การศึกษารัฐในแง่รัฐศาสตร์
(คัดลอกมาจากตำรา สิทธืกร ศักดิ์แสง "หลักกฎหมายมหาชน" กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์นิติธรรม,2554)
การมองรัฐในแง่รัฐศาสตร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของศาสตร์ในสังคมวิทยา เป็นการศึกษาในแง่รูปธรรม เป็นการมองรัฐในฐานะที่เป็นข้อเท็จจริง (Face) ซึ่งสามารถรับรู้ได้ด้วยการสัมผัส นักสังคมวิทยาให้คำจำกัดความของคำว่า “รัฐ” ว่าส่วนหนึ่งของโลกและภายในกลุ่มมนุษย์ ได้มีการแยกปัจเจกบุคคลซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มออกเป็น 2 พวก อย่างชัดเจนได้แก่ ผู้ปกครองกับผู้ใต้ปกครอง ทั้งนี้โดยอำนาจที่ผู้ปกครองซึ่งเป็นกลุ่มคนจำนวนน้อยใช้ในการปกครองบังคับบัญชาผู้ใต้ปกครอง ซึ่งเป็นกลุ่มคนหรือสมาชิกส่วนมากของกลุ่มเป็นอำนาจที่มีลักษณะสูงสุดที่เรียกว่า “อำนาจอธิปไตย” (Sovereignty) ซึ่งบ่งบอกถึงอำนาจว่าเป็นอำนาจสูงสุด (Suprem Power) ลักษณะของรัฐในแง่รัฐศาสตร์ มี 4 ประการ คือ
ประการที่หนึ่ง ชุมชนซึ่งประกอบด้วยพลเมืองจำนวนหนึ่งอาจจะมากหรือน้อยก็ได้ (มีประชากร)
ประการที่สอง ชุมชนเหล่านี้มีหลักแหล่งที่อยู่มั่นคงถาวรในดินแดนส่วนใดส่วนหนึ่งของโลก (มีดินแดน)
ประการที่สาม มีอิสระในการดำเนินการทั้งหลายโดยปราศจากการควบคุมจากอำนาจภายนอกรัฐ(มีอำนาจอธิปไตย)
ประการที่สี่ มีหน่วยปกครองตนเอง คือ รัฐบาล ซึ่งสมาชิกแห่งชุมชนนั้นเชื่อฟังและให้การยอมรับนับถือว่าเป็นผู้ใช้อำนาจที่ชอบด้วยกฎหมาย
2.1 รัฐเป็นสังคมมนุษย์รูปแบบหนึ่ง
คำกล่าวของอริสโตเติล (Aristotle) นักปราชญ์ชาวกรีก โบราณ กล่าวว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคม (Man is Social Animal) ซึ่งหมายความว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่มีสัญชาติญาณหรือมีความโน้มเอียงตามธรรมชาติที่จะดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นเป็นกลุ่มสังคม และขณะเดียวกันก็ไม่อาจแยกตัวไปมีชีวิตที่ดีนอกสังคมได้จะมีการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมร่วมกับผู้อื่นเท่านั้น มนุษย์แต่ละคนจึงจะสามารถพัฒนาตนเองไปสู่ความเป็นคนที่สมบูรณ์ได้ ซึ่งหากอยู่นอกสังคมก็จะไม่แตกต่างกับสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งแยกอธิบายได้ดังนี้
2.1.1 ความหมายของสังคมมนุษย์
สังคม (Social) หมายถึง การที่มนุษย์มาอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะและมีการกระทำเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันและกันตามสถานะภาพและบทบาทที่ถูกกำหนดไว้ในบรรดากฎเกณฑ์ที่กำหนดแบบแผนความประพฤติในประเภทต่างๆ เช่น หลักศีลธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีและกฎหมาย การรวมตัวของสังคมมนุษย์อาจมีเหตุผล 2 ลักษณะ คือ
1.เป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดประโยชน์ส่วนรวมหรือประโยชน์มหาชน คือ
1) ต้องการความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินซึ่งถือเป็นความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ โดยมีเงื่อนไข 2 ประการ คือ
(1) ความมั่นคงของรัฐ ที่ปราศจากการุกรานจากต่างชาติ เพราะหากต่างชาติรุกรานคนในรัฐก็จะไม่มีความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตร่างกาย
(2) ความสงบเรียบร้อยภายในรัฐ ไม่มีอาชญากรรม ไม่มีสงคราม ไม่มีการจลาจลเป็นต้น เพราะหากมีกรณีดังกล่าวข้างต้นคนในรัฐก็ไม่มีความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตร่างกาย
2) ต้องการมีชีวิตที่ดีขึ้นหรือมีสิ่งที่เรียกว่า กินดีอยู่ดี ทั้งกายภาพและทางจิตใจ อันเป็นคุณภาพชีวิต เช่นมีสุขภาพดี มีสิ่งอำนวยความสะดวกความสบายในชีวิต โดยมีเงื่อนไข 2 ประการ คือ
(1) ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
(2) ความเจริญรุ่งเรืองทางวัฒนธรรม
2.เป็นการร่วมกันกระทำการให้ได้มาซึ่งประโยชน์ที่ทุกคนต้องการและแต่ละคนไม่สามารถกระทำได้เพียงลำพังตนเองได้ จึงต้องกระทำร่วมกันช่วยเหลือเกื้อกูลตามสถานภาพบทบาทที่เกิดขึ้น
2.1.2 สถานะภาพหรือบทบาทของคนในสังคม
สถานะภาพของบุคล (Status Person) คือ สถานะตามกฎหมายที่ได้รับความคุ้มครองตามสิทธินั้นหรือไม่และสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองเกี่ยวเนื่องกับการเป็นบุคคล โดยบุคคลเป็นเครื่องชี้ให้เห็นถึงสิทธิและหน้าที่ของบุคคล รวมทั้งความสามารถในการใช้สิทธิและปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละคนตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับผู้ที่มีสถานะนั้น และใช้ยันบุคคลได้ทั่วไป สถานะของบุคคลจะเกิดขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงไปได้ก็เฉพาะตามที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้น ซึ่งสถานะดังกล่าวอาจจะเป็นสถานะของบุคคลในประเทศชาติ เช่น สัญชาติของบุคคลหรือสถานะในครอบครัว ได้แก่ เพศ อายุ บิดามารดา บุตร สามีหรือภรรยาและความสามารถของบุคคลเป็นต้น
บทบาท คือ บรรดาสิทธิและหน้าที่ต่างๆ ของคนที่อยู่ในสถานะภาพหนึ่ง สถานะภาพใด เช่น บิดามารดามีบทบาทหรือหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูบุตร ผู้เยาว์ และบุตรมีบทบาทหน้าที่ต้องเคารพเชื่อฟังคำสั่งสอนบิดามารดาและมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาในยามชราภาพ เป็นต้น
การดำรงสถานะภาพหรือบทบาทในสังคมในแต่ละสถานะภาพจะมีสิทธิและหน้าที่ประจำตามสถานะที่ตนดำรงอยู่ เพราะฉะนั้น เมื่อทราบว่าเราอยู่ในสถานะใดเราก็ทราบว่าเรามีสิทธิและหน้าที่หรือมีบทบาทที่จะต้องกระทำเกี่ยวข้องกับผู้อื่น
2.1.3 ประเภทของสังคมมนุษย์
ประเภทของสังคมมนุษย์ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ชุมชน และสมาคม
1. ชุมชน (Community) เป็นสังคมมนุษย์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติของมนุษย์ไม่ได้จงใจก่อตั้งขึ้นมา แต่ชุมชนได้ค่อยๆเกิดขึ้นและวิวัฒนาการผันเปลี่ยนแปลงไปในตัวเอง ซึ่งได้แก่
1) ครอบครัว เป็นสังคมมนุษย์ ที่เกิดขึ้นจากสัญชาติญาณของมนุษย์ได้แก่สัญชาติญาณ 2 สัญชาติญาณ สัญชาติญาณที่ 1 ของความเป็นแม่ซึ่งมีอยู่ในผู้หญิงทุกคนทำให้มารดาเลี้ยงบุตรผูกพันให้ผู้หญิงอยู่ร่วมกับบุตร สัญชาติญาณที่ 2 คือสัญชาติญาณที่จะสืบทอดเผ่าพันธุ์ซึ่งเป็นสัญชาติญาณทางเพศ ที่จะผลักดันให้ชายกับหญิงมาอยู่ร่วมกันอย่างถาวร อันทำให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาและบิดามารดา
2) โคตรตระกูล เกิดจากการขยายตัวของครอบครัวอันเป็นความสัมพันธ์ทางสายโลหิต มีบรรพบุรุษเดียวกัน มีผู้สืบสันดานเดียวกัน ผูกพันเป็นโคตรตระกูล
3) เผ่า เกิดจากการขยายของโคตรตระกูลเพราะนับสืบต่อๆไปจึงกลายเป็นเผ่า
4) ชาติ ไม่ได้เกิดขึ้นจากความตั้งใจของมนุษย์ แต่เกิดจากปัจจัยทางธรรมชาติหลายๆประการ เช่นชาติไทย ชาติลาว ชาติจีน ชาติเยอรมัน เป็นต้น ซึ่งมีปัจจัยที่ทำให้เกิดสังคมมนุษย์ที่เรียกว่า ชาติ ดังนี้
(1) ปัจจัยทางชาติพันธุ์ ได้แก่ การมีผิวพรรณ ศาสนา ภาษาพูด วัฒนธรรมอย่างเดียว จึงก่อให้เกิดความผูกพันเป็นชาติขึ้น
(2) ปัจจัยที่อยู่เหนือดินแดนใดดินแดนหนึ่ง ซึ่งทำให้รู้สึกว่ามีประโยชน์ร่วมกันขึ้นแยกกันไม่ออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
(3) ปัจจัยการมีปฏิกริยาตอบสนองต่อปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่างเดียวกัน ในลักษณะที่คล้ายกันก่อให้เกิดความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน
(4) ปัจจัยอื่นได้แก่เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เช่นสงครามหรือภัยพิบัติที่ทำให้คนจำนวนมากมาตกอยู่ในภาวะเดียวกัน ก่อให้เกิดความทรงจำร่วมกันว่าเคยผ่านพ้นภัยวิบัติมาด้วยกัน ทำให้เกิดความผูกพันรักใคร่แม้ไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน
ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นทำให้มนุษย์แต่ละคนรวมตัวกันขึ้นเป็นชาติ ทำให้รู้สึกตนว่าอยู่ภายในกลุ่มๆหนึ่งเป็นเอกภาพในชาติขึ้น เช่น รู้สึกว่าเราเป็นคนไทย เป็นพวกเดียวกันเป็นชาติเดียวกันผูกพันกัน
2.ประเภทสมาคม นั้นมีที่มา และลักษณะของประเภทของมนุษย์แบบสมาคม คือ
1) ที่มาของสังคมมนุษย์แบบสมาคม ดังนี้
(1) เป็นสังคมมนุษย์ที่มีการจัดตั้งองค์กรอย่างเป็นกิจจะลักษณะเพื่อดำเนินการให้บรรลุความมุ่งหมายอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างที่สมาชิกอยู่ร่วมกัน
(2) เป็นสังคมที่ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติของมนุษย์ แต่เป็นสังคมที่สมาชิกรวมตัวกันขึ้นด้วยความตั้งใจ รู้สึกถึงการรวมตัวกันขึ้นเป็นกลุ่มเป็นหมู่คณะ เช่น บริษัท สหภาพแรงงาน พรรคการเมือง เป็นต้น
2) ลักษณะของสังคมมนุษย์แบบสมาคม จะมีลักษณะดังนี้
(1) บรรดาปัจเจกชนที่เป็นสมาชิกของสมาคมจะมีความมุ่งหมายอันร่วมกันอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง
(2) บรรดาสมาชิกทั้งหลายจะถูกจัดตั้งขึ้นเป็นองค์การ เพื่อดำเนินการให้บรรลุความมุ่งหมายที่ทุกคนมีอยู่ร่วมกัน
ข้อสังเกต รัฐเป็นสังคมมนุษย์รูปแบบหนึ่งที่รวมตัวแบบชุมชนหรือสมาคมขึ้นมาเป็นรัฐ นั้นจะต้องมีจำนวนมนุษย์ (ประชากร) ที่รวมตัวกันอยู่เป็นรัฐจะมีมากหรือน้อยไม่สำคัญเพียงแต่จะต้องมีกองกำลังที่ปกป้องรัฐนั้นได้ก็ถือว่าเป็นรัฐแล้ว
2.2 รัฐเป็นสังคมมนุษย์ที่ผูกพันอยู่กับดินแดนส่วนหนึ่งส่วนใดของโลก (การมีดินแดน)
รัฐเป็นสังคมมนุษย์ที่ผูกพันอยู่กับดินแดนส่วนหนึ่งส่วนใดของโลก (Territorial Society) ซึ่งมีความแตกต่างจากสังคมมนุษย์ประเภทสมาคมอื่น รัฐจึงต่างไปจากบริษัท ต่างจากพรรคการเมือง ต่างจากสหภาพแรงงาน เพราะว่าสังคมมนุษย์ประเภทอื่นๆไม่จำเป็นต้องมีดินแดนเป็นของตนเอง ซึ่งอาจแยกพิจารณาได้ดังนี้
1.รัฐเป็นสังคมมนุษย์ที่ผูกกับดินแดนส่วนใดของโลก
2.สังคมมนุษย์ที่ปราศจากดินแดนของตนเองก็ปราศจากสภาพที่เป็นรัฐอีกต่อไป เช่นพวกเร่ร่อนอันเป็นสังคมมนุษย์แต่ไม่เป็นรัฐ เป็นต้น
3. ดินแดนของรัฐจะกลายมาเป็นอาณาจักรของรัฐหรือราชอาณาจักร ที่มีการกำหนดขอบเขตไว้อย่างชัดเจนโดยสนธิสัญญาระหว่างรัฐซึ่งตั้งอยู่ข้างเคียงกัน เช่น ราชอาณาจักรของประเทศไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา เป็นต้น
4.ในการทำสนธิสัญญาในการทำปักปันรัฐต่างๆที่อยู่ติดกันหรือเคียงข้างกันจะใช้สิ่งที่อยู่ในธรรมชาติ เช่นภูเขา แม่น้ำ ทะเล เป็นต้น
5. สิ่งที่อยู่ในรัฐหรือเรียกว่าดินแดนมีส่วนประกอบ 3 ส่วน คือ
1) พื้นดินและพื้นน้ำที่อยู่ในอาณาจักร หลังจากได้ปักปันเขตแดนแล้ว เช่นแม่น้ำ ภูเขา เป็นต้น
2) ทะเลอาณาเขต มีได้เฉพาะรัฐที่มีชายฝั่งเท่านั้น เช่น ประเทศไทยมีทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเล
3) อากาศและบรรยากาศ เหนือส่วนที่เป็นพื้นดิน พื้นน้ำและทะเลอาณาเขตถือเป็นดินแดนอธิปไตยของรัฐด้วย
ข้อสังเกต การที่รัฐเป็นสังคมมนุษย์ที่ผูกพันกับดินแดนส่วนหนึ่งส่วนใดของโลก จะเล็กใหญ่ไม่สำคัญ เพียงแต่จะต้องมีหลักแหล่งที่แน่นอนว่าตั้งอยู่ส่วนไหนของโลก
2.3 รัฐเป็นสังคมมนุษย์ที่แยกสมาชิกของสังคมเป็น 2 ประเภทอย่างชัดเจนคือมีผู้ปกครองหรือรัฐบาลและผู้ถูกปกครอง
ผู้ปกครองจะเป็นคนจำนวนน้อยเสมอ ส่วนผู้ถูกปกครองจะเป็นคนจำนวนมาก ซึ่งเราเรียกสังคมมนุษย์ว่าที่มีการแยกออกเป็น 2 ประเภทอย่างชัดเจนว่า “สังคมการเมือง” (Political Society) ลักษณะของสังคมการเมือง สมาชิกของสังคมจึงต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้
1.สมาชิกของสังคมซึ่งเป็นผู้ปกครอง จะออกกฎเกณฑ์หรือกฎหมายจัดระเบียบการใช้อำนาจของผู้ปกครอง เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ปกครองแต่ละคนใช้อำนาจของตนกระทำการต่างๆที่กระทบกระเทือนต่อเสรีภาพหรือประโยชน์อันชอบธรรมของผู้อื่น และเพื่อมิให้ผู้ปกครองใช้อำนาจกระทำการต่างๆที่กระทบกระเทือนต่อประโยชน์ส่วนรวม
2.ผู้ปกครองใช้อำนาจบังคับให้ผู้ถูกปกครองต้องเคารพและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ตนเองออกมาใช้บังคับ ซึ่งหากผู้ถูกปกครองฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ผู้ปกครองออกมาใช้บังคับก็จะมีการใช้อำนาจลงโทษโดยประการต่างๆ ไม่วะเป็นโทษทางแพ่ง ทางอาญา ทางปกครองและทางรัฐธรรมนูญ
การออกกฎเกณฑ์บังคับให้ผู้ถูกปกครองกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือห้ามมิให้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ตลอดจนการการลงโทษผู้ฝ่าฝืนข้อบังคับหรือข้อห้าม เรียกว่า “การปกครอง” ซึ่งการปกครองหรือกิจกรรมของผู้ปกครอง มี 2 ประการ คือ
ประการที่หนึ่ง ออกกฎเกณฑ์ห้ามมิให้สมาชิกของสังคมกระทำการบางอย่างหรืองดเว้นการกระทำบางอย่างซึ่งเป็นการขีดวงการใช้สิทธิเสรีภาพของสมาชิกของสังคม
ประการที่สอง ลงโทษผู้ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ที่ผู้ปกครองกำหนด
2.4 อำนาจที่ผู้ปกครองใช้ปกครองบังคับบัญชาเหนือผู้ถูกปกครอง ซึ่งถือเป็นอำนาจสูงสุด หรือเป็นอำนาจอธิปไตย
อำนาจที่ผู้ปกครองใช้ปกครองบังคับบัญชาเหนือผู้ถูกปกครอง ซึ่งถือเป็นอำนาจสูงสุด (Supreme Power) ของผู้ปกครองหรือเป็นอำนาจอธิปไตย (Sovereignty) มี 2 ด้าน คือ
2.4.1 อำนาจอธิปไตยภายนอก (External Sovereignty)
อำนาจอธิปไตยภายนอกเป็นอำนาจอธิปไตยที่แสดงออกในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐด้วยกันเองหรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศซึ่งเมื่อเรากล่าวว่า “รัฐแต่ละรัฐมีอธิปไตย” หมายความว่ารัฐแต่ละรัฐมีฐานะเท่าเทียมกับรัฐอื่น และรัฐแต่ละรัฐไม่ยอมรับว่าอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของรัฐอื่น ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นรัฐใหญ่รัฐเล็กหรือเป็นรัฐที่มีเศรษฐกิจหรือไม่ก็ตาม รัฐแต่ละรัฐมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน ดังนั้นพันธะกรณีระหว่างรัฐแต่ละรัฐจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อทั้งสองรัฐได้ตกลงกันด้วยใจสมัคร อันจะเกิดขึ้นได้แต่โดยสนธิสัญญาเท่านั้นไม่มีรัฐใดถูกบังคับให้ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นประโยชน์ต่อรัฐอื่นโดยที่รัฐนั้นไม่ยินยอม กล่าวคือไม่มีรัฐใดสั่งให้รัฐอื่นกระทำการหรืองดเว้นกระทำการบางอย่างบางประการได้ พันธะกรณีระหว่างรัฐจึงเกิดจากสนธิสัญญาหรือข้อตกลงที่รัฐแต่ละรัฐกระทำร่วมกัน ซึ่งเป็นอำนาจอธิปไตยภายนอกในขอบเขตของกฎหมายระหว่างประเทศ
อำนาจอธิปไตยภายนอก เป็นสิ่งเดียวกับความเป็นเอกราช (Independence) หรือความมีอิสระ (Autonomy) โดยแต่ละรัฐสามารถกำหนดความเป็นไปได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องตกอยู่ภายใต้คำบงการของรัฐอื่นใด
2.4.2 อำนาจอธิปไตยภายใน (Internal Sovereignty)
อำนาจอธิปไตยภายในเป็นอำนาจอธิปไตยที่แสดงออกในความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับปัจเจกบุคคลทั้งหลายที่อาศัยอยู่ภายในอาณาจักรของรัฐ และระหว่างผู้ปกครองกับกลุ่มปัจเจกบุคคลทั้งหลายที่ก่อตัวขึ้นภายในอาณาจักรของรัฐ ซึ่งเมื่อกล่าวว่า “ผู้ปกครองรัฐทรงไว้ซึ่งอำนาจอธิปไตยภายใน” หมายความว่าในความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับปัจเจกบุคคลแต่ละคนที่อาศัยอยู่ภายในอาณาจักรของรัฐก็ดีหรือระหว่างตนเองกับปัจเจกบุคคลต่างๆ ที่ก่อขึ้นมาภายในอาณาจักรของรัฐก็ดี เจตนารมณ์ของผู้ปกครองเป็นเจตนารมณ์ที่มีพลังหรือมีศักดิ์เหนือกว่าเจตนารมณ์ของปัจเจกบุคคลแต่ละคน และเหนือกว่ากลุ่มปัจเจกบุคคลแต่ละกลุ่มที่ก่อตัวขึ้นภายในอาณาจักรของรัฐ กล่าวคือ ภายในอาณาจักรของรัฐ อำนาจของผู้ปกครองเป็นอำนาจที่ไม่มีอำนาจอื่นใดมาทัดเทียมได้ ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของผู้ปกครองด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งเป็นอำนาจอธิปไตยในขอบเขตของกฎหมายมหาชนภายใน
2.5 สรุปลักษณะร่วมหรือองค์ประกอบของคำว่า “รัฐ” ในแง่รัฐศาสตร์
องค์ประกอบหรือลักษณะร่วมของคำว่า “รัฐ” ในแง่รัฐศาสตร์ซึ่งส่วนหนึ่งของสังคมศาสตร์ ผู้เขียนได้กล่าวไว้ถึง 4 องค์ประกอบ คือ
ประการที่หนึ่ง เป็นสังคมมนุษย์รูปแบบชุมชนรวมตัวเป็นสมาคม
ประการที่สอง เป็นสังคมมนุษย์ที่ผูกติดอยู่กับดินแดนส่วนหนึ่งส่วนใดของโลก
ประการที่สาม เป็นสังคมการเมืองและมีการแยกผู้ปกครองกับสมาชิกของสังคมอย่างชัดเจน โดยมีผู้ปกครอง (รัฐบาล)
ประการที่สี่ เป็นสังคมการเมืองที่มีผู้ปกครองเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยกระทำในนามรัฐโดยผู้ปกครองออกกฎหมายหรือกฎเกณฑ์บังคับให้ผู้ถูกปกครองกระทำการบางอย่างหรืองดเว้นไม่กระทำการบางอย่าง ซึ่งหากมีการฝ่าฝืนผู้ปกครองก็จะใช้อำนาจลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนจึงถือว่ามีการปกครอง
บุตร 3 ประเภท 在 เรื่อง "บุตร ๓ ประเภท อภิชาตบุตร อนุชาตบุตร อวชาตบุตร" (วิสัชนา ... 的推薦與評價
ผู้ถาม ••• ในทางพระพุทธศาสนาได้ระบุหรือบัญญัติไหมครับว่า ลูกมีกี่ประเภทครับ หลวงตา ••• • อภิชาตบุตร ลูกที่ยิ่งกว่าพ่อกว่าแม่ ... ... <看更多>
บุตร 3 ประเภท 在 บุตร 3 ประเภท - YouTube 的推薦與評價
บุตร 3 ประเภท บุตร คือ ลูก ผู้สืบเชื้อสาย ผู้ที่เกิดจากมารดาบิดา แบ่งประเภทตามคุณธรรมเป็น 3 ประเภท คือ1. ... <看更多>