ออมเงินแบบ “ดีต่อใจ”
[ถ้าการออม 10% เป็นเรื่องยาก
ลองเริ่มต้นง่ายๆ และได้ผล ด้วยวิธีออมแบบ “ดีต่อใจ”]
“ออมขั้นต่ำ 10% ของรายได้” สูตรนี้ดูเหมือนจะเป็นอัตราการออมที่ใครๆ น่าจะรู้กันอยู่แล้ว ว่ากันว่าถ้าออมได้ในระดับนี้ และลงทุนต่อยอดเป็น ก็น่าจะพอมีเงินสะสมทำให้มั่งคั่งในช่วงบั้นปลายได้
โดยส่วนตัวเวลาบรรยาย ผมก็มักจะพูดอยู่เสมอว่า “อย่างแย่ๆ คนเราควรออมได้ 10% และถ้าจะได้เร็ว ให้ดี ค่อยๆ เพิ่มไปให้ถึงระดับ 20% รับประกันแบบนี้ รวยแน่!”
แต่ก็นั่นแหละครับ โลกเรา “หลักการ” กับ “ความเป็นจริง” มักจะเป็นอะไรที่ไม่ตรงกัน
ในชีวิตจริงน้องๆ หลายคนเรียนจบออกมาพร้อมกับภาระในชีวิต บางคนยังเรียนไม่ทันจบ พ่อแม่ก็คอยพูดกรอกหูตลอดว่า เงินเดือนที่จะได้ในอนาคตต้องแบ่งมาช่วยอะไรที่บ้านบ้าง ค่าบ้าน ค่าเลี้ยงดูพ่อแม่ ส่งน้องเรียน ฯลฯ
ทีนี้เลยเป็นปัญหา ... เพราะหลักการดี แต่ทำไม่ได้ สุดท้ายมันทำร้ายให้คนที่พยายาม คนที่ตั้งใจใฝ่ดี รู้สึกท้อ
รู้ว่าคนเราควรเก็บ 10% เป็นอย่างน้อย แต่พอเอารายได้บวกลบกันแล้ว มันเหลือสะสมแบบนั้นไม่ได้จริงๆ ไอ้ครั้นจะให้ตัด 10% ไปก่อนใช้จ่าย แบบที่ใครเขาทำกัน อันนี้ก็รับประกันได้ว่าปลายเดือนได้หยิบยืมแน่ (ชีวิตแบบนี้ผมเคยเป็น)
หลังๆ เวลาผมสอนเรื่องเงิน ผมเลยปรับคำแนะนำสำหรับผู้เริ่มต้นเป็นว่า “เริ่มออมเท่าไหร่ก็ได้ ให้เริ่มเท่าที่รู้สึกดีต่อใจ”
จะออม 2% 3% หรือ 5% เท่าไหร่ก็ได้ ที่ทำให้รู้สึกว่าเราได้เหลืออะไรไว้ให้ตัวเองบ้าง หรืออย่างน้อยก็ยังมีเก็บกับเขาบ้าง
สมัยแก้หนี้ของครอบครัว ผมทำทั้งงานประจำ งานพิเศษ ทำเช้าถึงเย็น ทำทุกเสาร์อาทิตย์ ตอนอายุ 25 ปี ผมหาเงินได้เดือนนึงหลายหมื่นบาท แล้วก็จ่ายหนี้ไปหมด ไม่เหลือเก็บเลย เหลือบมองหลักการ 10% ดูแล้วไม่น่าจะเก็บได้ เลยไม่เก็บแม่งเลย สุดท้ายการไม่ออมเลย ส่งผลต่อความรู้สึกตัวเองพอสมควร เหมือนเราใช้ชีวิตทั้งเดือนหาเงินให้คนทั้งโลก ยกเว้นตัวเอง (การเก็บออมเขาถึงอีกอย่างว่า “การจ่ายให้ตัวเอง”)
หลังจากนั้นเลยเปลี่ยน ไม่รู้แหละ เงินรายได้มากน้อยแค่ไหน จะต้องเก็บ 3% ของเงินที่หาได้ ส่วนต่างชำระหนี้ที่เหลือ ค่อยไปคิดต่อยอดเอาว่าจะหาที่ไหนมา
สำหรับบางคน หากเงินออม 2-3% ก็ยังเป็นเงินที่เยอะอยู่ เราอาจจะกำหนดเป็นตัวเลข 200, 300 หรือ 500 เท่าไหร่ก็ได้ครับ หรือใครหาเงินได้รายวัน ลองหักให้ตัวเองวันละ 10-20 บาทก็ได้ ตัวเลขไหนทำให้เรารู้สึกดีว่า “เออ เว้ย ก็มีเงินเก็บกับเค้าเหมือนกันนะ เอาตัวเลขนั่นแหละ” ขออย่างเดียวทำต่อเนื่อง ห้ามหยุด ห้ามเลิก ทำให้สม่ำเสมอ อันนี้คือหัวใจสำคัญที่สุด
(แหม่ ... ตัวเลขก็ให้กำหนดเองแล้ว เอาเท่าที่ดีต่อใจแล้ว สู้หน่อยสิวะ!)
เงินเก็บน้อย แต่ถ้าเก็บสม่ำเสมอได้ มันอาจยังไม่ได้ทำให้เรารวยหรอกครับ แต่มันจะเริ่มขยับเขยื้อนสิ่งที่มองไม่เห็น นั่นก็คือ ความรู้สึก “ภูมิใจ” และ “เชื่อมั่น” ในตัวเอง
คนเราออมเงินได้ถึงหลักพัน สมองก็จะเชื่อและมั่นใจต่อว่าหลักหมื่นเป็นไปได้
พอออมหลักหมื่นได้ มันก็กล้าคิดกล้ามองไปที่หลักแสน
พอออมหลักแสนได้ คราวนี้มันไม่หยุดแล้ว มองต่อไปหลักล้านแน่นอน
ทั้งหมดเริ่มต้นที่ความรู้สึก “ดีต่อใจ” ที่เราสร้างให้ตัวเองเป็นประจำทุกวัน ทุกเดือน เพราะความสม่ำเสมอนี่แหละ คือ ตัวช่วยสะสม “ความภูมิใจ” และ “ความเชื่อมั่น” ที่จะทำในสิ่งที่ใหญ่ขึ้น และนำเราไปสู่ความสำเร็จทางการเงินได้
2 ปีที่ผ่านมา ผมทำโครงการแก้หนี้ที่ชื่อว่า “อภินิหารความรู้การเงิน” เป็นโครงการให้คำแนะนำในการแก้หนี้ ที่ไม่มีเงินเข้าไปให้กู้ แต่เน้นเรื่องของการให้ความรู้และคำปรึกษาทางการเงิน
ตั้งแต่ครั้งแรกๆ ที่เจอและให้คำปรึกษากัน ผมจะบังคับทุกคนให้หักออมเดือนละ 500 บาท คิดเป็น 3.33% ของรายได้ (ไม่ถึงเกณฑ์ออม 10%) ตอนบังคับหักเงิน ทุกคนก็จะงงกันนิดหน่อยว่าฉันเป็นหนี้นะ จะให้ออมอีกเหรอ แต่พอเห็นว่า 500 บาทต่อเดือน เป็นตัวเลขที่พอไหวเมื่อเทียบกับรายได้ ก็เลยยอม ระหว่างนั้นก็ให้คำปรึกษาแก้หนี้กันไป
โครงการนี้ใช้เวลา 1 ปี หลังจบโครงการหลายคนมีภาระหนี้ลดลง สภาพคล่องดีขึ้น เปิดสมุดบัญชีเงินฝากขึ้นมา (ตอนนั้นเราให้เลือกตัดฝากประจำ กับกองทุนตราสารหนี้) มีเงินกันคนละ 6 พันกว่าบาท ตอนเห็นสมุดบัญชีทุกคนดูตกใจ แต่ก็ดีใจกันมาก
พอได้คุยหลายคนบอกว่า ทำงานมานานไม่เคยมีเงินออม เพราะเชื่อว่าตัวเองคงออมไม่ได้ หรือถ้าออมได้ก็คงน้อย ไม่น่าจะเรียกว่าเงินออม เลยไม่ได้เริ่มสักที ไม่คิดว่าที่หักไปแต่ละเดือนจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีแบบนี้
นี่แหละ! พลังทวีของความรู้สึก ดีต่อใจ!
เริ่มเท่าที่เริ่มได้ เริ่มเท่าที่ทำไหว ให้รู้สึกว่าอย่างน้อยเราก็ได้ทำ แต่ทำต่อเนื่องไม่หยุด ไม่เลิก สุดท้ายผลลัพธ์ก็น่าชื่นใจ และส่งพลังให้เราเดินหน้าต่อ ทำต่อได้
นอกจากนี้ บางคนอาจเร่งสปีดให้กับเงินออมก้อนเล็กๆ ของตัวเอง ให้มันสร้างโอกาสให้เรามากขึ้นได้ (ก็ไหนๆ ออมได้น้อยแล้ว ก็ต้องอาศัยตัวช่วยทำให้มันโตเร็วขึ้นสิ”
ลูกศิษย์ผมหลายคนเลือกนำเงินออม 200-300 บาทต่อเดือน ไปซื้อสลากออมทรัพย์ (ประมาณว่าทุนน้อย แต่โชคเรามาเต็ม 555) ในขณะที่บางคน ก็เลือกบวกไปกับกองทุนรวมหุ้น (ทั้งไทยและต่างประเทศ) หวังให้เงินน้อยเติบโตไปกับบริษัทชั้นนำ ก็ในเมื่อเงินเราน้อย เราก็ต้องหาคนช่วยทำให้เงินเราโตเร็วขึ้น และสมัยนี้กองทุนรวมหุ้นบางกองทุน เริ่มต้นลงทุนแค่ 500 บาท ในขณะที่บางกองทุนนั้น “ไม่มีขั้นต่ำ” จะลงทุนเท่าไหร่ก็ได้
พอถามว่าลงทุนกองทุนหุ้น ไม่กลัวความเสี่ยงเหรอ บางจังหวะหุ้นลง เราก็ขาดทุนได้นะ หลายคนตอบกลับมาว่า “การไม่คิดทำอะไรให้ชีวิตดีขึ้น ไอ้แบบนั้นต่างหาก คือ ชีิวิตที่ขาดทุน” ... คมชะมัด!
ในโลกการเงินส่วนบุคคล ประกอบด้วยคำสำคัญสองคำ นั่นคือคำว่า “สภาพคล่อง” และ “ความมั่งคั่ง” โดยมีสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างสองฝั่ง คือ “เงินออม”
ใครที่เริ่มเก็บเริ่มออมและเกิดเป็นการสะสม อันนี้ก็พอจะบอกได้ว่า คนๆนั้นเป็นคนที่มีสภาพคล่องที่ดี และเมื่อมีสภาพคล่องที่ดี มีการสะสมต่อเนื่อง สภาพคล่องส่วนล้น (แม้จะล้นแค่เดือนละ 200 บาท) ก็จะสะสม สั่งสม กลายเป็น “ความมั่งคั่ง” ที่อยู่อีกด้านหนึ่งของปลายสะพาน
คนเรามีสิทธิเลือกที่จะอยู่บนโลกฝั่งไหนก็ได้ ถ้าคุณเลือกอยู่ฝั่งสภาพคล่อง คุณก็จะอยู่ในโลกที่การเงินหมุนวนไปไม่รู้จบ และใช้ชีวิตอยู่กับคำถาม “เงินไม่พอทำยังไงดีี” “เงินไม่พอใช้ หยิบยืมที่ไหนดี” หรือคุณอยากจะเลือกอยู่ฝั่งความมั่งคั่ง ที่มีอีกชุดคำถามในหัว นั่นคือ “มีเงินอยู่ก้อนหนึ่ง ฉันควรจะเอาไปทำอะไรดี”
คุณสามารถเปลี่ยนโลกการเงินที่คุณอยู่ได้ง่ายๆ ด้วยการเริ่ม “ออม” ครับ (สร้างสะพานย้ายจากโลกสภาพคล่องไปโลกความมั่งคั่ง) ออมเท่าไหร่ก็ได้ เท่าที่รู้สึกดีต่อใจก่อน จากนั้นค่อยๆ ขยับไป 10% ตามเกณฑ์ พอทำได้ ก็ค่อยๆ ขยับเพิ่มขึ้นไปอีกเพื่อการสะสมความมั่งคั่ง
“เริ่มเหลือ เริ่มเหลือ” ดีต่อใจเท่าไรเริ่มเลยตั้งแต่วันนี้นะครับ
เลิกอ้างได้แล้ว ว่าเงินน้อย
#TheMoneyCoachTH
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過6萬的網紅ANIBON,也在其Youtube影片中提到,ผมหลอกใครไม่เป็น .... ยกเว้นตัวเอง ..... ส่ง Meme หัวข้อ LIVE และเสนอความเห็นต่อรายการ มาให้ผมได้ที่ Twitter : https://twitter.com/phuboatanibon ทุก...
「ยกเว้นตัวเอง」的推薦目錄:
- 關於ยกเว้นตัวเอง 在 Money Coach Facebook 的精選貼文
- 關於ยกเว้นตัวเอง 在 อายุน้อยร้อยล้าน Facebook 的最讚貼文
- 關於ยกเว้นตัวเอง 在 Money Coach Facebook 的最佳解答
- 關於ยกเว้นตัวเอง 在 ANIBON Youtube 的最佳解答
- 關於ยกเว้นตัวเอง 在 Future Trends - “รู้หมดทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องของตัวเอง”... 的評價
- 關於ยกเว้นตัวเอง 在 #คำคม อ้างทุกอย่างโทษทักสิ่ง ยกเว้นตัวเอง | ... 的評價
ยกเว้นตัวเอง 在 อายุน้อยร้อยล้าน Facebook 的最讚貼文
หลายคนอาจวาดภาพฝันการทำธุรกิจไว้อย่างสวยงาม แต่ใครจะรู้ว่าการเป็นเจ้าของกิจการไม่ได้สบายอย่างที่หลายคนคิด! แม้จะมาพร้อมความภาคภูมิใจเมื่อกิจการประสบความสำเร็จและไปได้ดี เพราะเบื้องหลังความสำเร็จต้องแลกมาด้วยอะไรที่มากกว่านั้น แบบที่คนที่ไม่ได้เป็นเจ้าของกิจการด้วยตนเองไม่มีวันเข้าใจ
.
วันนี้เราจะเปิดเผยอีกมุมหนึ่งของเจ้าของกิจการ กับ 10 เรื่องชวนปวดหัว ไมเกรนขึ้น! ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงวันที่ประสบความสำเร็จ ระหว่างทางนั้นพวกเขาจะต้องเจอกับอะไรบ้าง
.
“จดทะเบียนบริษัท”
การจดทะเบียนบริษัท คือด่านแรกที่ต้องเจอเมื่อต้องการก่อตั้งบริษัท ซึ่งการจดทะเบียนบริษัทจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ธุรกิจได้ บางคนจดเพื่อรองรับการรับงานที่มีขนาดใหญ่ขึ้น บางคนจดเพื่อลดภาระด้านภาษี แต่ปัญหาคือ หลายคนไม่รู้ว่าต้องทำยังไง และมองว่าเป็นเรื่องยากเกินไปที่จะทำ แต่ที่จริงแล้วการจดทะเบียนบริษัทไม่ได้ยากอย่างที่คิด เพียงแค่มีหลายขั้นตอน และต้องใช้ความรอบคอบในการเตรียมเอกสารต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหานี้ ผู้ประกอบการหลายคนจึงเลือกจ้างคนที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้มาทำแทน แต่อย่างไรก็ตามถ้าเจ้าของกิจการสามารถทำด้วยตัวเองได้ จะช่วยลดเวลาในการประสานงานไปได้ ไม่ต้องเสียเงินจ้างคนอื่น รวมถึงยังได้ฝึกทักษะด้านเอกสารอีกด้วย
.
“ไม่มีเวลา อยู่กับงานมากกว่าคนรัก”
ปัญหาใหญ่ที่เมื่อคุณก้าวเข้าสู่การเป็นเจ้าของกิจการต้องเจออย่างแน่นอน โดยเฉพาะช่วงเริ่มต้นกิจการ ที่ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจและเวลาทั้งหมดในการทำธุรกิจ อาจไม่ได้เลิกงานตามเวลา รวมถึงอาจไม่มีวันหยุดเหมือนคนอื่น ๆ เมื่อเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ก็อาจส่งผลให้ความสัมพันธ์ของคุณกับครอบครัวหรือคนรักแย่ลง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหานี้ ควรจัดสรรเวลาหรือหากิจกรรมเพื่อทำร่วมกับครอบครัวหรือคนรัก พร้อมกับพูดคุยด้วยเหตุผลเพื่อให้ทุกคนเข้าใจในสิ่งที่คุณทุ่มเท
.
“คิดราคางาน ให้ลูกค้า “Say yes!”
การดีลงานกับลูกค้า นอกจากรายละเอียดงาน รูปแบบงาน อีกหนึ่งปัจจัยที่จะทำให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจได้ว่าจะร่วมงานกับเราหรือไม่นั้น คือ “ราคางาน” ซึ่งการที่คุณเป็นเจ้าของกิจการ การคิดราคาจะไม่ใช่แบบเดียวกับการเป็นฟรีแลนซ์ เนื่องจากเมื่อเป็นบริษัท จะมีค่าใช้จ่ายแฝงมากมายที่เป็นหนึ่งในองค์ประกอบในการคิดราคางาน ทั้งค่าเช่าออฟฟิศ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต เงินเดือนพนักงาน ฯลฯ
.
ดังนั้น ก่อนคิดราคางาน ต้องพูดคุยกับลูกค้าอย่างละเอียดถึงเนื้องานที่ลูกค้าต้องการ เช่น งานหรือสินค้าคืออะไร กลุ่มเป้าหมายเป็นใคร คอนเซ็ปต์คืออะไร เป็นต้น เมื่อได้ข้อมูลแล้ว คุณก็สามารถคำนวณราคาได้ แต่ต้องอยู่ในราคาที่เหมาะสม ลูกค้าพึงพอใจ และบริษัทเองก็ไม่ขาดทุน ยิ่งมีกำไรก็ยิ่งดีต่อบริษัทด้วย
.
“การเลือกพนักงานที่ใช่สำหรับบริษัท”
การเลือกใครสักคนเพื่อมาเป็นส่วนหนึ่งเพื่อช่วยขับเคลื่อนธุรกิจ ต่อให้ผ่านไปนาน เจอคนหลายรูปแบบ ก็ยังคงเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้าของกิจการรวมถึงฝ่ายบุคคล แล้วยิ่งเป็นพนักงานคนแรกของบริษัท ยิ่งเป็นเรื่องยากต่อการตัดสินใจว่าอยากได้คนแบบไหนเข้าร่วมทีม การสัมภาษณ์จึงต้องพูดคุยตั้งแต่แนะนำบริษัท รวมถึงการวางแผนในอนาคตของบริษัท ประกอบกับพูดคุยกับคนที่มาสัมภาษณ์ทั้งเรื่องงานและทั่วไป เพื่อดูว่าจะเข้ากับบริษัทได้หรือไม่
.
“การเชิญพนักงานออก”
การรับพนักงานคนแรกว่ายากแล้ว การจะตัดสินใจเชิญพนักงานสักคนออกก็ยากไม่ต่างกัน แม้จะคล้ายกับการบอกเลิกแฟนตรงที่ว่าความรู้สึกแย่เกิดขึ้นทั้งสองฝ่ายทั้งคนบอกเลิกและคนโดนบอกเลิก แต่สิ่งที่ไม่เหมือนคือ การบอกเลิกพนักงานไม่มีอารมณ์มาเกี่ยวข้อง เพราะการตัดสินว่าใครจะอยู่หรือไป จะต้องใช้เหตุผลเป็นหลัก แต่สิ่งที่ยากคือ จะทำอย่างไรให้การเชิญออกไม่ดูเป็นการพูดด้วยอารมณ์ สิ่งที่ควรพูดก็คือควรพูดอย่างตรงไปตรงมาบนหลักของเหตุผล ว่าเพราะอะไรจึงต้องให้เขาออก หากเขารับรู้ถึงสิ่งนั้นก็จะช่วยให้เขาพัฒนาและปรับปรุงเพื่อการทำงานในอนาคตได้
.
“กดดัน อยู่บนความคาดหวังของทุกคน”
การเป็นเจ้าของกิจการหรือบริษัทหนึ่ง ความรับผิดชอบจะตกมาอยู่ที่เราเพียงผู้เดียว ตั้งแต่รายได้บริษัท พนักงาน งานต่างๆ ทำให้คนเป็นเจ้าของกิจการมีความกดดันและต้องอยู่บนความคาดหวังอยู่เสมอ ทางแก้ปัญหาคือ คุณต้องปล่อยวาง คนเราไม่จำเป็นต้องเก่งทุกเรื่อง เรื่องที่ไหนที่ไม่ถนัด ก็อาจหาที่ปรึกษามืออาชีพด้าน มาช่วยดูแลในด้านนั้นๆ เพื่อลดความกดดันให้ตัวเอง
.
“โดนลูกค้ายกเลิกงาน / ปฏิเสธลูกค้า”
ไม่ว่าจะโดนลูกค้ายกเลิกงาน หรือต้องปฏิเสธที่จะทำให้ลูกค้า ล้วนมาจากปัจจัยเดียวกันคือ การมีเป้าหมายไม่ตรงกัน และไม่เหมาะต่อการทำงานร่วมกัน สิ่งที่ ควรทำคือ การพูดคุยอย่างตรงไปตรงมาตั้งแต่แรก และมีความซื่อสัตย์ซึ่งกันและกัน อธิบายลูกค้าให้เข้าใจถึงรูปแบบ ขั้นตอน เป้าหมายในการทำงาน พร้อมกับสอบถามในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ เมื่อคิดว่าไม่น่าใช่ ก็อย่าฝืนที่จะไปต่อไป เพราะสุดท้ายผลลัพธ์ที่ได้มักไม่ค่อยดีเท่าไหร่
.
“กว่าจะลงทุนซื้ออะไรสักอย่าง ต้องคิดแล้วคิดอีก”
เจ้าของกิจการมือใหม่ที่ยังมีเงินในบัญชีไม่หนามาก เป็นเรื่องธรรมดาที่มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องการมีในออฟฟิศ แต่ก็ไม่สามารถซื้อทุกอย่างได้ตามที่ต้องการ การจะซื้ออะไรสักอย่างจึงเป็นเรื่องยาก เพราะค่าใช้จ่ายของออฟฟิศมีอีกหลายอย่างที่เจ้าของกิจการต้องรับผิดชอบ ฉะนั้นจึงต้องเรียงลำดับความสำคัญของแต่ละอย่างว่าอะไรสำคัญและไม่สำคัญบ้าง เพื่อเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจซื้อของได้ง่ายขึ้น
.
“เงินเดือนทุกคนออก ยกเว้นตัวเอง”
ช่วงแรกของการเปิดบริษัท เจ้าของกิจการอาจยังไม่ได้ให้เงินเดือนตัวเอง เพราะต้องนำเงินไปลงทุนในธุรกิจก่อนรวมถึงเงินเดือนพนักงานทุกคน แต่เมื่อผ่านไปเริ่มมีงานลูกค้าเข้ามา มีเงินเข้ามาในบัญชีมากขึ้น เจ้าของกิจการก็จะสามารถให้เงินเดือนตัวเองได้ หรือแม้แต่ช่วงที่เกิดวิกฤตกับบริษัท สภาพคล่องทางการเงินติดขัด ทางเลือกที่เจ้าของกิจการมักทำเพื่อต่ออายุให้บริษัทและพนักงานก็คือ การงดหรือลดเงินเดือนตัวเอง
.
“หยุดนิ่งไม่ได้ ต้องปรับตัวอยู่เสมอ”
เจ้าของกิจการ ต้องมีการศึกษาเรียนรู้ ปรับตัวและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการทำธุรกิจอยู่เสมอ เพื่อให้ธุรกิจตอบโจทย์สำหรับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รวมถึงเพื่อเป็นการรักษาธุรกิจให้สามารถอยู่ได้ต่อไปท่ามกลางการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง เพราะระหว่างที่เราปรับตัว คู่แข่งของเราเองก็ต่างปรับตัวเพื่อแย่งชิงลูกค้าอยู่ตลอดเช่นเดียวกัน
.
จาก 10 ข้อเหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่เจ้ากิจการต้องเจอในการทำธุรกิจ หากคุณคือคนหนึ่งที่ใฝ่ฝันอยากมีธุรกิจส่วนตัว เป็นเจ้าของกิจการ จำเป็นต้องเรียนรู้อยู่เสมอและยอมรับเรื่องเหล่านี้ให้ได้ เพราะสิ่งที่ผู้ประกอบการหรือเจ้าของกิจการต้องเจอในการทำธุรกิจจริงๆ ไม่ได้มีเพียง 10 ข้อเท่านั้น แต่อาจมีอีก 108 ปัญหาให้ได้ปวดหัวมากกว่านี้แน่นอน ถ้าคุณพร้อมจะเป็นเจ้าของกิจการแล้วก็ลุยเลย!!
.
ที่มา : https://bowkraivanich.com/10-experiences-entrepreneur/
https://www.leaderwings.co/leadership/business-4/
#อายุน้อยร้อยล้านNEWS
#อายุน้อยร้อยล้าน #ryounoi100lan
#เจ้าของกิจการ #ผู้ประกอบการ #Businessowner
ยกเว้นตัวเอง 在 Money Coach Facebook 的最佳解答
DAY 8: ถ้าออม 10% เป็นเรื่องยาก ให้ลองแบบนี้
“ออมขั้นต่ำ 10% ของรายได้” สูตรนี้ดูเหมือนจะเป็นอัตราการออมที่ใครๆ น่าจะรู้กันอยู่แล้ว ว่ากันว่าถ้าออมได้ในระดับนี้ และลงทุนต่อยอดเป็น ก็น่าจะพอมีเงินสะสมทำให้มั่งคั่งในช่วงบั้นปลายได้
โดยส่วนตัวเวลาบรรยาย ผมก็มักจะพูดอยู่เสมอว่า “อย่างแย่ๆ คนเราควรออมได้ 10% และถ้าจะได้เร็ว ให้ดี ค่อยๆ เพิ่มไปให้ถึงระดับ 20% รับประกันแบบนี้ รวยแน่!”
แต่ก็นั่นแหละครับ โลกเรา “หลักการ” กับ “ความเป็นจริง” มักจะเป็นอะไรที่ไม่ตรงกัน
ในชีวิตจริงน้องๆ หลายคนเรียนจบออกมาพร้อมกับภาระในชีวิต บางคนยังเรียนไม่ทันจบ พ่อแม่ก็คอยพูดกรอกหูตลอดว่า เงินเดือนที่จะได้ในอนาคตต้องแบ่งมาช่วยอะไรที่บ้านบ้าง ค่าบ้าน ค่าเลี้ยงดูพ่อแม่ ส่งน้องเรียน ฯลฯ
ทีนี้เลยเป็นปัญหา ... เพราะหลักการดี แต่ทำไม่ได้ สุดท้ายมันทำร้ายให้คนที่พยายาม คนที่ตั้งใจใฝ่ดี รู้สึกท้อ
รู้ว่าคนเราควรเก็บ 10% เป็นอย่างน้อย แต่พอเอารายได้บวกลบกันแล้ว มันเหลือสะสมแบบนั้นไม่ได้จริงๆ ไอ้ครั้นจะให้ตัด 10% ไปก่อนใช้จ่าย แบบที่ใครเขาทำกัน อันนี้ก็รับประกันได้ว่าปลายเดือนได้หยิบยืมแน่ (ชีวิตแบบนี้ผมเคยเป็น)
หลังๆ เวลาผมสอนเรื่องเงิน ผมเลยปรับคำแนะนำสำหรับผู้เริ่มต้นเป็นว่า “เริ่มออมเท่าไหร่ก็ได้ ให้เริ่มเท่าที่รู้สึกดีต่อใจ”
จะออม 2% 3% หรือ 5% เท่าไหร่ก็ได้ ที่ทำให้รู้สึกว่าเราได้เหลืออะไรไว้ให้ตัวเองบ้าง หรืออย่างน้อยก็ยังมีเก็บกับเขาบ้าง
สมัยแก้หนี้ของครอบครัว ผมทำทั้งงานประจำ งานพิเศษ ทำเช้าถึงเย็น ทำทุกเสาร์อาทิตย์ ตอนอายุ 25 ปี ผมหาเงินได้เดือนนึงหลายหมื่นบาท แล้วก็จ่ายหนี้ไปหมด ไม่เหลือเก็บเลย เหลือบมองหลักการ 10% ดูแล้วไม่น่าจะเก็บได้ เลยไม่เก็บแม่งเลย สุดท้ายการไม่ออมเลย ส่งผลต่อความรู้สึกตัวเองพอสมควร เหมือนเราใช้ชีวิตทั้งเดือนหาเงินให้คนทั้งโลก ยกเว้นตัวเอง (การเก็บออมเขาถึงอีกอย่างว่า “การจ่ายให้ตัวเอง”)
หลังจากนั้นเลยเปลี่ยน ไม่รู้แหละ เงินรายได้มากน้อยแค่ไหน จะต้องเก็บ 3% ของเงินที่หาได้ ส่วนต่างชำระหนี้ที่เหลือ ค่อยไปคิดต่อยอดเอาว่าจะหาที่ไหนมา
สำหรับบางคน หากเงินออม 2-3% ก็ยังเป็นเงินที่เยอะอยู่ เราอาจจะกำหนดเป็นตัวเลข 200, 300 หรือ 500 เท่าไหร่ก็ได้ครับ หรือใครหาเงินได้รายวัน ลองหักให้ตัวเองวันละ 10-20 บาทก็ได้ ตัวเลขไหนทำให้เรารู้สึกดีว่า “เออ เว้ย ก็มีเงินเก็บกับเค้าเหมือนกันนะ เอาตัวเลขนั่นแหละ” ขออย่างเดียวทำต่อเนื่อง ห้ามหยุด ห้ามเลิก ทำให้สม่ำเสมอ อันนี้คือหัวใจสำคัญที่สุด
(แหม่ ... ตัวเลขก็ให้กำหนดเองแล้ว เอาเท่าที่ดีต่อใจแล้ว สู้หน่อยสิวะ!)
เงินเก็บน้อย แต่ถ้าเก็บสม่ำเสมอได้ มันอาจยังไม่ได้ทำให้เรารวยหรอกครับ แต่มันจะเริ่มขยับเขยื้อนสิ่งที่มองไม่เห็น นั่นก็คือ ความรู้สึก “ภูมิใจ” และ “เชื่อมั่น” ในตัวเอง
คนเราออมเงินได้ถึงหลักพัน สมองก็จะเชื่อและมั่นใจต่อว่าหลักหมื่นเป็นไปได้
พอออมหลักหมื่นได้ มันก็กล้าคิดกล้ามองไปที่หลักแสน
พอออมหลักแสนได้ คราวนี้มันไม่หยุดแล้ว มองต่อไปหลักล้านแน่นอน
ทั้งหมดเริ่มต้นที่ความรู้สึก “ดีต่อใจ” ที่เราสร้างให้ตัวเองเป็นประจำทุกวัน ทุกเดือน เพราะความสม่ำเสมอนี่แหละ คือ ตัวช่วยสะสม “ความภูมิใจ” และ “ความเชื่อมั่น” ที่จะทำในสิ่งที่ใหญ่ขึ้น และนำเราไปสู่ความสำเร็จทางการเงินได้
2 ปีที่ผ่าน ผมทำโครงการแก้หนี้ที่ชื่อว่า “อภินิหารความรู้การเงิน” เป็นโครงการให้คำแนะนำในการแก้หนี้ ที่ไม่มีเงินเข้าไปให้กู้ แต่เน้นเรื่องของการให้ความรู้และคำปรึกษาทางการเงิน
ตั้งแต่ครั้งแรกๆ ที่เจอและให้คำปรึกษากัน ผมจะบังคับทุกคนให้หักออมเดือนละ 500 บาท คิดเป็น 3.33% ของรายได้ (ไม่ถึงเกณฑ์ออม 10%) ตอนบังคับหักเงิน ทุกคนก็จะงงกันนิดหน่อยว่าฉันเป็นหนี้นะ จะให้ออมอีกเหรอ แต่พอเห็นว่า 500 บาทต่อเดือน เป็นตัวเลขที่พอไหวเมื่อเทียบกับรายได้ ก็เลยยอม ระหว่างนั้นก็ให้คำปรึกษาแก้หนี้กันไป
โครงการนี้ใช้เวลา 1 ปี หลังจบโครงการหลายคนมีภาระหนี้ลดลง สภาพคล่องดีขึ้น เปิดสมุดบัญชีเงินฝากขึ้นมา (ตอนนั้นเราให้เลือกตัดฝากประจำ กับกองทุนตราสารหนี้) มีเงินกันคนละ 6 พันกว่าบาท ตอนเห็นสมุดบัญชีทุกคนดูตกใจ แต่ก็ดีใจกันมาก
พอได้คุยหลายคนบอกว่า ทำงานมานานไม่เคยมีเงินออม เพราะเชื่อว่าตัวเองคงออมไม่ได้ หรือถ้าออมได้ก็คงน้อย ไม่น่าจะเรียกว่าเงินออม เลยไม่ได้เริ่มสักที ไม่คิดว่าที่หักไปแต่ละเดือนจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีแบบนี้
นี่แหละ! พลังทวีของความรู้สึก ดีต่อใจ!
เริ่มเท่าที่เริ่มได้ เริ่มเท่าที่ทำไหว ให้รู้สึกว่าอย่างน้อยเราก็ได้ทำ แต่ทำต่อเนื่องไม่หยุด ไม่เลิก สุดท้ายผลลัพธ์ก็น่าชื่นใจ และส่งพลังให้เราเดินหน้าต่อ ทำต่อได้
นอกจากนี้ บางคนอาจเร่งสปีดให้กับเงินออมก้อนเล็กๆ ของตัวเอง ให้มันสร้างโอกาสให้เรามากขึ้นได้ (ก็ไหนๆ ออมได้น้อยแล้ว ก็ต้องอาศัยตัวช่วยทำให้มันโตเร็วขึ้นสิ”
ลูกศิษย์ผมหลายคนเลือกนำเงินออม 200-300 บาทต่อเดือน ไปซื้อสลากออมทรัพย์ (ประมาณว่าทุนน้อย แต่โชคเรามาเต็ม 555) ในขณะที่บางคน ก็เลือกบวกไปกับกองทุนรวมหุ้น (ทั้งไทยและต่างประเทศ) หวังให้เงินน้อยเติบโตไปกับบริษัทชั้นนำ ก็ในเมื่อเงินเราน้อย เราก็ต้องหาคนช่วยทำให้เงินเราโตเร็วขึ้น และสมัยนี้กองทุนรวมหุ้นบางกองทุน เริ่มต้นลงทุนแค่ 500 บาท ในขณะที่บางกองทุนนั้น “ไม่มีขั้นต่ำ” จะลงทุนเท่าไหร่ก็ได้
พอถามว่าลงทุนกองทุนหุ้น ไม่กลัวความเสี่ยงเหรอ บางจังหวะหุ้นลง เราก็ขาดทุนได้นะ หลายคนตอบกลับมาว่า “การไม่คิดทำอะไรให้ชีวิตดีขึ้น ไอ้แบบนั้นต่างหาก คือ ชีิวิตที่ขาดทุน” ... คมชะมัด!
ในโลกการเงินส่วนบุคคล ประกอบด้วยคำสำคัญสองคำ นั่นคือคำว่า “สภาพคล่อง” และ “ความมั่งคั่ง” โดยมีสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างสองฝั่ง คือ “เงินออม”
ใครที่เริ่มเก็บเริ่มออมและเกิดเป็นการสะสม อันนี้ก็พอจะบอกได้ว่า คนๆนั้นเป็นคนที่มีสภาพคล่องที่ดี และเมื่อมีสภาพคล่องที่ดี มีการสะสมต่อเนื่อง สภาพคล่องส่วนล้น (แม้จะล้นแค่เดือนละ 200 บาท) ก็จะสะสม สั่งสม กลายเป็น “ความมั่งคั่ง” ที่อยู่อีกด้านหนึ่งของปลายสะพาน
คนเรามีสิทธิเลือกที่จะอยู่บนโลกฝั่งไหนก็ได้ ถ้าคุณเลือกอยู่ฝั่งสภาพคล่อง คุณก็จะอยู่ในโลกที่การเงินหมุนวนไปไม่รู้จบ และใช้ชีวิตอยู่กับคำถาม “เงินไม่พอทำยังไงดีี” “เงินไม่พอใช้ หยิบยืมที่ไหนดี” หรือคุณอยากจะเลือกอยู่ฝั่งความมั่งคั่ง ที่มีอีกชุดคำถามในหัว นั่นคือ “มีเงินอยู่ก้อนหนึ่ง ฉันควรจะเอาไปทำอะไรดี”
คุณสามารถเปลี่ยนโลกการเงินที่คุณอยู่ได้ง่ายๆ ด้วยการเริ่ม “ออม” ครับ (สร้างสะพานย้ายจากโลกสภาพคล่องไปโลกความมั่งคั่ง) ออมเท่าไหร่ก็ได้ เท่าที่รู้สึกดีต่อใจก่อน จากนั้นค่อยๆ ขยับไป 10% ตามเกณฑ์ พอทำได้ ก็ค่อยๆ ขยับเพิ่มขึ้นไปอีกเพื่อการสะสมความมั่งคั่ง
“เริ่มเหลือ เริ่มเหลือ” ดีต่อใจเท่าไรเริ่มเลยตั้งแต่วันนี้นะครับ
เลิกอ้างได้แล้ว ว่าเงินน้อย
โค้ชหนุ่ม
08-01-2021
#Day8 #MoneyCoachDiary #ถ้าออม10เปอร์เซ็นต์เป็นเรื่องยาก
ยกเว้นตัวเอง 在 ANIBON Youtube 的最佳解答
ผมหลอกใครไม่เป็น .... ยกเว้นตัวเอง .....
ส่ง Meme หัวข้อ LIVE และเสนอความเห็นต่อรายการ มาให้ผมได้ที่ Twitter : https://twitter.com/phuboatanibon
ทุกท่านสามารถเข้ามาช่วยปรับปรุงและสร้างสีสันให้กับ Server Discord ของ ANIBON
ได้ที่ - https://discord.gg/KRxV2hx
ทุกท่านโดเนทค่าข้าว เป็นกำลังใจให้กับผม ได้ในหน้านี้ : https://tipme.in.th/anibonlive
หรือการบริจาคผ่านบัญชี PayPal ได้ในหน้านี้ : https://streamlabs.com/Anibonofficial
ยกเว้นตัวเอง 在 #คำคม อ้างทุกอย่างโทษทักสิ่ง ยกเว้นตัวเอง | ... 的推薦與評價
the words are written in two languages on top of an image of cityscape. More like this. ... <看更多>
ยกเว้นตัวเอง 在 Future Trends - “รู้หมดทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องของตัวเอง”... 的推薦與評價
“รู้หมดทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องของตัวเอง” ทำไม self-talker จึงเชื่อมโยงกับความสำเร็จของชีวิต . “วิธีที่จะทำให้เข้าใจส่วนลึกในจิตใจได้ดีที่สุดคือ การคุยกับตัวเอง” . . ... <看更多>