รู้จัก REE Automotive สตาร์ตอัปแชสซีรถไฟฟ้า จากอิสราเอล /โดย ลงทุนแมน
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าถือเป็นเมกะเทรนด์ของโลก
โดยผู้นำรถยนต์ไฟฟ้าในตอนนี้ก็คือ Tesla ในขณะที่ผู้นำรถยนต์สันดาป
อย่าง Toyota และอีกหลายแบรนด์ต่างเร่งเข้าสู่ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า เช่นกัน
แต่รู้หรือไม่ว่า ยังมีบริษัทหนึ่งที่ชื่อ “REE Automotive” ที่ถือเป็นอีกผู้เล่นหน้าใหม่
ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ที่ไม่ได้มาในฐานะผู้เข้าแข่งขัน แต่มาในฐานะผู้สนับสนุน
ที่จะทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ สามารถผลิตรถไฟฟ้าออกสู่ตลาดได้ไวและมีศักยภาพมากขึ้น
แล้ว REE คือใคร และกำลังทำอะไรในตลาดแห่งนี้ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
REE Automotive เป็นบริษัทสตาร์ตอัปจากประเทศอิสราเอล
ก่อตั้งขึ้นในปี 2013 โดย Daniel Barel และ Ahishay Sardes
โดยก่อนหน้านี้ ทั้งคู่เป็นผู้ก่อตั้ง Softwheel บริษัทผู้พัฒนาระบบสำหรับรถเข็นวีลแชร์หรือรถจักรยาน
ซึ่งระบบของทางบริษัทจะช่วยลดแรงกระแทกจากการใช้งาน ในพื้นที่ต่างระดับ
สำหรับนวัตกรรมของ REE ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้านั้น ไม่ใช่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นมาเป็นคัน แต่เป็นการพัฒนาและผลิต “Flat Chassis” หรือตัวถังพื้นเรียบให้กับผู้ผลิตรถยนต์ เพื่อนำไปประกอบเข้ากับห้องโดยสาร
นวัตกรรมสำคัญของตัวถังแบบเรียบนี้ ก็คือ การรวมระบบการขับเคลื่อนทั้งหมดของรถ
ไม่ว่าจะเป็นระบบการบังคับ ระบบเบรก ระบบช่วงล่าง ไปจนถึงมอเตอร์ไฟฟ้าไปไว้ที่ล้อ
เรียกว่า “REEcorner”
โดยล้อทั้ง 4 จะสามารถขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเองและไม่มีส่วนเชื่อมต่อระหว่างกัน
ซึ่งจะมีก็แค่สายส่งพลังงานและสายเชื่อมต่อระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ยืดหยุ่นและง่ายต่อการจัดวาง ซึ่งคล้ายกับเทคโนโลยีที่ใช้กับเครื่องบิน
ด้วยฐานที่เป็นพื้นเรียบและไม่มีสิ่งกีดขวาง ทำให้มีพื้นที่ว่างเพิ่มขึ้นและยังเพิ่มอิสระในการออกแบบรถยนต์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น
การขยายโครงสร้างรถให้กว้างหรือยาวขึ้น
การเพิ่มพื้นที่เก็บแบตเตอรี่ได้มากขึ้น
ไปจนถึง การปรับแต่งอื่น ๆ ตามแต่ลูกค้าต้องการ
ทั้งหมดนี้ก็ได้ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์สามารถออกแบบโครงสร้างและรูปร่างของรถอย่าง
เช่น โครงรถ ดีไซน์ หรือระบบอื่น ๆ มาสวมเข้ากับแพลตฟอร์มของ REE ได้ทันที
โมเดลดังกล่าวจะช่วยลดขั้นตอนในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าให้สั้นลง เพราะแทนที่จะต้องพัฒนารถทั้งคัน REE ก็ได้ลดขั้นตอนให้ผู้ผลิตออกแบบรูปลักษณ์และฟังก์ชันตามที่ต้องการ หลังจากนั้นก็เพียงนำมาวางลงบนแพลตฟอร์มของ REE
ซึ่งโมเดลนี้ ก็ได้ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์สามารถลดต้นทุนในการผลิตและพัฒนาได้อย่างมาก รวมถึงความซับซ้อนและขั้นตอนในการพัฒนาและการผลิตที่สั้นลง บริษัทรถยนต์จึงสามารถนำรถรุ่นใหม่ออกสู่ตลาดและวางจำหน่ายได้เร็วขึ้น
โดยเฉพาะกับธุรกิจที่เน้นเรื่องการใช้งานเป็นหลักอย่างธุรกิจขนส่ง ที่เน้นไปที่ฟังก์ชันการใช้งานเฉพาะ เช่น รถขนพัสดุที่เทคโนโลยีของ REE ทำให้ตัวรถไม่มีเพลาและเหลือเพียงพื้นเรียบกับล้อรถ จึงทำให้รถขนส่งพัสดุมีพื้นที่สำหรับบรรทุกเพิ่มขึ้นถึง 36% เมื่อเทียบกับรถขนส่งแบบเดิม ที่มีขนาดเท่ากัน
อีกตัวอย่างคือรถโดยสารไร้คนขับ ที่ผลิตได้ง่ายเพียงติดตั้งส่วนของห้องผู้โดยสารและระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติลงบนแชสซี ซึ่งในการทดสอบของ REE ก็ได้ใช้รีโมตควบคุมจากระยะไกลและไม่มีอะไรติดตั้งลงบนแชสซีเลย นอกจากล้อทั้ง 4 ล้อและระบบรับสัญญาณที่ฝังในพื้นรถ
ด้วยโมเดลธุรกิจที่เปิดรับทุกคนที่ต้องการสร้างรถไฟฟ้าของตัวเอง ทำให้ REE Automotive ได้รับความสนใจและได้ร่วมเป็นพาร์ตเนอร์กับผู้ผลิตรายใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์
อย่างเช่น การร่วมมือกับ JB Poindexter ผู้ผลิตตัวถังรถรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา
ที่จะร่วมมือกับ REE ในการพัฒนารถตู้ไฟฟ้าและเดินสายการผลิตในปี 2024
หรือ HINO บริษัทลูกของ Toyota ที่จะใช้เทคโนโลยีของ REE เป็นแพลตฟอร์มหลักในการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งก็จะใช้กับรถบรรทุกขนาดเล็ก รถบัส และรถรูปแบบอื่น ๆ ในอนาคต โดยจะเปิดตัวรถต้นแบบในปี 2022
นอกจากนี้ Magna ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ให้กับ Ford, BMW และ Tesla ก็ได้ร่วมมือกับ REE ในการรับจ้างผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้กับภาคเอกชนทั่วไป
โดย REE จะเป็นผู้ผลิตระบบขับเคลื่อนและแพลตฟอร์ม
ในขณะที่ Magna จะรับผิดชอบส่วนประกอบ เช่น ตัวถัง หรือเบาะนั่ง ตามแบบที่ลูกค้าต้องการ
เมื่อไม่นานมานี้ REE Automotive เพิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จผ่านการขายหุ้นให้กับ SPAC หรือบริษัทที่ชื่อว่า 10x Capital Venture Acquisition Corp. ปัจจุบันมีมูลค่าบริษัทราว 9 หมื่นล้านบาท
ถึงตรงนี้ เมื่อลองดูที่โมเดลธุรกิจของ REE แล้วนำมาเปรียบเทียบกับบริษัทเทคโนโลยี ก็คงเปรียบได้กับ Microsoft ที่เป็นเจ้าของซอฟต์แวร์และเป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของหลายองค์กรทั่วโลก
เพราะแน่นอนว่าสำหรับ REE เอง ก็ไม่ใช่บริษัทผลิตรถยนต์ แต่พวกเขาเปรียบได้กับบริษัทเทคโนโลยี
เจ้าของนวัตกรรมสำหรับรถไฟฟ้าที่อาจจะเป็นหนทางไปสู่ความสำเร็จของผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลก ก็เป็นได้..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.youtube.com/watch?v=BKeCo9E4PuU
-https://www.cnbc.com/video/2021/07/23/ree-automotive-ceo-on-building-the-platform-of-the-future-of-automotive.html
-https://www.cnbc.com/2021/04/27/toyota-subsidiary-hino-and-israels-ree-ev-start-up-ink-deal-for-electric-trucks-.html
-https://www.electrive.com/2021/04/13/magna-ree-to-develop-light-evs/
-https://www.electrive.com/2021/07/14/ree-automotive-announces-body-partnership/
-https://ree.auto/configurator/#/REEcorner
-https://ree.auto/configurator/#/vehicle-application
同時也有2部Youtube影片,追蹤數超過0的網紅CarDebuts,也在其Youtube影片中提到,เปิดตัว ราคา รีวิว The All-New BMW 4-Series Coupe 2020-2021 บีเอ็มดับเบิ้ลยู ซีรี่ส์4 คูเป้ โฉมใหม่ล่าสุด เจนเนอเรชั่นที่ 2 ราคา 3,969,000 บาท ในไทย ...
「ระบบช่วงล่าง」的推薦目錄:
- 關於ระบบช่วงล่าง 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
- 關於ระบบช่วงล่าง 在 XO Autosport Facebook 的最佳貼文
- 關於ระบบช่วงล่าง 在 จอห์น ไรเดอร์ - John Rider Facebook 的精選貼文
- 關於ระบบช่วงล่าง 在 CarDebuts Youtube 的精選貼文
- 關於ระบบช่วงล่าง 在 CarDebuts Youtube 的最讚貼文
- 關於ระบบช่วงล่าง 在 หน้าที่หลักของระบบช่วงล่างรถยนต์ | Car of Know - YouTube 的評價
- 關於ระบบช่วงล่าง 在 ช่วงล่าง - การทำงานของระบบกันสะเทือน - รถซิ่งวิทยา EP19 的評價
- 關於ระบบช่วงล่าง 在 ช่วงล่างดัง อะไรพัง อะไรเสีย | By Manoyont Group | Facebook 的評價
ระบบช่วงล่าง 在 XO Autosport Facebook 的最佳貼文
จะเป็นไง เมื่อ KE70 กลับชาติมาเกิด
เรื่อง : อินทรภูมิ์ แสงดี
ภาพและข้อมูล : www.topgear.com.ph
TOYOTA COROLLA ถือว่าเป็นรถยนต์นั่งที่ขายดีที่สุด นับตั้งแต่รุ่นแรกอย่าง KE10 เปิดตัวขึ้น ด้วยคุณสมบัติที่เป็นรถขนาดเล็ก คล่องตัว ประหยัด ทนอย่างแรด ซ่อมและดูแลง่ายมากๆ จนทำให้ครองใจมหาชนมาตลอดกาล และยังคงมีความนิยมอย่างต่อเนื่องเสมอมา ไล่มาตั้งแต่ KE20 - 25, KE30 – 35 ซึ่งก็ทำให้ COROLLA เป็นที่จดจำไปทั่วโลก...
ในช่วงปลายยุค 70 ปี 1978 COROLLA ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ด้วยรุ่น E7 บ้านเราจะรู้จักกันในรุ่น KE70 ที่เป็น “ทรงเหลี่ยม” (Boxy Style) ตามยุคสมัยนั้นที่นิยมรถเหลี่ยมๆ กัน ตัวรถถูกสร้างให้มีความหรูหรามากขึ้น มีขนาดใหญ่ขึ้น การทรงตัวและความนุ่มนวลดีกว่าทุกรุ่นที่ผ่านมา เพราะใช้ “คอยล์สปริง” ทั้งหมด (ยกเว้น KE70 Wagon ที่ด้านหลังยังเป็นแหนบ เพื่อการบรรทุก) ก็เลยทำให้ชื่อเสียงโด่งดังขึ้นไปอีก...
ในบ้านเราจะนิยมเรียกกันว่า “DX แท็กซี่” เพราะส่วนใหญ่แล้วจะเป็นรุ่น DX ซึ่งเป็นรุ่นประหยัดที่สุด ไม่มีวัดรอบ เกียร์ 4 สปีด แล้วนำมาทำแท็กซี่ ก็เลยเรียกติดปากมาอย่างนั้น แล้วก็มีรุ่น “กระเทย” เป็นเก๋ง 2 ประตู ที่ “วัยรุ่นยุค เดอะ พาเลซ” นิยมนำมาแต่งซิ่งกัน ใส่ล้อ 13 นิ้ว หน้ากว้างๆ ออฟเซ็ตลึกๆ ยางอ้วนๆ ล้นๆ แหม โคตรเท่...
แต่ในต่างประเทศ จะมีตัวดัง Top of the line อย่าง 1600GT ที่ใช้ขุมพลัง 2T-G แบบ DOHC 8 วาล์ว 105 - 107 แรงม้า ออกมาเขย่าวงการมอเตอร์สปอร์ต โดยเฉพาะ “แรลลี่” (พูดถึงตัวซีดานนะ) ที่โด่งดังไม่แพ้ทางเรียบ (แต่เราอาจจะไม่ได้ติดตามข่าวสักเท่าไร) พูดถึงกระแส Retro Car ในบ้านเรา เจ้า KE70 อยู่ในระดับ “ฮอตฮิตตลอดกาล” เพราะเป็นรถที่ราคาไม่แพง จับต้องได้ง่าย มีรถจำนวนมาก และสามารถใช้งานได้จริง หรือ โมดิฟายไว้แข่งแบบไม่ต้องระแวงหรือเสียดายอะไรมากนัก ดังนั้น คนที่เริ่มหัดเล่น Retro จึงต้องผ่าน KE70 กัน ก็เหมือนกับนักซิ่งญี่ปุ่นที่ส่วนมากก็จะต้องผ่าน AE86 กันนั่นแหละ...
แต่ในภาพที่ท่านเห็นอยู่นี้ มันเป็นจินตนาการจาก นาย Andrew Guerrero แห่ง Top Gear Philippines เจ้าเก่า ที่ Render รูปเจ้า COROLLA GR70 คันนี้ขึ้นมา โดยยังใช้พื้นฐานความคลาสสิกดั้งเดิมของ E70 ปั้นรวมกับสไตล์ทันสมัยของ GR หรือ Gazoo Racing ที่ผลิตรถสมรรถนะสูงของ TOYOTA ยุคใหม่ ไฟหน้าเป็นทรงกลม ตามแบบ KE70 รุ่นแรก ที่นิยมหากันจนราคาไปไกล พร้อมโลโก TOYOTA สไตล์ดั้งเดิม กันชนและช่องลม เอาสไตล์มาจาก 86 ซึ่งเขย่าๆ แล้วก็เข้ากันดีพอได้...
ไล่มาด้านข้าง ยังคงเอกลักษณ์ “เสา” ของ KE70 เอาไว้ โดยเฉพาะ “กระจกสามเหลี่ยมด้านหลัง” (Rear Quarter Window) กับช่องระบายลมที่เสา C ก็ยังคงความคลาสสิกไว้ครบถ้วน ส่วนด้านท้าย ยังคงแบบของไฟท้ายรุ่นแรก (รุ่นไฟหน้ากลม) ที่เป็น “เลนส์เรียบ” พร้อมเส้นลายแนวนอน ปลายท่อคู่เพิ่มความสปอร์ต...
เครื่องยนต์ “เขาว่า” เป็นรุ่น M20A – FKS 2.0 ลิตร ที่เป็นเครื่องยนต์ TOYOTA DYNAMIC FORCE เหมือนกับตัว COROLLA ALTIS US Spec ให้แรงม้า 195 hp แรงบิด 210 นิวตัน – เมตร และสุดในรุ่น กับ A25A – FKS ขนาด 2.5 ลิตร ผ่านการจูนโดย GR ให้แรงม้า 227 hp แรงบิด 252 นิวตัน – เมตร พร้อมเกียร์ธรรมดา 6 สปีด หรือ เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Paddle Shift...
ระบบช่วงล่าง เข้าใจว่านายคนนี้ จินตนาการว่ายกมาจาก 86 ด้านหน้าแบบอิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัท ด้านหลัง อิสระ Multi – links ที่เป็นเทคโนโลยี TNGA ส่วนฝากระโปรงหน้าและหลัง เป็นอะลูมิเนียม ลดน้ำหนักและปลอดสนิม จริงๆ ก็ไม่ได้ตื่นเต้นเท่าไรเพราะมีใช้กันมานานแล้วในรถสปอร์ตรุ่นแพงๆ แต่จะดีถ้ามันใช้กับรถขนาดเล็กอย่างนี้ ส่วนล้อเป็นขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 215/45R17...
เป็นอย่างไรกันบ้าง สำหรับ KE70 กลับชาติมาเกิดเป็น GR70 ที่ดูสไตล์แล้วไม่เลวทีเดียว แม้เราจะรู้กันอยู่ในใจแล้วว่า “มันเป็นเพียงภาพจินตนาการ” ที่นาย Andrew สร้างมาเป็นกระแสให้พวกเราได้ “แก้เซ็ง” กันในช่วงที่ทุกคนระแวงระวังกับไวรัส COVID – 19 ที่เล่นแรงในตอนนี้ แต่อย่างน้อย มันเป็นเป็นสื่อที่ทำให้พวกเราได้มาพูดคุยกันในช่วงอันเวลายากเย็นนี้นั่นแล...
ระบบช่วงล่าง 在 จอห์น ไรเดอร์ - John Rider Facebook 的精選貼文
* ทริปทดสอบ Bajaj Dominar 400 กว่า 2,000 กิโลแบบขี่กันยาวๆ ตั้งแต่เช้ายันค่ำ ยาวหน่อย แต่มีเรื่องราวครบๆ สำหรับคนที่สนใจ *
ทริปนี้เป็นที่คน 5 คนได้ร่วมเดินทางไปด้วยกัน ตลอดระยะเวลา 8 วัน 7 คืน โดย Bajaj Dominar 400 คนละคัน
โดยเส้นทางเริ่มต้นจาก จ.เชียงใหม่ ยิงตรงลงใต้ สิ้นสุดที่ จ.ภูเก็ต
ชาวคณะ มี
- แอนนี่ Bikerchick Prisana Panyasirinukul
- บอล พาเที่ยว Naresorn Nunthasuttiwaree
- แพร R1 Tawinun Phoemphun
และ
- เคน ฝรั่ง ตัวแทนจาก @วิถีไบค์เกอร์
ในการเดินทาง พวกเราต้องขี่รถตั้งแต่ 06.00 น. เพื่อถ่ายยังสถานที่ต่างๆ มากมาย โดยขี่จริงทุกขั้นตอน และขี่ตลอดเวลา เพราะจำเป็นต้องถ่ายเก็บรายละเอียดให้มากที่สุดเพื่อนำไปตัดต่อวีดีโอในโอกาสต่อไป
จากการใช้รถตั้งแต่เริ่มต้นจนจบทริป ผมเป็นคนที่น่าจะใช้รถได้โหดที่สุด เพราะอยากทดสอบว่ารถราคาแสนต้นคันนี้ จะทนทานขนาดไหน และทำไมจึงขายดีที่ประเทศอินเดียรวมกันกว่า 4 ล้านคัน
เริ่มจาก
#ภายนอก
ไฟหน้า - สว่าง ทั้งไฟสูงไฟต่ำ หากเลือกใช้ฟังชั่นเปิดไฟที่ประกับด้านขวาเพื่อขี่ตอนกลางวัน ต้องบอกว่าไฟสว่างมากๆ
ไฟเลี้ยว - สว่างชัดเจน ตำแหน่งเห็นได้ชัด
ไฟท้าย - สว่าง โดยเฉพาะไฟเบรค สว่างมาก
หน้าจอ - จอหลัก สว่างชัดเจน มองเห็นวัดรอบทั้งกลางวันและกลางคืน จอรอง (บริเวณถังน้ำมัน มองไม่ค่อยเห็น ต้องอาศัยการก้มลงมอง ซึ่งจุดนี้ ไม่จำเป็นอย่าก้มมองเลย อันตราย แนะนำให้ก้มมองเวลาจอดเพื่อดูตำแหน่งเกียร์ว่างเท่านั้น (จริงๆ ไม่ต้องมองก็ได้ เพราะเกียร์รุ่นนี้เข้าง่าย ไม่แข็ง
ท่านั่ง - ขี่มาตลอดสองพันโล ไม่เมื่อย ยกเว้นบางทีอาจจะปวดก้นหน่อย เพราะเบาะฟองน้ำค่อนข้างแข็ง แต่สามารถขยับเปลี่ยนอิริยาบถได้
ตำแหน่งเกียร์ ตำแหน่งเบรค - เข้าง่าย ท่านั่งขี่เป็นมิตร ทั้งในเมืองและนอกเมือง
#เครื่องยนต์
เครื่อง 1 สูบ สามหัวเทียน โดยนำเอา Technology จาก KTM มาใช้ มีขนาด ความจุ 373 cc. ให้พลังเกินคาดจริงๆ เพราะสามารถทำความเร็วได้ถึง 173 กม./ ชม. (หน้าไมล์) โดยมีอัตราเร่งค่อนข้างต่อเนื่อง อาจเป็นผลจากการเรียงเกียร์ให้ใช้งานได้อย่างครอบคลุม ทั้งเกียร์ต่ำและเกียร์สูง
อัตราการบริโภคน้ำมัน (น้ำมันเต็มถัง 13 ลิตร)
ซัด 150-160 +- กินอยู่ที่ 17-18 โล/ลิตร 1 ถังวิ่งได้ เกือบ 200 โล
ขี่เรื่อยๆ 100-120 กินอยู่ที่ 26-28 โล/ลิตร 1 ถังวิ่งได้ 200 กว่าโล (ปลายๆ)
เครื่องยนต์ถือว่าดี มีอัตราเร่งที่ดี และสามารถขี่ใช้ความเร็วได้โดยที่ไม่เหนื่อย สามารถแช่ยาวๆ ได้โดยที่เครื่องไม่เหี่ยวและน้ำมันเครื่องไม่หาย
(แต่ความเร็วสูงสุด คนทั่วไปขี่ น่าจะอยู่ประมาณ 165-170)
ที่ชอบเลยคือ ระบบ Slipper Clutch ที่ทำงานได้จริง ตบเกียร์ลงแรงๆ ล้อไม่ล๊อค รวมถึงระบบครัท ที่ถือว่าจับดีมาก ดีดนิดเดียว ล้อลอยง่ายๆ
#ระบบช่วงล่าง - ขอชมเลยว่าช่วงล่างหน้าและหลังดีมาก ขี่ได้ทุกสภาพถนนจริงๆ โดยที่ไม่มีอาการเหนื่อย เพลียของคนขี่ให้เห็น จากเดิมที่เคยทดสอบ และบอกว่าหน้าค่อนข้างหนัก ในทริปนี้ บังเอิญว่ามีเหตุที่เราต้องทำการเซ็ทรถกันในบางส่วน ทำให้พบว่าจริงๆ แล้วชุดแผงคอของเจ้า Dominar ถูกขันมาให้แน่นจนเกินไป ทำให้ช่วงหน้าเวลาเลี้ยวฝืด จึงทำให้รู้สึกว่าหน้าหนัก แต่หลังจากที่มีการตั้งระดับใหม่ ปรากฏว่าขี่เป็นคนละคันเลยทีเดียว สามารถเทโค้งได้แบบเนียนๆ จนเรียกว่าใช้ยางที่ติดรถมาอย่างคุ้มค่าได้เลย
รวมถึงระบบโช๊คอัพทั้งหน้าหลังที่น่าแปลกใจมากว่ามันสามารถขี่ในทางดิน ทางลูกรังได้โดยที่ไม่มีอาการดีด หรือย้วยให้เห็น ทำให้การบังคับรถเป็นไปได้ง่าย สามารถปล่อยมือได้โดยที่ไม่มีอาการแกว่งทั้งช่วงความเร็วต่ำและความเร็วสูง โดยเฉพาะสาวๆ สองคนที่ไปทริปนี้ ก็สามารถขี่ได้อย่างสบายและปลอดภัย
#ระบบเบรค - เบรคหน้าถือว่าเอาอยู่ ไม่จำเป็นต้องอัพเกรด
ระบบ ABS ตอบสนองช้าไปนิด ต้องกระแทกจมๆ ถึงจะทำงาน ส่วนเบรคหลัง ก็ยังคงเหมือนที่เคยรีวิวไว้ คือไม่ค่อยดีเท่าไหร่ โดยจากการทดสอบ พบว่าสิ่งที่ไม่ดี ไม่ใช่ปั๊มเบรค แต่เป็นผ้าเบรคที่ Fade ไวมากไปหน่อยเวลาที่มีการใช้งานหนัก แก้ไขได้โดยเปลี่ยนผ้าเบรคดีๆ ซักชุดก็น่าจะดีขึ้น (แต่ถ้าขี่แบบคนทั่วไป ผ้าเบรคเดิมๆ ก็เอาอยู่นะ)
สำหรับสิ่งที่คิดว่าเป็นข้อที่ควรตรวจสอบขอ Dominar 400 มีดังนี้
1. ต้องมีการตรวจสอบการไขตั้งชุดลูกปืนคอให้พอดี จะได้ขี่แล้วสบายกว่ารถที่ทดสอบ (หลังทดสอบเสร็จได้แจ้งกับทางผู้เกี่ยวข้อง และน่าจะมีการตรวจเช็คและปรับปรุงรถใหม่ทุกคัน)
2. เปลี่ยนผ้าเบรคหลัง (หากคุณเป็นคนใช้เบรคหนัก)
3. ไขน๊อตทุกตัวออก แล้วใส่กาวกันคลายประกอบกลับไปใหม่ เพราะทางโรงงานผู้ประกอบไม่ได้ใส่มา หรือใส่มาแต่น้อยมาก ทำให้น๊อตบางตัวอาจมีหลุดได้ (หากใช้รอบสูงตลอด)
4. ตรวจสอบเหล็กรัดที่ท่อ เพราะจากการขี่โดยใช้ความเร็ว ปรากฏว่าเหล็กรัด หลุดหลายครั้ง เนื่องจากพอร้อนแล้วเหล็กของท่อไอเสียมีการขยายตัวทำให้เหล็กรัดเลื่อนตำแหน่ง
นี่คือข้อที่ควรปรับปรุงสำหรับคนที่คิดจะซื้้อ Dominar 400 นอกนั้นถือว่าโอเคหมด จัดได้ว่าเป็นรถที่คุ้มค่าอีกรุ่นในตลาดรถต่างประเทศที่มีการนำเข้ามาขายในบ้านเรา ถ้าหากสนใจดูตัวจริง ลองไปดูที่บูธ Bajaj ที่งาน Motor Show เมืองทองธานี ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคมนี้
รถราคา 115,000 บาท กับสิ่งที่ได้ คือซื้อมาใช้ ไม่ซื้อตามกระแส ผมตอบได้เลยว่าคุ้มค่าอย่างแน่นอน
#ขอขอบคุณ
Bajaj Thailand
Digit3
Oneball Organizer
Nikkasit Motographer
ทีมงานเบื้องหลังทุกท่าน
Marshal Staff และผู้ร่วมเดินทางทุกคน
โอกาสหน้าคงได้มีโอกาสได้ขี่เจ้าอีกนะ Dominar 400
_______________________
#Dominar400
#DominarRoadmasters
#BajajThailand
ระบบช่วงล่าง 在 CarDebuts Youtube 的精選貼文
เปิดตัว ราคา รีวิว The All-New BMW 4-Series Coupe 2020-2021 บีเอ็มดับเบิ้ลยู ซีรี่ส์4 คูเป้ โฉมใหม่ล่าสุด เจนเนอเรชั่นที่ 2 ราคา 3,969,000 บาท ในไทย
ในที่สุด BMW ก็ได้เปิดตัว The All-New 4-Series Coupe เจนเนอเรชั่นที่ 2 อย่างเป็นทางการ พร้อมปฏิวัติภาษาการออกแบบ ด้วยการใช้กระจังหน้ารูปไตคู่ขนาดใหญ่ ที่กินพื้นที่ ลงมาจนถึงกันชนหน้าส่วนล่าง ถือว่าเป็นความกล้า ที่เปลี่ยนมาใช้ดีไซน์ในลักษณะนี้ เพราะอาจจะถูกใจ หรือไม่ถูกใจ คนที่ได้พบเห็น แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็คือ ความมีเอกลักษณ์ ที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมมาก และสามารถสังเกตเห็นได้ง่าย จากระยะไกล
การใช้กระจังหน้าแบบใหม่ ทำให้กันชน ถูกออกแบบให้สอดรับกับเส้นขอบของกระจังหน้า ในขณะที่เบ้าไฟตัดหมอก ก็มีขนาดใหญ่ตามไปด้วยเพื่อความสมดุลย์ ไฟเดย์ไทม์ ยังใช้ลวดลายเดิมๆที่เราคุ้นตากันดี ในขณะที่เส้นคอนทัวร์บนฝากระโปรงหน้า ดูคล้ายกับรุ่น Z4 เจนเนอเรชั่นก่อน
ดีไซน์ของบั้นท้าย อาจจะไม่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะรุ่น เพราะลวดลายภายในของไฟท้าย ดูคล้ายกับรถรุ่นใหม่ๆของบริษัท โดยเฉพาะรถสปอร์ตรุ่นพี่ อย่าง 8-Series แต่ดิฟฟิวเซอร์ท้าย ที่มาพร้อมปลายท่อไอเสียทั้งซ้ายและขวา ดูจะโดดเด่นมากเป็นพิเศษ จากขนาดที่ใหญ่ และกินพื้นที่มาถึงไฟทับทิม เพิ่มความสปอร์ตมากขึ้น ด้วยช่องอากาศทั้งสองข้าง ในขณะที่ด้านข้าง ดูสปอร์ตในแบบรถยนต์สไตล์คูเป้ ทั้งนี้ ดีไซน์ของกันชนหน้าและท้าย ลวดลายของล้ออัลลอย ระบบช่วงล่าง ระบบเบรค รวมถึงการตกแต่งในจุดต่างๆ ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อยที่เลือกซื้อ
รุ่นย่อยสำคัญ ใน BMW 4-Series โฉมใหม่ ก็คือ รุ่น M440i xDrive ซึ่งเป็นรุ่น M Performance รุ่นแรกสำหรับ 4-Series โดยมาพร้อมขุมพลังเบนซินเทอร์โบ 6 สูบ ความจุ 3.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 374 แรงม้า จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด นอกจากนั้น ยังมีรุ่นมายด์ไฮบริด ที่มากับระบบ Starter Generator ขนาด 48 โวลต์ ที่จะช่วยเพิ่มพละกำลัง ขึ้นมาได้อีก 11 แรงม้า
ระบบช่วงล่าง 在 CarDebuts Youtube 的最讚貼文
คลิปใหม่มาแล้วครับ คลิกเลยที่นี่ https://www.youtube.com/watch?v=4geDHXHry_w
Toyota เปิดตัว Hilux Revo (ไฮลักซ์ รีโว่) รุ่นปรับปรุงโฉมใหม่ ไมเนอร์เชนจ์ ในงาน Thailand International Motor Expo 2017 โดยวันนี้ เราขอพาทุกท่านมารู้จักกับอีก 1 รุ่นย่อยที่แสดงในงาน นั่นก็คือ Hilux Revo DoubleCab Prerunner 2x4 2.8G เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด 4 ประตู
Toyota Hilux Revo รุ่น DoubleCab ใหม่ มาพร้อมกระจังหน้าและกันชนหน้าใหม่ ที่ดูบึกบึนดุดันมากยิ่งขึ้น ถือว่าเป็นไฮไลต์สำคัญและทำให้ Revo รุ่นปรับปรุงใหม่ แตกต่างจากรุ่นเก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน ไฟหน้า LED โปรเจกเตอร์ พร้อมระบบปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติ ไฟ Daytime Running Light กรอบไฟตัดหมอกหน้าดีไซน์ใหม่ กระจกข้างโครเมี่ยมและสัญญาณไฟเลี้ยว พร้อมครีบช่วยในการทรงตัว เพิ่มเสถียรภาพการขับขี่ให้ดียิ่งขึ้น ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว เพิ่มความเท่ขึ้นไปอีก ด้วยยางแบบ All Terrain รองรับทุกรูปแบบการขับขี่ ลุยได้ทุกสภาพถนน
ภายในห้องโดยสารของ Hilux Revo Double Cab ได้รับการติดตั้งจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ MID ขนาด 4.2 นิ้ว คมชัด อ่านง่าย ด้วยระบบสีสมบูรณ์แบบ ระบบเครื่องเสียงพร้อม navigator หน้าจอระบบสัมผัส รองรับระบบนำทาง T-Connect และการเชื่อมต่อ USB/AUX/Bluetooth พร้อมลำโพง 6 ตำแหน่ง สะดวกสบายด้วยระบบ push start ระบบควบคุมความเย็นอัตโนมัติ ระบบ smart entry ล็อกและปลดล็อกประตูโดยไม่ต้องกดปุ่มรีโมท ช่องปรับอากาศสำหรับเบาะหลัง ช่องต่ออุปกรณ์ไฟฟ้ากระแสสลับ AC 220V ใช้ได้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไป 1 ตำแหน่ง ช่องต่ออุปกรณ์ไฟฟ้ากระแสตรง DC 12 โวลต์ 2 ตำแหน่ง
พวงมาลัยปรับระดับ 4 ทิศทาง โดยสามารถปรับระดับสูง-ต่ำ ดึงเข้า-ออก รองรับทุกสรีระของผู้ขับขี่ พร้อมออกแบบพิเศษให้มีพื้นผิวสัมผัสใหญ่ขึ้น จับกระชับมั่นคง แรงสั่นสะเทือนต่ำ กล่องเก็บของ Cool Box ขนาดใหญ่ พร้อมระบบรักษาความเย็นบริเวณคอนโซลหน้า ตัวถังมีการติดตั้งวัสดุซับเสียงคุณภาพสูงในจุดต่างๆ ทั้งบริเวณฝากระโปรงหน้า และกรอบประตู ลดเสียงรบกวนจากภายนอกห้องโดยสาร
ขุมพลังของ Hilux Revo Double Cab รุ่นนี้เป็นเครื่องยนต์ดีเซล ความจุ 2.8 ลิตร กำลังสูงสุด 177 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตรที่ 1,600-2,400 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด Super Intelligent ECT ให้แรงบิดสูงในรอบต่ำ ช่วยเพิ่มสมรรถนะการขับเคลื่อน และประหยัดน้ำมันได้อย่างยอดเยี่ยม
โดยเป็นเครื่องยนต์ GD Efficient Boost เพิ่มประสิทธิภาพในการเผาไหม้ ลดการสูญเสียความร้อน และแรงเสียดทาน ด้วยเครื่องยนต์ดีเซล ระบบคอมมอนเรล เจนเนอเรชั่นล่าสุด ให้แรงบิดสูงในรอบกว้าง ทั้งช่วงออกตัวและเร่งแซง ประหยัดน้ำมัน ทำงานเงียบ สั่นสะเทือนต่ำ ไอเสียต่ำ ได้รับมาตรฐาน Euro4 รองรับการใช้งานทุกรูปแบบได้เต็มสมรรถนะ
VN Turbo ระบบเทอร์โบแปรผันใหม่ ขนาดเล็กลง แต่ประสิทธิภาพมากขึ้น แรงต่อเนื่องทุกรอบความเร็ว
ระบบฉีดน้ำมันอัจฉริยะ พร้อมปั๊มแรงดันสูง 220 เมกะปาสคาล ฉีดน้ำมันเป็นละอองฝอย เพื่อการเผาไหม้สมบูรณ์แบบ ประหยัดยิ่งขึ้น เครื่องยนต์เงียบ ลดเสียงและการสั่นสะเทือน ลดมลภาวะ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
Roller Rocker Arm และ Valve Lash Adjuster ลดแรงเสียดทานระหว่างลูกเบี้ยว และกระเดื้องวาล์ว กำจัดช่องว่างของการสึกหรอ ทำให้ไม่มีการรั่วไหลของไอน้ำมัน เครื่องยนต์เงียบ ประหยัดค่าบำรุงรักษาตลอดอายุการใช้งาน
EGR เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ช่วยลดความร้อนของเครื่องยนต์ ไอเสียต่ำ ตามมาตรฐาน Euro4
ระบบตัดการทำงานของเครื่องยนต์อัตโนมัติ ระบบจะตัดการทำงานของเครื่องยนต์ชั่วขณะ และจะสตาร์ทเครื่องยนต์ขึ้นใหม่โดยอัตโนมัติเมื่อแตะคันเร่ง ช่วยประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น และขณะที่เครื่องยนต์หยุดทำงาน เครื่องปรับอากาศ จะยังคงส่งลมเย็นต่อเนื่อง
สวิตช์ปรับรูปแบบการขับขี่ เลือกรูปแบบการขับขี่ได้ทั้งแบบประหยัด (ECO Mode) และแบบสมรรถนะสูง (Power Mode)
ระบบช่วงล่าง DCS ระบบควบคุมช่วงล่างแบบพลวัต ออกแบบใหม่ทุกชิ้น ตอบสนองดีเยี่ยม ทั้งการทรงตัวและความนุ่มนวล
โครงสร้าง FIRM โครงสร้างแชสซีส์ใหม่ ใหญ่ขึ้น 20 มิลลิเมตร เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Vigo Champ ออกแบบพิเศษ เพิ่มสมรรถนะการทรงตัวที่มั่นคงในขณะวิ่งด้วยความเร็วสูง ลดแรงสั่นสะเทือน เพิ่มความนุ่มนวล ขึ้นรูปจากเหล็กกล้าแข็งแรงสูง พื้นที่ตัดขวางใหญ่ขึ้น รองรับน้ำหนักบรรทุกได้เต็มประสิทธิภาพ เพิ่มความปลอดภัยด้วยการออกแบบให้ดูดซับแรงกระแทกจากการชน
ระบบกันสะเทือนใหม่ ให้สมรรถนะเช่นเดียวกับรถ SUV หรู สู่การควบคุมเสถียรภาพที่มั่นคงในทุกสถานการณ์ โช้คอัพขนาดใหญ่ขึ้น 8% เพิ่มสมรรถนะการเกาะถนนได้ดีเยี่ยม โดยเฉพาะเมื่อต้องวิ่งบนเส้นทาง off road
แหนบยาวขึ้น 100 มิลลิเมตร ระยะห่างของแหนบเพิ่มขึ้น 50 มิลลิเมตร เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Vigo Champ ดูดซับแรงกระแทกได้ดียิ่งขึ้น เพื่อความนุ่มนวลในแบบรถยนต์นั่ง ให้เสถียรภาพการทรงตัวที่นิ่ง ทั้งทางตรงและเข้าโค้ง
ระบบควบคุมเสถียรภาพของห้องโดยสาร ระบบจะทำการควบคุมแรงบิด ช่วยลดการกระพือของห้องโดยสารอันเนื่องมาจากสภาพถนน ให้การขับขี่ราบเรียบ และมั่นคงยิ่งขึ้น
Hilux Revo รุ่น Double Cab มาพร้อมระบบความปลอดภัยดังนี้ ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC แบบแอคทีฟ, ระบบควบคุมการทรงตัว VSC, ระบบป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD, ระบบเสริมแรงเบรก BA, ระบบควบคุมการส่ายของส่วนพ่วงท้าย TSC, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC,ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน DAC,
กล้องมองหลัง โดยระบบจะแสดงภาพบริเวณมุมมองด้านหลังของรถ ผ่านจอ LCD เมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง ช่วยให้การถอยจอดปลอดภัยยิ่งขึ้น, ระบบถุงลมเสริมความปลอดภัย SRS 7 ตำแหน่ง (ด้านผู้ขับ ผู้โดยสาร หัวเข่าผู้ขับ ด้านข้าง และม่านนิรภัย)
Toyota Hilux Revo รุ่น Double Cab Prerunner 2x4 2.8G AT เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด รุ่นปรับปรุงโฉมใหม่ มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 1,079,000 บาท
ระบบช่วงล่าง 在 ช่วงล่าง - การทำงานของระบบกันสะเทือน - รถซิ่งวิทยา EP19 的推薦與評價
ช่วงล่าง - การทำงานของ ระบบ กันสะเทือน - รถซิ่งวิทยา EP19- ช่วงล่าง หน้าที่ของมันนอกจากจะช่วยซับแรงจากพื้นผิวสู่ห้องโดยสาร ... ... <看更多>
ระบบช่วงล่าง 在 ช่วงล่างดัง อะไรพัง อะไรเสีย | By Manoyont Group | Facebook 的推薦與評價
อตกหลุม จะมีเสียงดังกุกๆ กักๆ และรู้สึกได้ถึงอาการผิดปกติที่พวงมาลัย ลูกหมากคันชัก เป็นส่วนสำคัญของ ระบบ บังคับเลี้ยว โดยลูกหมากตัวนี้มีหน้าที่ส่ง ... ... <看更多>
ระบบช่วงล่าง 在 หน้าที่หลักของระบบช่วงล่างรถยนต์ | Car of Know - YouTube 的推薦與評價
Car_of_Know #ช่วงล่างรถยนต์ # ระบบช่วงล่าง #หน้าที่หลักของระะบช่วงล่าง #หน้าที่หลักของช่วงล่าง หรือ ลิ้งค์ https://goo.gl/uLS66HCar of Know ... ... <看更多>