(สรุปจากบทความ "เจาะลึกฝุ่น PM2.5 ด้วยข้อมูลย้อนหลัง 3 ปี ฝุ่นมาจากไหน เรารู้อะไรบ้าง" โดย พสิษฐ์ คงคุณากรกุล)
1. ข้อมูลปริมาณฝุ่น PM2.5 จากสถานีวัดของกรมควบคุมมลพิษ - โฟกัสช่วงเดือน พ.ย. ถึง ก.พ. (เป็นฤดูหนาว และเป็นช่วงวิกฤต PM2.5 ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล)
- ช่วง พ.ย. 63 – ม.ค. 64 : ปริมาณฝุ่น PM2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมง ส่วนใหญ่จะไม่เกินค่ามาตรฐานที่ 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มค./ลบ.ม.)
- แต่ช่วงกลางเดือน ม.ค. 64 ทุกพื้นที่ มีค่าฝุ่น PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน เข้าสู่โซน ‘เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ’
- มี 7 สถานีวัด ที่มีปริมาณฝุ่นบางวัน แตะระดับ ‘มีผลกระทบต่อสุขภาพ’ (กรุงเทพฯ 3 จุด เช่น ริมถนนกาญจนาภิเษก เขตบางขุนเทียน และ ริมถนนดินแดง เขตดินแดง, สมุทรปราการ 3 จุด เช่น ต.ทรงคะนอง อ.พระประแดง และ ต.ปากน้ำ อ.เมืองสมุทรปราการ , และสมุทรสาครอีก 1 จุด คือ ต.มหาชัย อ.เมืองสมุทรสาคร)
2. ‘ค่ามาตรฐานเฉลี่ย 24 ชั่วโมง’ ของไทย กำหนดไว้ที่ 50 มก./ลบ.ม. ซึ่งควรปรับค่าให้เข้มงวดมากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5
- กรมควบคุมมลพิษ ร่างประกาศเพื่อปรับ "ค่ามาตรฐาน 24 ชั่วโมง" จาก 50 มค./ลบ.ม. เป็น 37 มก./ลบ.ม. และปรับ "ค่ามาตรฐานรายปี" จาก 25 มก./ลบ.ม. เป็น 15 มก./ลบ.ม.
- ค่ามาตรฐานเดิมของไทยนั้นตัั้งเป้าหมายชั่วคราวระยะที่ 2 ขององค์การอนามัยโลก ส่วนค่าใหม่ตั้งตามเป้าหมายชั่วคราวระยะที่ 3
- หากค่ามาตรฐาน ถูกปรับลดเป็น 37 มก./ลบ.ม. ได้ สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 จริงๆ จะยิ่งรุนแรงขึ้นอีก
3. ‘ปัจจัยที่สนับสนุนการสะสมตัวของฝุ่น’ ซึ่ง ‘ควบคุมไม่ได้’ ได้แก่ สภาพภูมิประเทศ และสภาพทางอุตุนิยมวิทยา
- ในช่วงฤดูหนาว ความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีน จะแผ่ลงมาปกคลุมตอนบนของประเทศ ทำให้ "ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ" มีกำลังแรงขึ้น
- แต่บางช่วง ความกดอากาศสูงนี้ มีกำลังอ่อนลง ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือก็อ่อนกำลังลงด้วย หรือเกิด ‘ลมสงบ’
- ประกอบกับมีปรากฏการณ์ผกผันกลับของอุณหภูมิ (Temperature Inversion) มีชั้นอากาศที่อุ่นกว่า (อาจจะพัดเข้ามาจากทิศใดทิศหนึ่ง หรือเกิดจากการคายความร้อนในเวลากลางคืนจากอาคารหรือสิ่งก่อสร้าง) มาแทรกอยู่ตรงกลางระหว่างชั้นอากาศเย็น ทำให้ฝุ่นควันไม่สามารถลอยผ่านขึ้นไปได้ การระบายในแนวดิ่งไม่ดี เป็น ‘ฝาชีครอบ’
- ลม จะส่งผลต่อการระบายฝุ่น PM2.5 ในรูปค่า ‘ดัชนีชี้วัดการระบาย’ (Ventilation Index) เป็นการคูณกันระหว่างความเร็วลมพื้นราบ กับระดับความสูงของชั้นบรรยากาศใกล้ผิวโลก (Planetary Boundary Layer , PBL) ถ้าดีทั้งสองปัจจัย การระบายฝุ่นก็จะดีมาก
- ส่วนฝน จะช่วยแก้ฝุ่น PM2.5 ได้ ก็ต้องตกเยอะ และต้องตกทั่วฟ้า ถ้าตกเป็นหย่อมๆ เช่น ขับเครื่องบินไปฉีดเป็นจุดๆ จะไม่ช่วยอะไรมาก (ความเห็นของ ศ. ดร. ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ จาก NIDA)
4. "แหล่งกำเนิดฝุ่นที่ ‘ควบคุมได้’ ซึ่งมาจากมนุษย์" ได้แก่ การขนส่งทางถนน การเผาในที่โล่ง และโรงงานอุตสาหกรรม
- การศึกษาแหล่งกำเนิดฝุ่น มี 2 แนว ได้แก่ 1. การจัดทำบัญชีการระบายสารมลพิษ (Emission Inventory) ว่าเมืองนั้นๆ ผลิต PM2.5 จากแหล่งไหน เท่าใด และ 2. การจำแนกแหล่งกำเนิดฝุ่น (Source Apportionment) โดยการเก็บตัวอย่างฝุ่น PM2.5 ในบรรยากาศของเมืองที่จะศึกษา ไปวิเคราะห์องค์ประกอบ
- ผลการศึกษาของ AIT ปี พ.ศ. 2560 เก็บตัวอย่างฝุ่นจากดาดฟ้าอาคารในกรุงเทพฯ และปทุมธานี ในฤดูฝนและฤดูแล้ง ปรากฏว่า ในฤดูฝน ฝุ่น PM2.5 เกิดจากไอเสียรถดีเซล เป็นอันดับหนึ่ง / แต่ในฤดูแล้ง เกิดจากการเผาชีวมวล มากที่สุด / นอกจากนี้ ยังมี ‘ฝุ่นทุติยภูมิ’ (ซึ่งจากที่ก๊าซมลพิษเปลี่ยนสภาพกลายเป็นฝุ่นละอองขนาดเล็กมาก) และฝุ่นจากโรงงานอุตสาหกรรม และดิน อีกด้วย
- ปี พ.ศ. 2561 งานวิจัยของ AIT ทำบัญชีการระบายสารมลพิษ ระบุว่า แหล่งที่ปล่อยฝุ่นในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มากที่สุดคือ การขนส่งทางถนน (72.5%) ตามมาด้วย โรงงานอุตสาหกรรม การเผาในที่โล่ง และอื่นๆ
- งานวิจัยของ รศ.ดร.สาวิตรี การีเวทย์ (พระจอมเกล้าธนบุรี) ได้ผลคล้ายกันคือ แหล่งที่ปล่อยฝุ่นมากที่สุดในกรุงเทพฯ และปริมณฑล คือการขนส่งทางถนน (50.79%) .. อย่างไรก็ตาม การเผาชีวมวลในที่โล่งจากจังหวัดอื่นๆ ในภาคกลางอาจจะมีฝุ่น ลอยเข้ามาในกรุงเทพฯ และปริมณฑลได้
- รศ.ดร.ศักดิ์สิทธิ์ เฉลิมพงศ์ (จุฬาฯ) เผยแพร่บทความวิจัย วิเคราะห์ผลการใช้ประโยชน์ที่ดิน ฤดูกาล การเผาในที่โล่ง และการจราจร ต่อระดับฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ จากข้อมูลปี 2562 พบว่า การจราจร มีผลน้อยกว่าสภาพอากาศและการเผาชีวมวลในที่โล่ง
- เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง (มูลนิธิบูรณะนิเวศ) รายงานการพบสารไดออกซินปริมาณสูงในฝุ่นที่จับอยู่บนไข่ของไก่เลี้ยง (ไดออกซิน เป็นสารพิษที่เกิดจากกระบวนการเผาไหม้ การหล่อหลอมในอุตสาหกรรมต่างๆ) ทำให้เชื่อว่าภาคอุตสาหกรรมน่าจะมีส่วนกับฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มากกว่าที่เห็น
- อรรถพล เจริญชันษา (อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ) เปิดเผยว่า สามารถใช้แบบจำลอง แยกแยะแหล่งกำเนิดฝุ่น "เฉพาะช่วงเวลา" ได้แล้ว เช่น ฝุ่นที่ก่อตัวในกรุงเทพฯ ก็จะเกิดจากภาคการจราจร แต่ในพื้นที่ปริมณฑลและมีจุดความร้อน ก็จะเกิดจากการเผาในที่โล่ง
5. กระนั้น เรายังขาดความรู้อยู่อีกมากเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดฝุ่นจิ๋ว เช่น ปริมาณ PM2.5 ที่มาจากภาคการจราจรนั้น มาจากดีเซล จากเบนซิน ต่างกันแค่ไหน , รถติด ส่งผลอย่างไรกับ PM2.5 ลงไปถึงระดับพื้นที่ ระดับถนน เป็น Google Map ที่พยากรณ์ PM2.5
- ศ. ดร. ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ บอกว่า อยากให้สนใจสิ่งที่อยู่ในฝุ่น ที่ก่ออันตรายต่อร่างกาย อาทิ สารก่อมะเร็ง หรือโลหะหนัก มากกว่าปริมาณฝุ่น
「ปากน้ำ คือ」的推薦目錄:
- 關於ปากน้ำ คือ 在 อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ Facebook 的精選貼文
- 關於ปากน้ำ คือ 在 ตามติดชีวิตผีบ้า Facebook 的精選貼文
- 關於ปากน้ำ คือ 在 โหรฟันธง ลักษณ์ เรขานิเทศ Facebook 的最佳貼文
- 關於ปากน้ำ คือ 在 Pcx ปากน้ำ - ความรู้สึก คือ สิ่งที่กลับมาเหมือนเดิมได้ยากที่สุด 的評價
- 關於ปากน้ำ คือ 在 ปิดตำนาน "เอ๋ ชนม์สวัสดิ์" คนดังปากน้ำ | ข่าวเที่ยงช่องวัน - YouTube 的評價
ปากน้ำ คือ 在 ตามติดชีวิตผีบ้า Facebook 的精選貼文
มาใต้ไม่กินติ่มซำ เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึง
ใครมากระบี่ต้องลองร้านหยวนเป่าเลยค่ะ ครบมาก
มีให้เลือกเยอะ เลือกแบบตาแตกกันไป นึ่งสด ๆ เสิร์ฟร้อน ๆ
นอกจากเมนูติ่มซำ ก็มีขนมจีนสารพัดน้ำยา บักกุ๊ดเต๋ ต้มเยื่อไผ่ ข้าวหมูกรอบ จ๊อปู
ข้าวยำ โจ๊ก ผัดหมี่โบราณ ข้าวเหนียวสังขยา บลา ๆ มาที่เดียวคือครบ จบพุงแตกไปเลย
ร้านหยวนเป่าติ่มซำ ถ.มหาราช ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.กระบี่
เราชอบที่มีให้เลือกเยอะมาก คือ เฉพาะติ่มซำก็แบบหลากหลายสุด ๆ
ร้านตกแต่งด้วยสีขาวกับไม้ โล่ง ๆ โปร่ง ๆ ไม่เบียด มีหลายโซนให้เลือกนั่ง
วัตถุดิบดี สด สะอาด พนักงานใส่ใจ พูดจาดี อันนี้ก็เลิฟ
ใครไปนะ ซาลาเปาลาวาต้องจัดเลยค่ะ ติ่มซำก็ดีมาก ต้มเยื่อไผ่ก็เลิศคล่องคอ
ถ้าใครชอบแซ่บ ๆ ก็จัดขนมจีนแกงไตปลา ไปเลย มีผักแกล้มเยอะ
อร่อย สะอาด จนเรากลับไปซ้ำ 2 วันต่อกัน
ร้าน หยวนเป่า กระบี่ YuanBao Krabi
เปิด 06:30 - 15:00 น.
เบอร์โทรฯติดต่อ :: 090-7099058
GPS :: https://goo.gl/maps/c3xYQHjKjTMTzDPx9
เสื้อผ้า พร็อพ รองเท้า หมวก สามารถดูได้ที่ IG :: boboabeargirl
คลิก :: https://www.instagram.com/boboabeargirl/
รีวิวอื่น ๆ สามารถดูได้ที่ :: www.TamTidCheevitPeeBah.com
ปากน้ำ คือ 在 โหรฟันธง ลักษณ์ เรขานิเทศ Facebook 的最佳貼文
ปิยมหาราชรำลึก ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ...
วันปิยมหาราชตรงกับวันที่ 23 ตุลาคม ของทุกปี ...
เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเป็นที่รักใคร่อย่างล้นเหลือของพสกนิกรทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ พระองค์จึงได้รับการถวายพระราชสมัญญานามว่า “สมเด็จพระปิยมหาราช” ซึ่งมีความหมายว่า “พระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชน” ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ รัฐบาลจึงได้ประกาศให้วันที่ 23 ตุลาคม เป็น “วันปิยมหาราช”
พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ปิยมหาราช วันปิยมหาราช 23 ตุลาคม
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2396 เป็นโอรสองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระนางเจ้าฟ้ารำเพยภมราภิรมย์ (สมเด็จพระเทพศิรินทรา พระบรมราชินี)เมื่อพระชนมายุได้ 9 พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น กรมหมื่นพิฆเนศวรสุรลังกาศ ต่อมาเมื่อพระชนมายุได้ 13 พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น กรมขุนพินิตประชานาถ
พระราชกรณียกิจของสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ในวันปิยมหาราช
เลิกทาส
ด้านการปกครอง
การสาธารณูปโภค
การศึกษา
การปกป้องประเทศ
การเสด็จประพาส
เลิกทาส
โปรดเกล้าฯให้ประกาศเลิกทาสในเมืองไทย
เลิกทาสพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชสมบัติทรงมีพระทัยแน่วแน่ว่าจะต้องเลิกทาสให้สำเร็จให้จงได้ แต่การที่พระองค์จะทรงทำการเลิกทาสถือว่าเป็นเรื่องยากลำบากด้วยทาสนั้นมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ อีกทั้งเจ้านายที่เป็นใหญ่ในสมัยนั้นมักมีข้ารับใช้เมื่อไม่มีทาสบุคคลเหล่านี้อาจจะไม่พอใจ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นเหมือนกับที่เกิดขึ้นในต่างประเทศมาแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตราพระราชบัญญัติทาส เรียกว่า พระราชบัญญัติทาส ร.ศ.124 ซึ่งเป็น พระราชบัญญัติที่ตราขึ้นเพื่อกำหนดเรื่องทาสในเรือนเบี้ยให้เป็นไปอย่างเด็ดขาด โดยกำหนดให้เด็กที่เกิดจากพ่อหรือแม่ที่เป็นทาส ไม่จำเป็นต้องเป็นทาสอีกต่อไป กฎหมายโบราณแบ่งทาสออกเป็น 7 ชนิด
ทาสสินไถ่
ทาสในเรือนเบี้ย
ทาสได้มาแต่บิดามารดา
ทาสท่านให้
ทาสช่วยมาแต่ทัณฑ์โทษ
ทาสที่เลี้ยงไว้เมื่อเกิดทุพภิกขภัย
ทาสเชลยศึก
ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่าน และได้ใช้เวลาเพียง 30 ปีเศษ ทาสในเมืองไทยก็หมดไปโดยมิเกิดการนองเลือด เหมือนกับประเทศอื่น ๆ เลย
ด้านการปกครอง
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราระเบียบการปกครองขึ้นใหม่ แยกหน่วยราชการออกเป็นกรมกองต่าง ๆ มีหน้าที่รับผิดชอบเฉพาะไม่ก้าวก่ายกัน ได้แก่กระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่ดูแลบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือและเมืองลาวซึ่งเป็นประเทศราช
กระทรวงกลาโหม มีหน้าที่บังคับบัญชาหัวเมืองปักษ์ใต้ ฝ่ายตะวันออกและตะวันตก และเมืองมลายู
กระทรวงวัง มีหน้าที่ดูแลรักษาการต่าง ๆ ในพระบรมมหาราชวัง
กระทรวงการคลัง มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับการเก็บภาษีรายได้จากประชาชน
กระทรวงเกษตราธิการ มีหน้าที่ในการดูแลควบคุมการเพาะปลูก ค้าขาย ป่าไม้
กระทรวงนครบาล มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยภายในพระนคร
กระทรวงธรรมการ มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับกิจการของพระสงฆ์ และการศึกษา
กระทรวงยุติธรรม มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับคดีความที่ต้องตัดสินต่าง ๆ
กระทรวงโยธาธิการ มีหน้าที่ดูแลตรวจตราการก่อสร้าง การทำถนน ขุดลอกคูคลอง และงานที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง
กระทรวงการต่างประเทศ มีหน้าที่ดูแลงานที่เกี่ยวข้องกับการต่างประเทศ
การสาธารณูปโภค
การประปา ทรงให้กักเก็บน้ำจากแม่น้ำเชียงรากน้อย จ.ปทุมธานี และขุดคลองเพื่อส่งน้ำเข้ามายังสามเสน พร้อมทั้งฝังท่อเอกติดตั้งอุปกรณ์สำหรับการทำน้ำประปาขึ้นในเดือน กรกฎาคม พ.ศ.2452
การคมนาคม วันที่ 9 มีนาคม พ.ศ.2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปขุดดินก่อพระฤกษ์เพื่อประเดิมการสร้างทางรถไฟไปนครราชสีมา แต่ทรงเปิดทางรถไฟกรุงเทพฯ-พระนครศรีอยุธยาก่อน จึงนับว่าเส้นทางรถไฟสายนี้เป็นทางรถไฟแห่งแรกของไทย
การสาธารณสุข เนื่องจากการรักษาแบบยากลางบ้านนี้ล้าสมัยไม่สามารถช่วยคนได้อย่างทันท่วงที จึงโปรดเกล้าฯให้สร้างโรงพยาบาล ณ บริเวณริมคลองบางกอกน้อย และพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 200 ชั่ง โรงพยาบาลแห่งนี้เปิดทำการรักษาประชาชนเป็นครั้งแรกเมื่อ 26 เมษายน พ.ศ.2431 และใช้ชื่อโรงพยาบาลว่า โรงพยาบาลวังหลัง ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “โรงพยาบาลศิริราช”
การไฟฟ้า พระองค์ทรงมอบหมายให้ กรมหมื่นไวยวรนาถ เป็นแม่งานในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า และสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับประชาชนครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2433
การศึกษา
การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าให้ขยายการศึกษา ในปี พ.ศ.2414 โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นภายในพระบรมมหาราชวังโดยมีท่านพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) เป็นอาจารย์ใหญ่ และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนอีกแห่งซึ่งสอนภาษาอังกฤษมีนาย ยอซ แปตเตอร์สัน เป็นอาจารย์ใหญ่ และโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างโรงเรียนหลวงอีกหลายแห่ง โรงเรียนหลวงแห่งแรกที่สร้างขึ้นในวัดคือ โรงเรียนวัดมหรรณพาราม ในปี พ.ศ.2427 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีสุนทรโวหาร เขียนตำราเรียนขึ้นมา เรียกว่า แบบเรียนหลวง 6 เล่ม คือ มูลบทบรรพกิจ วาห์นิติ์นิกร อักษรประโยค สังโยคพิธาน ไวพจน์พิจารณ์ พิศาลการันต์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่าผู้หญิงก็สมควรที่จะได้รับความรู้เช่นเดียวกับผู้ชาย ในปี พ.ศ.2444 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงเรียนสตรีขึ้น โรงเรียนหลวงแห่งแรกที่ตั้งขึ้น คือ โรงเรียนบำรุงสตรีวิทยา การปกป้องประเทศ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้ปรีชาสามารถอย่างสุดพระกำลังในการรักษาประเทศชาติให้รอดพ้นจากวิกฤติการณ์ ถึงแม้ว่าจะต้องสูญเสียดินแดนบางส่วนไปก็ตาม ดินแดนที่ต้องเสียให้กับต่างชาติ ได้แก่
พ.ศ.2431 เสียดินแดนในแคว้นสิบสอบจุไทย
พ.ศ.2436 เสียดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง
พ.ศ.2447 เสียดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขง
พ.ศ.2449 เสียดินแดนที่เมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภรณ
การเสด็จประพาส
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดการเสด็จประพาสเป็นอย่างมาก แต่มิได้ไปเพื่อการสำราญพระราชหฤทัยส่วนพระองค์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสทั้งในประเทศและต่างประเทศ การเสด็จประพาสภายในประเทศทรงปลอมพระองค์เป็นสามัญชนบ้าง ปลอมเป็นขุนนางบ้าง ทรงกระทำเช่นนี้เพื่อเสด็จดูแลทุกข์สุขของประชาชนในหัวเมืองต่าง ๆ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2440 โดยมีหมายกำหนดการเดินทางออกจากประเทศไทยในวันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2441 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะเสด็จประพาสยุโรปเป็นเวลานาน 9 เดือน เพื่อเชื่อมความสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ในยุโรป และในปี พ.ศ.2449 พระองค์ได้เสด็จประพาสยุโรปอีกเป็นครั้งที่ 2 การเสด็จประพาสครั้งนี้ นำความเจริญมาสู่บ้านเมืองอย่างมากมาย ทั้งการสาธารณูปโภค ไฟฟ้า นำ้ประปา การรถไฟ รถราง การแพทย์ การศึกษา รวมถึงระเบียบแบบแผนการปกครองประเทศ
ในปี พ.ศ.2413 ทรงเสด็จประพาสประเทศเพื่อนบ้านเป็นครั้งคราว คือ ประเทศสิงคโปร์ ประเทศชวา(อินโดนีเชีย) 2 ครั้ง การเสด็จพระราชดำเนินประเทศเพื่อนบ้านนั้นด้วยทรงต้องการที่จะเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศเพื่อนบ้านในแถบอินโดจีน รวมถึงทรงต้องการเรียนรู้ระเบียบการปกครองประเทศ
ในปี พ.ศ.2415 เสด็จเยือนประเทศอินเดีย และประเทศพม่า และได้รับการถวายพระบรมสารีริกธาตุและพันธุ์พระศรีมหาโพธิ์จากพุทธคยาอินเดียเพื่อนำกลับมาปลูกในประเทศไทย
สวรรคต
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีชนมพรรษา 58 พรรษา ในบั้นปลายพระชนมชีพทรงพระประชวร เนื่องจากทรงพระชราภาพและเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2453 นับว่าประเทศไทยได้สูญเสียพระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงปล่อยทาสให้เป็นไท ทรงพัฒนาประเทศให้มีความเจริญรุ่งเรืองทัดเทียมนานาอารยประเทศจนเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติพระองค์ทรงอยู่ในราชสมบัติ 42 ปี ประชาชนชาวไทยต่างรักและอาลัยพระองค์มาก และพร้อมใจถวาย สมัญานามว่า “พระปิยมหาราช” ซึ่งมีความหมายว่า “พระราชาผู้ยิ่งใหญ่อันเป็นที่รักของปวงชนชาวไทย”
ลำดับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ
พ.ศ.2411 เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ
พ.ศ.2412 ทรงโปรดเกล้าให้สร้าง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
พ.ศ.2413 เสด็จประพาสสิงคโปร์และชวา โปรดฯ ให้ยกเลิกการไว้ผมทรงมหาดไทย
พ.ศ.2415 ทรงปรับปรุงการทหารครั้งใหญ่ โปรดให้ใช้เสื้อราชปะแตน โปรดให้สร้างโรงเรียนหลวงสอนภาษาอังกฤษแห่งแรกขึ้นในพระบรมหาราชวัง
พ.ศ.2416 ทรงออกผนวชตามโบราณราชประเพณี โปรดให้เลิกประเพณีหมอคลานในเวลาเข้าเฝ้า
พ.ศ.2417 โปรดให้สร้างสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ตั้งโรงเรียนกุลสตรีวังหลัง และให้ใช้อัฐกระดาษแทนเหรียญทองแดง
พ.ศ.2424 เริ่มทดลองใช้โทรศัพท์ครั้งแรก เป็นสายระหว่างกรุงเทพฯ – สมุทรปราการสมโภชพระนครครบ 100 ปี มีการฉลอง 7 คืน 7 วัน
พ.ศ.2426 โปรดให้ตั้งกรมไปรษณีย์ เริ่มบริการไปรษณีย์ในพระนครตั้งกรมโทรเลข และเกิดสงครามปราบฮ่อครั้งที่ 2
พ.ศ.2427 โปรดฯให้ตั้งโรงเรียนราษฎร์ทั่วไปตามวัด โรงเรียนแห่งแรกคือ โรงเรียนวัดมหรรณพาราม
พ.ศ.2429 โปรดฯ ให้เลิกตำแหน่งมหาอุปราช ทรงประกาศตั้งตำแหน่งมกุฏราชกุมารขึ้นแทน
พ.ศ.2431 เสียดินแดนแคว้นสิบสองจุไทให้แก่ฝรั่งเศส การทดลองปกครองส่วนกลางใหม่ เปิดโรงพยาบาลศิริราชโปรดฯให้เลิกรัตนโกสินทร์ศก โดยใช้พุทธศักราชแทน
พ.ศ.2434 ตั้งกระทรวงยุติธรรม ตั้งกรมรถไฟ เริ่มก่อสร้างทางรถไฟสายกรุงเทพ-นครราชสีมา
พ.ศ.2436 ทรงเปิดเดินรถไฟสายเอกชน ระหว่างกรุงเทพฯ-ปากน้ำ กำเนิดสภาอุนาโลมแดง (สภากาชาดไทย)
พ.ศ.2440 ทรงเสด็จประพาสยุโรปเป็นครั้งแรก
พ.ศ.2445 เสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส
พ.ศ.2448 ตราพระราชบัญญัติยกเลิกการมีทาสโดยสิ้นเชิง
พ.ศ.2451 เปิดพระบรมรูปทรงม้า
พ.ศ.2453 เสด็จสวรรคต
"ข้าพระพุทธเจ้านายลักษณ์ เรขานิเทศ ขอน้อมถวายบุญกุศลทั้งหลายที่ได้บำเพ็ญเป็นบุญกิริยา มาตลอดในทุกกาลทุกเมื่อ ถวายกุศลผลบุญนั้นเป็นพระราชกุศลแด่พระองค์ ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น"
...อ้างอิง ...http://www.tlcthai.com/education/history-of-thailand/4533.html
ปากน้ำ คือ 在 ปิดตำนาน "เอ๋ ชนม์สวัสดิ์" คนดังปากน้ำ | ข่าวเที่ยงช่องวัน - YouTube 的推薦與評價
คุณเอ๋ ชนม์สวัสดิ์ เกิดอาการวูบหมดสติ ขณะซ้อมรถแข่ง ที่บุรีรัมย์ ล่าสุดมีการเปิดเผยจากคนใกล้ชิด คุณเอ๋ ได้เสียชีวิตแล้ว #เอ๋ชนม์สวัสดิ์ ... ... <看更多>
ปากน้ำ คือ 在 Pcx ปากน้ำ - ความรู้สึก คือ สิ่งที่กลับมาเหมือนเดิมได้ยากที่สุด 的推薦與評價
Pcx ปากน้ำ. ความรู้สึก คือ สิ่งที่กลับมาเหมือนเดิมได้ยากที่สุด ... ... <看更多>