การศึกษาปรัชญากฎหมายไทย
สิทธิกร ศักดิ์แสง
รองศาสตราจารย์จรัญ โฆษณานันท์ ได้กล่าวถึง การศึกษาปรัชญากฎหมายไทย คือ กำหนดขึ้นโดยดำริพื้นฐานที่สร้างความสมบูรณ์ให้กับองค์ความรู้ในวิชานิติปรัชญาของไทย แทนที่การเรียนหรือการรับรู้แต่ปรัชญาตะวันตกอย่างเดียว ความรู้ความเข้าใจในปรัชญากฎหมายไทย นับเป็นการอุดช่องว่างและสร้างความสมดุลในการศึกษาที่มิให้ภูมิปัญญาตะวันตกครอบงำ การรับรู้โดยสิ้นเชิง แต่อย่างไรก็ตาม เราคงไม่ได้หมายความว่า เรากำลังลดคุณค่าของปรัชญากฎหมายตะวันตกพอ ๆ กับมิใช่ความหมายในการชักนำ “กระแสนิยม ความเป็นไทยขึ้นแบบกึ่งงมงายหรืออาจเรียกว่า “อนุรักษ์ความเป็นไทยอย่างสุดขั้ว”
เมื่อเราศึกษาปรัชญาตะวันตกก็เหมือนกับการมองออกไปภายนอกตัวเองหรือศึกษาหรือสิ่งรอบข้างว่าเป็นอย่างไร มีอะไรบ้างที่ดีหรือไม่ดี ดังนั้นเราก็สมควรที่จะหันย้อนมาดูตัวเองหรือหันมาสนใจกฎหมายไทย เพื่อจะคิดหรือตัดสินใจปัญหาใด ๆ ด้วยความรอบคอบ
เมื่อ 2,000 ปีมาแล้ว นักปรัชญาที่ยิ่งใหญ่ของตะวันตก คือ โสเกรติส พยายามที่สอนให้คนเรา “จงรู้จักตัวเอง” (Know thyself) แม้นัยความหมายอาจไม่ตรงทีเดียวนักกับสิ่งที่เรากำลังค้นหาในปรัชญากฎหมายไทย แต่เราน่าจะพูดได้เช่นกันว่า “การแสวงหาตัวตน” แห่งปรัชญากฎหมายในสังคมไทย ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในทางวิชาการแล้วยังเป็นการเชื่อมโยงไปสู่การค้นหาทำความ “รู้จักตนเอง” ที่เป็นปัจเจกของแต่ละคน
แท้จริงแล้ว แก่นสารของปรัชญากฎหมายไทยมุ่งสู่การเน้นความสัมพันธ์ ระหว่างกฎหมายกับศีลธรรมหรือความยุติธรรม อย่างสูงสุดอันเป็นอุดมคติทางกฎหมายแต่ดั้งเดิม ซึ่งเวลาเดียวกันผสมผสานภาพเชิงซ้อนของปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างอุดมคติทางกฎหมายที่เป็นจริงในสังคมไทยแต่ละยุคสมัย รายละเอียดความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมาย ปรัชญากฎหมายกับอำนาจรัฐไทยอันยาวนาน น่าจะนำไปสู่บทวินิจฉัยเชิงอนุมานของผู้ศึกษาแต่ละคนต่อเรื่อง “ธรรมชาติของกฎหมาย” ได้ดีที่สุดในบั้นปลาย จริงอยู่การฉายภาพเชิงซ้อนระหว่างปรัชญากฎหมายไทยเชิงอุดมคติกับสถานการณ์ที่ดูขัดแย้งกับข้างต้น การศึกษาปรัชญากฎหมายจึงค่อนข้างเข็มของ “เรื่องราวเชิงประวัติศาสตร์หรือการเมืองไทย” เพื่อที่จะต้องการขยายรายละเอียดต่างๆ ที่อยู่เบื้องหลังความเป็นไปของปรัชญากฎหมายไทย บริบททางสังคมด้านต่างๆ ไม่ว่าในเชิงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมหรือการเมืองล้วนเป็นแหล่งอิทธิพลต่อชีวิตที่เป็นจริงของปรัชญากฎหมายไทย ความสำคัญในเชิงวิเคราะห์และวิจารณ์แหล่งอิทธิพลเหล่านั้นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง หรืออาจจะมากกว่าการอธิบายหรือพูดพร่ำถึงหลักการเชิงนามธรรมของปรัชญากฎหมายไทยด้วยซ้ำ
การให้รายละเอียดเกี่ยวกับบริบททางสังคมด้านต่าง ๆ เบื้องหลังปรัชญากฎหมายไทย เพื่อนักศึกษาเข้าถึงภาพรวมแห่งความเป็นจริงต่าง ๆได้สมบูรณ์มากขึ้น แน่นอนในโลกแห่งความเป็นจริง (ของชีวิตและสังคม) ย่อมผสมผสานทั้งสีขาวและสีดำอยู่ในตัว โลกแห่งวิชาการบริสุทธิ์จึงหลีกเลี่ยงไม่พ้นในการอธิบายวิเคราะห์ตีความกระทั่งวิจารณ์ความเป็นจริงส่วนต่างๆ ให้เป็นที่ประจักษ์ พ้นจากนี้กระบวนการทางวิชาการดังกล่าวหาใช่เป็นภารกิจที่หลุดลอย/แยกขาดออกจากความเป็นไปแห่งตัวผู้กระทำไม่ หากลึกๆ ยังสัมพันธ์กับระดับแห่งความเป็นมนุษย์ในตัวผู้กระทำอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วการศึกษาปรัชญากฎหมายไทยเราต้องจำลองภาพอุดมคติและความเป็นจริงแห่งปรัชญากฎหมายไทยให้เป็นระบบมากที่สุด เรียกอีกประเภทหนึ่งว่า “ความรู้” หากเรายอมรับว่า “โดยธรรมชาติแล้ว ความรู้กับความเป็นจริงท่าใช่เป็นสิ่งเดียวกันที่เดียวและความรู้ทุกชนิดมีระดับความเป็นจริงที่ไม่สมบูรณ์เสมอเหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง” ความจำกัดในธรรมชาติ ความรู้ที่ถ่ายทอดออกมาย่อมเป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาพึงต้องตระหนักไว้อย่างมั่นคงควบคู่กับการตระหนักถึงความจำกัดบกพร่อง ภูมิปัญหาหรือภูมิจิตที่ดำรงอยู่เป็นวิสัยปกติของผู้บรรยายวิชานี้
ดังนั้นการศึกษาปรัชญากฎหมายไทย ที่ผ่านมาจะมีปัญหาในเรื่องการศึกษา เพราะนับตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมายังไม่มีการศึกษาอย่างจริงจัง การศึกษาในสมัยโบราณนั้นมักจะถูกปิดกั้น โดยเฉพาะในเรื่องกฎหมาย ราษฎรจะถูกหวงกั้นไม่ให้รู้กฎหมาย เพราะผู้มีอำนาจเห็นว่าถ้าราษฎรมีความรู้มากจะทำให้ปกครองลำบาก ความคิดทวงกั้นมิให้ราษฎรรู้กฎหมายนี้แต่ในสมัยรัตนโกสินทร์ก็ยังมีอยู่ ในสมัยรัชกาลที่ 3 ที่มีการเผาหนังสือของ นายโหมด อมาตยกุล ซึ่งได้พยายามพิมพ์หนังสือกฎหมายตราสามดวง
ดังนั้น เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้วจะเห็นว่า สภาพการรับรู้เรื่องกฎหมายของไทยเลือนลางอย่างยิ่ง โดเยเฉพาะ จิตร ภูมิศักดิ์ ได้วิพากษ์วิจารณ์ว่า “เป็นการขาดการศึกษา อนุญาตให้เรียนได้แต่วิชาที่เป็นประโยชน์ต่อศักดินาโดยมีจุดมุ่งหมาย กดให้คนโง่”
การปิดกั้นเรื่องการศึกษากฎหมายในสมัยโบราณดังกล่าว คงดำเนินมาหลายร้อยปีจนถึงยุคปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินในสมัยรัชกาลที่ 5 (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) เนื่องมาจากอิทธิพลและบทบาทตะวันตก ในปี พ.ศ. 2416 หมอบรัดเลย์ ชาวอเมริกาได้พิมพ์กฎหมายตรา 3 ดวง ออกเผยแพร่ ซึ่งไทยเองก็ไม่พอใจนักแต่ก็จำต้องปล่อยเลยผ่านไม่กล้าขัดขวาง เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งทางการเมือง เนื่องจาก หมอ บรัดเลย์ เป็นชาวต่างประเทศ หลังจากนั้นการศึกษากฎหมายก็เริ่มแพร่หลายมากขึ้น แต่ก็ยังไม่มีโรงเรียนหรือสถาบันสอนกฎหมายกันอย่างเป็นทางการ ต่อมาในปี พ.ศ. 2440 รัฐบาลได้จ้าง มิสเตอร์ โรแลง ยัคคะมินส์ ชาวเบลเยี่ยม มารับราชการเป็นที่ปรึกษาทั่วไปได้ถวายความเห็นต่อรัชกาลที่ 5 ในการตั้งโรงเรียนสอนกฎหมายขึ้น เนื่องจากเห็นว่าการเล่าเรียนกฎหมายขณะนั้นยังอยู่ในวงแคบไม่มีโรงเรียนสอนวิชานี้โดยตรง ทั้งการศาลยุติธรรมยังล้าหลัง สิ่งเหล่านี้เป็นข้ออ้างให้มหาอำนาจตะวันตกที่เข้ามาแทรกแซงไทย ขณะนั้นเป็นเหตุในการตั้งศาลกงศุล อันนำมาซึ่งความลำบากใจแก่ฝ่ายไทยอย่างมากในการถูกหลู่อำนาจอธิปไตยทางการศาลหรืออาจเรียกว่า “การสูญเสียอำนาจอธิปไตยทางศาล” ข้อเสนอของ ยัคคะมินส์ ดังกล่าวได้รับการเห็นพ้องจากองค์พระประมุข คือ รัชกาลที่ 5 จนกระทั้งกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระโอรสสำเร็จการศึกษาจากอ๊อกฟอร์ดและมาเป็นผู้ดำเนินการตั้งโรงเรียนสอนกฎหมายดังกล่าว
นับจากการก่อตั้งโรงเรียนสอนกฎหมาย ในปี พ.ศ. 2440 เป็นต้นมา พัฒนาการของการเรียนการสอนกฎหมายเป็นไปอย่างรวดเร็ว เนื้อหาวิชาที่เปิดสอนหรือสอบในช่วงแรกๆ ยังเน้นหนักที่กฎหมายอาญา กฎหมายแพ่ง กฎหมายวิธีการพิจารณาความและกฎหมายต่างประเทศ ต่อมาในปี พ.ศ. 2462 ก็มีการแก้ไขหลักสูตรของโรงเรียนสอนกฎหมายเพิ่มเติมวิชา “ธรรมศาสตร์” และ “พงศาวดารกฎหมาย” ขึ้นมา โดยเนื้อหาบางส่วนของกฎหมายธรรมศาสตร์พาดพิงเรื่องนิติปรัชญา ในเวลาเดียวกัน “หัวข้อเล็กเชอร์ธรรมศาสตร์” ของพระยานิติศาสตร์ไพศาลย์ ก็พิมพ์เผยแพร่ โดยมีคำอธิบายเนื้อด้านนิติปรัชญา (แบบตะวันตก) แทรกประกอบด้วยเช่นกัน
ข้อสังเกต ธรรมศาสตร์นั้นมีคำอธิบายปรัชญาแบบตะวันตกเข้ามาแทรกโดยเฉพาะแนวความคิดของ แบนเธม กับ จอห์น ออสติน ซึ่งเป็นปรัชญากฎหมายปฏิฐานนิยม ทำให้แนวคิดปฏิฐานนิยมมีบทบาทมากในการเรียนการสอนกฎหมายของไทยในขณะนั้น มาผสมผสานกับปรัชญากฎหมายไทยที่มีอยู่ในอดีตคือเรื่อง “ธรรมะ”
อย่างไรก็ตาม วิชานิติปรัชญาหรือปรัชญากฎหมายนั้นห่างไกลความสำคัญอยู่มาก คือ ไม่ค่อยมีใครค่อยให้ความสำคัญนักในขณะนั้น
ความพยายามผลักดันให้เกิดวิชานิติปรัชญาหรือปรัชญากฎหมายนั้น เริ่มต้นจาก ศ.ดร.หยุด แสงอุทัย ได้พยายามให้มีการเรียนการสอนวิชาดังกล่าว ซึ่งต้องใช้เวลาถึง 15 ปี กว่าจะบรรลุผลสำเร็จ การสอนวิชานิติปรัชญาโดยตรงปรากฏขึ้นในประเทศไทยครั้งแรกที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2515 โดย ศ.ดร.ปรีดี เกษมทรัพย์ เป็นผู้ผลักดันคนสำคัญและริเริ่มสอนวิชานิติปรัชญาและต่อมาวิชานิติปรัชญาเริ่มกลายเป็นวิชาที่ได้รับการยอมรับและให้ความสำคัญหลักสูตรนิติศาสตร์บัณฑิต ที่มีการปรับปรุงแก้ไขหรือเขียนขึ้นใหม่ตามสถาบันอุดมศึกษาทั้งของรัฐและเอกชน ต่างได้บรรจุวิชานี้เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรทั้งสิ้น
ข้อสังเกต เมื่อย้อนหลังที่ผ่านมาปรัชญากฎหมายไทยโดยเฉพาะ แม้การยอมรับในวิชานิติปรัชญาจะเป็นไปอย่างแพร่หลายดังกล่าว หากทว่าวิชานิติปรัชญาที่ประสบความสำเร็จเช่นว่า มีลักษณะเป็นวิชานิติปรัชญาตะวันตกเกือบทั้งหมดก็ว่าได้ เพราะเอกสารหรือตำราที่พิมพ์ออกมานั้นจะเป็นนิติปรัชญาตะวันตกเกือบทั้งหมด
ดังนั้นเราจำเป็นต้องศึกษาปรัชญากฎหมายไทย เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในภูมิปัญญาไทยหรือสามารถโยงเปรียบเทียบกับปรัชญากฎหมายตะวันตกสำหรับความเข้าใจซาบซึ้งต่อจุดดีจุดด้อยของภูมิปัญญาแต่ละฝ่าย ถึงที่สุดแล้วคงเป็น “มรรควิถี” สำคัญที่จะนำไปสู่กิจกรรมอื่น ๆ เชิงปฏิบัติการทางด้านกฎหมายที่รอบคอบและเที่ยงธรรมอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกำหนดโลกทรรศน์ของตัวเองเกี่ยวกับกฎหมายที่เป็นธรรม การวินิจฉัยเชิงคุณค่าด้านความยุติธรรมต่าง ๆ ทั้งในระดับเอกชนหรือสังคมหรือแม้การแก้ไขปัญหารากฐานทางความคิดเพื่อจะปฏิรูปกฎหมายต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับสภาพ แห่งบริบททางด้านสังคมด้านต่าง ๆ ของไทย ที่เรียกว่า “นิติวิธีทางกฎหมาย” (Juristic Medthod)
การศึกษาปรัชญากฎหมายไทย จะในยุคต่าง ๆ ศึกษาปรัชญากฎหมายไทย ได้แก่ ยุคสุโขทัย ยุคอยุธยา ยุคธนบุรี ยุครัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะความคิดปรัชญาทางกฎหมายของกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์และปรัชญากฎหมายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475และแนวคิดปรัชญากฎหมายตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน(2540)
จากปรัชญาตะวันตกสู่ปรัชญากฎหมายไทย ความเข้าใจเกี่ยวกับปรัชญาตะวันตกและปรัชญาตะวันออก
ปรัชญาในความหมายทั่วไปอาจจะหมายถึง วิชาที่ว่าด้วยหลักความรู้จริงซึ่งแปลมาจาก คำว่า “Philosophy” แต่คำในภาษาสันสกฤตซึ่งเป็นต้นกำเนิดปรัชญา แปลว่า “เป็นความรู้อันประเสริฐ” ซึ่งคำว่าปรัชญานี้ถ้าใช้เป็นภาษาบาลีจะตรงกับ คำว่า “ปัญญา” ซึ่งหมายถึง ความรู้แจ้ง ความรอบรู้ความฉลาด ต่อมาประมาณ 8 – 9 ปี ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จึงได้มีผู้นำเอาคำ “ปรัชญา” นี้มาใช้เป็นศัพท์บรรจุในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน หากแปลความหมายเป็นแบบคำภาษาอังกฤษ (Philosophy ) หมายถึง “วิชาว่าด้วยหลักแห่งความรู้และความจริง”
แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้มีความคิดเห็นแตกต่างของขีดขั้นการบรรลุถึงความรู้สัจจะ ในแง่นี้จึงมีการอธิบายความหมาย คำว่า ปรัชญาของอินเดีย (สันสกฤต) คือ ความรู้หรือปัญญาที่ถึงที่สุดเด็ดขาดไปแล้ว (ความรู้ภายหลังเมื่อสิ้นความสงสัยแล้ว) ส่วนคำว่า Philosophy นั้นยังไม่เด็ดขาด ยังค้นหาอยู่หรือยังคลำอยู่ ยังไม่มีจุดจบหรือจุดสุดท้าย อันเป็นเรื่องการคิดคำนวณหรือการตั้งสมมุติฐานด้วยเหตุผลที่ไม่สิ้นสุด ซึ่งน่าจะแปลว่า Philosophy ส่วนความหมายของ “คณิตสัจจะ” หรือสัจจะแห่งการคำนวณมากกว่า อันมีความหมายคล้าย คำว่า “ทรศน” “ทรรศนะ”
ปรัชญาอินเดียมีเป้าหมายที่ชัดเจน กล่าวคือ การหาคำตอบทางศาสนาและศีลธรรม มิใช่การขบคิดปัญหาในเชิงตรรกศาสตร์ เพื่อรู้อย่างปรัชญาตะวันตกที่เป็นความรู้ เป็นไปเพื่อความรู้ แต่ในขณะเดียวกัน ปรัชญาอินเดียก็มิใช่จะไม่มีลักษณะของการคิดหาเหตุผลอย่างปรัชญาตะวันตกมีอยู่ ปรัชญาอินเดียมิใช่เป็นตัวแทนของปรัชญาตะวันออกที่เน้นการแสวงหาคำตอบ ปรัชญาจีน ก็เน้นความสำคัญทางด้านจริยธรรมมากกว่าความสามารถด้านสติปัญญา สนใจปัญหาที่เป็นรูปธรรมมากกว่าปัญหาในเชิงนามธรรม โดยทั่วไปนักปรัชญาจีนตั้งปัญหาข้อคิดว่า “จะทำอย่างไร” มากกว่าที่จะคิดค้นว่า “ทำไมมันจึงเป็น” จุดเน้นด้านจริยธรรมส่วนนี้ของปรัชญาจีนยังดำเนินควบคู่กับวิธีการศึกษาที่เน้นการแสวงหาความรู้ทางจิตวิญญาณ หรือความรู้ที่ได้จากความเข้าใจที่เกิดขึ้นในจิตอย่างฉับพลัน รวมทั้งการภาวนาและวิธีการฝึกฝนอบรมตัวเอง ในขณะที่ปรัชญาตะวันตกมีการแบ่งแยกสาขาออกไปต่าง ๆ อาทิเช่น อภิปรัชญา ตรรกวิทยา ญาณวิทยาหรือสุนทรีศาสตร์ ซึ่งปรัชญาจีนแทบไม่มีการแยกคนออกจากความต้องการทางจริยธรรมและปฏิบัติในชีวิตของบุคคลเลย ประเด็นถกเถียงทั้งหมดของปรัชญาจีนอยู่ที่ว่า จะอบรมฝึกฝนตนให้ดีอย่างไร และจะช่วยสังคมให้เรียบร้อยด้วยวิธีการแบบไหน อันเป็นลักษณะ “มนุษยภาพนิยม” ที่หนักไปทางด้านจริยธรรมบวกกับการเมือง และที่สำคัญอย่างยิ่งในหัวใจของปรัชญาจีนยังเน้นเรื่องความกลมกลืนประสานการสืบเนื่องกับของสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายในโลก ดังที่เห็นในเรื่องปรัชญาเอกภาพของสวรรค์และมนุษย์ของขงจื๊อ ภาวะแห่งดุลยธรรมของสรรพสิ่งทั้งปวงตามคำสอนของ จวงจื๊อ หรือเอกภาพแห่งหยินและหยางในลัทธิเต๋า
สรุป ข้อถกเถียงปรัชญาตะวันตกและปรัชญาตะวันออกนั้นน่าจะเป็นประเด็นให้ได้พบกับคำตอบถึงความมีหรือไม่มีคุณค่าในการถกเถียงอย่างไม่รู้จบเกี่ยวกับ การแยกหรือไม่แยกปรัชญาออกจากเรื่องของเหตุผลบริสุทธิ์ ศาสนาหรือวิทยาศาสตร์และอะไรคือประเด็นหลักที่ควรไตร่ตรองอย่างแท้จริง มากกว่าประเด็นถกเถียงเอาแพ้ชนะกันว่า “ปรัชญาตะวันออกและปรัชญาตะวันตก ฝ่ายใดเป็นปรัชญาที่แท้จริงหรือความเป็นปรัชญามากกว่ากัน”
ข้อสังเกต เบื้องต้นเกี่ยวกับการพิจารณาเปรียบเทียบปรัชญากฎหมายตะวันตกกับกฎหมายไทยซึ่งปรัชญากฎหมายไทยก็เป็นส่วนหนึ่งของปรัชญากฎหมายตะวันออก ดังนั้น ปรัชญากฎหมายไทยจึงผูกพันกับคำสอนในทางศาสนาและความเชื่อในทางศาสนาที่ยึดถือกันอยู่ในสังคมไทย
แต่อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของสัมพันธ์ภาพระหว่างปรัชญากับศาสนาที่มีระดับการเปลี่ยนแปลงไปได้ตามยุคสมัย รวมทั้งปัญหาเรื่องผลกระทบของขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นสังคมสมัยใหม่จากการถูกบีบจากประเทศอาณานิคมตะวันตก ทำให้ไทยใช้ปรัชญาประยุกต์ กล่าวคือ ปรัชญากฎหมายหรือนิติปรัชญาเป็นการศึกษาในเรื่องดังต่อไปนี้ คือ
1.การศึกษาถึงภาพรวมของกฎหมายในเชิงปรัชญาโดยเฉพาะ เรื่องธรรมชาติของกฎหมายหรือประเด็นความสัมพันธ์ของกฎหมายกับจริยธรรมหรือความยุติธรรม อันเป็นการศึกษาเพื่อให้เข้าถึงสิ่งซึ่งเชื่อว่าเป็นวิญญาณของกฎหมาย ลักษณะสำคัญของปรัชญากฎหมายจึงเป็นการศึกษากฎหมายในความหมายที่กว้างที่สุดอย่างเป็นนามธรรมรวม ๆ ว่ามีธรรมชาติอันแท้จริงอย่างไร มีจุดมุ่งหมายอย่างไร
2.ศึกษาถึงประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับมนุษย์ ปัญหาเรื่องการเคารพเชื่อฟังกฎหมาย การดื้อแพ่งต่อกฎหมายของประชาชน รวมทั้งประเด็นเกี่ยวกับเรื่องบทบาททางสังคมของกฎหมายในด้านต่าง ๆ
เมื่อพิจารณาถึงปรัชญากฎหมายไทย ภายใต้อิทธิพลประเทศตะวันตะวันตกที่ได้รับปรัชญาตะวันตกเข้ามาประยุกต์ใช้ในปัจจุบัน แต่เราไม่สามารถบอกได้ว่าที่ผ่านมาในอดีตเราไม่อาจปฏิเสธปรัชญากฎหมายไทยทั้งในยุคโบราณจวบจนสมัยปัจจุบัน ซึ่งถ้าหากสมมุติว่าเรายอมรับว่าคนไทยก็มีปรัชญา คนไทยมีการใช้กฎหมายเป็นประเพณีการปกครองบ้านเมืองมาแต่ยุคโบราณแล้ว เรื่องโลกทรรศนะของคนไทยที่มีต่อธรรมชาติของกฎหมายหรือกฎหมายในความหมายทั่วไปย่อมดำรงอยู่โดยมิพักต้องสงสัย แม่จะไม่ไม่มีการแยกแยะเป็นสำนักคิดต่าง ๆ แข่งขันกันเองแบบตะวันตกก็ตาม
ปรัชญากฎหมายไทยก่อนยุคที่ อิทธิพลความคิดตะวันตกจะเข้ามามีอิทธิพล (นับตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4 )ลงมา) จะวางรากฐานอยู่บนความคิดทั่วไปของปรัชญาตะวันออกที่ผนวกปรัชญากับศาสนาเข้ากันอย่างแน่นแฟ้น โดยเฉพาะอิทธิพลความคิดในศาสนาพุทธ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิมอธิบายภาพรวมของกฎหมายจากฐานอุดมคติทางศาสนาที่เน้นศีลธรรมเรื่องธรรมะ มิใช่เป็นเรื่องของการใช้อำนาจล้วน ๆ ของฆาราวาส (ผู้ใหญ่บ้านในแผ่นดิน) ความเชื่อมโยงปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิมกับศาสนา (นั้นเป็นที่สังเกตว่าละมายคล้ายคลึงกับปรัชญากฎหมายตะวันตก กล่าวคือ ปรัชญาสำนักกฎหมายธรรมชาติ) อิทธิพลความสัมพันธ์พุทธศาสนากับปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิม ได้สื่อผ่านทางความคิดหรือคำสอนทางพุทธศาสนาต่างๆ สู่ประชาชนระดับล่างที่ผ่านมาต่างก็แฝงด้วยความคิดเกี่ยวกับการใช้อำนาจของผู้ปกครองตามไปด้วย คติ เรื่อง ทศพิศราชธรรมหรือธรรมราชา ไตรภูมิพระร่วงหรือวรรณคดีทางศาสนาและการเมืองที่สำคัญอื่นๆ ตั้งแต่ครั้งสมัยสุโขทัย ซึ่งได้มีการเขียนเรื่องดังกล่าว ความรู้สึกหรือความเชื่อในจิตสำนึกคนไทยโบราณต่อสิ่งคู่กันระหว่างอำนาจและธรรมะ จึงน่าจะดำรงอยู่มาช้านานแล้ว
ข้อสรุปนี้ จึงน่าจะโยงกลับมาหาคำตอบเกี่ยวกับความเข้าใจต่อปรัชญากฎหมายของคนไทยในอดีตได้หากมองเห็นถึงธรรมชาติแห่งการใช้อำนาจที่ปรากฏอยู่เป็นข้อเท็จจริงภายนอกของกฎหมาย ในอีกแง่มุมหนึ่งเมื่อจากอิทธิพลของภาษาที่มีต่อความเข้าใจหรือจิตสำนึกของคน ซึ่งในโบราณคนไทย ใช้คำว่า “ธรรมะ” แทนคำว่า “กฎหมาย” ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน พร้อมกับเรียกกฎหมายแม่บทสำคัญว่า “พระธรรมศาสตร์” ดังปรากฏถ้อยคำในศิลาจารึก (หลักที่ 38)
ซึ่งในส่วนปรัชญากฎหมายไทยนี้ผู้เขียนจะกล่าวถึงปรัชญากฎหมายไทย สมัยสุโขทัย สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยกรุงธนบุรีถึงสมัยรัตนโกสินทร์ก่อนการปฏิรูปการปกครองสมัยรัชกาลที่ 5 สมัยหลังการปฏิรูปการปกครองสมัยรัชกาลที่ 5 และปรัชญากฎหมายที่มีอิทธิพลในการจัดทำรัฐธรรมนูญไทย
「ปัญญา หมายถึง」的推薦目錄:
ปัญญา หมายถึง 在 sittikorn saksang Facebook 的最佳貼文
"ว่าด้วยเรื่อง "อรัญวาสี"-"คามวาสี" : กรณีศึกษาสมณศักดิ์สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (พระพรมคุณากรณ์)"
หมายเหตุ คัดลอกมาจากบทความของ เปลว สีเงิน ในไทยโพสต์ (ออนไลน์) วันที่ ๖ ธันวามคม ๒๕๕๙ (ข้อความในวงเล็บความเห็นผู้เขียน)
เป็นมหามงคล "รัชกาลที่ ๑๐" และเป็นบุญประเทศยิ่ง ๕ ธ.ค. ๒๕๕๙�"สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร" รัชกาลที่ ๑๐ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน �เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" รัชกาลที่ ๙ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม�และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสถาปนาเลื่อน-แต่งตั้งสมณศักดิ์พระเถรานุเถระ ๑๕๙ รูป �ในจำนวน ๑๕๙ รูปนั้น ที่ยังความปลาบปลื้มยินดีให้บังเกิดแก่พุทธศาสนิกชนเป็นพิเศษ ดังความที่ "ราชกิจจานุเบกษา" เผยแพร่ประกาศสถาปนาสมณศักดิ์ ๕ ธันวามหาราช ๒๕๕๙ ดังนี้�
"สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า โดยที่ทรงพระราชอนุสรณ์คำนึงถึง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร สมเด็จพระบรมชนกนาถซึ่งเสด็จสวรรคตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ว่า ทรงเป็นพุทธมามกะ และอัครศาสนูปถัมภก ทรงใส่พระราชหฤทัยในการทะนุบำรุงและสืบทอดพระพุทธศาสนา โดยทรงพระกรุณาโปรดสถาปนา เลื่อนและตั้งสมณศักดิ์ถวายแด่พระสังฆาธิการ ซึ่งดำรงในสมณคุณ มีอุปการะยิ่งแก่การพระศาสนาเป็นประจำทุกปี�บัดนี้ เพื่อเป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร �จึงสมควรจะสถาปนาอิสริยยศและเลื่อนอิสริยฐานันดรพระสงฆ์ที่ดำรงอยู่ในสมณคุณ และมีอุปการะยิ่งแก่การพระศาสนาดังกล่าวสูงขึ้นเพื่อจักได้บริหารพระศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสถาพร ตามโบราณราชประเพณีสืบต่อไป�จึงทรงพระกรุณาโปรดสถาปนา (สำหรับพระไม่ใช้คำว่า "โปรดเกล้าฯ" ใช้กับบุคคล)
�๑.พระพรหมคุณาภรณ์ ขึ้นเป็น สมเด็จพระราชาคณะ มีราชทินนามตามที่จารึกในสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณอดุลสุนทรนายก ปาพจนดิลก วรานุศาสน์ อารยางกูรพิลาสนามานุกรม คัมภีรญาณอุดมวิศิษฏ์ ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม "คามวาสีอรัญวาสี" สถิต ณ วัดญาณเวศกวัน จังหวัดนครปฐม �มีฐานานุศักดิ์ ตั้งฐานานุกรมได้ ๑๐ รูป
�๒.พระธรรมวราจารย์ ขึ้นเป็น พระราชาคณะเจ้าคณะรอง มีราชทินนามตามที่จารึกในหิรัญบัฏว่าพระสุธรรมาธิบดี ปูชนียฐานประยุต มงคลวุฒคณาทร บวรศีลาจาร ศาสนภารธุราทร ธรรมยุตติกคณิสสรบวรสังฆาราม "คามวาสี" สถิต ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร มีฐานานุศักดิ์ ตั้งฐานานุกรมได้ ๘ รูป
�๓.พระธรรมสุธี ขึ้นเป็น พระราชาคณะเจ้าคณะรอง มีราชทินนามตามที่จารึกในหิรัญบัฏว่าพระธรรมปัญญาบดี ศรีสังฆวรนายก มหาจุฬาลงกรณดิลกสุพพิธาน นายกสภาบริหารบัณฑิตปริยัติกิจวรธาดา มหาคณิสสร บวรสังฆาราม "คามวาสี" สถิต ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร �มีฐานานุศักดิ์ ตั้งฐานานุกรมได้ ๘ รูป
�๔.พระธรรมมังคลาจารย์ ขึ้นเป็น พระราชาคณะเจ้าคณะรอง มีราชทินนามตามที่จารึกในหิรัญบัฏว่า พระพรหมมงคล ภาวนาโกศลสุพพิธาน วิปัสสนาบริหารพิสุทธิ์ ปาวจนุตตมานุศาสน์คัมภีรญาณพิลาสธำรง มหาคณิสสร บวรสังฆาราม "คามวาสี" สถิต ณ วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร พระอารามหลวง จังหวัดเชียงใหม่ �มีฐานานุศักดิ์ ตั้งฐานานุกรมได้ ๘ รูป�
ขออาราธนาพระคุณผู้ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณฐานันดร เพิ่มอิสริยยศ ในครั้งนี้ จงรับธุระพระพุทธศาสนา เป็นภาระสั่งสอน ช่วยระงับอธิกรณ์ และอนุเคราะห์พระภิกษุสามเณรในคณะและในพระอาราม ตามสมควรแก่กำลัง และอิสริยยศซึ่งพระราชทานนี้ และจงเจริญอายุ วรรณ สุข พลปฏิภาณ คุณสารสิริสวัสดิ์ จิรัฏฐิติ วิรุฬหิไพบูลย์ ในพระพุทธศาสนาเทอญ�ประกาศ ณ วันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ เป็นปีที่ ๑ ในรัชกาลปัจจุบัน�ผู้รับสนองพระราชโองการ�พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา�นายกรัฐมนตรี" �
ซึ่ง เปลว สีเงินได้ สรุป สมณศักดิ์ของสงฆ์ไทย ทั้งหมดมี ๙ ชั้น ๒๑ อันดับ ที่ควรสนใจระดับปกครองคณะสงฆ์ ก็คือ
ชั้น ๑ สกลมหาสังฆปริณายก เป็นตำแหน่งสังฆราช
ชั้น ๒ มหาสังฆนายก เจ้าคณะใหญ่ ชั้นสุพรรณบัฏ�คือสมเด็จพระราชาคณะ มี ๔ ตำแหน่ง คือ พระพุทธโฆษาจารย์, พระวันรัต, พระพุทธาจารย์, มหาวีรวงศ์
ชั้น ๓ พระราชาคณะเจ้าคณะรอง มี ๒ อันดับ คือพระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นหิรัญบัฏ�
เปลว สีเงิน อธิบาย ต่อว่า "สมเด็จพระราชาคณะ" ชั้นสุพรรณบัฏที่ "พระพรหมคุณาภรณ์" หรือท่านเจ้าคุณประยุทธ์ ปยุตฺโต ได้รับสถาปนาราชทินนามตามที่จารึกว่า "สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์" นั้น รองลงมาจากสมเด็จพระสังฆราช สูงกว่าพระราชาคณะเจ้าคณะรองในชั้น "หิรัญบัฏ"
เปลว สีเงิน ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับ�ราชทินนามตามจารึกในสุพรรณบัฏว่า "สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณอดุลสุนทรนายก ปาพจนดิลก วรานุศาสน์ อารยางกูรพิลาสนามานุกรม คัมภีรญาณอุดมวิศิษฏ์ ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสีอรัญวาสี สถิต ณ วัดญาณเวศกวัน จังหวัดนครปฐม" นั้นระบุทั้ง "คามวาสีและอรัญวาสี" "อรัญวาสี-คามวาสี" คืออะไร หลายท่านอาจอยากทราบ?�ทั้ง ๒ อย่างนั้น ใช้เป็นสร้อยนามสมณศักดิ์ สำหรับระดับพระราชาคณะขึ้นไปเท่านั้น เพื่อบ่งบอกว่า
�"อรัญวาสี" หมายถึงพระราชาคณะรูปนั้น เป็น "พระป่า" วัตรปฏิบัติจะมุ่งเน้น ๒ อย่าง คือการเจริญจิตภาวนาด้วยวิปัสสนากรรมฐาน และสอนคนให้เดินอยู่ในเส้นทางศีล-สมาธิ-ปัญญา ไม่เน้นงานด้านบริหารปกครองคณะสงฆ์�
"คามวาสี" หมายถึงพระราชาคณะรูปนั้น เป็น "พระบ้าน" คือ "พระในเมือง" มุ่งงานด้านบริหารปกครอง ก่อสร้าง พัฒนา ด้านวัตถุ ด้านปริยัติ งานสวด งานเผา งานแต่ง ก็ต้องพระคามวาสีเป็นหลัก�สรุป พระอรัญวาสี มุ่งพัฒนาจิต พระคามวาสี มุ่งพัฒนาวัตถุ นี่เป็นหลักกว้างๆ �
เมื่อทราบหลักเช่นนี้แล้ว ก็ลองย้อนขึ้นไปดูราชทินนาม "สมเด็จพระราชาคณะ" คือสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ และพระราชาคณะเจ้าคณะรอง อีก ๓ รูปดู ก็จะทราบว่า รูปไหนเป็นพระป่า-พระบ้าน�
แต่ "สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์" มีทั้งคำว่า "อรัญวาสี" และ "คามวาสี"�หมายถึง นับต่อจากนี้ เมื่อได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น "สมเด็จพระราชาคณะ" รูปแรกและรูปเดียว เป็นปฐมแห่งแผ่นดินรัชกาลที่ ๑๐ แล้ว�จากที่มุ่งทางอรัญวาสีแต่เดิม ก็จะต้องรับธุระด้าน "คามวาสี" คือ งานปกครองคณะสงฆ์ควบคู่ไปด้วย �ตามคำประกาศ ดังปรากฏในราชกิจจา ว่าด้วยการสถาปนาสมณศักดิ์ความเบื้องต้นว่า�"เพื่อจักได้บริหารพระศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสถาพร ตามโบราณราชประเพณีสืบต่อไป"�และความเบื้องปลาย ว่า "จงรับธุระพระพุทธศาสนา เป็นภาระสั่งสอน ช่วยระงับอธิกรณ์ และอนุเคราะห์พระภิกษุสามเณรในคณะและในพระอารามตามสมควรแก่กำลัง และอิสริยยศซึ่งพระราชทานนี้" �
ส่วนพระราชาคณะเจ้าคณะรอง ในชั้นหิรัญบัฏ อีก ๓ รูป�๑.พระสุธรรมาธิบดี วัดบวรฯ กทม.�๒.พระธรรมปัญญาบดี วัดมหาธาตุ กทม.�๓.พระพรหมมงคล วัดศรีจอมทอง เชียงใหม่�เห็นชัด ว่าทั้ง ๓ รูป เป็น"พระบ้าน" คือ พระทำหน้าที่ด้านคันถธุระ หมายถึงงานทางบริหาร-ปกครอง เพราะจารึกในหิรัญบัฏระบุ "คามวาสี" อย่างเดียว.
มีบางคนเข้าใจว่า คามวาสี ใช้กับพระมหานิกาย และอรัญวาสี ใช้กับพระฝ่ายธรรมยุต ไม่น่าถูกต้อง ดูตัวอย่าง เช่น
"สมเด็จพระญาณสังวร" สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร ฝ่ายธรรมยุต จารึกในสุพรรณบัฏ มีคำว่า "คามวาสี อรัญวาสี"�เพราะพระองค์ทรงปฏิบัติทั้งวิปัสสนาธุระ ทั้งทรงทำหน้าที่ปกครองคณะสงฆ์ อันเป็นฝ่ายคันถธุระ�
"สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์" วัดปากน้ำ ซึ่งเป็นฝ่ายมหานิกายก็เช่นกัน นามตามจารึกในสุพรรณบัฏ ก็มี "คามวาสี อรัญวาสี"�
ซึ่งในตำแหน่ง "สมเด็จพระราชาคณะ" ซึ่งต้องปกครองคณะสงฆ์ ก็ต้องทำหน้าที่ทั้งด้าน "พระป่า" และ "พระบ้าน"
สำหรับเปลว สีเงิน ยังงงกับเรื่องนี้เพราะนี่เป็นครั้งแรกในวงการสงฆ์ ที่พระจากวัดราษฎร์ คือ "วัดญาณเวศกวัน" ทั้งเป็น "พระป่า" คือ ท่านเจ้าคุณประยุทธ์�ได้รับสถาปนาขึ้นระดับสมเด็จพระราชาคณะที่ "สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์" มาทำหน้าที่ "พระบ้าน" อีกด้านหนึ่ง
อนึ่งเปลว สีเงิน บอกว่า ในการสถาปนาเลื่อน-แต่งตั้งสมณศักดิ์ ปี ๕๙ นี้ ในจำนวน "พระราชาคณะชั้นสามัญ" ๘๗ รูป �อันดับที่ ๖๘ "พระมหาโชว์" วัดศรีสุดาราม ที่คุ้นๆ หน้าจากเวทีเสื้อแดง ได้เป็นเจ้าคุณด้วยที่ "พระสุธีวีรบัณฑิต" �ขอท่านเจ้าคุณโชว์จงงอกงามในกรรม.
ปัญญา หมายถึง 在 sittikorn saksang Facebook 的精選貼文
“ส่อง ตุลาการศาล รธน....ใคร? ร่วง !!-อยู่ต่อ ”
หมายเหตุคัดลอกมาจาก http://www.komchadluek.net/news/scoop/249873 วันที่ 23 พ.ย. 2559
ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ยกระดับคุณสมบัติตุลาการศาล รธน. สูงขึ้นกว่าเดิม ซึ่งอาจสร้างปัญหาให้ ตุลาการศาล รธน.ชุดปัจจุบัน
แม้ว่า “ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ” ชุดปัจจุบัน จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน ขึ้นอยู่กับ พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญหรือ กม.ลูก ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 273 ของร่างรัฐธรรมนูญ ที่บัญญัติว่า “ ให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ยังคงอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป และเมื่อ พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องที่จัดขึ้นใช้บังคับแล้ว การดำรงตำแหน่งต่อไปเพียงใดให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าว” แต่ปกติแล้ว พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ หรือ กม.ลูก จะบัญญัติเนื้อหาขัดในสาระสำคัญกับ“รัฐธรรมนูญ” ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดและเป็น “แม่บท”ไม่ได้
ดังนั้น จึงต้องพลิกไปดูร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ในส่วนที่เกี่ยวกับ “ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ” ว่าบัญญัติไว้อย่างไร
ทั้งนี้มาตรา 200 บัญญัติว่า ศาลรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจำนวน 9 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจากบุคคล ดังต่อไปนี้
(1) ผู้พิพากษาในศาลฎีกา ซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่า ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา มาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี ซึ่งได้รับคัดเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา จำนวน 3 คน (คุณสมบัติสูงกว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งบัญญัติว่า ดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่า ผู้พิพากษาศาลฎีกา และไม่ได้กำหนดระยะเวลาในการดำรงตำแหน่ง)
(2) ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่า ตุลาการศาลปกครองสูงสุดมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี ซึ่งได้รับคัดเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดจำนวน 2 คน (คุณสมบัติสูงกว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 ที่บัญญัติแต่เพียงว่า เป็นตุลาการศาลปกครองสูงสุด แต่ไม่ได้กำหนดระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง)
(3) ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ ซึ่งได้รับการสรรหาจากผู้ดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่ง “ศาสตราจารย์” ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี และยังมีผลงานทางวิชาการเป็นที่ประจักษ์ จำนวน 1 คน (คุณสมบัติสูงกว่ารัฐธรรมนูญปี50 ที่บัญญัติ เพียงว่าเป็นผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์)
(4)ผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์ หรือรัฐประศาสนศาสตร์ ซึ่งได้รับการสรรหาจากผู้ดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่ง“ศาสตราจารย์” ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า5 ปี และยังมีผลงานทางวิชาการเป็นที่ประจักษ์จำนวน 1 คน (คุณสมบัติสูงกว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 ที่บัญญัติเพียงว่า ผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ หรือสังคมศาสตร์อื่น )
(5) ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้รับการสรรหาจากผู้รับหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่า หรือตำแหน่งไม่ต่ำกว่ารองอัยการสูงสุดมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี จำนวน 2 คน (เพิ่มมาใหม่)
สำหรับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ปัจจุบันมี 9 คน ดังนี้
1. มาจากการได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา 3 คน คือ นายนุรักษ์ มาประณีต ( ปัจจุบันเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ),นายชัช ชลวร , บุญส่ง กุลบุปผา
2.มาจากการได้รับเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด 2 คน คือ นายวรวิทย์ กังศศิเทียม และนายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี
3 มาจากการสรรหาจากผู้ทรงคุณสาขานิติศาสตร์ 2 คน คือ นายจรัญ ภักดีธนากุล และ นายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ
4. มาจากการสรรหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ สาขารัฐศาสตร์ 2 คน คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ และนายปัญญา อุดชาชน
ดังนั้นหาก กม.ลูก ออกมาประกาศใช้ แล้วไม่มีการยกเว้นคุณสมบัติของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่กำหนดตามร่างรัฐธรรมใหม่ไว้ให้กับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบัน อาจมีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต้องพ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากมีคุณสมบัติไม่ถึงตามที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กำหนด คือ
-ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 3 คนที่มาจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา
คือ นายนุรักษ์ มาประณีต เนื่องจาก ตำแหน่งสูงสุด ก่อนเป็น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ คือ ผู้พิพากษาศาลฎีกา ไม่ถึงผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา เช่นเดียวกับนายบุญส่ง กุลบุปผา ส่วนนายชัช ชลวร แม้จะเคยเป็นถึงผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา,ประธานแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลฎีกา ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สูงกว่าผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา แต่เมื่อรวมระยะเวลาที่นายชัช ดำรงตำแหน่งทั้งสองตำแหน่งเป็นเวลา 2 ปีเศษ เท่านั้น ไม่ถึง 3 ปี ตามที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กำหนด
แต่ทั้ง 3 คน อาจได้อยู่ต่อ หากเข้าข้อยกเว้น คือ ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ไม่สามารถเลือก "ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา " มาเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ ทั้งนี้เป็นไป ตามมาตรา 200 วรรคสอง ที่ว่า " ในกรณีที่ไม่อาจเลือกผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจะเลือกบุคคลจากผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาในศาลฎีกามาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี ก็ได้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า จะยึดตามหลักที่ว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่มาจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา จะต้องเป็นระดับ “ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา”ขึ้นไป แต่เนื่องจากทั้ง 3 คน คือนายนุรักษ์,นายชัช และนายบุญส่ง ได้รับการโปรดเกล้าแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ พ.ค.2551 จะครบวาระการดำรงตำแหน่ง 9 ปี ใน พ.ค.ปี 2560 ดังนั้นกว่า พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญ จะเสร็จและมีผลบังบังคับใช้ทั้ง 3 คน คงพ้นตำแหน่งตามวาระไปแล้ว จึงไม่น่าจะได้รับผลกระทบใดๆ เนื่องจาก ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญมีเวลาในการยกร่างถึง 240 วันหรือ 8 เดือนนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ และร่าง พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้มีความเร่งด่วนเหมือนกับร่าง พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ซึ่งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญได้หยิบขึ้นมายกร่างก่อน (และเมื่อทั้ง 3 คนครบวาระไปแล้ว การดำเนินการสรรหาคุณสมบัติของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่มาจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาก็จะเป็นไปตามรัฐธรรมนูญใหม่ คือต้องระดับผู้พิพากษาหัวคณะศาลฎีกาขึ้นไป)
อีกประเด็นที่มีการพูดถึงกันมากก็คือ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่มาจากคณะกรรมการสรรหาจากผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์และสาขารัฐศาสตร์
เมื่อมองไปที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่มาจากผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ ปัจจุบัน มี 2 คน คือ นายจรัญ ภักดีธนากุล และนายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ
สำหรับนายจรัญ เป็น“ศาสตราจารย์พิเศษ”ตั้งแต่ ปี 2541และได้รับเลือกเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อปี 2551 จึงเป็นระดับ“ศาสตราจารย์” มาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี นับแต่ได้รับคัดเลือกเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
แต่มีปัญหาว่า ตำแหน่ง“ศาสตราจารย์พิเศษ” ตรงตามที่ร่างรัฐธรรมนูญกำหนดหรือไม่ เพราะร่างรัฐธรรมนูญกำหนดว่าต้องเป็น“ศาสตราจารย์” ใช้ทดแทนกันได้หรือไม่ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการสรรหาจะเป็นผู้วินิจฉัย
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ ศาลรัฐธรรมเคยวินิจฉัยเมื่อปี 2541 ด้วยคะแนน 4 ต่อ 3 เสียงกรณีของศาสตราจารย์พิเศษ อุกฤษ มงคลนาวิน ที่คณะกรรมการสรรหา เสนอชื่อเป็น“ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ” ว่าขาดคุณสมบัติที่จะเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เพราะขัดกับคุณสมบัติของตุลาการศาลรัฐธรรมตามที่รัฐธรรมนูญ ปี 2540 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นกำหนดว่าต้องเป็น“ศาสตราจารย์” โดยศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ตำแหน่ง“ศาสตราจารย์” และ“ศาสตราจารย์พิเศษ” เป็นคนละอย่างกัน ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร รวมทั้งศาลรัฐธรรมนูญด้วย
แต่ปัญหาข้างต้นไม่น่าจะเกิดกับนายจรัญ เนื่องจากว่านายจรัญ ได้รับการโปรดเกล้าแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเมื่อ พ.ค.2551 จะครบวาระการดำรงตำแหน่ง 9 ปี ใน พ.ค.ปี 2560 ดังนั้นกว่า ร่างพ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญ จะเสร็จและมีผลบังบังคับใช้ นายจรัญ คงพ้นตำแหน่งตามวาระไปแล้ว
มามองที่นายทวีเกียรติ สำหรับนายทวีเกียรติ ได้เป็น“ศาสตราจารย์”เมื่อปี 2554 และได้รับเลือกเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2556 จึงเป็น“ศาสตราจารย์”ไม่ถึง 5 ปี ตามที่ร่างรัฐธรรมนูญกำหนด น่าจะต้องพ้นจากตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ส่วน“ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่มาจากผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์ ” ซึ่งปัจจุบัน มี 2 คน คือ คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ และนายปัญญา อุดชาชน นั้น
สำหรับนายนครินทร์ เป็น“ศาสตราจารย์ ” เมื่อ 17 ก.พ. ปี 2554 และได้รับเลือกเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ 11 ก.ย .ปี 2558 จึงเป็น“ศาสตราจารย์” เพียง 4 ปี ไม่ถึง 5 ปี ตามที่ร่างรัฐธรรมใหม่กำหนด น่าจะต้องพ้นจากตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
เช่นเดียวกับนายปัญญา ซึ่งมีตำแหน่งทางวิชาการไม่ถึง “ศาสตราจารย์ ” จึงต้องพ้นตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไป
(อย่างไรก็ตามสำหรับนายทวีเกียรติและนายนครินทร์ อาจดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ต่อไปได้ถ้าคณะกรรมการสรรหา ปรับลดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ลงเหลือ 2 ปี ซึ่งร่างรัฐธรรมนูญใหม่เปิดช่องให้ทำได้ โดยมาตรา 200 วรรคท้าย บัญญัติว่า ในกรณีจำเป็นอันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ คณะกรรมการสรรหาจะประกาศลดระยะเวลา 5 ปี ลงก็ได้ แต่จะลดลงเหลือน้อยกว่า 2 ปี ไม่ได้)
ส่วนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่มาจากการได้รับเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด 2 คน คือ นายวรวิทย์ กังศศิเทียม และนายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี นั้น
สำหรับนายอุดมศักดิ์ เป็นตุลาการศาลปกครองสูงสุดเมื่อปี 2550และได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ให้เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในปี 2551 นายอุดมศักดิ์ จึงเป็นตุลาการศาลปกครองสูงสุดไม่ถึง 5 ปี นับแต่วันได้รับคัดเลือกตามที่ร่างรัฐธรรมนูญใหม่กำหนด นายอุดมศักดิ์ จึงต้องพ้นตำแหน่ง
แต่เนื่องจากนายอุดมศักดิ์ จะครบวาระการดำรงตำแหน่งใน พ.ค . ปี 2560 ดังนั้นเมื่อ พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับ นายอุดมศักดิ์ น่าจะครบวาระไปก่อนแล้ว จึงไมได้ส่งผลกระทบใดๆต่อนายอุดมศักดิ์
ส่วนนายวรวิทย์ เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ต่อไป เนื่องจากมีคุณสมบัติครบตามร่างรัฐธรรมนูญใหม่กำหนดและ เพิ่งมาเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2557
ทั้งหมด คือ ภาพรวมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบัน ที่อาจได้รับผลกระทบตามร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
กลุ่มเสี่ยง
ปัญญา อุดชาชน
ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ
นครินทร์ เมฆไตรรัตน์
* นุรักษ์ มาประณีต
* ชัช ชลวร
* บุญส่ง กุลบุปผา
* อุดมศักดิ์ นิติมนตรี
* จรัญ ภักดีธนากุล
หมายเหตุ * หมายถึง ครบวาระ พ.ค. 60
ไม่เสี่ยง
นายวรวิทย์ กังศศิเทียม
ปัญญา หมายถึง 在 อาจารย์วศิน อินทสระ - #ปัญญากถา* (ตอน ๑) – ๒ เพราะฉะนั้น ในการ ... 的推薦與評價
เพราะการเกิดใหม่คือทุกข์ใหม่ ตามมาด้วย พูดถึงแหล่งเกิดของปัญญา ๒ อย่าง ประการที่ (๑) สชาติกปัญญา ปัญญาที่ติดตัวม ... ... <看更多>
ปัญญา หมายถึง 在 ปัญญาคืออะไร : ธรรมะจับใจ - YouTube 的推薦與評價
คำถาม : ปัญญาคือ อะไรจะทำอย่างไรให้เกิดปัญญาครับ. ... <看更多>