❤️เมื่อชีวิตไม่ปล่อยเรา เราก็ต้องปล่อยวาง❤️
ผมเขียนเรื่องนี้ ตอนนี้ในขณะที่นั่งรอดูผลอาการของหมาสุดรัก เจ้า Holiday
ชีวิตของคนเรานั้น คนเรามักรอให้มีอะไรพร้อมทุกอย่างก่อนเสมอ แล้วเราถึงคิดว่าชีวิตจะได้มีความสุข
แต่วันนี้ ผมเปลี่ยนความคิดไปแล้ว และรู้เลยว่าความพร้อมมันไม่มีจริง และอาจจะไม่มีวันมีจริง ตราบที่เรายังมีคำว่า..ชีวิต
คนเรามักรอให้การงานมั่นคง หน้าที่มั่นคง ทุกอย่างมั่นคง และเราถึงคิดว่าวันนั้นจะเป็นวันที่มีความสุข
ผมว่าผมเดินทางมาถึงจุดๆนึง ที่พอจะมีสิ่งเหล่านี้แล้ว รวมถึงผมเรียนรู้เรื่อง การโค้ชชิ่ง การจัดการกับอารมณ์ การจัดการความสัมพันธ์ การเผื่อใจในการคบคน รู้เรื่องราวของการทำงานสมอง จนตั้งรับกับความสัมพันธ์ ของมนุษย์ได้ แทบทุกรูปแบบ
จนแทบมั่นใจว่า เราจัดการกับอารมณ์ได้ ความรักความสัมพันธ์ ใน relationship ไม่น่าจะทำอะไรผมได้
ผมน่าจะมีความสุขกับขีวิตที่เหลือได้แล้วตามอัตภาพ
แต่สิ่งหนึ่งในชีวิต ที่เข้ามาหาเราได้เสมอ คือความไม่แน่นอน
อีกสามวัน ผมต้องเดินทางไปยุโรป จองตั๋วล่วงหน้ามาแล้วหลายเดือน การเดินทางไปยุโรปในช่วงหน้าหนาวปลายปี ควรจะเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข พบความรื่นเริง สนุกสนาน ได้ความรู้ ประสบการณ์ อะไรใหม่ๆกลับมากับชีวิต แต่ครั้งนี้ มันกลายเป็นการเดินทาง ที่ทรมานที่สุด เพราะ เมื่อสามวันที่แล้ว เจ้า Holiday อยู่ดีๆ ก็มีอาการฟุบ หายใจถี่ๆ กระแทกๆ หมดแรง จนผมต้องรีบพาไปหาหมอที่ รพ ตอนดึก และ x-ray พบว่า มันเป็นปอดรั่ว มีอากาศออกมา
แถมมีอาการ ตับ และ ถุงน้ำดีอีกเสบอีกตะหาก
เข้า ห้อง ICU ไป อาการผ่านมาสามวัน ยังมีลมรั่วอยู่ต้อง ดูดลมออกอีกครั้ง ในวันนี้ และเฝ้าดู อาการวันต่อวัน ในขณะที่ อีกสามวัน ผมต้องเดินทาง
ผมยิ้มให้กับตัวเอง และบอกกับตัวเองเลยว่า ชีวิตมันช่างหาความทุกข์ เข้ามามาใส่เราได้ทุกทาง เมื่อไหร่ก็ได้จริงๆ ไม่เกี่ยวว่าวันนี้คุณมีอะไรครบแค่ไหน
เพราะในขณะที่ผมเตรียมตัว เตรียมใจในทุกเรื่องกับที่สามารถเข้ามาในชีวิต ในความสัมพันธ์กับผู้คน ผมไม่ได้เตรียมใจไว้สำหรับเรื่อง หมา เพราะคิดว่ามันยังเด็ก มันไม่มีทางหักหลังเรา มันรักเรา มันไม่มีทางทำร้ายเรา เพราะมันเป็นหมา แต่ชีวิตมันคงรู้ดีมั้ง ก็เลยส่งความทุกข์เข้ามาในเรื่องที่เรา วางใจว่าไม่มีทางจะมีอะไรเกิดขึ้น ในระยะเวลาอันใกล้ ...รับไปเต็มๆ
เปิดตำรา จิตวิทยา ปรับใจกันแทบไม่ทัน
ถึงวันนี้ บทเรียนนี้ กำลังสอนให้ผมได้บทเรียนใหม่ ว่าต้องรักยังไงไม่ให้ทุกข์ สุดท้ายผมพบว่ามันคือ ...
พรหมวิหาร4.
ในความรัก เราไม่สามารถยึดติดกับอะไรได้ทั้งนั้น
เราทำได้เพียง
1 มีเมตตา ช่วยให้เขามีความสุข
2 มีกรุณา ช่วยให้เขาพ้นทุกข์
3 มีมุทิตา ยินดีเมื่อเขามีความสุข
และ 4 อุเบกขา การวางใจให้มันเฉยซะ ในสิ่งที่เราทำอะไรไม่ได้ ก็ถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว มันยังเกิด ก็แค่ยิ้มกับมัน และเผชิญหน้า และเดินต่อกับชีวิต
ก็บางเรื่องมันทำอะไรไม่ได้..ก็ไม่ต้องทำอะไร
แค่อย่าเอาใจไป..ถมความทุกข์ใส่เข้าไป
เป็นอีกหนึ่งบทเรียนที่ชีวิตส่งมาให้
ก็แค่ขอบคุณ และเรียนรู้ กันไป..ขอบคุณคร้าบบ ชีวิต
ทุกอย่างในชีวิต มีช่วงเวลาที่สิ่งนั้นมาเดินร่วมทางกับเรา และถึงวันหนึ่ง สิ่งนั้นก็ต้องจากเราไป
ไม่มีสิ่งใด...ถาวร
ไม่สิ่งใด...นิรันดร์
จะเกิดขึ้น เมื่อไหร่ก็ได้
แต่เราจะเอนจอยกับสิ่งนั้นหรือคนนั้นอย่างไร ให้ดีที่สุด...ในช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน
ถ้ามองย้อนเวลากลับไป ผมเองไม่ได้เสียดายเวลาที่ผ่านมา เพราะผมทำดีที่สุดแล้ว ให้ทุกสิ่งที่ดีที่สุดกับมัน อยู่ด้วยกันแทบตลอดเวลา ที่พลาดไปหน่อย ก็คือจะกอดมันให้บ่อย และแน่นขึ้นกว่าเดิมอีกนิดเท่านั้น
อย่าไปรอ ให้อะไรพร้อม เลยครับ มันไม่มีจริงหรอก มองไปรอบๆตัว วันนี้เรามีสิ่งใดอยู่ เอนจอยสิ่งเหล่านั้น ในทุกๆวัน ให้ดีที่สุด ทำทุกวันให้ดีที่สุด มีความสุข กับทุกสิ่ง ทุกคน ทุกความสัมพันธ์ รอบตัวให้ดีที่สุด เมื่อทำดีที่สุดแล้ว ชีวิตส่งอะไรมาทดสอบ ให้มันเกิดขึ้น ก็แค่ยิ้มให้กับมัน แล้วก็ปล่อยวางมันลง
ใช้อุเบกขา สยบ ทุกเรื่องราวว่า ... มันเป็นเช่นนั้นเอง
โค้ชกิ๊ก อนิศ โอสถานุเคราะห์
CG
ปรึกษาปัญหาความรักฟรี
สนใจจองโค้ชชิ่งส่วนตัว❤️
สอบถามคอร์สที่เหมาะสมกับคุณ คลิ๊กไลน์ลิงค์นี้เลย
https://line.me/R/ti/p/%40clubgig
มันเป็นเช่นนั้นเอง 在 Club Gig Facebook 的最佳解答
❤️ความสุขจะเกิดขึ้นง่ายๆ
ถ้าเราเลิกเอาหัวใจไปไว้ที่คนอื่น❤️
ความสุข ของคนเรานั้นจริงๆแล้ว มันอยู่รอบๆตัวเราในทุกๆวันนี่แหละครับ และจริงๆแล้วมันอยู่ในมุมมองที่เรามองชีวิตเราทุกวันนี้ ว่ามันดีพอหรือโอเคแล้วหรือไม่
ถ้าเรา คิดว่ามันยังไม่ดีพอ เราก็ทุกข์ ถ้าเราคิดว่ามันโอเคแล้วเราก็สุข แต่จะคิดยังไง ว่าชีวิตเราดีพอที่จะมีความสุขแล้วรึเปล่า
ถามตัวเองว่า วันนี้สุขภาพคุณแข็งแรงดีไหม บ้านที่อยู่นอนหลับสบายไหม มีข้าวกินอิ่มครบมื้อแล้วไหม มีงานสุจริตทำในทุกวันนี้ไหม ถ้าทุกอย่างมีครบ ความสุขที่เหลืออยู่ที่มุมมอง และทัศนคติในการใช้ชีวิตแล้วครับ
หัดเอนจอยสิ่งที่เรามีในทุกวันนี้ ลดความคาดหวังในตัวคนอื่นลงบ้าง ความทุกข์ ส่วนมากมาได้จากทางเดียวคือคาดหวังในตัวคนอื่นแล้วผิดหวัง ไม่เป็นไปตามที่คิด
มองโลกด้วยความเป็นจริงบ้าง อะไรที่มันไม่ได้ โดยเฉพาะความคาดหวังความสุขจากคนอื่น ถ้าเขาไม่ทำให้ก็อย่าฝืน ให้เข้าใจว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง อะไรที่หนักมากไม่พอใจมากๆก็ปล่อยมันไปก็ได้นะครับ ไม่ได้มีใครมาบังคับให้คุณแบกไว้เลย
และอย่าไปนั่งรอคอย ความเมตตาจากคนอื่นที่เขาจะต้องเปลี่ยนตัวเองให้คุณ เพื่อให้คุณมีความสุข หายทุกข์ คนเรามันก็เอาความสุขตัวเองเป็นที่ตั้งทั้งนั้น ถ้าเขาทำอะไรให้เราแล้วเขามีความสุข เขาทำไปนานแล้ว
ถ้าคุณสามารถมีความสุข ด้วยตัวเองเป็น รักตัวเองเป็นเมื่อไหร่ ความทุกข์จะลดน้อยลงมาก อะไรหายไปคุณก็ไม่เสียใจอะไรมาก เพราะคนที่อยู่กับตัวเองได้ จะคิดว่า ทุกสิ่งในชีวิตคือกำไร อะไรหายไปก็ไม่เดือดร้อน ฉันสามารถไปหาเอาข้างหน้าได้ใหม่ ดีเสียอีกที่ตัวทุกข์ มันหายไป ชีวิตจะได้ เดินเบาๆคล่องๆซะที
ถ้าหัดเอาหัวใจกลับมาไว้ที่ตัวเองได้ เดี๋ยวความสุขในทุกๆวัน มันจะผุดขึ้นมารายล้อมคุณเอง ที่คนเราเศร้าทุกวันนี้ส่วนมากจะเอาหัวใจไปไว้ที่คนอื่นทั้งนั้นแหละครับ
CG โค้ชกิ๊ก อนิศ โอสถานุเคราะห์
ปรึกษาปัญหาความรักฟรี
สนใจจองโค้ชชิ่งส่วนตัว❤️
สอบถามคอร์สที่เหมาะสมกับคุณ คลิ๊กไลน์ลิงค์นี้เลย
https://line.me/R/ti/p/%40clubgig
มันเป็นเช่นนั้นเอง 在 Roundfinger Facebook 的最佳貼文
เล่าสู่กันฟังหลังการอ่านครับ
พี่ๆ เพื่อนๆ สามารถชี้แนะเพิ่มเติมได้นะครับ :)
ใจความแห่งคริสตธรรมเท่าที่พุทธบริษัทควรทราบ
:: ท่านพุทธทาสภิกขุ: เขียน
:: ธรรมทานมูลนิธิ: จัดพิมพ์ ปี 2528
---
จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้อยู่ที่เจตนา นั่นคือความประสงค์เพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจอันดีของผู้ที่นับถือศาสนาแตกต่างกัน ธรรมบรรยายซึ่งเป็นต้นทางของเล่มนี้จึงมุ่งเน้นไปที่การก่อความเข้าใจและลดความขุ่นเคืองกัน
ในช่วงแรกของเล่ม ท่านพุทธทาสเน้นไปที่ความหมายของ 'พระเจ้า' ซึ่งท่านสามารถร้อยเรียงความหมายในมุมมองของท่านได้อย่างกระจ่างและกระชับ
เริ่มต้นที่จุดมุ่งหมายของศาสนา, เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า "ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี" ผมคิดว่ายังมีคำถามที่ต้องตีความว่า 'คนดี' ของแต่ละคนคืออะไร ทว่า-ในหนังสือเล่มนี้ท่านพุทธทาสอธิบายว่า "ทุกศาสนามีความเหมือนกัน ตรงที่ต้องการให้คนหมดความเห็นแก่ตัว" คิดว่าชัดเจนขึ้น และท่านยังกล่าวต่อด้วยว่า "จนกระทั่งหมดตัวตน"
ในทางพุทธ "ตัดตัวกูเสีย หมดตัวกูก็ถึงนิพพาน"
ถ้าเรายังไม่พูดเรื่องนิพพาน ธรรมะทั้งหลายล้วนแล้วแต่มุ่งหวังให้ผู้ปฏิบัติมีสติเท่าทันความเห็นแก่ตัว ความบ้าตัวตนของตนเองด้วยกันทั้งสิ้น
คำสอนของศาสนาคริสต์ เช่น คำสอนเรื่องความรัก 'ให้รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง' หรือคำสอนอย่าง 'ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน ก็จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย' ล้วนเป็นคำสอนที่ลดทอนการคิดถึงแต่ตนเอง หลงไปกับความโกรธของตนเอง
ท่านพุทธทาสกล่าวถึงไม้กางเขนว่า "ไม้อันที่ยืนเป็นเสา คือตัว 'I' นั่นแหละ มันคือตัวฉันหรือตัวกู แล้วอันขวางนั่น คือตัดเสียซึ่งฉันและกู"
...
นอกจากนั้นยังมีการเชื่อมโยงที่น่าสนใจอีกประการ คือท่านมองว่า 'พระเจ้า' ในมุมของพุทธ แม้ไม่มีเป็นตัวเป็นตนหรือบุคคล แต่มีสิ่งที่มีความหมายเหมือน 'พระเจ้า' เช่นกัน นั่นคือ กฎธรรมชาติ
กฎที่ว่าคือ มันเป็นเช่นนั้นเอง
'พระเจ้า' ของชาวพุทธคือ 'พระธรรม' หรือ 'ธรรมะ' ซึ่งประกอบด้วยสี่ความหมาย คือหนึ่ง-ธรรมะคือตัวธรรมชาติ, สอง-ธรรมะคือกฎธรรมชาติ, สาม-ธรรมะคือหน้าที่ตามกฎธรรมชาติ, สี่-ธรรมะคือผลที่จะได้จากหน้าที่นั้น
'พระเจ้า' อาจมีอีกชื่อคือ 'สัจธรรม'
'ตถา' แปลว่า อย่างนั้น, ผู้ใดถึงตถา ผู้นั้นเรียกว่า 'ตถาคต' ก็คือถึงพระเจ้า
ความเป็นอย่างนั้น ก็คือตัวพระเจ้า
ท่านพุทธทาสกล่าวว่า "พระเจ้าตถานี่แหละ เป็นปฐมเหตุของทุกสิ่งในสากลจักรวาล พระเจ้าสร้างโลก เราว่ากฎแห่งตถา พระเจ้าควบคุมโลก เพิกถอนโลก เราก็ว่ากฎแห่งตถตา พระเจ้าอยู่ในทุกที่ทุกหนทุกแห่ง เราก็ว่ากฎแห่งตถตา"
ในความหมายคือ กฎของธรรมชาตินั้นอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง
เมื่อเกิดเหตุนี้ จึงมีสิ่งนั้น มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เหล่านี้คือกฎธรรมชาติ เป็นเช่นนั้นเอง และเป็นไปชั่วนิรันดร์
ตรงนี้เองที่ท่านพุทธทาสบอกว่า ฝรั่งออกเสียงว่า 'God' แต่ของเราทำให้สั้นเข้า กลายเป็น 'กฎ'
...
ท่านพุทธทาสกล่าวว่า มนุษย์ทุกคนต้องมีพระเจ้าให้ยึดเหนี่ยวเป็นสิ่งสูงสุด ท่านเล่าว่า พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า พระองค์เองทรงอยู่โดยมีที่เคารพ เมื่อตรัสรู้แล้วใหม่ๆ ท่านค้นหาสิ่งที่จะเป็นที่เคารพของท่าน ในที่สุดท่านก็พบ และได้ตรัสว่า 'ธรรมะที่ตรัสรู้แล้วสอนนี้เป็นที่ที่เคารพ เรียกว่าเคารพพระธรรม'
ท่านพุทธทาสอธิบายว่า คำว่า 'ยะโฮวาห์' ซึ่งเป็นชื่อเรียกพระเจ้าของฝ่ายยิวและคริสเตียน แปลว่า 'เป็นเช่นนั้น' ซึ่งพ้องกับคำว่า 'ตถตา'
ผมลองค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ต มีคำอธิบายว่า "ชื่อนี้มาจากคำกริยาภาษาฮีบรูที่แปลว่า 'เป็น' นักวิชาการหลายคนจึงบอกว่า ชื่อนี้น่าจะหมายความว่า 'พระองค์ทำให้เป็น'"
นับว่าคล้ายกับสัจธรรมหรือกฎธรรมชาติเช่นกัน
...
ท่านพุทธทาสยังพูดถึง คนที่เชื่อว่าไม่มีพระเจ้าด้วยว่า หากลองคิดอย่างถ้วนถี่ แล้วถามตัวเองว่า อะไรที่อยู่เหนือการคำนวณแบบคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ อะไรคือสิ่งที่ทำให้เกิดกฎของการคำนวณ นั่นแหละคือพระเจ้า
ท่านพุทธทาสชี้ชวนว่า เราควรทำความรู้จัก 'พระเจ้า' ของเพื่อนต่างศาสนา แล้วอาจมองเห็นจุดร่วมบางประการ ก่อเกิดเป็นความเข้าใจมากกว่าแตกแยก
ท่านกล่าวว่า "จะต้องมีพระเจ้า แล้วองค์เดียวกันด้วย, พระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น ไม่มีหลายองค์ได้; เขาจะเรียกชื่อกันอย่างไรก็ตามใจ"
ผมอ่านแล้วตีความเอาเองว่า ท่านไม่ได้หมายความว่าจะต้องนับถือ 'พระเจ้า' ที่เหมือนกัน แต่ท่านชวนตริตรองว่า พระเจ้าที่แตกต่างกันนั้นอาจเป็นสิ่งเดียวกัน ส่วนวิถีและวิธีในการกล่าวถึง ศรัทธา และธรรมเนียมปฏิบัติอาจแตกต่างกันไป
ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อความเข้าใจกันระหว่างศาสนา มิใช่ความขัดแย้ง
...
จบส่วนแรกของเล่มด้วยการสรุป 'หน้าที่ของมนุษย์' ซึ่งมีด้วยกันสามข้อตามทรรศนะของท่านพุทธทาส นั่นคือ
หน้าที่ข้อแรก: รู้จักพระเจ้าในทุกรูปแบบ
หน้าที่ข้อสอง: ทำตามพระเจ้า คือทำตามพระประสงค์ของท่าน สำหรับชาวพุทธซึ่งไม่มีพระเจ้าเป็นบุคคลก็ต้องปฏิบัติตามกฎธรรมชาติ
หน้าที่ข้อสาม: เผยแพร่พระคุณของพระเจ้า หรือทำให้คนอื่นรู้จักพระเจ้า เพื่อให้เพื่อนมนุษย์ทั้งหมดทั้งสิ้นเป็นคนโชคดี เอาตัวรอดจากทุกข์ได้
ท่านพุทธทาสกล่าวว่า "ทุกคนมีพระเจ้า และทุกศาสนาต้องมีพระเจ้า; เพราะว่าสิ่งที่เรียกว่าศาสนานั้น ไม่ใช่มีไว้เพียงเพื่อสำหรับให้มีพระเจ้า แต่ว่าศาสนานั้นมีไว้สำหรับเป็นระบบสำหรับศึกษาแล้วปฏิบัติเพื่อดับทุกข์"
ถ้าเข้าใจเรื่องพระเจ้า (หรือกฎธรรมชาติ) เราย่อมอยู่บนเส้นทางดับทุกข์
...
ปิดท้ายด้วยคำของท่านอาจารย์พุทธทาส "พระเจ้าแท้จริงที่สุด ซึ่งมีร่วมกันได้สำหรับมนุษย์ ทุกชาติ ทุกภาษา ทุกศาสนา อาตมาใช้คำว่าทุกศาสนาก็เป็นการหาเรื่องให้เขาด่า คนที่เขาไม่ยอมรับอย่างที่ว่านี้ก็มี เขาไม่ยอมรับให้พุทธศาสนามีพระเจ้า อย่างนี้ก็มี เราจึงต้องพยายามอธิบายให้เห็นจริงถึงที่สุดว่า สิ่งที่เรียกว่า 'พระเจ้า' นั้นคืออะไร คืออย่างไร แล้วเราจะสามารถมีพระเจ้าร่วมกันได้ทุกคนอย่างไร"
หากทุกข์เกิดจาก 'ตัวกู' การยึดมั่นในความถูกต้องหรือความคิดของตนเองเพียงผู้เดียวย่อมก่อให้เกิดทุกข์ และ 'ตัวกู' นี้เองที่ไม่เป็นไปตาม 'กฎ' ธรรมชาติ เพราะธรรมชาติที่เป็นไปเช่นนั้นเองไม่เคยแยก 'กู' ออกจาก 'ทั้งหมด'
ในแง่นี้ เราอาจจำเป็นต้องศึกษา 'God' หรือ 'กฎ' เพื่อเข้าใจ เข้าถึง และเคารพเพื่อเดินไปบนวิถีทางแห่งการลด 'ตัวกู'
เมื่อไม่มี 'กู' ก็พบ 'God'
แม้การอ่านจะทำให้เข้าใจในเชิงความคิด ทว่า-คงมีแต่การน้อมนำไปปฏิบัติเท่านั้นที่จะทำให้เข้าถึงความหมายลึกซึ้งดังเช่นที่ครูบาอาจารย์ท่านสอน