เคล็ดลับการทำธุรกิจ "ให้เชื่อมั่นในตัวเองและเข้าใจผู้อื่น " จาก Kong Story
.
การทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้ ไม่มีสูตรสำเร็จที่ตายตัว แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่า คุณมีความเชื่อมั่นในตัวเองมากน้อยแค่ไหน กล้าที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองให้ได้มากกว่าครอื่นได้หรือไม่ และการทำธุรกิจก็ต้องรู้จักตัวเองและเข้าใจผู้อื่นให้มากได้อีกด้วย ถึงจะทำให้ธุรกิจของคุณได้เปรียบมากกว่าธุรกิจอื่นใด ๆ วันนี้ขอมอบ 4 เคล็ดลับที่ไม่ใช่สูตรตายตัว แต่สามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจได้กับทุกคน
.
1.ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง แค่เชื่อก็สำเร็จได้
ความเชื่อ เป็นพื้นฐานที่สำคัญต่อความสำเร็จ ที่ถ้าทุกคนรู้เท่าทันความคิดตัวเอง ก็มีโอกาสชนะมากกว่าคนอื่น ๆ ความเชื่อคนเราเปลี่ยนได้ และสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง
.
ถ้าเชื่อว่าทำได้ เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์จากจิตใต้สำนึก ก็สามารถทำอะไร ๆ ในชีวิตได้มากกว่าเดิม ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ?
.
ยกตัวอย่าง ในสมัยก่อนมีคณะละครสัตว์ในอเมริกา ฝึกเห็บม้าด้วยการให้กระโดดในขวดโหลที่ปิดฝา เมื่อเห็บกระโดดไปชนฝาก็จะตกลงมา และปรากฎว่าเมื่อเอาไปโชว์งานแสดงละครสัตว์ เขาจะเปิดฝาโหล แล้วเห็บตัวนี้ก็จะกระโดดอยู่แค่ในขวดโหล เพราะมันเชื่อว่ากระโดดได้อยู่นี้นั่นเอง
.
ดังนั้นถ้าหากอยากจะพัฒนาศักยภาพ ข้ามขีดจำกัดของตัวเอง ต้องพัฒนาที่ 'ความเชื่อ' ซึ่งสามารถทำได้ด้วยตัวเองง่าย ๆ 3 วิธี
.
1. ถามตัวเอง หรือหาที่ปรึกษา (Coaching)เพื่อตั้งคำถามให้กับตัวคุณเองว่า คุณทำสิ่งนั้นได้หรือไม่ แล้วสร้างความเชื่อมั่นให้ตัวเอง เช่น ธุรกิจที่กำลังทำอยู่จะประสบความสำเร็จได้ไหม? ธุรกิจนี้สำคัญกับคุณอย่างไร? จะเป็นไปได้ไหมถ้าคุณจะทุ่มเทกับธุรกิจแล้วทำมันให้สำเร็จ?
.
2. หาแรงบันดาลใจดีๆ อยู่กับสิ่งที่ดี ๆ สร้างความเชื่อไปในทางที่เป็นบวก เช่น ฟังเพลง ดูยูทูปเกี่ยวกับการพัฒนาตัวเอง หรือพัฒนาธุรกิจ ยกตัวอย่าง ดูรายการอายุน้อยร้อยล้าน 😁
.
3. สิ่งที่ห้ามทำ ควรเลิกคิดหรือมีความเชื่อทางด้านลบ ๆ ว่าตัวเองนั้นทำไม่ได้
-ฉันอ่อนแอเกินไป
-ฉันไม่สามารถตื่นเช้าได้
-ฉันไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้
-ฉันค้าขายไม่เก่ง
-ฉันไม่เก่งเรื่องดิจิตอล
-ฉันไม่สามารถทำธุรกิจนี้ได้
.
การสร้างความเชื่อมั่นในตัวเองได้ ต้องมีความเชื่อจากตัวของเราเองก่อนว่า "ฉันทำได้" เพราะถ้าเราไม่เชื่อว่าเราทำได้ ก็ไม่มีใครสามารถบอกว่าเราทำได้เช่นกัน ดังนั่นหมั่นบอกตัวเองซ้ำๆ และให้กำลังใจตัวเอง ถึงแม้ว่าคุณจะพบกับปัญหามากมายเพียงใด คุณท้อได้แต่ต้องกลับมาเติมพลังใจให้ตัวเอง แล้วเผชิญปัญหาหรือก้าวขีดจำกัดของตัวคุณเองให้ได้
ชมเนื้อหาฉบับเต็ม :https://youtu.be/dtCYQQ4Oaqg
.
2.ทฤษฎีหมวก 6 ใบกับการทำธุรกิจ
การประชุมของทีมผู้บริหาร หรือแม้แต่การประชุมกับพนักงานในธุรกิจ เป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจและให้ความสำคัญที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจ ความขัดแย้งกับความคิดเห็นไม่ตรงกันถือเป็นเรื่องปกติของการประชุม แต่ถ้าเป็นอยู่บ่อยครั้งจนทำให้บรรยากาศของการประชุมไม่ดี ก็เป็นปัญหาได้เช่นกัน
.
Six Thinking Hats เป็นทฤษฎีหมวก 6 ใบ ของ Dr. Edward de Bono ที่เราสามารถนำมาใช้กับสถานการณ์นี้ได้ เพราะช่วยสร้างบรรยากาศการประชุมที่ดี ลดปัญหาความขัดแย้งในที่ประชุม และสร้างความสัมพันธ์ให้ทุกคนช่วยแก้ปัญหาธุรกิจไปได้
.
หมวก 6 ใบ จะประกอบไปด้วย
1. หมวกสีฟ้า เหตุและผล (Thinking)
2. หมวกสีขาว ข้อมูล (Information)
3. หมวกสีแดง ความรูู้สึก (Feeling)
4. หมวกสีเขียว ความคิดสร้างสรรค์ (Creative)
5. หมวกสีเหลือง ผลประโยชน์ (Benefits)
6. หมวกสีดำ การตัดสิน (Judgement)
.
จะเห็นได้ว่าหมวกทั้ง 6 ใบ แบ่งออกเป็น 6 บทบาทที่มีความแตกต่างกัน หากนัดประชุมกันโดยที่มีความคิดแยกกันไปคนละทาง ก็สามารถทำให้เกิดความขัดแย้ง บรรยากาศในที่ประชุมก็ไม่ดี
.
ยกตัวอย่าง เหตุการณ์จำลอง
หมวกสีเขียว (Creative): เราจะทำรายการออนไลน์สำหรับ SMEs เพื่อช่วยเหลือคนทำธุรกิจเป็นประโยชน์กับสังคม
หมวกสีเหลือง (Benefits): รายการนี้ทำแล้วจะคุ้มมั้ย แล้วทำรายการกี่วัน คิดว่าจะต้องใช้งบเท่าไหร่
หมวกสีเขียว (Creative): คุ้มแน่นอน จะผลิตรายการทุกวัน เพราะรายการนี้ดี ช่วยเหลือ SMEs ใช้งบเยอะหน่อยเพราะต้องใช้ทีมงานหลายคน
หมวกสีแดง (Feeling) : ทำรายการทุกวันเลยเหรอ ไม่มีวันหยุดทำไม่ไหวนะ มันเหนื่อยเกินไป
หมวกสีขาว (Information) : รายการนี้มีคนทำหรือยัง มีข้อมูลให้ดูบ้างหรือป่าว
หมวกสีฟ้า (Thinking) : ช่วงนี้สถานการณ์โควิด หากช่วยคนทำธุรกิจได้เป็นเรื่องที่ดีนะ แต่จะออกไปถ่ายรายการได้หรือป่าว
หมวกสีดำ (Judgement) : ช่วยบอกหน่อย ทำไมถึงต้องทำรายการนี้ ข้อดีข้อเสียอย่างไหนมากกว่ากัน ถ้าทำแล้วคนจะดูไหม
.
จากเหตุการณ์จำลองสังเกตได้ว่า ถ้าการประชุมครั้งนี้คุยกันคนละแกนความคิด ขัดแย้งกันได้แน่นอน การแก้ไขปัญหาคือ การให้ทุกคนสวมหมวกเป็นบทบาทเดียวกันทุกคน แล้วพูดแต่ในสิ่งที่ได้รับบทบาทนั้น แล้วค่อยสลับหมวกเปลี่ยนรอบเป็นบทบาทอื่น ๆ
.
วิธีนี้จะช่วยให้การประชุมสามารถสื่อสารในทิศทางเดียวกัน เข้าใจความคิดเห็นของผู้อื่นได้มากขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถช่วยกันระดมสมอง แก้ปัญหาธุรกิจไปด้วยกันและรักกันมากยิ่งขึ้น
ชมเนื้อหาฉบับเต็ม :https://youtu.be/yDPA9eUjebM
.
3.Enneagram คน 9 ประเภท
Enneagram ทฤษฎีคน 9 ประเภทที่ใช้ได้กับทุกคน สู่นักธุรกิจที่รู้ใจพนักงานและเข้าใจความต้องการของลูกค้า ให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ
.
ถ้าเราเข้าใจคนเยอะขึ้น ก็สามารถทำธุรกิจได้ง่ายขึ้น ดังนั้นเรามารู้จัก คน 9 ประเภท ที่ทำให้นักธุรกิจทุกคนได้รู้จักทีมงานของเรา และเข้าใจความต้องการของลูกค้าเราได้
.
1.คนสมบูรณ์แบบ (The Perfectionist) เป็นกลุ่มคนที่ติดความเพอร์เฟค ผิดไม่ได้เลย ชอบความเนี้ยบความสมบูรณ์แบบ หากมีพนักงานที่เป็นคนประเภทนี้ ต้องใช้งานที่เป็นงานรายละเอียด งานที่มีความประณีต เขาจะใช้เวลาไปความความสมบูรณ์ของงาน แต่ถ้าเป็นลูกค้าให้แนะนำหรือช่วยเหลือในสิ่งที่เขากังวลใจ
.
2.ผู้ช่วยเหลือ (Helper) เป็นกลุ่มคนที่ชอบช่วยเหลือคน โดยเฉพาะแคร์ความรู้สึกของคนใกล้ตัว ถ้าทำงานกับคนประเภทนี้ เขาต้องการคำชมเพื่อเป็นพลังสำหรับพวกเขา แต่ถ้าหากเป็นลูกค้าให้คุยด้วยความรู้สึกห่วงใย ทำธุรกิจต้องเป็นผู้ให้กับลูกค้าก่อน ห้ามขายของแบบตรง ๆ
.
3. ผู้ชอบความสำเร็จ (Achiever) เป็นกลุ่มคนที่มีเป้าหมายเป็นหลัก ถ้าได้ผู้บริหารจะเติบโตได้เร็ว หากมีพนักงานประเภทนี้ คุณโชคดีเพราะเขาคือยอดนักรบที่จะมาช่วยคุณในการทำธุรกิจ แต่ถ้ามีลูกค้าแบบนี้อย่าไปสู้กับเขา เน้นการเอาใจ บริการเขาดี ๆ ต้องให้พื้นที่ลูกค้าในการแสดงตัวตน
.
4.อารมณ์ศิลปิน (Artist) เป็นกลุ่มคนที่มีความสุขกับอารมณ์ อารมณ์ขึ้นลงได้ง่าย ถ้าต้องทำงานกับคนประเภทนี้ อย่าไปกดดันเขามาก และเขาจะเป็นคนสนับสนุนที่ดี ถ้ามีลูกค้าประเภทนี้อย่าไปเร่งเขา ให้ดูอารมณ์เขาเป็นหลัก ลูกค้าแบบนี้ต่อให้เราไม่ขายเขาก็จะซื้ออยู่ดี
.
5. นักคิด (Thinker) เป็นกลุ่มที่ชอบใช้ความคิด ถ้ามีพนักงานแบบนี้ ให้บอกงานเขาโดยการสรุปมาเลยว่า อยากได้งานอะไร ผลลัพธ์แบบไหน แล้วจะคุยกันรู้เรื่อง แต่ถ้ามีลูกค้าประเภทนี้ เอาข้อสรุปให้เขาก่อน ส่งข้อมูลแนะนำให้เขาเลือกและตัดสินใจด้วยตัวเอง เขาชอบคิดถึงคุ้มค่าในการซื้อ
.
6. ผู้ภักดี (Loyalist) เป็นกลุ่มคนที่มีความซื่อสัตย์ ภักดีสูง ไว้ใจได้ แต่เป็นคนขี้ระแวง ทำให้เป็นคนรอบคอบมาก ถ้าทำงานกับคนประเภทนี้ ควรให้โอกาสให้เขาได้ตัดสินใจอย่าไปเร่งเขามาก แต่ถ้ามีลูกค้าประเภทนี้ ต้องให้ข้อมูลเยอะ ๆ เพราะเขาขี้ระแวง
.
7. ผู้เสพสุข (Adventurer) เป็นกลุ่มคนที่ต้องการความสุข ชอบความลัลลา หลีกหนีความทุกข์ ถ้าทำงานกับคนประเภทนี้ อย่ามอบหมายงานบางเรื่องที่เราคาดหวังเยอะ ๆ แต่ถ้ามีลูกค้าประเภทนี้ ให้คุยภาษาดอกไม้ พูดถึงความสุขที่เขาจะได้รับสินค้าจากเรา อย่าคุยเรื่องความทุกข์กับเขาเด็ดขาด
.
8. ผู้นำ (Maverick) กลุ่มคนประเภทนี้มักจะเป็น CEO หรือผู้บริหารเป็นจำนวนมาก เป็นคนชอบความท้าทาย มีความดุดันและมุ่งมั่นสูง ถ้าทำงานกับคนประเภทนี้ต้องท้าทายเขากลับ เพราะเขาไม่ชอบคนที่แสดงความอ่อนแอ และถ้ามีลูกค้าแบบนี้ แสดงความเจ๋ง ความเก่งเข้าสู้ให้เขาเห็นค่า
.
9. ผู้รักสงบ (Peacemaker) เป็นกลุ่มคนที่รักความสงบ ไม่ชอบทะเลากับใคร หลีกหนีความวุ่นวาย ถ้าต้องทำงานกับคนประเภทนี้ ต้องให้เขารู้ว่าความขัดแย้งมันเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้ามีลูกค้าประเภทนี้ ควรแนะนำสินค้าที่ดีต่อใจ หรือสินค้าเพื่อสังคม เช่น สินค้าจากชุมชนชาวบ้าน เขาจะชอบเป็นพิเศษ
ชมเนื้อหาฉบับเต็ม :https://youtu.be/TPp5tfWHyus
.
4.ทำไปทำไม เหตุผลของการทำธุรกิจ
คนทำธุรกิจต้องตอบให้ได้ เหตุของการทำธุรกิจ ทำทุกอย่างนี้ไปทำไม? ทำไปเพื่ออะไรกัน? จะได้รู้ว่าธุรกิจของคุณรอดหรือร่วง
.
นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่เพราะยอดขายร้อยล้าน หรือเขามีกำไร แต่เป็นเพราะเขา "อึด" อดทนในการทำธุรกิจก็่ทำให้มีโอกาสในความสำเร็จมากกว่า
.
อะไรทำเขาอึดและประสบความสำเร็จ? จนทำธุรกิจให้ไปต่อได้ไม่ร่วง
ก็เพราะว่าเขารู้ว่าสิ่งที่เขาทำอยู่ ทำไปทำไม แล้วทำไปเพื่ออะไร ? (Start with Why) หากตอบคำถามนี้ได้จะทำให้มีพลัง อัด ถึก ทนในการทำธุรกิจ
.
ขอยกตัวอย่างคำถามกับ เหตุการณ์สร้างเจดีย์ของ คน 3 ประเภท
คำถาม : ทำอะไรอยู่?
คำตอบ :
นาย A : ผมกำลังก่ออิฐ
นาย B : ผมกำลังก่ออิฐเพื่อสร้างกำแพง
นาย C : ผมกำลังก่ออิฐเพื่อสร้างกำแพงมาทำเป็นเจดีย์ ให้คนมาสักการะ เป็นศูนย์รวมจิตใจของคน
.
จากคำตอบของทั้ง 3 คน จะบ่งบอกได้ถึงความมุ่งมั่น และพฤติกรรมที่แตกต่างกันได้อย่างชัดเจน คนที่คิดว่าจะพยายามทำได้เต็มที่ ยอมอดทนทำเพื่อที่จะให้งานสำเร็จได้มากที่สุด คือนาย C นั่นเอง
.
ดังนั้นการทำธุรกิจ เราควรจะมีคำถามและรู้คำตอบตั้งแต่ที่เริ่มทำธุรกิจเพื่อให้เราอึดและประสบความสำเร็จได้มากยิ่งขึ้น เช่น
-เราทำธุรกิจนี้ไปทำไม
-เราทำธุรกิจไปเพื่อใคร เพื่อตัวเองหรือคนที่เรารัก
-มันเติมเต็มกับชีวิตเราอย่างไร
-มันมีผลดีต่อคนอื่นอย่างไรบ้าง
.
บางครั้งธุรกิจของคุณจะรอดหรือร่วง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัญหาที่เจอ แต่ขึ้นอยู่กับเหตุผลของคุณในการทำธุรกิจ ถ้าหากคุณมีคำตอบที่ชัดเจนมากเท่าไหร่ โอกาสที่ธุรกิจของคุณจะไปต่อและประสบความสำเร็จได้ก็มีมากขึ้นเท่านั้น
ชมเนื้อหาฉบับเต็ม : https://youtu.be/QTKrZBmx124
#อายุน้อยร้อยล้านNEWS #อายุน้อยร้อยล้าน #Kongstory #Business #การพัฒนาตัวเอง #100NEWS
「ยกตัวอย่าง ความคิดสร้างสรรค์」的推薦目錄:
- 關於ยกตัวอย่าง ความคิดสร้างสรรค์ 在 อายุน้อยร้อยล้าน Facebook 的最讚貼文
- 關於ยกตัวอย่าง ความคิดสร้างสรรค์ 在 K.S. Khunkhao Facebook 的最佳解答
- 關於ยกตัวอย่าง ความคิดสร้างสรรค์ 在 ปลดล็อกความคิดสร้างสรรค์ด้วย CBL - ความคิดสร้างสรรค์คืออะไร 的評價
- 關於ยกตัวอย่าง ความคิดสร้างสรรค์ 在 หลายครั้งคุณอาจสังเกตเห็นว่า … ทำไมหลายๆ คนถึงคิดไอเดียใหม่ๆ ... 的評價
ยกตัวอย่าง ความคิดสร้างสรรค์ 在 K.S. Khunkhao Facebook 的最佳解答
***รางวัลสูงสุดของชีวิตการทำงาน***
การที่คนๆหนึ่ง นำสิ่งที่ผมแบ่งปันไปใช้จนทำให้ชีวิตดีขึ้น
มีความสุขมากขึ้น และมีความหมายต่อผู้อื่นมากขึ้น
นี่คือรางวัลสูงสุดของชีวิตการทำงานของผมครับ
หากใครกำลังเบื่อชีวิต เหงา หรือเป็นโรคซึมเศร้า (ซึ่งช่วงนี้เป็นโรคที่ "มาแรง" มาก)
ลองอ่านเรื่องราวความเปลี่ยนแปลงของคุณแป้งดูในโพสต์ด้านล่าง และตามรูปเหล่านี้
แล้วเอาไปทำตามดูนะครับ ผมเชื่อว่าความเศร้าเหล่านั้นจะจางหายไป
เหลือเพียงคุณค่าและความสุขในการใช้ชีวิตทุกๆวัน
ขอบคุณคุณแป้งจากใจที่นำเรื่องราวดีๆมาแบ่งปัน
รวมทั้งเขียนสรุปความหนังสือของผมออกมาได้อย่างงดงาม
และเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
เข้าไปติดตามเพจของคุณแป้ง - ทนายธรรมะ - ผู้หญิงที่ผมชื่นชมในหัวใจอันมุ่งมั่น ได้ที่นี่นะครับ:
ทนายแป้ง ชุติมา
<3,
ขุนเขา.
#วันนี้แป้งจะมารีวิวหนังสือสมองเศรษฐี
ของคุณขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร
นักเขียนคนโปรดที่เปลี่ยนชีวิตแป้ง
แป้งรีวิวด้วยหัวใจและชีวิตนะคะ
เพราะแป้งนำความรู้จากหนังสือและคลิปต่างๆ ของคุณขุนเขามาปรับใช้กับชีวิตของแป้งจริงๆ คะ
ก่อนอื่นขอเล่าเรื่องก่อนนะคะว่าทำไมแป้งถึงชื่นชมคุณขุนเขา เพราะมีช่วงหนึ่งของชีวิตที่ผ่านมาช่วงปี 2556-2557 แป้งเสียคนที่รักไปสองปีติดกันแบบกะทันหัน ไม่ทันได้เตรียมใจ จึงเสียใจมาก จนอยู่ในภาวะซึมเศร้า ไม่สามารถก้าวข้ามผ่านไปได้ แป้งพยายามหาวิธีแก้ปัญหาจนไปเจอคลิปของคุณขุนเขาในยูทูป ชื่อคลิป "รักษาโรคซึมเศร้า" และทำตามที่คุณขุนเขาแนะนำจนดีขึ้น ได้ดูคลิปแทบทุกคลิปของคุณขุนเขา และอ่านหนังสือ จนชอบศึกษาเกี่ยวกับจิตวิทยาเลยทีเดียว
แต่หนังสือที่เป็นสุดยอดของสุดยอดของคุณขุนเขา และเป็นหนังสือที่ดีที่สุดในการใช้เป็นเข็มทิศในการดำเนินชีวิตเพื่อให้ประสบความสำเร็จ คือ หนังสือ "สมองเศรษฐี" คะ
หนังสือเล่มนี้แป้งอ่านแล้ว สนุกจริงๆ คุณขุนเขาเขียนได้ดีมาก ใช้ความรู้ทั้งคำสอนของพระพุทธเจ้าในการดำเนินชีวิต ที่สอนให้ทำสิ่งใดต้องเริ่มจากอิทธิบาท 4 (ฉันทะ-รัก วิริยะ-ขยัน จิตตะ-ตั้งใจ วิมังสา-ไตร่ตรอง)
ความรู้ ข้อคิด คำคม ความทะเยอทะยานของนักคิดนักเขียนของทางตะวันตก
และสุดท้ายจบด้วยบทสรุปแบบสุดประทับใจในแบบของคุณขุนเขา คือ เมื่อคนเราประสบความสำเร็จจนร่ำรวยแล้ว เงินจะขยายความเป็นตัวตนของคนนั้น
ในหนังสือสมองเศรษฐี
วิธีที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จประกอบด้วย 3H คือ
Heart = I dream ความฝัน
ประกอบด้วยความฝัน ความปรารถนา ความต้องการ เป้าหมาย จินตนาการ ความเชื่อมั่น ความกล้าหาญ และความรัก
สิ่งนี้แทนด้วย "หัวใจ" หรือ "Heart"
ถ้าคุณไม่มีใจ ไม่มีความฝัน คุณก็จะไม่ทำอะไร
Head = Idea ความคิดสร้างสรรค์
ประกอบด้วยความคิด ความรู้ ไอเดีย แผนการ หลักการ ระบบ และวิธีการ
สิ่งนี้แทนด้วย "หัวสมอง" หรือ "Head"
เป็นเรื่องของ "เหตุผล" และ "กลยุทธ์" ที่จะต้องคิดหาเส้นทางไปสู่ฝัน
Hand = I do ความขยันลงมือ
ประกอบด้วยการกระทำ การอดใจ ความอดทน ความอุตสาหะ ความมานะ ความมุ่งมั่น ความขยัน และความพยายาม
สิ่งนี้แทนด้วย "สองมือ" หรือ "Hand"
คือต้องลงมือทำ เปลี่ยนความฝัน ความคิดสร้างสรรค์ให้เป็นจริง
#การตั้งเป้าหมาย
สิ่งสำคัญที่สุด คือการตั้งเป้าหมาย
ให้เขียนลงไปในกระดาษ ให้เขียนในสิ่งที่อยากได้จริงๆ อยากเปลี่ยนจริงๆ และให้รักจริงๆ เพราะเมื่อเรารัก เราจะทำโดยไม่เบื่อ
มีความคิดสร้างสรรค์ มีพลังตลอดเวลา
การตั้งเป้าหมายมีความสำคัญมาก
เพราะเมื่อเราตั้งเป้าหมายแล้วเราจะโฟกัสตลอดเวลา ตากับสมองจะคอยมองหาโอกาส เราจะมองทุกอย่างเป็นอุปกรณ์ให้สำเร็จ
ไม่ได้มองเป็นอุปสรรค
มองแต่เป้าหมาย ไม่ได้มองขวากหนาม
เมื่อเราเจอใครหรือโอกาสอะไรเราจะคว้าไว้ทัน
#กฎแห่งความคู่ควร
เมื่อเราตั้งเป้าหมายชัดเจนแล้ว คุณขุนเขาสอนให้ต้องใช้ "กฎแห่งความคู่ควร"
เราไม่ได้ดึงดูดสิ่งที่เราต้องการ
แต่เราดึงดูดสิ่งที่เราคู่ควร
คือต้องลงมือทำ อยากได้อะไรต้องทำตัวให้คู่ควร อยากได้แฟนแบบนี้ ก็ต้องทำตัวให้คู่ควร
อยากรวยอยากประสบความสำเร็จ
ต้องพัฒนาตัวเองทุกวันให้คู่ควรกับสิ่งที่เราหวัง ที่เราอยากได้
#ดึงเสาที่ปักข้อจำกัดของตัวเองออกไปซะ
เป้าหมายจะหมดคุณค่าทันที
เมื่อเราปฏิเสธที่จะเดินเข้าไปหามัน
กุญแจทางจิตวิทยาที่คุณต้องจำไว้เสมอ คือ
"คุณจะไม่มีวันเดินไปได้ไกลกว่าเสาที่คุณปักไว้" หรือพูดอีกอย่างก็คือ "คุณจะไม่มีวันประสบความสำเร็จได้ไกลไปกว่าความเชื่อของคุณ"
ดังนั้นการตั้งเป้าหมายทางธุรกิจต้อง
เป็นสิ่งที่คุณรัก+คุณถนัด+มีคนย่อมจ่ายเงินให้คุณ
และสิ่งที่คุณคิดมีประโยชน์กับคนจำนวนมาก
และคุณต้องรู้จักใช้ระบบที่มีอยู่แล้วทำให้คุณรวย สร้างร่างของคุณเยอะๆ เช่น ใช้ยูทูป Facebook ให้เป็นประโยชน์ให้มันทำหน้าที่แทนคุณ โฆษณาแทนคุณตลอดเวลา
สร้างลูกน้องให้เก่งเหมือนคุณ
ยกตัวอย่าง คุณต๊อบ สาหร่ายเถ้าแก่น้อย
ใช้ประโยชน์จากระบบของเซเว่น เขาผลิตสาหร่ายส่งเซเว่น 1,000 กว่าสาขา ถ้าเขาเปิดร้านทอดสาหร่ายขาย เขาคงไม่รวยเป็นพันล้าน
และสุดท้ายที่สุด จะมี กฎ "Pareto Principle 80/20" คือ คน 20% ที่อ่านหนังสือเล่มนี้เท่านั้น ที่จะลงมือสร้างสมองเศรษฐีและมีอิสรภาพด้านการเงินได้ในที่สุด ส่วนที่เหลือ 80% จะได้รับความรู้ใหม่และได้แรงบันดาลใจ แต่ชีวิตไม่เปลี่ยนไปอย่างแท้จริง
ดังนั้น คุณขุนเขาจึงจะพลิกกฎนี้กลับ โดยให้สองสาเหตุที่ฉุดคนไว้ไม่ลงมือทำสิ่งที่ควรทำ เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตไปในทางที่ดีขึ้นอย่างจริงจัง นั่นคือ
1. การอดทนกับความทุกข์บางชนิด "ไม่ได้"
2. การอดใจกับความสุขบางชนิด "ไม่เป็น"
ทุกคนต้องทุกข์ต้องเจ็บ แต่คุณเลือกเจ็บแบบไหน
แบบแรก ความเจ็บที่เพิ่มความทุกข์
เช่น คุณทนเจ็บไม่ได้ที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ พัฒนาตัวเอง เพื่อให้มีอิสรภาพทางการเงิน
มาคิดได้อีกทีก็แก่แล้ว ไม่มีเรี่ยวมีแรง เจ็บป่วย ไม่มีเงินพอใช้ในชีวิตบั่นปลาย เพราะไม่ยอมเจ็บวันนี้ที่จะเปลี่ยนตัวเอง เพื่อสร้างอนาคต สร้างชีวิตที่ดีของคุณในระยะยาว
แบบที่สอง ความเจ็บที่จะเพิ่มความสุข
คือ ความเจ็บของการใช้ชีวิตที่มีวินัย
ในตอนแรกทุกคนย่อมรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นคนใหม่ เช่น ขยันอ่านหนังสือขึ้น ขยันออกกำลังกาย ไปเรียนเพิ่มเติม เพื่อปูรากฐานอนาคตที่รุ่งเรือง
สิ่งเหล่านี้แม้จะเจ็บและเหนื่อยยากเหมือนกัน แต่ย่อมสร้างความสุขที่ยั่งยืนภายหลัง
ความเจ็บปวดแบบแรก แปลงกายมาเป็น "ความสุข" แค่ไม่กี่วัน จากนั้นกลายเป็นความทุกข์ไม่มีที่สิ้นสุด
ความเจ็บปวดแบบที่สอง แปลงกายมาเป็น "ความทุกข์" แค่ไม่กี่วัน จากนั้นกลายเป็นความสุขไม่มีที่สิ้นสุด
ชีวิตยังไงก็ต้องเจ็บ แต่เศรษฐีเลือกเจ็บแบบที่สองเสมอ...
ให้รู้จัก 3G แห่งชีวิต คือ
Gain การ "ได้รับ"
...มันอาจเป็นรอยยิ้มจากคนที่เราไม่รู้จัก
...มันอาจเป็นคำบอกรักจากคนที่ห่วงใย
...มันอาจเป็นสิ่งของที่เราอยากได้มาใช้
...มันอาจเป็นเงินทองที่หลั่งไหลเข้าบัญชี
Grow การ "เติบโต"
...มันอาจเป็นความรู้ที่ทำให้ประกายตาเราสุกใส
...มันอาจเป็นการได้ค้นพบเรื่องราวอันแปลกใหม่
...มันอาจเป็นการก้าวข้ามความเจ็บปวดในหัวใจ
...มันอาจเป็นประสบการณ์ที่สร้างให้เราเติบโต
Give การ "ให้"
...มันอาจเป็นการทำบุญที่หนุนให้ใจสูง
...มันอาจเป็นการจูงคนตาบอดข้ามถนน
...มันอาจเป็นการได้ให้ความสุขใครสักคน
...มันอาจเป็นการสละตนจนไร้ "อัตตา"
3G นี้จะทำให้เราสมบูรณ์และค้นพบความหมายของชีวิต
"ความหมายของชีวิต" ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เงินจะขยายตัวตนของคนนั้น
แต่คนที่มีเงินมากมาย แต่ชีวิต "ไม่มีความหมาย" ก็ไม่ต่างจาก "คนตายที่มีสมบัติเต็มโลง"
นี้แค่ส่วนหนึ่งของหนังสือนะคะ
สุดยอดของหนังสือจริงๆ
ใครอยากประสบความสำเร็จต้องมีไว้
เป็นหนังสือสามัญประจำบ้านเลยนะคะ
ด้วยจิตคารวะและชื่นชมอย่างที่สุด
ติดตามคุณขุนเขาได้ที่
Facebook : Khunkhaowriter
Youtube : ขุนเขามีคำตอบ
ยกตัวอย่าง ความคิดสร้างสรรค์ 在 หลายครั้งคุณอาจสังเกตเห็นว่า … ทำไมหลายๆ คนถึงคิดไอเดียใหม่ๆ ... 的推薦與評價
หรือ 'ความคิดในเชิงสร้างสรรค์' นั่นเอง !!! . # ความคิดสร้างสรรค์ คือ ... คนที่มี ' ความคิดสร้างสรรค์ ' จะมีลักษณะอย่างไร? ... 3) การบรรยาย/ ยกตัวอย่าง ประกอบ ... <看更多>
ยกตัวอย่าง ความคิดสร้างสรรค์ 在 ปลดล็อกความคิดสร้างสรรค์ด้วย CBL - ความคิดสร้างสรรค์คืออะไร 的推薦與評價
โครงการ Librarian Space โดยสถาบันอุทยานการเรียนรู้ TK Park เปิดพื้นที่การเรียนรู้สำหรับให้บรรณารักษ์ ครู อาจารย์ นักจัดกิจกรรม และผู้ที่สนใจ ... ... <看更多>