รวยกว่า สุขกว่า จริงหรือ
GDP ถอยไป SPI มาแล้ว
อ่านบทความเต็ม
https://bit.ly/35HcrJh
ฟังคลิป #Human_Talk #ThinkingRadio
https://youtu.be/7TyTzstKXQo
กว่า 80 ปีที่โลกทั้งใบ ถูกชี้ชะตาด้วยตัวเลขมหัศจรรย์ GDP ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ มูลค่าตลาดของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตในประเทศในแต่ละปี โดยไม่คำนึงว่าผลผลิตนั้นจะผลิตขึ้นมาด้วยทรัพยากรของชาติใด GDP ถูกคิดค้นโดย Simon Kuznets นักเศรษฐศาสตร์ชาวรัสเซีย เพื่อเป็นตัวชี้วัดการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ไม่สามารถชี้วัดคุณภาพชีวิตที่แท้จริงได้
โดยเฉพาะเศรษฐกิจไทยในปี 2020 ที่ผ่านมาถดถอยอย่างแรง -6.1% ต่ำที่สุดในรอบ 22 ปี ในขณะที่ปี 2021 นี้ สภาพัฒน์ประเมินว่าจีดีพีจะโตสูงสุดแค่ 3.5% แต่ผ่านไปไม่กี่เดือน หลายองค์กรก็มีการปรับลดลงมาเรียบร้อยจากผลกระทบของโควิดละลอกสาม ทำให้มีกระแสความไม่พอใจพอสมควร แต่สิ่งสำคัญที่คนไม่เข้าใจก็คือ จีดีพีต้องนำมาเทียบกับมาตรฐานค่าครองชีพของคนในประเทศนั้นจึงจะทำให้เห็นภาพของอำนาจการซื้ออย่างแท้จริง อย่างเช่นประเทศไทย แม้จีดีพีจะติดลบหรือเติบโตน้อยมาก แต่เมื่อเทียบกับมาตรฐานค่าครองชีพ อัตราเงินเฟ้อ ก็ถือว่าเป็นประเทศที่น่าอยู่มากที่สุดประเทศหนึ่งอันดับต้นๆ ของโลกทีเดียว
เพื่อแก้ไขปัญหาการเติบโตทางเศรษฐกิจแต่ละเลยมิติอื่นของสังคม เช่น การสูญเสียและทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ภาวะโลกร้อน ฝุ่นพิษ คุณภาพชีวิตของประชาชน องค์การสหประชาชาติจึงได้ประกาศดัชนีชี้วัดความก้าวหน้าทางสังคมแบบใหม่ออกมา ตั้งแต่ปี 2015 หรือ พ.ศ. 2558 โดยได้ขอมติจากประเทศสมาชิกทั่วโลกร่วมมือกัน มีระยะเวลาเหลืออีกแค่ 10 ปี จนถึงปี 2030
ดัชนีความก้าวหน้าทางสังคม (Social Progress Index – SPI) เป็นมาตรวัดที่สะท้อนความก้าวหน้าทางสังคมที่แยกเด็ดขาดจากความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ ผลคะแนนมาจากตัวชี้วัดด้านสิ่งแวดล้อมและด้านสังคม ซึ่งครอบคลุมความก้าวหน้าทางสังคมครบทั้ง 3 มิติ ได้แก่ 1) ความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ (Basic Human Needs) 2) พื้นฐานของการอยู่ดีมีสุข (Foundations of Wellbeing) และ 3) โอกาส (Opportunity) ดำเนินการโดย Social Progress Imperative ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไรตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา โดยได้รับการสนับสนุนจากดีลอยท์ มูลนิธิ Skoll และได้รับความร่วมมือจาก ไมเคิล อี. พอร์เตอร์ แห่งโรงเรียนธุรกิจ มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด
ดัชนีดังกล่าวนี้เป็นการสำรวจทุกประเทศทั่วโลกใน 3 มิติ
1. ความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ (Basic Human Needs) เช่น อาหาร น้ำ ที่อยู่อาศัย ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
2. โครงสร้างพื้นฐานเพื่อความเป็นอยู่ที่ดี (Foundations of Well-Beings) เช่น การเข้าถึงการศึกษา ข้อมูลข่าวสาร สุขภาพและสิ่งแวดล้อม
3. โอกาสทางสังคม(Opportunities) สิทธิทางการเมืองและการแสดงออก สิทธิในการนับถือศาสนาและเลือกทางเดินชีวิต การยอมรับความแตกต่างทางเพศ เชื้อชาติ ศาสนา ระบบความคุ้มครองทางสังคม และความก้าวหน้าทางการศึกษาในระดับอุดมศึกษาขึ้นไป
UN SDG Goal 2030 เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 17 ข้อ ได้แก่
1: ขจัดความยากจน
2: ขจัดความหิวโหย
3: การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี
4: การศึกษาที่เท่าเทียม
5: ความเท่าเทียมทางเพศ
6: การจัดการน้ำและสุขาภิบาล
7: พลังงานสะอาดที่ทุกคนเข้าถึงได้
8: การจ้างงานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
9: อุตสาหกรรม นวัตกรรม โครงสร้างพื้นฐาน
10: ลดความเหลื่อมล้ำ
11: เมืองและถิ่นฐานมนุษย์อย่างยั่งยืน
12: แผนการบริโภคและการผลิตที่ยั่งยืน
13: การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
14: การใช้ประโยชน์จากมหาสมุทรและทรัพยากรทางทะเล
15: การใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศทางบก
16: สังคมสงบสุข ยุติธรรม ไม่แบ่งแยก
17: ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
ทั้งนี้ การจัดอันดับ SPI (Social Progress Index) ในปี 2563 ที่ผ่านมา ประเทศไทยจัดอยู่ในลำดับที่ 79 ของโลกจากที่สำรวจทั้งหมด 163 ประเทศ ได้คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 70.72 ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นจาก 67.47 ในปีที่ผ่านมา เมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านในอาเซียน เราตามหลังสิงคโปร์ (ลำดับที่ 29) และมาเลเซีย (ลำดับที่ 48) แต่นำหน้าอินโดนีเซีย (ลำดับที่ 84) เวียดนาม (ลำดับที่ 88) ฟิลิปปินส์ (ลำดับที่ 98) กัมพูชา (ลำดับที่ 118) เมียนมาร์ (ลำดับที่ 120) และ ลาว (ลำดับที่ 133) ส่วนประเทศที่มีความก้าวหน้าทางสังคมในระดับสูงสุดของโลก 5 ประเทศแรกเรียงตามลำดับ ได้แก่ นอร์เวย์ เดนมาร์ก ฟินแลนด์ นิวซีแลนด์ และสวีเดน
เมื่อวิคราะห์องค์ประกอบด้านต่างๆ ที่ประเทศไทยทำคะแนนได้ดี 5 ลำดับแรกตามลำดับ ได้แก่ ด้านที่อยู่อาศัย (Shelter) โภชนาการและการแพทย์ขั้นพื้นฐาน (Nutrition and Basic Medical Care) น้ำและสุขาภิบาล (Water and Sanitation) การเข้าถึงความรู้ขั้นพื้นฐาน (Access to Basic Knowledge) และคุณภาพสิ่งแวดล้อม (Environmental Quality) อย่างไรก็ตาม องค์ประกอบที่ได้คะแนนน้อยและอาจจะต้องพิจารณาปรับปรุงต่อไป ได้แก่ ความครอบคลุมและการมีส่วนร่วม (Inclusiveness) สิทธิส่วนบุคคล (Personal Rights) ความปลอดภัยของบุคคล (Personal Safety) ทางเลือกและเสรีภาพส่วนบุคคล (Personal Freedom and Choice) และ การเข้าถึงการศึกษาขั้นสูง (Access to Advanced Education)
สิ่งที่น่าภาคภูมิใจ คือ ประเทศไทยเรามีความได้เปรียบในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก เพราะเราได้น้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พระราชทานตั้งแต่พ.ศ.2542 โดยนำหลักการ 3 ห่วง 2 เงื่อนไข พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน บนพื้นฐานความรู้คู่คุณธรรม มาประยุกต์ใช้ ซึ่งไม่เพียงเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย แต่เป็นประโยชน์ต่อสังคมโลกด้วย
รางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ (อังกฤษ: UNDP Human Development Lifetime Achievement Award) เป็นรางวัลเกียรติยศด้านการพัฒนาของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ โดยจะมอบแก่ National Human Development Report ที่มีผลงานดีเด่นทุก 2 ปี ซึ่งแบ่งไว้เป็น 6 ประเภท โดยรางวัลเกียรติยศที่ได้ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เป็นความคิดริเริ่มของสำนักเลขาธิการสหประชาชาติ ซึ่งเป็นกรณีพิเศษที่มอบแก่บุคคลอันเป็นรางวัลประเภท Life-long achievement ที่ริเริ่มขึ้นใหม่ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เป็นพระองค์แรกที่ได้รับรางวัลดังกล่าว[1][2]
ตัวรางวัลเป็นรูปพานทรงกลมทำด้วยเงินบริสุทธิ์ ด้านในของพานขัดมันผิวเรียบ ส่วนด้านนอกผิวมีลักษณะเป็นคลื่นคล้ายสายน้ำ ตั้งอยู่บนฐานที่ทำจากไม้สัก มีแผ่นป้ายคำจารึกที่ฐานไม้มีข้อความว่า 'To His Majesty King Bhumibol Adulyadej in Recognition of Lifetime Achievement in Human Development May 2006' เพื่อเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี โดยผู้คัดเลือกรูปแบบของรางวัลตั้งใจให้รางวัลเป็นรูปพานทรงกลม เพื่อสื่อความหมายถึงภาชนะที่สามารถใช้รองรับน้ำได้ เช่นเดียวกับผิวนอกของพาน ทำให้มองคล้ายสายน้ำ เนื่องจากเล็งเห็นว่าพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ส่วนมากเกี่ยวข้องกับน้ำและการจัดการทรัพยากรน้ำ เป็นประเด็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดประเด็นหนึ่งในการพัฒนา จึงสมควรแก่การยกย่องเฉลิมพระเกียรติในพระปรีชาสามารถในด้านนี้เป็นกรณีพิเศษ
ดังนั้น แนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง คือที่มาและกระบวนการที่จะนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้ง 17 ข้อ SEP = SDG (Sufficiency Economy Philosophy = Sustainable Development Goal)
หวังว่า ทุกท่านคงเห็นด้วยว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจ GDP อย่างเดียวนั้นไม่พอ ต้องมองความสมดุลในภาพรวมอย่างที่ในหลวงรัชกาล ที่ 9 ได้ทรงมองครอบคลุมทุกมิติเสมอมา ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ชุมชนและวัฒนธรรม
รวยกว่า จึงไม่ได้หมายความว่า สุขกว่าเสมอไป
「ฟิลิปปินส์ ศาสนา」的推薦目錄:
- 關於ฟิลิปปินส์ ศาสนา 在 Facebook 的最讚貼文
- 關於ฟิลิปปินส์ ศาสนา 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
- 關於ฟิลิปปินส์ ศาสนา 在 มติพล ตั้งมติธรรม Facebook 的最讚貼文
- 關於ฟิลิปปินส์ ศาสนา 在 รู้ทันอาเซียน : ความหลากหลายทางศาสนาในฟิลิปปินส์ (15 ก.พ. 60) 的評價
- 關於ฟิลิปปินส์ ศาสนา 在 รู้ทันอาเซียน : ตลาดจำหน่ายสินค้าตามเทศกาลทางศาสนาในฟิลิปปินส์ ... 的評價
- 關於ฟิลิปปินส์ ศาสนา 在 Ep234 ศาสนาคริสต์ในฟิลิปปินส์ - YouTube 的評價
- 關於ฟิลิปปินส์ ศาสนา 在 Spb Knowledge - “ฟิลิปปินส์...ประเทศตะวันตกในอาเซียน” ในบรรดา ... 的評價
ฟิลิปปินส์ ศาสนา 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
ชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน กำลังมีสัดส่วนลดลงเรื่อย ๆ /โดย ลงทุนแมน
รู้หรือไม่ว่า จากการจัดอันดับ 10 มหาเศรษฐีชาวมาเลเซียที่มีทรัพย์สินมากที่สุดโดยนิตยสาร Forbes
จะเป็นชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนถึง 9 คน
ปี 2020 ประเทศมาเลเซียมีจำนวนประชากรที่ถือสัญชาติมาเลย์ทั้งหมด 29.7 ล้านคน
- 69.6% คือจำนวนประชากรภูมิบุตร หรือชาวมาเลเซียเชื้อสายมาเลย์ที่นับถือศาสนาอิสลาม
- 22.6% คือจำนวนชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน
- 7.8% คือจำนวนชาวมาเลเซียเชื้อสายอินเดียและอื่น ๆ
จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ถึงแม้จะเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของประเทศ
สร้างผลประโยชน์ให้กับเศรษฐกิจของมาเลเซียมากมาย
แต่ชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน ก็ยังคงมีจำนวนประชากรที่เป็นส่วนน้อยของประเทศ
และสัดส่วนนี้ก็กำลังจะลดน้อยลงเรื่อย ๆ ..
เรื่องราวนี้น่าสนใจอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่านและนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างชาวจีนกับมาเลเซีย ต้องย้อนกลับไปในช่วงต้นศตวรรษที่ 15
ซึ่งเป็นช่วงแรกของการเดินทางมายังดินแดนแห่งนี้ของชาวจีน
จากการที่ราชวงศ์หมิงจากจีนและอาณาจักรมะละกามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
จึงทำให้มีชาวจีนมากมายเดินทางมาค้าขายที่ดินแดนแห่งนี้เรื่อยมา
ความอุดมสมบูรณ์ ทำให้พ่อค้าชาวจีนบางกลุ่มได้ตัดสินใจตั้งรกรากที่นี่
และได้มีการแต่งงานข้ามเชื้อชาติกับชาวมาเลย์
โดยลูกหลานของชาวจีนที่แต่งงานกับชาวมาเลย์จะถูกเรียกว่า “เปอรานากัน”
ซึ่งในภาษามาเลย์แปลว่า “เกิดที่นี่”
ชาวเปอรานากันคือกลุ่มลูกครึ่งมาเลย์-จีนกลุ่มแรก ที่สร้างวัฒนธรรมแบบผสมผสาน
และเป็นต้นแบบของการอยู่ร่วมกันในสังคมที่หลากหลายของมาเลเซีย
การเปลี่ยนแปลงสำคัญ คือช่วงศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา
ซึ่งตรงกับช่วงประเทศจีนเกิดความวุ่นวายมากมาย ทั้งการปฏิวัติซินไฮ่ สงครามมหาเอเชียบูรพา และการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์
ด้วยปัญหามากมายของประเทศจีน จึงทำให้ชาวจีนจำนวนมากอพยพไปยังต่างประเทศ
ด้วยความต้องการชีวิตที่ดีกว่า โดยจุดหมายยอดนิยมในสมัยนั้นก็คือประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็น ไทย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และมาเลเซีย
ซึ่งในขณะนั้น ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่ยังถูกปกครองโดยเจ้าอาณานิคมชาวตะวันตก โดยประเทศที่ถูกปกครองโดยจักรวรรดิอังกฤษในสมัยนั้นจะถูกวางรากฐานทางด้านการเมือง การศึกษา เศรษฐกิจ และโครงสร้างพื้นฐานเป็นอย่างดี
ประกอบกับในสมัยนั้น อังกฤษต้องการแรงงานจำนวนมากเพื่อที่จะทำงานในเหมืองแร่และการเกษตร
ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้บริติชมาลายา หรือมาเลเซียในปัจจุบัน
กลายเป็นหนึ่งในจุดหมายที่ชาวจีนนิยมย้ายมาตั้งถิ่นฐาน
ชาวจีนในมาเลเซียและประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค มีความเหมือนกันตรงที่พวกเขาอพยพมาแค่เสื่อผืนหมอนใบ ไม่มีอะไรติดตัวมาเลย นอกจากความหวังในการแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าจีนแผ่นดินใหญ่ จึงทำให้ชาวจีนโพ้นทะเลมีความขยันขันแข็งและหนักเอาเบาสู้
ด้วยความที่ไม่เกี่ยงงาน จึงทำให้คนจีนได้เป็นลูกจ้างในงานที่คนมาเลเซียเดิมไม่อยากทำ
ไม่ว่าจะเป็นงานในหมืองแร่ สวนยางพารา สวนปาล์ม หรือตำแหน่งที่อยู่หน้างานเป็นหลัก
เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ส่งผลให้คนจีนสามารถขยับตัวมาเป็นพ่อค้าแม่ค้าหรือนักธุรกิจ
ที่ทำมาค้าขายจนสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวจนกลายเป็นเชื้อชาติที่มีฐานะมากที่สุดในมาเลเซีย
ข้อมูลจาก MIROnline ระบุว่าชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนจะมีรายได้เฉลี่ยมากกว่าเชื้อชาติอื่น ๆ ในมาเลเซีย
ชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนมีความแตกต่างกับชาวไทยเชื้อสายจีนตรงที่ ชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนยังคงตั้งชื่อลูกหลานของตัวเองเป็นชื่อภาษาจีน และจะใช้ภาษาจีนในการสื่อสารกับชาวจีนด้วยกันเอง
ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนมีความได้เปรียบทางด้านภาษาที่สามารถสื่อสารทั้งภาษาจีน, ภาษามาเลย์ และภาษาอังกฤษ จึงทำให้สามารถได้รับโอกาสจากบริษัทข้ามชาติและการค้าขายระหว่างประเทศมากกว่าเชื้อชาติอื่น ๆ
ซึ่งไม่เหมือนกับชาวไทยเชื้อสายจีน ที่จะมีชื่อเป็นภาษาไทยและใช้ภาษาไทยในการสื่อสารในชีวิตประจำวัน
จากเชื้อชาติที่เริ่มต้นจากศูนย์ กลับกลายมาเป็นเชื้อชาติที่สามารถวางรากฐาน
ให้กับเศรษฐกิจของมาเลเซียมากมาย..
ไม่ว่าจะเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดและมีมูลค่ามากที่สุดในตลาดหลักทรัพย์มาเลเซียอย่าง Maybank ก็ถูกก็ตั้งโดยชาวจีนชื่อว่าคุณ Khoo Teck Puat
แอปพลิเคชันที่คนไทยใช้สั่งอาหารออนไลน์อย่าง Grab ก็ถูกก่อตั้งโดยคุณ Anthony Tan
ซึ่งเป็นชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน เช่นกัน
จากข้อมูลของ Department of Statistics Malaysia ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของรัฐบาลมาเลเซีย
ในปี 2010 จากจำนวนประชากรที่ถือสัญชาติมาเลย์ทั้งหมด 26.0 ล้านคน
มีชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน 6.4 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 24.6%
ปี 2020 จากจำนวนประชากรที่ถือสัญชาติมาเลย์ทั้งหมด 29.7 ล้านคน
มีชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน 6.7 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 22.6%
ถึงแม้ว่าประชากรเชื้อสายจีนจะเพิ่มมากขึ้น แต่เมื่อเทียบกับสัดส่วนของประชากรมาเลเซียทั้งหมดแล้ว ชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนกำลังมีสัดส่วนลดน้อยลงเรื่อย ๆ
ภายในปี 2030 สัดส่วนของคนเชื้อสายจีน ถูกคาดว่าจะเหลือเพียง 19.6%
สาเหตุหนึ่งมาจากอัตราการเจริญพันธุ์ที่ลดลง แต่สาเหตุสำคัญมาจากการอพยพออกนอกประเทศของคนเชื้อสายจีน โดยรัฐบาลมาเลเซียคาดการณ์ว่า
มีคนเชื้อสายจีนอพยพออกนอกประเทศไม่ต่ำกว่า 300,000 คน ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
สาเหตุหลักของการอพยพออกนอกประเทศมากขนาดนี้ เกิดจากความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติในมาเลเซียที่มีมาเป็นเวลานาน
จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง คือเหตุการณ์ในปี 1969 ซึ่งเกิดการปะทะกันระหว่างชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนและมาเลย์
เหตุการณ์ดังกล่าวมีสาเหตุมาจากการที่พรรคพันธมิตรฝ่ายค้าน ซึ่งมีสมาชิกส่วนใหญ่เป็นชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน และมีนโยบายเน้นความเสมอภาคของทุกเชื้อชาติในประเทศ สามารถคว้าที่นั่งในสภาได้ถึง 38 ที่นั่ง ซึ่งมากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ ส่งผลให้สมาชิกพรรคพันธมิตรฝ่ายค้านและชาวจีนออกมาเดินขบวนแสดงความดีใจเป็นจำนวนมาก
การเดินขบวนของชาวจีนในครั้งนั้น สร้างความไม่พอใจให้กับชาวมาเลย์จำนวนมาก จึงทำให้พรรค UMNO ซึ่งเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุดในมาเลเซียได้มีการตอบโต้โดยการรวบรวมชาวมาเลย์มาเดินขบวนเช่นกัน
กระแสความเกลียดชังต่อชาวจีนที่ได้ถูกจุดมาสักระยะหนึ่งแล้วจากความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา และที่สำคัญที่สุดก็คือความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างชาวจีนและมาเลย์
สุดท้ายปัญหานี้ก็ได้ระเบิดขึ้น ส่งผลให้ชาวมาเลย์มากมายออกมาเดินขบวน จนกลายเป็นการปะทะกันระหว่างชาวมาเลย์และชาวจีน
เหตุการณ์ดังกล่าวกินเวลานานถึง 2 เดือน ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 100 คน
และมีผู้บาดเจ็บนับไม่ถ้วน ยังไม่รวมความเสียหายในด้านทรัพย์สินอีกมากมาย
หลังจากการปะทะที่นองเลือดได้สิ้นสุดลง รัฐบาลมาเลเซียที่นำโดยพรรค UMNO ได้ประกาศนโยบายเศรษฐกิจใหม่หรือ “นโยบายภูมิบุตร” เพื่อลดช่องว่างทางเศรษฐกิจในประเทศ
ลดฐานะความยากจนของคนเชื้อสายมาเลย์ และเพิ่มความสามัคคีของคนในชาติ
นโยบายดังกล่าวจะสนับสนุนเฉพาะชาวมาเลเซียที่สืบเชื้อสายมาเลย์ และนับถือศาสนาอิสลามเท่านั้น โดยจะได้สิทธิพิเศษทั้งด้านการศึกษา การสงวนที่ดินบางส่วน ตำแหน่งข้าราชการบางตำแหน่ง และสิทธิพิเศษอื่น ๆ อีกมากมาย
นโยบายดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนและอินเดียจำนวนมาก
โดยถูกมองว่าเป็นนโยบายที่เอาเปรียบคนเชื้อชาติอื่น ๆ มีความเป็นสองมาตรฐาน
ทำให้ชาวจีนและอินเดีย กลายเป็นประชากรชนชั้นสองของประเทศไปในที่สุด
แม้ปัจจุบันนี้ฐานะของคนมาเลย์จะดีขึ้นกว่าเดิมมาก ซึ่งเป็นผลสำเร็จของนโยบายภูมิบุตร
แต่นโยบายดังกล่าวยังคงมีอยู่ต่อไป โดยไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนแปลง..
ด้วยความเหลื่อมล้ำนี้เอง ชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนจึงเริ่มอพยพไปยังประเทศอื่น ๆ
เพื่อมองหาความเสมอภาคทางเชื้อชาติ และโอกาสทางธุรกิจที่ดีกว่า
ชาวจีนที่มีความสามารถ ส่วนหนึ่งเลือกที่จะไปทำงานที่สิงคโปร์เนื่องจากความคล้ายคลึงกันของวัฒนธรรมของชาวจีนทั้งในมาเลเซียและสิงคโปร์ รองลงมาก็จะเป็นออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา และแคนาดา
ตัวอย่างที่เราพอจะเห็นได้ในปัจจุบัน เช่น บริษัท Grab Holdings Inc. หรือ Grab ที่ได้ย้ายสำนักงานจากมาเลเซียไปตั้งที่สิงคโปร์ หรือ คุณ James Wan ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง The Conjuring ที่ได้อพยพไปยังออสเตรเลีย และถือสัญชาติออสเตรเลียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
การอพยพไปยังประเทศอื่นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดภาวะสมองไหล ที่จะทำให้สูญเสียแรงงานที่มีทักษะสูง และมีประสิทธิภาพที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
รัฐบาลมาเลเซียพยายามแก้ปัญหานี้โดยจัดตั้งโครงการ TalentCorp เพื่อที่จะดึงดูดชาวมาเลเซียที่เป็นแรงงานทักษะสูงในต่างประเทศให้กลับมาทำงานที่บ้านเกิด
เว็บไซต์ Malay Mail ระบุว่าโครงการดังกล่าวสามารถดึงดูดชาวมาเลเซียได้เพียง 3,000 คน เท่านั้น
จากจำนวนแรงงานมาเลเซียที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก
ตราบใดที่นโยบายภูมิบุตรยังคงมีอยู่ต่อไป ก็เป็นไปได้ว่า
มาเลเซียกำลังสูญเสียทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของประเทศไปเรื่อย ๆ
ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตทางเศรษฐกิจของมาเลเซียจะเป็นอย่างไร เมื่อกำลังสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจกำลังลดน้อยลงทุกที..
นโยบายภูมิบุตรของมาเลเซียจึงนับเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ
เพราะนโยบายนี้เกิดขึ้นมา เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
แต่สุดท้ายกลับกลายเป็น สร้างความเหลื่อมล้ำครั้งใหม่ ขึ้นมาเสียเอง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่านและนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.dosm.gov.my/v1/index.php?r=column/ctheme&menu_id=L0pheU43NWJwRWVSZklWdzQ4TlhUUT09&bul_id=MDMxdHZjWTk1SjFzTzNkRXYzcVZjdz09
-https://www.dosm.gov.my/v1/index.php?r=column/cthemeByCat&cat=155&bul_id=OVByWjg5YkQ3MWFZRTN5bDJiaEVhZz09&menu_id=L0pheU43NWJwRWVSZklWdzQ4TlhUUT09
-https://www.forbes.com/real-time-billionaires/#7f178efb3d78
-https://www.mironline.ca/malaysias-chinese-population-leaving-droves/
-http://km-ir.arts.tu.ac.th/files/original/d110118c633ff3969f6916f77579af60f4db8275.pdf
-http://factsanddetails.com/southeast-asia/Malaysia/sub5_4c/entry-3645.html
-https://www.straitstimes.com/asia/se-asia/falling-malaysian-chinese-population-worrying-analysts
-http://www.aseanthai.net/sub_convert.php?nid=4300
-http://aseancities.net/?p=800&lang=th
-https://www.bbc.com/news/world-asia-22610210
-https://www.malaysianbar.org.my/article/news/legal-and-general-news/general-news/the-tragedy-of-may-13-1969
-https://www.malaymail.com/news/what-you-think/2020/07/06/brain-drain-in-malaysia-why-malaysians-dont-want-to-come-back-home-rueben-a/1881901
ฟิลิปปินส์ ศาสนา 在 มติพล ตั้งมติธรรม Facebook 的最讚貼文
คณิตศาสตร์ของ "หวย"
"หวย" น่าจะเรียกได้ว่าเป็น "กิจกรรมประจำชาติ" ของไทยอย่างหนึ่งที่เรามาร่วมกันโอดครวญกันเป็นประจำกับการถูกหวยแ-ก หวยไม่เพียงแต่เป็น national pastime ประจำชาติเพียงเท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลเป็นอย่างมากต่อวัฒนธรรม ศาสนา และความเชื่อของเรา และเนื่องจากนี่เป็นเพจวิทยาศาสตร์จึงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าหวยนั้นมีส่วนที่เหนี่ยวรั้งความพัฒนาสู่ scientific literacy ในประเทศเราไม่มากก็น้อย ดั่งที่เราทุกคนน่าจะคุ้นเคยกันดีกับลูกหมูพิการ ต้นกล้วยงอกกลางต้น รวมไปถึงท่อน้ำทิ้งจากส้วมที่แตกและผุดขึ้นมาบนดิน ที่แทบทุกเหตุการณ์ ทุกอุบัติเหตุ ทุกข่าว ทุกปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองนี้จะถูกตีความไปเป็น "ตัวเลข" เสียทั้งหมด
ในวันนี้เราจะมาลองดู "หวย" จากในแง่มุมของคณิตศาสตร์กันดูบ้าง โดยเฉพาะในเรื่องของรางวัล "เลขท้ายสองตัว"
รางวัลเลขท้ายสองตัวนั้นมีความเป็นไปได้ทั้งหมดอยู่ด้วยกัน 100 แบบ โอกาสที่จะถูก จึงมีเพียงแค่หนึ่งในร้อย (ในขณะที่โอกาสที่จะถูกแดกกลับมีถึง 99%) ทั้งนี้ทั้งนั้น นี่มาจากสมมติฐานว่าหวยทุกเลขนั้นมีโอกาสออกเท่ากันหมด ว่าแต่ว่าสมมติฐานนี้เป็นจริงหรือไม่?
จากกราฟบนในภาพ แสดงถึงการกระจายตัวของหวยเลขท้ายสองตัวตลอด 20 ปีที่ผ่านมา[1] ทั้ง "ตัวบน" และ "ตัวล่าง" รวมกันทั้งสิ้น 477 งวด จากการดูคร่าวๆ เราจะพบว่ารางวัลนั้นมีการกระจายตัวที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ ไม่มีตัวเลขใดที่เด่นกว่าอย่างเห็นได้ชัดอาจจะมีบางตัวเลขที่ออกเยอะกว่าเลขอื่นบ้างเล็กน้อย แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้มากจนเกินไป
ในทางสถิตินั้น หากเราต้องการจะทราบว่าข้อมูลชุดหนึ่งมีการกระจายตัวที่สอดคล้องกับการกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ (uniform distribution) หรือไม่ เราสามารถทำได้โดยการคำนวณค่า Pearson's chi-squared test ซึ่งหากเรานำข้อมูลรางวัลเลขท้ายสองตัวตลอด 20 ปีนี้มาคำนวณดู เราจะพบว่า ข้อมูลที่ได้นั้น มีค่า chi-squared อยู่ต่ำกว่า Upper-tail critical values of chi-square distribution ทั้งที่ 95% และ 99% confidence interval สำหรับทั้งตัวบนและตัวล่าง นี่หมายความว่า เราไม่สามารถ reject null hypothesis ได้ และไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะยืนยันว่าข้อมูลชุดนี้มีการกระจายตัวที่ต่างออกไปจาก uniform distribution ด้วยความมั่นใจกว่า 99%
ทั้งนี้ทั้งนั้น นี่ไม่ได้เป็นการยืนยันหรือปฏิเสธว่าหวยมีการล๊อคหรือไม่ เราบอกได้เพียงแค่ว่า เลขที่ออกนั้นมีการกระจายตัวที่ค่อนข้าง uniform และมีโอกาสลงทุกเลขอย่างใกล้เคียงกัน อยู่ที่ว่าเราจะเลือกเลขที่ถูกหรือเปล่า
วิธีหนึ่งที่เราอาจจะเลือกเลขที่จะแทง "หวย" ก็คือการ "สุ่ม" ด้วยตัวเราเองโดยการนึกเลขมั่วๆ ขึ้นมาหนึ่งตัวเลข อย่างไรก็ตาม วิธีนี้นั้นมีปัญหาเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีการศึกษามายืนยันเป็นอย่างมาก ว่าสมองของมนุษย์นั้นทำการสุ่มตัวเลขได้ค่อนข้างแย่ และตัวเลขที่เรา "สุ่ม" ขึ้นมาจากหัวนั้น ไม่สามารถเป็นเลขที่เกิดจากการ "สุ่ม" ได้อย่างแท้จริง
กราฟล่างซ้ายของภาพ เป็นกราฟที่ได้มาจาก reddit ที่เก็บข้อมูลที่ผู้เข้าร่วมมา "สุ่ม" ตัวเลขลงบนโซเชียลมีเดียกว่า 6750 ครั้ง จากกราฟเราจะพบว่ากราฟนี้ไม่ได้มีการกระจายตัวที่สม่ำเสมอทุกตัวเลขเท่ากัน ตัวเลขที่ได้รับการ "สุ่ม" มากที่สุดนั้นได้แก่เลข "69" (ด้วยเหตุผลบางประการ) "77" และ "7" ตามลำดับ ซึ่งมากกว่าตัวเลขอื่นอย่างเห็นได้ชัด นอกไปจากนี้ ตัวเลขระหว่าง 1-10 ถูกเลือกมากกว่าตัวเลขอื่นอย่างมีนัยะสำคัญ ซึ่งนี่สอดคล้องกับการศึกษาทางจิตวิทยา และอีกการเก็บข้อมูลหนึ่งที่พบว่าเลข 7 จะถูกเลือกบ่อยที่สุดถึงกว่า 28% เมื่อเราให้คน "สุ่ม" เลขระหว่าง 1-10 ขึ้นมากว่า 8500 ครั้ง[5] เนื่องจากสมองของเรานั้นมีความรู้สึกว่าเลข "7" นั้นควรจะเป็นเลขที่ "สุ่ม" ที่สุด เราจึงเลือกกันแต่เลข 7 จนกลายเป็นเลขที่ไม่สุ่มอีกต่อไป
ซึ่งหากเรานำ Pearson chi-square test มาทดสอบกับข้อมูลชุดนี้ เราจะพบว่าค่า chi-square ที่ได้นั้นเกิน Upper-tail critical values of chi-square distribution ที่ระดับความเชื่อมั่น 90% ไปอย่างไม่เห็นฝุ่น ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าเลขท้ายสองตัวที่ได้จากสมองมนุษย์นั้น ไม่ได้มีการกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอเหมือนอย่างที่หวยออกมาจริงๆ
แล้วการที่สมองมนุษย์ไม่สามารถ random เลขออกมาได้อย่างสม่ำเสมอนั้นมันสำคัญตรงไหน? เมื่อสมองมนุษย์ไม่สามารถ generate distribution แบบเดียวกันกับหวยได้ ก็ย่อมหมายความว่าต่อให้คนที่เชื่อว่ามี "สัญชาติญาณ" ดีที่สุดในการ "เดา" หวย ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกหวยอย่างต่อเนื่อง เพราะว่าเราไม่มีทางที่จะเดาหวยได้ถูกอย่างต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ ในเมื่อหวยนั้นออกทุกเลขอย่างสม่ำเสมอ แต่สมองของเรานั้นไม่สามารถสม่ำเสมอได้
ซึ่งนี่นำไปสู่กลวิธีทุดท้ายที่เรามักจะนำมาเป็น "แรงบรรดาลใจ" ในการแทงหวย นั่นก็คือ การมองหาตัวเลขรอบๆ ข้างที่ไม่เกี่ยวกับตัวเราเอง ไม่ว่าจะเป็นจำนวนผู้เสียชีวิต ลำดับประธานาธิปดี เวลาท้องถิ่นขณะที่นายกทุ่มโพเดี้ยม ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ก็มีปัญหาอีกเช่นกัน.... โดยเจ้าปัญหาที่ว่านี้ รู้จักกันในนามของ Benford's Law[6]
Benford's Law นั้นถูกค้นพบโดยบังเอิญโดย Simon Newcomb ในปี 1881 และอีกครั้งโดย Frank Benford ในปี 1938 โดยในยุคก่อนที่จะมีเครื่องคิดเลขของพวกเขานั้น การหาค่า Logarithm ทำได้โดยการเปิดสมุดเล่มหนาๆ เพื่อหาค่าจากในตาราง โดยนายทั้งสองคนนี้พบว่าหน้าแรกๆ ของสมุด logarithm table ของพวกเขานั้นเปื่อยเร็วกว่าหน้าหลังๆ เป็นอย่างมาก นาย Benford จึงตั้งสมมติฐานว่า ตัวเลขหลักหน้าของค่าที่พบในธรรมชาตินั้นอาจจะมีการกระจายตัวที่ไม่สม่ำเสมอกัน โดยที่ตัวเลขน้อยๆ ควรจะมีการพบได้บ่อยกว่า ตามกราฟแท่งสีน้ำเงินที่ด้านล่างขวาของภาพ และเขาได้ทดสอบกับตัวเลขในธรรมชาติที่ไม่ควรจะมีความเกี่ยวข้องกัน ตั้งแต่ พื้นที่ผิวของแม่น้ำ 335 สาย, ประชากรของเมืองในสหรัฐ 3259 เมือง, ค่าคงที่สากลทางฟิสิกส์กว่า 104 ค่า มวลโมเลกุลกว่า 1800 โมเลกุล, ตัวเลขที่ได้จากคู่มือคณิตศาสตร์กว่า 5000 ตัวเลข, ตัวเลขที่พบในนิตยสาร Reader's Digest กว่า 308 เลข, บ้านเลขที่ของคนกว่า 342 คนที่พบใน American Men of Science และอัตราการเสียชีวิตกว่า 418 อัตรา รวมทั้งหมดนาย Benford ได้นำตัวเลขที่ได้มาแบบสุ่มกว่า 20,229 เลข และพบว่าเลขเหล่านั้นมีตัวเลขหลักหน้ากระจายตัวตาม Benford's Law
กราฟด้านล่างขวา แสดงถึง Benford's Law เทียบกับการกระจายตัวของตัวเลขหลักหน้าของค่าคงที่ทางฟิสิกส์ ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีการกระจายตัวสอดคล้องกับ Benford's Law เป็นอย่างมาก นอกไปจากนี้ Benford's Law ยังใช้ได้อยู่ ไม่ว่าเราจะแปลงค่าต่างๆ ที่พบไปเป็นเลขฐานใดๆ หรือหน่วยใดๆ ก็ตาม ตัวอย่างเช่น Benford's Law ทำนายเอาไว้ว่า ตัวเลขกว่า 30.1% จะขึ้นต้นด้วยเลข 1 ซึ่งหากเรานำความสูงของตึกที่สูงที่สุดในโลก 58 ตึก เราจะพบว่าตึกกว่า 41% นั้นมีความสูงในหน่วยเมตรขึ้นต้นด้วยเลข 1 และแม้ว่าเราจะเปลี่ยนหน่วยเป็นหน่วยฟุต เราก็ยังจะพบว่าตึกกว่า 28% นั้นมีความสูงในหน่วยฟุตขึ้นต้นด้วยเลข 1 ซึ่งมากกว่าเลขอื่นใดๆ
แล้วเพราะเหตุใดเราจึงไม่พบเลขในธรรมชาติในจำนวนที่เท่าๆ กันทุกเลข? คำอธิบายที่ง่ายที่สุดก็คงจะเป็นเพราะว่า สิ่งต่างๆ หลายสิ่งในธรรมชาตินั้นมีความสัมพันธ์เชิง logarithm ซึ่งหากเราแปลงเลขในฐานสิบให้อยู่ในสเกลของ logarithm เราจะได้เส้นจำนวนดังภาพล่างขวาในภาพ จากเส้นจำนวนนี้ เราจะพบว่าหากเราจิ้มตำแหน่งโดยสุ่มบนเส้นจำนวนนี้ โอกาสส่วนมากที่สุดนั้นจะตกอยู่ในเลขที่มีหลักนำหน้าเป็น 1 ตามด้วย 2,3,4 ลดหลั่นลงไป ตาม Benford's Law
Benford's Law นี้มีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง ในการตรวจจับการโกง เนื่องจากสมองของมนุษย์นั้นมีความคาดหวังที่จะให้ทุกตัวเลขตกลงเท่าๆ กัน ตัวเลขที่ได้จากการเมคข้อมูลของคนจึงไม่เป็นไปตาม Benford's Law ซึ่งสามารถใช้เป็นหลักฐานบ่งบอกว่ามีอะไรบางอย่างตุกติกเกิดขึ้นในข้อมูล
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดตัวอย่างหนึ่งก็คือ ข้อมูลของจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 เนื่องจากการติดเชื้อนั้นมีการแพร่กระจายตัวแบบ exponential ตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อนั้นจึงควรจะเป็นไปตาม Benford's Law ทีมนักวิจัยจึงได้มีการนำตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อที่รายงานในแต่ละประเทศมาเปรียบเทียบกับ Benford's Law[7] และพบว่าข้อมูลจากประเทศรัสเซียและอิหร่านนั้นไม่เป็นไปตาม Benford's Law ในขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อจาก สหรัฐ บราซิล อินเดีย เปรู อาฟริกาใต้ โคลอมเบีย เม็กซิโก สเปน อาร์เจนตินา ชิลี อังกฤษ ฝรั่งเศส ซาอุ จีน ฟิลิปปินส์ เบลเยี่ยม ปากีสถาน และอิตาลี เป็นไปตาม Benford's Law ไม่ผิดเพี้ยน
ทั้งหมดนี้ก็วกกลับมาที่ปัญหาหลักของการนำค่าที่พบในธรรมชาติมาทำนายหวย: ค่าที่พบในธรรมชาตินั้นไม่ได้มีการกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ แต่หวยนั้นกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ (ซึ่งยังไม่นับกรณีเช่นเอาวันที่ซึ่งไม่มีทางเกิน 31 มาแทง) ตัวเลขที่เราพบในธรรมชาตินั้นจึงเปรียบได้กับลูกเต๋าที่ถูกถ่วงน้ำหนักเอาไว้ให้ได้ค่าต่ำๆ คำถามก็คือ ลูกเต๋าที่ถ่วงน้ำหนักเอาไว้นั้น จะเป็นตัวแทนที่จะทำนายผลของลูกเต๋าที่มาตรฐานได้แม่นจำจริงหรือ?
ทั้งนี้ทั้งนั้น การเล่นหวยหรือไม่เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล และถึงแม้ว่าส่วนตัวในฐานะนักวิทยาศาสตร์นั้นจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องงมงาย แต่การลงทุนหวยเพียงไม่กี่ร้อย และกับเสี้ยวเวลาเล็กๆ ที่จะได้ลุ้นถึงอนาคตที่ดีขึ้น บางทีก็อาจจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับคนหลายๆ คนก็ได้
หมายเหตุ: บทความนี้เราไม่ได้พูดถึง "โต๊ด" และ Benford's Law นั้นมีผลกับเลขหลักหน้าๆ มากกว่าหลักท้ายๆ แต่คำเตือนนี้ไม่ใช่การใบ้หวย...
อ้างอิง/อ่านเพิ่มเติม:
[1] https://horoscope.thaiorc.com/lottery/stats/lotto-years20.php
[2] https://en.wikipedia.org/wiki/Pearson%27s_chi-squared_test
[3] https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3632045/
[4] https://www.reddit.com/r/dataisbeautiful/comments/88m2mj/pick_a_number_from_1100_results_from_6750/
[5] https://www.reddit.com/r/dataisbeautiful/comments/acow6y/asking_over_8500_students_to_pick_a_random_number/
[6] https://en.wikipedia.org/wiki/Benford%27s_law
[7] https://www.researchgate.net/publication/344164702_Is_COVID-19_data_reliable_A_statistical_analysis_with_Benford's_Law
ฟิลิปปินส์ ศาสนา 在 รู้ทันอาเซียน : ตลาดจำหน่ายสินค้าตามเทศกาลทางศาสนาในฟิลิปปินส์ ... 的推薦與評價

ฟิลิปปินส์ ถือเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่มี ศาสนา คริสต์เป็น ศาสนา ประจำชาติเพราะนอกจากจะสะท้อนให้เห็นทางศาสนสถานที่สวยงามแล้ว ... ... <看更多>
ฟิลิปปินส์ ศาสนา 在 Ep234 ศาสนาคริสต์ในฟิลิปปินส์ - YouTube 的推薦與評價

รายการ รู้ไว้ใช่ว่า...ประชาคมอาเซียนออกอากาศทุกวันจันทร์ - วันศุกร์ เวลา 20.50 น. ทาง ททบ.5. ... <看更多>
ฟิลิปปินส์ ศาสนา 在 รู้ทันอาเซียน : ความหลากหลายทางศาสนาในฟิลิปปินส์ (15 ก.พ. 60) 的推薦與評價
เป็นที่ทราบกันดีว่าชาว ฟิลิปปินส์ ส่วนใหญ่นับถือ ศาสนา คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก แต่ขณะเดียวกันก็มีส่วนหนึ่งที่นับถือ ศาสนา อิสลาม ... ... <看更多>