เธอแอบชอบเขาก่อน ได้แต่งงานและย้ายไปอเมริกา มีลูก 3 คนด้วยกัน แต่ไม่มีอะไรง่ายเลยสำหรับเธอ
กำลังใจอันอบอุ่นจากคนรักเท่านั้น ทำให้เธอสู้ได้มาจนถึงวันนี้
น้องเกดและพี่ต้นคือคู่รักที่ขอนับถือด้วยหัวใจ น้องเกดเป็นผู้หญิงเรียบร้อย น่ารัก นิ่งๆ ที่มีแต่ความปรารถนาดีตั้งแต่รู้จักกัน เหมือนเธอจะไม่ได้มีอะไรที่ดูหวือหวา แต่พอได้คุยกันเรื่อยๆ ถึงได้รู้ว่าเธอคือคุณแม่ลูก 3 แล้วที่อยู่ซานฟรานซิสโก ความไม่ธรรมดาของเกดคือ เธอต้องเลี้ยงลูกเอง และน้องเพตั้นลูกคนเล็กเกิดก่อนกำหนด มีความผิดปกติที่เธอต้องดูแลเขาเองกับมือตลอดเวลา เลยทำให้อยากรู้ว่าความสงบและเป็นมิตรของเธอ ในขณะที่มีเรื่องอันยิ่งใหญ่ในความเป็นแม่หนักอึ้ง คู่ชีวิตต้องซัพพอร์ตเธอได้ดีมากๆ แน่ๆ แล้วก็จริงเลย จากเรื่องที่น้องเกดเขียนมาเล่า พี่ต้น สามีของเธอ ที่เป็นทั้งคุณพ่อ และเพื่อนคู่คิดคนนี้นี่เอง ทำให้เธอฝ่าฟันทุกอย่างมาได้ น้องเกด พี่ต้น และลูกๆ ทั้งสามเหมือนเป็นตัวแทนแห่งจักวาล พิสูจน์ให้เราเห็นว่า ความรักดีๆ ยังมีอยู่จริง เรียบง่ายและลึกซึ้ง คือคนสองคนที่ไม่เคยหยุดให้กำลังใจกัน จนได้ต่อยอดมาสู่ชีวิตของเด็กทั้งสามคน ฟังเรื่องของเธอเลยนะคะ เกดบอกเลยว่าที่รักกันมาได้แบบนี้เป็นเพราะ “หนูแอบชอบพี่ต้นก่อนค่ะพี่”
“ เริ่มจากการชื่นชมชื่นชอบพี่เค้าในฐานะ รุ่นพี่ในมหาวิทยาลัย ตอนนั้นก็คิดว่าเค้าน่าจะมีคนที่ชอบอยู่ ก็คอยแอบสืบเรื่องของเค้ามาโดยตลอด เกดแอบชอบพี่ต้น เพราะเริ่มจากบุคลิคของเค้าก่อน เค้าเป็นหนุ่มผมยาว เป็นคนมีความสามารถ ยิ้มสวย บุคลิกนิ่งๆ พี่ต้นอยู่วิศวะ เกดอยู่นิเทศน์ ก็คอยติดตาม อยากรู้ว่าเค้าชอบอะไร ชอบทานอะไร ชอบเพลงแบบไหน ทุกอย่างเกี่ยวกับเค้า ชื่นชมพี่ต้นอย่างนั้นอยู่เกือบปี หลังจากนั้นเพื่อนเกดก็ช่วยทำให้ได้เจอกัน ได้คุยกัน แล้วในตอนนั้นเราก็โสดทั้งคู่ ก็เลยได้รู้จักกัน พอเริ่มได้คุย ก็รู้ว่าพื้นฐานครอบครัวใกล้เคียงกัน มีความชอบคล้ายกัน ตอนช่วงที่เริ่มชอบก็มีการติดต่อกันไปมาปกติคือ โทรศัพท์บ้าง แชทในmsnบ้าง แต่เราสองคนไม่คุยกันยาว อาจเพราะอยู่มหาวิทยาลัยแบบอาศัยที่หอพัก ตอนกลางวัน ตอนเย็นก็เจอกัน ความสัมพันธ์เกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป จนผ่านไปสองเดือนพี่เค้าก็ถามว่าเราเป็นแฟนกันได้มั้ย ตอนนั้นเกดบอกเค้าไปว่าเกดยังไม่อยากคิดแบบนั้น เค้าก็แอบผิดหวังนะ แต่เพราะ ตอนนั้นเกดอยากให้เวลาตัวเองให้รู้สึกว่าเราพร้อมทั้งใจก่อนที่จะตอบตกลง ถึงแม้ว่าเราจะชอบมาเกือบปีก็ตาม เกดก็บอกเค้าว่ารอหน่อยนะ เกดอยากให้ความสัมพันธ์ของเราออกมาดีไม่มีปัญหาเหมือนที่แล้วมา อยากให้ค่อยๆรักกัน หลังจากนั้นสามเดือนเกดก็ตอบตกลงเป็นแฟนกัน
คู่ของเกดกับพี่ต้นเป็นคู่ที่ค่อนข้างเรียบๆไม่มีอะไรหวือหวา ช่วงแรกก็จะรู้สึกพิเศษไปหมด เพราะความสัมพันธ์ของเราเริ่มจากการประทับใจกัน เราก็ประคองความรักจนเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนเราใช้ชีวิตร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันกับเค้า สิ่งที่เรารู้คือมีแค่การดูแลกันทุกวัน ช่วงที่อยู่มหาวิทยาลัยพี่ต้นก็จะช่วยอาจารย์ทำงานวิจัย อยู่ห้องแลปตลอด ตอนนั้นพี่เค้าได้รายได้จาการเฝ้าห้องแลปตอนกลางคืนด้วย เอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายถ้าเราอยากไปทานข้าวดูหนังวันเสาร์ ส่วนเกดก็มีหน้าที่เรียนและดูแลเสื้อผ้าให้เค้า ดูแลเค้า เจอกันทานข้าวด้วยกันทุกเย็น จะเดินไปซื้อข้าวที่หอพักแล้วมาหามาดูแลพี่เค้าที่ห้องแลปทำงานจนถึงดึกด้วยกันทุกวันเป็นปกติ ความประทับใจระหว่างกันคือเวลาที่อยู่ด้วยกันในทุกวัน และถ้าต้องการความช่วยเหลืออะไรเค้าเป็นคนนึงที่เกดสามารถไว้ใจได้ในการคิดอย่างรอบคอบ เค้าพยายามเอาใจใส่รู้ว่าเราชอบอะไร และเค้าเองก็ไม่เคยเรียกร้องต้องการใดมากจากเรา
อุปสรรคของการคบกัน น่าจะเป็นความคิดที่คนละโลกกันอย่างสิ้นเชิง เราสายอาร์ทมากๆ ใช้ความรู้สึกและจินตนาการ ส่วนเค้าอยู่กับโลกแห่งความจริง มีตรรกะ และกฎเกณฑ์มาก มีแบบแผนในการดำเนินชีวิตชัดเจน ดังนั้นเวลาไม่เข้าใจกัน ก็ต้องให้เวลาเราและเค้าอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ การคุยกันให้เข้าใจมีความสำคัญมาก ค่อยๆปรับจูนเข้าใจเค้าให้มากที่สุด การโกรธเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่เคยคิดว่าจะไม่มีกันและกัน อุปสรรคอีกเรื่องน่าจะเป็นเรื่องเวลา และระยะทางไกล เกดกับพี่ต้นเรียนห่างกันสองปี เค้าเรียนจบแล้ว ทำงานหนึ่งปีแล้วก็ไปเรียนต่อที่อเมริกา ประกอบกับเกดตอนนั้นที่ห่างกับเค้าพอเรียนจบก็ตัดสินใจเรียนต่อทันทีแต่เกดไปเรียนที่อังกฤษ ระยะทาง และเวลา ช่วงนั้นก็เป็นช่วงวัดใจว่าเราจะยังรักกันมากน้อยแค่ไหน เป็นอย่างไรถ้าไม่เจอไม่คุยกัน ปัญหาความรักเริ่มเกิดเหมือนทุกคู่ ก็รับรู้ ไม่เข้าใจกันบ้าง แต่สุดท้ายเราสองคนก็สามารถแก้ไข ผ่านมาได้ และตอบใจตัวเองมาได้ สิ่งนึงที่เกดได้จากการที่อยู่ไกลจากเค้า จากที่เคยเจอกันประจำ เกดย้อนนึกทุกช่วงเวลาของตัวเอง ไม่มีช่วงใดเลยที่เกดจะไม่มีเค้าในใจ ถึงแม้เค้าจะไม่อยู่ด้วยก็ตามก็ยังคิดถึงและยังมีอะไรที่อยากทำด้วยกันอีก เคยคิดต่อไปอีกว่าถ้าวันนึงถ้าเค้าป่วยมากแล้วเราไม่เกี่ยวข้องกันแล้วเราจะทำอย่างไร เป็นเรื่องที่ลบที่สุดที่ไม่อยากให้เกิด แต่พอได้คิดก็ได้คำตอบว่า ยังไงเราก็อยากอยู่ข้างเตียงเค้า ดูแลเค้าตรงนั้น การตอบคำถามตัวเองวันนั้นทำให้เกิดไอเดียขึ้นเลยว่า เราจะรออะไร ก็ตัดสินใจไปอยู่ด้วยกันเลย ก็คิดได้ทำเลยทันที ประกอบกับตอนนั้นที่พี่ต้นได้งานแรกหลังจากเรียนจบโท แม้เงินเดือนไม่มาก ไม่เป็นไร ก็กลับมาขอหมั้นกับเกดที่เมืองไทย แล้วก็ตัดสินใจบินมาอยู่ด้วยกันตั้งแต่ปี2008เป็นต้นมา
เรื่องราวของทั้งสองดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่พาร์ทลูกนี่สิ สุดมาก! จริงๆ เกดมีเรื่องมหากาพย์ในการดูแลลูกเลย แต่ขอแคพสั้นๆ แค่ว่า “เกดคิดว่าทั้งสามคนเกดก็เจอเรื่องราวมาหมดเลยกว่าจะมีลูกๆทั้งสามคนอ่ะค่ะ ตอนพริมที่ก็เจ็บท้องอยู่ที่ห้องคลอดอยู่หนึ่งวันเต็มๆ โดนบล๊อคหลังแล้วพลาด โดนไปสี่ครั้ง คลอดเสร็จก็มีอาการหยุดหายใจ ต้องรักษา ส่วนตอนเพตั้นก่อนกำหนด มีการติดเชื้อ มีความผิดปกติ ของแพทริคเกือบจะไม่ได้ท้องต่อ เพราะคุณหมอแนะนำให้ยกเลิกการตั้งครรภ์ แต่เรายืนยันว่าจะไม่ทำ ทุกท้องเกดก็ครบรสมาก” วันนี้น้องเกดต้องดูแลน้องเพตั้นเป็นพิเศษ เพราะน้องมีระบบการเจริญเติบโตที่ไม่ปกติ “เกดและพี่ต้นใช้วิธีการคุยกับเค้า ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าเค้าจะไม่เข้าใจเรา เราใช้ความรู้สึกที่ดี การกอด การร้องเพลง เล่น กับเค้า ไม่ให้เค้าเหงา ไม่ให้เครียด หรือร้องไห้ แต่โดยรวมๆแล้วเพตั้นจะเงียบๆ แสดงความรู้สึกก็แบบไม่รุนแรง หรือรบกวนอะไร ส่วนใหญ่เค้าจะอดทนมาก"
แล้วเรื่องลูกๆ น้องเพตั้นที่ต้องจัดการอย่างหนัก เธอกับพี่ต้นใช้ความรักดูแลกันยังไง น้องเกดบอกว่า "เกดกับพี่ต้นก็ใช้วิธีให้กำลังใจว่า ถ้าเราไม่สู้กับปัญหา สิ่งกวนใจมันก็ยังอยู่ ถ้าเกดทุกข์พี่ต้นก็ให้เวลาเกดคิดสักพัก ถ้าไม่ไหวก็ให้กำลังใจว่า เราต้องสู้นะ พี่ทำคนเดียวไม่ได้ เกดก็ฮึดเลยไม่เสียใจอะไรอีก พอเกดเริ่มแข็งแรง พี่ต้นจะมาคิดด้วยกันกับเกด เริ่มคิดเป็นระบบ แล้วตัดสินใจว่าใครจะเหมาะทำสิ่งไหน ให้ก็ทำพร้อมกัน ดูแลด้วยกัน"
น้องเกดบอกตอนท้ายแบบนุ่มต่อใจไว้ว่า "เกดโชคดีที่มีลูกเป็นสติ มีพี่ต้นเป็นสมอง เกดก็เป็นกำลัง ค่อยๆประกอบไปด้วยกัน"
นี่ไงความเรียบง่าย ดีอย่างนี้นี่เอง ไม่ต้องดราม่าทางอารมณ์กัน ไม่เหวี่ยง ไม่เยอะต่อกัน ทำให้ทั้งเกดและพี่ต้นจะบมือกันสร้างครอบครัวมาได้ ไม่ว่าจะเจออะไรที่สั่นสะเทือนจิตใจแค่ไหนก็ตาม
ขอบคุณน้องเกดและพี่ต้นที่แบ่งปันเรื่องราวมากๆ เลยนะคะ
บุคลิกนิ่งๆ 在 เป็นคนนิ่งๆ ต้องเปลี่ยนตัวเองไหม | By WisdomMe | Facebook 的推薦與評價
หาคำตอบ ในวิดีโอนี้ได้เลยนะคะ เรียนรู้เทคนิคเพิ่มเติม พลาดไม่ได้กับคอร์สออนไลน์ Personality Power "พลังแห่งบุคลิกภาพ" สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้จาก ... ... <看更多>