ว่า เขาไม่มีอะไรเหมือนยิว ครอบครัวเขาปรับตัวเข้ากับสังคมฝรั่งมานานแล้ว และต่อมาเขาได้บอกเองว่าไม่นับถือศาสนา
การที่มีชุมชนพูดเยอรมันอยู่ในปราก เพราะเช็กในเวลานั้นเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรออสเตรีย-ฮังการีซึ่งพูดภาษาเยอรมันเป็นหลัก อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ทำให้คาฟคาตกอยู่ในสภาพ "คนชายขอบ" ไม่ว่าในบริบทใด เพราะเขาไม่ใช่เยอรมัน ไม่ใช่เช็ก และไม่ใช่ยิว
งานประจำของคาฟคาคือพนักงานบริษัทประกัน ซึ่งเขาไม่ได้ชอบงานของตัวเอง แต่ทำเพื่อหากิน และเอาพลังไปทุ่มเทให้กับงานเขียน
หลักฐานแวดล้อมระบุว่าเขาน่าจะมีภาวะบุคลิกภาพผิดปกติหลายอย่าง เป็นซึมเศร้า วิตกจริต โดยนอกจากเกิดเป็นคนชายขอบแล้ว ยังถูกพ่อทารุณในวัยเด็กอีกด้วย
ดังนี้งานเขียนของคาฟคาจึงทรงพลังมาก มันมักเป็นเรื่องของตัวเอกที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่อึดอัด บีบคั้น แปลกประหลาด ไร้เหตุผล ยกตัวอย่างเช่นเรื่อง "กลาย" (Metamorphosis ) ที่อยู่ๆ ตัวเอกของเรื่องก็พบว่าตนเองเปลี่ยนร่างกลายเป็นแมลงยักษ์ไปเฉยๆ จึงถูกรังเกียจจากคนในครอบครัว และต้องตายในที่สุด
ภาษาอังกฤษถึงกับมีคำคุณศัพท์ว่า คาฟคาเอสค์ (kafkaesque) แปลว่าภาวะอึดอัด กดดัน จากความมืดมน คลุมเครือ ที่ไร้เหตุผลยากจะเข้าใจ
::: ::: :::
อย่างไรก็ตามในที่นี้ผมอยากจะเอาเรื่องเล่าหนึ่งของคาฟคามาเล่าให้ฟัง
เรื่องนี้มาจากคำให้การของ ดอรา ดิอามันท์ คนรักของคาฟคาที่อยู่ด้วยกันตอนเขาเสียชีวิต ต่อมามันถูกนำไปเขียนเป็นเรื่องสั้นขึ้นหลายเวอร์ชัน ผมจะนำเวอร์ชันหนึ่งมาลงนะครับ:
เรื่องมีอยู่ว่า ในปีท้ายๆ ก่อนคาฟคาเสียชีวิตนั้น เขาได้พบกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในสวนสาธารณะ เธอกำลังร้องไห้เพราะทำตุ๊กตาหาย
คาฟคาบอกว่าจะช่วยหาตุ๊กตาให้ และบอกให้เธอมาหาเขาอีกครั้งที่เดิมในวันต่อมา เผื่อว่าเขาสามารถหามันเจอจะคืนแก่เธอ
อย่างไรก็ตามเขาหาตุ๊กตาไม่พบ รุ่งขึ้นเขาจึงเขียนจดหมายขึ้นฉบับหนึ่งไปให้เด็กหญิง บอกว่าเป็นจดหมายจากตุ๊กตาดังกล่าว ข้อความมีว่า:
"โปรดอย่าเศร้าสร้อยเลย ตอนนี้ฉันกำลังเดินทางท่องโลกอยู่ ไว้จะส่งจดหมายมาเรื่อยๆ นะ"
จากนั้นคาฟคาก็มาหาเด็กหญิงเสมอเพื่ออ่านจดหมายของตุ๊กตาให้เธอฟัง เขาเล่าเรื่องการผจญภัยของตุ๊กตาในดินแดนต่างๆ อย่างสนุกสนาน เด็กหญิงตื่นเต้นกับมัน เธอไม่ได้เสียใจอีกต่อไป
จนในรอบสุดท้ายคาฟคาได้ซื้อตุ๊กตามาให้เด็กหญิงตัวหนึ่ง บอกว่ามันเดินทางกลับมาหาเธอแล้ว เด็กหญิงบอกว่ามันไม่เห็นเหมือนตัวเดิมเลย แต่คาฟคาก็แนบจดหมายของตุ๊กตาอีกฉบับหนึ่งมาด้วย มันเขียนบอกว่า "การเดินทางได้เปลี่ยนแปลงตัวฉันไป" ทำให้เด็กหญิงหัวเราะ
คาฟคาเสียชีวิตหลังจากนั้น หลายปีต่อมาเด็กหญิงซึ่งโตเป็นสาวแล้วได้พบช่องลับช่องหนึ่งในตุ๊กตา ในนั้นมีจดหมายเขียนว่า
"แม้ว่าทุกอย่างที่เธอรักจะต้องจากเธอไปในวันหนึ่ง แต่ในที่สุดความรักจะกลับมาหาเธอในรูปแบบอื่นๆ นั่นเอง"
::: ::: :::
เราไม่มีทางรู้ได้ว่าเรื่องเล่านี้เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า และหลายๆ คนก็บอกว่ามันขัดกับบุคลิกซึมเศร้า วิตกจริตของคาฟคา
...แต่มันก็เป็นเรื่องที่อบอุ่นใจไม่น้อย...
ภาพจาก: Hakkabooksดอทcom
::: ::: :::
สนใจอ่านเรื่องประวัติศาสตร์ สงคราม เรื่องต่างประเทศ กดติดตาม เพจ The Wild Chronicles ได้เลยนะครับ https://facebook.com/pongsorn.bhumiwat
กรุ๊ปประวัติศาสตร์ สงคราม เรื่องต่างประเทศ https://www.facebook.com/groups/thewildchronicles/
กรุ๊ปท่องเที่ยว เที่ยวโหดเหมือนโกรธบ้าน https://www.facebook.com/groups/wildchroniclestravel/
Blockdit : https://www.blockdit.com/thewildchronicles
YouTube : https://www.youtube.com/channel/UCa6L_ZIQpFyDwLeRbGZjIyg
Line Square: https://line.me/ti/g2/8pIcVHp3cc6-jyQJdzIFrg
บีบคั้น 在 Taepoppuri Facebook 的最佳貼文
ถึงซานต้า
ปีนี้ผมเป็นเด็กดี ถ้าผมขอหมาตัวใหญ่ๆสักตัวจะได้ไหม
ผมอยากให้มันช่วยปกป้องพ่อให้ปลอดภัยเวลาไปออกหาอาหารนอกบ้าน
มันจะช่วยปกป้องบ้านเราจากพวกสัตว์ประหลาด
และช่วยอยู่เป็นเพื่อนผมเวลาที่พ่อขังตัวเองในห้องนอน
ผมวาดรูปให้ดู ขอน้องหมาหน้าตาประมาณนี้นะฮะ
และขออีกอย่างได้ไหมครับ?
ผมอยากได้ปืนสักกระบอก
ถ้าผมแข็งแกร่งขึ้น พ่อผมก็น่าจะมีความสุขกว่านี้
ขอบคุณมากๆครับ
เอริค
------------------------------
เล่าสู่กันฟัง The Last of Us Part 2
[คำเตือน : ยาว]
นี่ก็เป็นความรู้สึกของเราหลังเล่นจบ
แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกพูดถึงภาพรวมของเกม ไม่มีสปอยล์ ส่วนที่สองพูดถึงเนื้อเรื่อง มีสปอยล์นะคะ
.
.
=เกมที่ไม่ได้ทำมาเพื่อมอบความสุข=
ถ้าคาดหวังความถูกใจที่ได้เล่นเป็นตัวเอกที่น่าเอาใจช่วย ถึงจะเหงาเศร้าแต่ฟีลกู้ด บทส่ง เกมนี้ไม่ตอบโจทย์เลยค่ะ ทุกตัวละครเป็นแค่คนที่มีข้อบกพร่อง มีโง่มีบ้ามีพลาด ต้องบอกว่า เกมนี้ไม่ได้ทำมาเพื่อเอนเตอร์เทน ด้วยธรรมชาติของเกมในภาคแรกก็ไม่ใช่เกมโลกสวยอยู่แล้ว แต่ภาคนี้จะพาไปไกลกว่าที่คิดฝันเยอะ
เป็นโลกที่คนปล่อยด้านมืดออกมาอย่างไม่ปิดบัง
ตลอดการเดินทางจะถูกอัดด้วยความเครียด บีบคั้น กดดัน ทับถมกันชั้นแล้วชั้นเล่า จนผู้เล่นขยะแขยงกับความรุนแรงทั้งทางร่างกายและอารมณ์ การเติบโตของตัวละครนั้นถูกเล่าผ่านโลกที่โหดร้ายและเรื่องของการกระทำที่โหดร้ายยิ่งกว่า
.
ประเด็นถัดมาคือ เกมไม่เหมือนกับภาพยนตร์ เพราะมีเรื่องของการเล่น/การบังคับเข้ามาเกี่ยวข้อง แง่นึงของการได้บังคับตัวละครก็คือทำให้มีรู้สึกร่วม บางคนอดไม่ได้ที่จะสวมบทบาทเป็นตัวละครนั้นๆ แต่อีกมุมก็คือถ้าเราไม่เห็นด้วยกับการกระทำหรือการตัดสินใจของตัวละคร ก็จะ off-putting...คือเกิดความรู้สึกขัดแย้งอย่างรุนแรงจนอึดอัด
.
ทั้งสองข้อนี้คือสิ่งที่ผู้สร้างเจตนาทำ จนเป็นเกมที่ทำให้รู้สึกหลายอย่างแบบที่ไม่เคยรู้สึกในเกมอื่น คือเล่นไปก็หนึบๆถ่วงหัวใจไปทั้งเกม เหมือนโดนถีบตกเหววูบแล้ววูบอีก เหตุการณ์และตัวละครพัฒนาไปในทิศทางที่เราได้แต่รู้สึกสิ้นหวัง
.
ระหว่างการเล่นจนใกล้จบนั้น เรื่องราวทำได้ดี แต่ยังไม่รู้สึกชอบ คือต้องแยกก่อนว่า ‘ดี’ กับ ‘ชอบ’ ไม่ได้เหมือนกัน ‘ดี’ แต่ก็อาจ ‘ไม่ชอบ’ เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่อยากให้เกิด มันทุกข์ มีแต่ negative feelings
.
แต่เพราะทั้งหมดนี้ บทสรุปมันถึงมีความหมาย ตอนไปถึงฉากสุดท้าย เราก็ไม่รู้ว่าเราคาดหวังอะไร เหมือนหัวจิตหัวใจมันน่วมไปหมดแล้ว แต่เรื่องราวช่วงสุดท้ายมันปลดล็อค ขจัดตะกอนทั้งหมดที่รู้สึกมาทั้งเกม สำหรับเราเป็นฉากจบที่สมศักดิ์ศรีกับเรื่องราว The Last of Us เหมือนกับตอนจบภาคแรก คือไม่อยากให้หลายๆอย่างเกิดขึ้นแบบนี้เลย แต่มันเป็นฉากจบที่ตราตรึงใจ
.
ไม่แปลกใจกับกระแสชื่นชมและก่นด่าที่มาพร้อมกัน เพราะเป็นแนวทางการเดินเรื่องที่ไม่ถูกใจหลายคนแน่นอน ซึ่งเราก็เห็นเหตุผลของทั้งสองมุมนะ และคิดว่าไม่จำเป็นที่จะมีใครต้องเปลี่ยนใจ สำหรับคนที่ได้เล่นได้สัมผัสมาเอง ประสบการณ์และความรู้สึกนั้นคือของจริง ที่ความคิดเห็นอื่นใดของใครก็ไม่ได้มาลดทอนคุณค่านั้น เราเชื่อว่าสามารถเล่นเกมเดียวกันและรู้สึกต่างกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องดูถูกกันและกัน
.
สำหรับเรื่องพล็อตที่หลุดมาก่อน ไม่พูดถึงว่าตรงหรือไม่ตรง แต่มันไม่ได้พิสูจน์คุณภาพของสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดในเกมเลยแม้แต่เศษเสี้ยว…พูดบ่อยๆว่า’เกม’คือสิ่งที่ออกแบบมาให้’เล่น’ ไม่ว่ายูทูปหรือการอ่านรายละเอียดใดๆก็ไม่สามารถทดแทนได้ เพราะการเล่นมันคือส่วนหนึ่งของ narrative และเกมนี้ก็มีรายละเอียด (nuance) ระหว่างการเล่นเยอะมาก
.
แน่นอนว่ามีโอกาสที่จะเล่นจบแล้วไม่คลิก แต่ payoff ของเกมนี้ จะได้ผลผ่านการเล่นเท่านั้น เหมือนถ้าเราจะเข้าใจใครคนนึงได้ ก็ต้องใช้ชีวิตมากับเค้าจริงๆ ไม่ใช่ฟังคนอื่นเล่ามา
.
พูดถึงรายละเอียด เกมนี้ในแง่โปรดักชั่นและระบบการเล่น ถือเป็นงานละเอียดที่สุดของค่ายหมาซน ทั้งงานภาพ คัทซีน แอคติ้ง อาร์ตไดเรคชั่น อนิเมชั่น เลเวลดีไซน์ อาวุธ ศัตรู คือโปรดักชั่นค่ายนี้ดีอยู่เป็นนิสัย ซึ่งก็รักษามาตรฐานจากภาคแรกได้ยอดเยี่ยมและเพิ่มสเกลเข้าไปอีก
.
ถึงเรื่องราวของเกมจะหดหู่แต่ฉากหลายๆฉากคือความสวยงามที่รีดศักยภาพของ PS4 มาได้จนหยดสุดท้าย รวมไปถึงการตกแต่งเล็กๆน้อยๆเพิ่มความสมจริงในฉาก ทั้งเรื่องราวบนโน็ต การตกแต่งภายในของทุกๆสถานที่ ใช้เวลาในการสำรวจฉากได้นานๆเพราะรายละเอียดมันน่าสนใจจริงๆ ไม่ว่าจะห้องหนุ่มชอบต่อโมเดล ห้องเด็กแสบ เรือที่คนฆ่ากันเองเพราะพารานอยด์ ศพคนที่พยายามปกป้องครอบครัว โจรที่โดนขังห้องนิรภัย
.
ส่วนฉากน่ากลัว...คือน่ากลัวเชรี่ยๆ...ด่านตึกร้างสูงกับโรงพยาบาลท้ายเกมยกให้สยองที่สุดในเจ็นนี้เลย ด้านลูปเกมเพลย์นั้นไม่แตกต่างจากภาคแรก จะเรียกว่าเป็น DLC ยังได้ คือไม่มีมีนวัตกรรมแปลกใหม่อะไร แต่ที่ต่างคือเลเวลดีไซน์ ทำให้ทางเลือกในการรับมือมีศัตรูเยอะขึ้นมาก รู้สึกว่าการเล่นมีมิติขึ้น
.
มีบั๊กอยู่สองสามรอบ อันแรกน้ำตกเจอกลิทช์อะไรไม่ทราบกลายเป็นสีรุ้งกระพริบปริบๆแบบแถบไฟงานวัด รอแล้วรออีกก็ไม่หายยังกับเอลลี่เมาเห็ดแล้วตาลาย...ส่วนงาน texture โหลดไม่ทันมีมาบ้างเป็นระยะ เจอปัญหาเทคนิคัลบ่อยสุดที่เล่นมาของเกมค่าย แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ด้วยจำนวนคอนเทนต์มหาศาลเลยให้อภัยได้เพราะเข้าใจว่าซับซ้อน
.
อีกจุดที่เคยมีปัญหาในภาคแรกอย่างระบบ AI ของเพื่อน ก็ทำมาดีขึ้น รู้สึกว่ามีประโยชน์ (อีหนูดีน่าช่างOP) ยังมีจังหวะยืนบังทางไปต่อบ้าง แต่ไม่ถึงกับวิ่งไปวิ่งมาให้ศัตรูเห็นอย่างภาคแรก เสียงประกอบต่างๆทั้งการพากย์ของเพื่อน ศัตรู ก็ยอดเยี่ยม ใส่หูฟังแล้วเจอพวกสตอลเกอร์ครั้งแรกสะดุ้งเบย พวกบอสน่ากลัวๆแบบ absolute unit ก็มีเสียงประกอบชวนให้ขวัญบิน
.
โดยสรุปแล้ว ด้วยความใส่ใจในรายละเอียด ทำให้ระบบการเล่นของเกมนี้เป็นหนึ่งในงานที่ดีที่สุดของนอธตี้ด็อก เป็นเกมที่คราฟต์มาอย่างประณีต พร้อมด้วยเนื้อหาหนักหน่วงชวนให้คิด มีทั้งจุดที่โหยหาจุดที่ขัดใจจุดที่รังเกียจ แต่ทั้งหมดมันสมเป็นเรื่องราวของ The Last os Us อย่างแท้จริง สำหรับเราเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าและประทับใจค่ะ
.
.
.
[**ต่อจากนี้ จะมีสปอยล์เนื้อหา**]
.
.
.
=Love & Hate=
เล่นจบแล้ว สิ่งที่รู้สึกประเด็นแรกเลย คือสถานะของผู้เล่น พูดถึงไปก่อนหน้านี้ว่าเกมเป็นสื่อที่ต้องเล่าเรื่องผ่านการเล่น คนก็มักจะเผลอ self insert สวมบทเป็นตัวละคร (ซึ่งเกมอื่นหลายๆเกมก็สนับสนุนให้เป็นแบบนั้นด้วย) และคาดหวังว่าตัวละครจะทำในสิ่งที่เราคิดจะทำ ถ้ามันทำอะไรที่ขัดใจเรา ก็จะรู้สึกหงุดหงิด ไม่ชอบ
.
ปัญหาคือตัวละครในเกมนี้มันทำในสิ่งที่ขัดใจคนทั่วไปแทบจะทุกอย่างเลย เพราะว่าโลกของเรากับตัวละครมันต่างกัน เราไม่คุ้นชินกับความโหดร้ายรุนแรงที่เป็นนอร์มของโลกในเกม เราไม่เห็นด้วยกับการกระทำที่ไม่มีศีลธรรมจนเกินไป
.
เหมือนกับตอนจบภาคแรกที่หลายคนไม่ชอบที่โจเอลเลือกช่วยเอลลี่ ทำลายโอกาสในการสร้างวัคซีนตามที่ไฟร์ฟลายเชื่อ แล้วฆ่าทุกคนทั้งหมด แม้แต่มาร์ลีนก็ถูกฆ่าทั้งที่ร้องขอชีวิต หลายคนเกลียดที่โจเอลเห็นแก่ตัว สำหรับภาคนี้ มันมีอะไรแบบนั้นแทบจะทั้งเกม
.
สิ่งที่เรามองคือ เค้าแต่งเรื่องราวของตัวละครเหล่านี้ให้เป็นตัวของมันเอง ไม่ได้แต่งเอาใจคนเล่น ทุกคนในเรื่องเป็นแค่คนธรรมดา มีเหตุผลของการกระทำของมันเอง เรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องของตัวละคร ไม่ใช่เรื่องราวของเรา
.
เราที่ชอบตอนจบภาคแรกเห็นด้วยกับโจเอลมั้ย ก็ไม่ และไม่คิดว่าจะทำแบบเดียวกัน แต่เราชอบเพราะเรื่องราวมันบอกเล่าให้เข้าใจว่าทำไมโจเอลถึงเลือกแบบนั้น เราสามารถเข้าใจมุมมองของตัวละครที่เราไม่ได้เห็นด้วยได้ เพราะเราเล่นในสถานะคนที่ดูพัฒนาการของตัวละครเหล่านี้ ไม่ได้เล่นเป็นตัวมัน
.
โจเอลและเอลลี่ไม่ใช่ฮีโร่ พอๆกับที่แอ๊บบี้ไม่ใช่ตัวร้าย แต่มันเป็นธรรมชาติที่จะแปะป้ายตัวละครว่าเป็นฝ่ายอะไร เรียกแค่ว่ามันเป็นฝ่ายถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง เราจะได้เข้าข้างฝั่งที่ถูก ซึ่งถ้าทำแบบนั้น เราจะไม่เห็นมิติของความเป็นมนุษย์ของตัวละครเลย
.
สิ่งที่เกิดขึ้นกับโจเอล ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับบาปบุญ เป็นเรื่องของผลจากการกระทำ โจเอลทำร้ายคนอื่นเพื่อความสุขของตัวเอง คนที่ถูกทำร้ายก็กลับมาล้างแค้นในตอนที่โจเอลประมาท ถ้าสำรวจบ้านของโจเอลจะเห็นว่าเขาเปลี่ยนไปมาก มีสิ่งที่สุนทรีย์ทั้งการสร้างเครื่องดนตรี ฝึกแกะสลัก การได้ใช้ชีวิตในแจคสันอย่างสงบสุขมาหลายปี ได้เห็นเอลลี่เติบโต มันลบความแข็งกร้าว และการปิดกั้นตัวเองออกไป
.
ความตายของโจเอลไม่ต่างอะไรกับคนที่โจเอลเคยฆ่าเคยทรมาน อย่างที่บอกว่าโจเอลไม่ใช่ฮีโร่ที่จะต้องได้ตายอย่างสมเกียรติมีศักดิ์ศรี ในโลกที่ความรุนแรงเป็นเรื่องธรรมดา เด็กสิบขวบก็ฆ่าคนแล้ว โจเอลเองก็อาจจะเคยคิดไว้แล้วด้วยซ้ำ ถึงได้พูดว่าจะฆ่าก็ทำเลย
.
การรับบทเป็นแอ๊บบี้ทำให้หลายคนรับไม่ได้ เพราะในสายตา เธอคือตัวร้าย แต่ถ้าเราได้รู้เหตุการณ์ของฝั่งเธอก่อน มุมมองของเราจะยังเป็นแบบนี้รึเปล่า ถ้า TLoU1 เป็นเรื่องของไฟร์ฟลายที่ต่อกรกับอำนาจรัฐที่ไม่ถูกต้อง สุดท้ายกลับถูกฆ่าล้างกองทัพ รวมถึงเสียพ่อที่กำลังจะสร้างวัคซีนช่วยโลก
.
สำหรับเรา ไม่ได้รู้สึกว่าผู้สร้างต้องการให้ชอบแอ๊บบี้ แต่เป็นเรื่องของคนอีกด้านหนึ่ง ที่มีหลายมุมเหมือนกับเอลลี่ ที่จะเปิดใจดู ไม่ใช่เพื่อเห็นด้วย ไม่ใช่เพื่อ justify การกระทำของเธอ แต่เพื่อเห็นเธอเป็นมนุษย์คนนึง เหมือนกับที่เข้าใจโจเอลในตอนจบภาคแรก
.
.
ความสัมพันธ์ของเอลลี่กับโจเอลก็ยังเป็นส่วนสำคัญที่สุดของเกมนี้ เกมค่อยๆเฉลยว่าสี่ปีที่ผ่านมา ทั้งคู่ผูกพันกันขนาดไหน ตั้งแต่การสอนเล่นกีต้าร์ การไปพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ร้างด้วยกัน จนถึงการแตกหักเมื่อเอลลี่รู้ความจริงที่โจเอลทำกับไฟร์ฟลาย แม้คืนก่อนหน้าที่โจเอลจะตายก็ยังทะเลาะกัน
.
แต่แรกจะเข้าใจว่าเอลลี่ตามล้างแค้นเพราะจริงๆยังไงก็รักโจเอล แต่ในตอนหลังที่แอ๊บบี้ไว้ชีวิตเป็นรอบที่สอง ได้กลับมาอยู่อย่างสงบกับเจเจและดีน่า พอเจอเบาะแสของทอมมี่ก็ยังจะตามไปฆ่าแอ๊บบี้อีก ตอนนั้นเป็นจุดที่เล่นแล้วอึดอัดที่สุด คิดว่าเอลลี่คงไม่สามารถกลับมามีความสุขได้อีก
.
จนช่วงสุดท้ายถึงได้รู้ว่า คืนก่อนโจเอลตาย เอลลี่ได้ไปหาที่บ้าน และพูดความในใจ โจเอลบอกว่าถ้ามีโอกาสอีกครั้ง ต่อให้รู้ว่าเอลลี่จะเกลียดเขา เขาก็จะทำเหมือนเดิม
.
สำหรับโจเอล เอลลี่คือคนที่รักที่สุดที่แลกกับโลกได้ทั้งใบ ส่วนเอลลี่เองจะโกรธโจเอลที่มาแย่งจุดประสงค์ในการใช้ชีวิตไปขนาดไหน แต่ที่สุดในใจแล้วก็รู้ดีว่าโจเอลรักตัวเองมากถึงทำแบบนั้น
‘หนูไม่คิดว่าชีวิตนี้จะให้อภัยคุณได้’
‘แต่หนู...จะพยายามนะ’
โจเอลหลั่งน้ำตาที่เอลลี่จะให้อภัยตัวเอง ส่วนเอลลี่ก็พร้อมจะก้าวต่อไป แต่แล้วแอ๊บบี้ก็มาฆ่าโจเอลไปเสีย... มันไม่ใช่แค่การฆ่าคนที่เอลลี่รัก แต่เหมือนขโมยโอกาสที่จะพิสูจน์ตัวเองว่าจะให้อภัยโจเอลไปด้วย มันเป็นเหตุผลว่าทำไมเอลลี่ถึงปล่อยวางไม่ได้ ทำไมถึงไปต่อไม่ได้
.
ตลอดทั้งเกม เอลลี่มีแต่ความทุกข์ระทม คิดถึงทีไรก็เห็นแต่ภาพโจเอลตายอย่างทารุณ ไม่เห็นคุณค่าในสิ่งอื่นอีก การฆ่าแอ๊บบี้คือ closure เดียวที่ยึดเหนี่ยวไว้
.
ในบทสรุป เอลลี่มีโอกาสปลิดชีวิตแอ๊บบี้ในที่สุด ทั้งๆที่กำลังจะทำสำเร็จแต่หัวใจกลับบีบคั้นทรมาน เสี้ยววินาทีนั้นเธอนึกถึงโจเอลที่ดีดกีต้าร์ให้ฟังพร้อมรอยยิ้ม
สิ่งที่โจเอลทำให้เอลลี่คือ การสร้างวัยเด็กที่มีความสุขให้เธอ เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในฐานะผู้ปกครองคนหนึ่งจะทำได้
ภาพโจเอลในวินาทีนั้นทำให้เอลลี่เข้าใจความจริงว่าไม่มีสิ่งใดที่จะทดแทนโจเอลได้ นอกจากความทรงจำที่เคยมีด้วยกัน
การแก้แค้นนี้ไม่จำเป็น
ความรู้สึกที่ติดค้างว่ายังไม่ได้ให้อภัยโจเอล
ได้สะสางจบลงพร้อมกับที่ปล่อยแอ๊บบี้ไป
.
เมื่อเอลลี่กลับไปที่บ้าน ดีน่าย้ายไปแล้ว คงต้องใช้เวลาสักพักก่อนจะกลับไปอยู่ด้วยกัน เอลลี่กลับไปจับกีต้าร์ที่ห้อง เธอเล่นไม่ได้อีกเพราะอาการบาดเจ็บ แต่ไม่ต้องมีกีต้าร์ ไม่ต้องได้ยินดนตรีที่อยากเล่น ความทรงจำที่โจเอลเคยสอนเพลงต่างๆ ก็ยังคงอยู่ในหัวใจ
‘หากต้องเสียเธอไป
ฉันคงจะต้องเป็นบ้า
ทุกสิ่งที่ฉันพบเจอมา
ฉันไม่ได้ค้นพบมันได้เอง
ส่วนอื่นใดที่ฉันขาดไป
ฉันไม่ต้องการมันอีกแล้ว
ฉันเชื่อ
เชื่อเพราะฉันได้เห็น
อนาคตที่มีฉันและเธอ’
เพลง Future Days - Pearl Jam
บีบคั้น 在 MaoGaming เมาเกมมิ่ง - สมาคม คนเมาเกม Facebook 的精選貼文
ความรู้สึกต่อหนัง Joker (ไม่สปอยล์)
.
ผมดูเรื่องนี้มาหลายวันก่อน
มีโอกาสได้แชร์ความรู้สึกเสียที
.
หดหู่ กดดัน มืดมิด สิ้นหวัง
4 คำนี้ คงบ่งบอกถึงอารมณ์ของคนดูได้ดี
.
แต่หากให้จำกัด เหลือคำๆเดียว
Joker คงเป็นตัวแทนคำว่า "พอกันที"
.
ที่เค้าบอกว่า วัยเด็ก เป็นวัยที่สนุกที่สุด
เพราะเด็กไม่รู้ว่า โลกนี้ มีมุมที่โหดร้ายอยู่
.
ที่เค้าบอกว่า เด็ก เป็นดั่งผ้าขาว
และผ้าขาวนั้น จะถูกปนเปื้อน เมื่อโตขึ้น
สังคมนี้ โลกนี้ สิ่งแวดล้อมนี้
นั่นแหละ สิ่งที่มาปนเปื้อน
.
ความรู้สึกของคนดู ชัดเจนเพราะอะไร
หนังแสดงออกตรงไปตรงมา
ไม่ออมชอม ไม่เกรงใจ
รวมถึงการถ่ายทอดของนักแสดง ทีมงาน
.
แต่ผมมองว่า ส่วนสำคัญ คือ
เราหดหู่ และจมดิ่ง
เพราะจิตใต้สำนึกเรารู้
รู้ว่า โลกมีแบบนี้จริงๆ
.
มีคนที่จ้องเอาเปรียบ
คอยซ้ำเติม ย่ำยี เมื่อมีโอกาส
บีบคั้น ให้คนที่ใฝ่ดี สิ้นหวัง
ข้ามเส้น "พอกันที" ไป
.
ตลกร้าย วันที่ผมไปดูหนัง
แม่ผมฝากเงินพันนึงไว้
.
เพื่อจ่ายค่า....ให้ผู้มีอิทธิพล
แทบทุกบ้าน ทุกคน ต้องจ่าย
ไม่งั้น อยู่ยาก
.
ตลกร้ายกว่า แม่ผมเข้าวัด
วันพระถือศีลแปด
กินเจตลอดชีวิต
ไม่เคย แม้แต่จะฆ่ามด
.
แต่กลับสอนผมว่า
จะอยู่ในสังคมได้
ต้องรู้จัก คดเคี้ยวอยู่แบบงู
ยอมหัก ไม่ยอมงอ อยู่ยาก
.
นี่คือความชัดเจน การมีอยู่จริง
ของสิ่งที่คอยบีบคั้นเรา
และเรา ต้องอยู่กับมัน
.
เส้น "พอกันที" คนเราไม่เท่ากัน
ผมชื่นชม ท่านที่กัดฟัน ไม่ยอมข้ามไป
.
ผมชื่นชมที่สุด กับใครที่อดทน
และไม่ข้ามเส้นนั้น จนวินาทีสุดท้ายของชีวิต
ดั่งที่เค้าบอก คนดีอยู่ยาก
สู้กับ Joker ในใจกันต่อไป
.
นี่มันเกี่ยวอะไรกับหนังฟะ
หวังว่าคงจะเกี่ยวนะครับ ฮ่าๆ
-------------------------------------
สิ่งที่แอบสงสัยคือ
ถ้า Joker เวอร์ชั่นนี้ มีไปต่อจนเจอแบทแมน
แล้วจะตีความแบทแมนอย่างไร
.
คือปกติ แบทแมน ฉลาด เก่ง มีตัวช่วยมากมาย
Joker ที่ผ่านมา เป็นวายร้ายที่ฉลาด ทันเกมแบทแมน
.
แต่ Joker เวอร์ชั่นนี้ เป็นคนธรรมดามากๆ
ยิ่งกว่า Joker ของฮีทเสียอีก
.
ยังไม่สะท้อนให้เห็นว่า เป็นอัจฉริยะวายร้ายอะไรขนาดนั้น
ถ้าจบตรงนี้ เป็นการตีความ Joker อีกรูปแบบนึง ก็จบไป
.
หรือจะเนิฟแบทแมนลงมา
ให้ดูดิบ เถื่อน เรียล ก็เป็นไปได้เนอะ