"สิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญในการปกครองระบอบประชาธิปไตย"
สิทธิกร ศักดิ์แสง
สิทธิเสรีภาพของประชาชน (Rights and Liberties of People) จะกล่าวถึง ความหมายของสิทธิเสรีภาพ การรับรองสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ กฎเกณฑ์ที่ใช้บังคับในกรณีจำเป็นต้องจำกัดสิทธิเสรีภาพ การละเมิดกฎเกณฑ์ที่คุ้มครองหรือจำกัดเสรีภาพ ดังนี้
1.ความหมายและประเภทของสิทธิเสรีภาพ
1.1.ความหมายของสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
ก่อนที่จะทราบถึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่บัญญัติรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ เราจำเป็นต้องทราบถึงความหมายของสิทธิและความหมายของเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ดังนี้
1.1.1ความหมายของสิทธิตามรัฐธรรมนูญ
สิทธิ (Right) หมายถึง อำนาจตามกฎหมายที่บุคคลได้รับรองและคุ้มครองให้ กฎหมายในที่นี้เป็นกฎหมายที่มีฐานะสูงสุด คือ “รัฐธรรมนูญ” (Constitution) เมื่อกล่าวถึงสิทธิตามรัฐธรรมนูญ จึงหมายถึง สิทธิในทางมหาชน (Public Rights) ซึ่งมีหลักเกณฑ์คลุมถึงสิทธิในทางเอกชน (Private Rights) ด้วย กล่าวคือ สิทธิในทางกฎหมายมหาชนครอบคลุมไปถึงสิทธิต่างๆของกฎหมายเอกชนที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติรับรอง
ดังนั้น “สิทธิตามรัฐธรรมนูญ” จึงหมายถึง อำนาจตามรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุดได้บัญญัติรีบรองแก่ปัจเจกบุคคลในอันที่กระทำหรือไม่กระทำการให้แก่ปัจเจกบุคคลดังกล่าว ก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้องต่อองค์กรของรัฐมิให้แทรกแซงในขอบเขตสิทธิของตน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง สิทธิตามรัฐธรรมนูญ จึงเป็นความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกบุคคลกับรัฐและสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเป็นสิทธิที่ผูกพันองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐทั้งหลายที่จะต้องให้ความเคารพปกป้องและคุ้มครองสิทธิตามรัฐธรรมนูญเพื่อให้สิทธิสิทธิตามรัฐธรรมนูญในทางปฏิบัติ
1.1.2 เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
เสรีภาพ (Liberty) หมายถึง ภาวะของมนุษย์ที่ไม่อยู่ภายใต้การครอบงำของผู้อื่น อยู่ในภาวะที่ปราศจากการถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวหรือขัดขวาง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง เสรีภาพ คือ อำนาจของบุคคลในอันที่จะกำหนดตนเอง (Self-determination) โดยอำนาจนี้บุคคลย่อมเลือกวิถีชีวิตของตนเองได้ด้วยตนเองจึงเป็นอำนาจที่บุคคลมีอยู่เหนือตนเอง เสรีภาพจึงมีความหมายต่างกับสิทธิ แต่อย่างไรก็ตามถ้าเสรีภาพใดมีรัฐธรรมนูญรับรองและคุ้มครอง เสรีภาพนั้นก็อาจเป็นสิทธิด้วย จึงมีผู้เรียกรวมๆกันไปว่า “สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ”
1.2 ประเภทของสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
เมื่อพิจารณาถึงประเภทของสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ มีข้อพิจารณาอยู่หลายประการ ในหัวข้อนี้ผู้เขียนขอแบ่งโดยการพิจารณาผู้ทรงสิทธิ ซึ่งเป็นการพิจารณาผู้ซึ่งได้รับสิทธิตามรัฐธรรมนูญหรือบุคคลซึ่งรัฐธรรมนูญมุ่งที่จะคุ้มครอง อาจแบ่งได้ออกเป็น 2 ประเภทดังนี้
1.2.1 สิทธิมนุษยชน
สิทธิมนุษยชนหรือสิทธิของทุกคน สิทธิประเภทนี้ คือ สิทธิที่รัฐธรรมนูญมุ่งที่จะให้ความคุ้มครองแก่ทุกคนโดยมิได้แบ่งแยกว่าบุคคลนั้นเป็นชาติใด เชื้อชาติใดหรือศาสนาใด หากแต่บุคคลนั้นเข้ามาอยู่ในขอบเขตอำนาจรัฐที่ใช้รัฐธรรมนูญของประเทศนั้นแล้ว บุคคลดังกล่าวย่อมได้รับความคุ้มครองภายใต้รัฐธรรมนูญนั้นด้วย สิทธิมนุษยชนเป็นคุณลักษณะประจำตัวของมนุษย์ทุกคนเพราะเป็นสิทธิเสรีภาพตามธรรมชาติที่เป็นของมนุษย์ในฐานะที่เกิดมาเป็นมนุษย์และด้วยเหตุผลอย่างเดียวว่า “เพราะเขาเกิดมาเป็นมนุษย์” มนุษย์ทุกคนล้วนมีสิทธิเสรีภาพเหล่านี้อยู่แล้ว ตั้งแต่ก่อนที่จะมี “รัฐ” เกิดขึ้น สิทธิประเภทนี้ได้แก่ สิทธิในชีวิตและร่างกาย เป็นต้น
1.2.2 สิทธิพลเมือง
สิทธิประเภทนี้เป็นสิทธิที่รัฐธรรมนูญมุ่งที่จะให้ความคุ้มครอง เฉพาะบุคคลที่เป็นพลเมืองของรัฐเท่านั้น เช่น สิทธิในทางการเมือง สิทธิเสรีภาพในการประกอบอาชีพ สิทธิเสรีภาพในการศึกษา เป็นต้น
2.การรับรองและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ
รัฐเสรีประชาธิปไตย ถือว่าสิทธิเสรีภาพของประชาชนทุกคนในสังคมเป็นหัวใจของการเมืองการปกครอง จึงให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้ในรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด ซึ่งรัฐเสรีประชาธิปไตยเกือบทุกรัฐจะบัญญัติรับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนออกได้ 5 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
2.1 ความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตร่างกาย
ความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตร่างกาย คือ เสรีภาพที่มนุษย์ไม่สามารถปฏิเสธได้ เป็นเสรีภาพที่ทุกคนต้องการ เป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนต้องการและจัดเป็นเหตุสำคัญที่สุดที่นักปรัชญากฎหมายเห็นกันว่าเป็นเหตุให้มนุษย์รวมตัวกันเป็นสังคม ดังนั้นการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพดังกล่าวถือว่าเป็นความสำคัญมากกว่าสิทธิเสรีภาพอื่นๆ เพราะถือว่าสิทธิเสรีภาพดังกล่าวเป็นพื้นฐานของเสรีภาพอื่นๆ
2.2 เสรีภาพในชีวิตส่วนตัว
รัฐตระหนักถึงว่ามีเสรีภาพของบุคคลบางอันมีขอบเขตที่มีความเป็นอิสระและปฏิเสธการที่บุคคลอื่นเข้ามารุกรานเสรีภาพ เสรีภาพดังกล่าวก็คือ เสรีภาพในชีวิตส่วนตัวซึ่งได้แก่ เสรีภาพในเคหสถาน เสรีภาพในการติดต่อสื่อสาร เสรีภาพในความลับส่วนบุคคล เสรีภาพในข้อมูลส่วนบุคคล เป็นต้น
2.3 เสรีภาพในตัวบุคคล
เสรีภาพในตัวบุคคล เป็นเสรีภาพที่บุคคลสามารถกระทำอะไรกับร่างกายของตนก็ได้ บุคคลอื่นจะก้าวล่วงเข้ามาขัดขวางการเคลื่อนไหวทางกายภาพของเขาไม่ได้ เช่น เสรีภาพในการเดินทาง บุคคลอื่นจะเข้ามาก้าวล่วงในร่างกายของเขาโดยปราศจากการยินยอมไม่ได้ เช่น การผ่าตัดคนไข้ต้องได้รับความยินยอมจากคนไข้ เป็นต้น
สิทธิเสรีภาพในตัวบุคคล เป็นสิทธิของแต่ละคนที่จะเคารพในเนื้อตัวร่างกายของตนที่จะสามารถกระทำอะไรกับเนื้อตัวของตนเองภายใต้กรอบของกฎหมายกำหนดไว้ แต่อย่างไรก็ตามการใช้สิทธิเสรีภาพในตัวบุคคลก็ตาม แต่เมือการใช้สิทธิเสรีภาพนั้นเกินกว่าที่กฎหมายบัญญัติรับรองไว้ไม่ เช่น การเร่ขายบริการทางเพศ จะเห็นได้ว่าบุคคลที่กระทำดังกล่าวใช้เสรีภาพในตัวบุคคลและอ้างว่าสามารถทำได้ แต่ในกรณีนี้จะอ้างว่าการกระทำดังกล่าวเป็นสิทธิเสรีภาพในตัวบุคคลไม่ได้ เนื่องจากเป็นการกระทำผิดต่อกฎหมายการค้าประเวณี เป็นต้น
2.4 เสรีภาพทางปัญญาและศีลธรรม
สมองของมนุษย์เป็นผลผลิตทางธรรมชาติที่เป็นอวัยวะที่สำคัญเหนือการคาดเดาได้ว่า มนุษย์จะใช้สมองคิดไปในทางใด คิดอย่างไร มนุษย์สามารถแสดงออกสิ่งที่ตนเองคิด สิ่งที่ตนเองเชื่อและแสดงออกซึ่งสิ่งที่ตนเองคิดได้ เช่น เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในทางความเชื่อ เสรีภาพในการนับถือศาสนา เสรีภาพในการแสดงออก เสรีภาพในทางวิชาการ เสรีภาพในการรวมตัวเป็นกลุ่มบุคคลเป็นต้น
ในประเด็นนี้เสรีภาพทางปัญญาและศีลธรรมอาจจะแสดงออกมาในทางสื่อต่างๆ ไม่ว่าสื่อทางด้านละคร เสรีภาพของวิทยุโทรทัศน์ เป็นการแสดงออกถึงการกกระจายทางความคิด รวมถึงผู้สอนหนังสือซึ่งเป็นเสรีภาพทางความคิด เสรีภาพในการประชุม เสรีภาพในการชุมนุม เสรีภาพในการประท้วง เสรีภาพในการนับถือศาสนา เป็นต้น ซึ่งสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนานั้นกฎหมายรับรองโดยที่ไม่มีอะไรเข้ามาแทรกแซงได้เลย มีอิสระ มีเสรีภาพในการนับถือศาสนา ลัทธิ นิกายใดก็ได้ กฎหมายไม่สามารถก้าวล่วงได้ในด้านทางความคิด
2.5 เสรีภาพทางเศรษฐกิจ
เสรีภาพทางเศรษฐกิจนั้นส่วนใหญ่จะมีลักษณะพิเศษเกี่ยวกับการประกอบอาชีพในทางเศรษฐกิจ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของเสรีภาพดั้งเดิม คือ เสรีภาพตามแนวคิดปัจเจกชนนิยม เสรีภาพประเภทนี้ เช่น เสรีภาพในกรรมสิทธิ์ เสรีภาพในการทำงาน เสรีภาพในอุตสาหกรรมและพาณิชกรรม เสรีภาพในการเป็นสหภาพ เสรีภาพในการนัดหยุดงาน เป็นต้น
3.กฎเกณฑ์ที่ใช้บังคับในกรณีจำเป็นต้องจำกัดสิทธิเสรีภาพ
รัฐธรรมนูญรัฐเสรีประชาธิปไตยทุกรัฐให้การตรากฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลเท่าที่จำเป็นและจะกระทบสาระสำคัญของสิทธิเสรีภาพของบุคคลไม่ได้ การที่ทุกคนที่มีสิทธิเสรีภาพนั้นถ้าไม่มีขอบเขตจำกัด ทุกคนจะใช้สิทธิเสรีภาพนั้นเกินเลยทำให้เกิดปัญหาในทางสังคมได้ รัฐจึงจำเป็นต้องมาแทรกแซงเข้ามาจัดการคุ้มครองไม่ให้ผู้อื่นมาละเมิดสิทธิเสรีภาพของเรา ซึ่งการจำกัดสิทธิเสรีภาพนั้นจำเป็นต้องกระทำอย่างน้อย 3 ประการ ดังนี้
3.1 การจำกัดเสรีภาพเพื่อคุ้มครองเสรีภาพผู้อื่นและคุ้มครองสังคม
การจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคล รัฐต้องตรากฎหมายมาจำกัดสิทธิเสรีภาพและกฎหมายดังกล่าวต้องเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นมาจากองค์กรที่เป็นตัวแทนของประชาชนด้วยตามครรลองในการปกครองระบอบประชาธิปไตยซึ่งก็ คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) แต่อย่างไรก็ตามการจำกัดสิทธิเสรีภาพเพื่อคุ้มครองสังคมและคุ้มครองเสรีภาพผู้อื่นนั้น คงเป็นไปไม่ได้เลยที่รัฐจำกัดสิทธิเสรีภาพโดยไม่คงเหลือสิทธิเสรีภาพอะไรเลยให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนที่รัฐยังคงต้องรับรอบและไม่สามารถจำกัดสิทธิขั้นพื้นฐานได้
3.2การคุ้มครองเสรีภาพจากการละเมิดของรัฐ
ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยรัฐจะตรากฎหมายมาจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้นั้น รัฐเองก็ต้องไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพที่กฎหมายรับรองและคุ้มครองประชาชนด้วย การคุ้มครองเสรีภาพจากการละเมิดของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หน่วยงานของรัฐ มีอยู่ 3 ระดับด้วยกันดังนี้
1)สิทธิเสรีภาพบางประเภทนั้นรัฐไม่สามารถตรากฎหมายออกมาจำกัดได้เลย เสรีภาพประเภทนี้เป็นเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้อย่างสมบูรณ์ เช่น สิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา เป็นต้น
2)การจำกัดสิทธิเสรีภาพนั้นต้องตราเป็นกฎหมายที่มาจากฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) ซึ่งแสดงออกถึงเจตนารมณ์ของประชาชน ซึ่งถือว่าเจตนารมณ์ร่วมกันของประชาชนเท่านั้นที่จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้ ดังนั้นหากรัฐต้องการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนในเรื่องใด รัฐต้องตรากฎหมายออกมาในรูปของพระราชบัญญัติ มิเช่นนั้นรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ไม่สามารถกระทำการได้ เว้นแต่ในกรณีที่เกิดภัยพิบัติ ความมั่นคงของรัฐหรือ ในกรณีที่เกี่ยวกับภาษีอากรหรือเงินตรา ถ้ามีความจำเป็นรีบด่วนและลับ ฝ่ายบริหารนั้นสามารถตราพระราชกำหนดมาจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนนั้นได้ แต่เมื่อเข้าสู่สมัยประชุมสภานิติบัญญัติต้องนำพระราชกำหนดนั้นให้สภาอนุมัติ
3)ถ้ามีการละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของ. ประชาชน รัฐต้องจัดให้มีองค์กรทำหน้าที่คุ้มครองประชาชนที่ถูกละเมิด เช่น ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลทหาร คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นต้น นอกจากนี้ฝ่ายนิติบัญญัติตรากฎหมายมาจำกัดสิทธิเสรีภาพและขัดต่อรัฐธรรมนูญแล้ว รัฐต้องมีองค์กรชี้ขาดในเรื่องดังกล่าว เช่น องค์กรทางการเมือง ศาลยุติธรรมหรือศาลพิเศษคือ ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นต้น
3.3 การคุ้มครองเสรีภาพจากการละเมิดของบุคคลอื่น
การกระทำหน้าที่ดังกล่าวของรัฐเป็นไปเพื่อการปกป้องคุ้มครองคนทุกคนในสังคม ให้มีความสงบสุขและต้องการมีการกำหนดโทษไว้ ถ้ามีการละเมิดสิทธิเสรีภาพเกิดขึ้นทั้งทางแพ่ง ทางอาญา ทางปกครองและทางรัฐธรรมนูญ การละเมิดกฎเกณฑ์ที่คุ้มครองหรือจำกัดเสรีภาพจะต้องมีองค์กรชี้ขาดที่เป็นอิสระและทำให้การละเมิดนั้นหมดไป ในประเทศที่ใช้การปกครองระบอบประชาธิปไตยถือว่า การที่จะทำให้เสรีภาพได้รับการคุ้มครองอย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่ จะต้องมีปัจจัย อีก 2 ประการ คือ
3.3.1 มีองค์กรอิสระในการตัดสินชี้ขาดการละเมิด
ในประเทศที่ใช้หลักการปกครองแบบนิติรัฐ (Legal State) ที่ยึดหลักนิติธรรม (The Rule of Law) นั้นถือว่าต้องให้ศาลซึ่งเป็นศาลยุติธรรมหรือศาลพิเศษ (เช่น ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ) ในระบบกฎหมายมหาชนเป็นผู้ชี้ขาดในการคุ้มครองเสรีภาพของปัจเจกบุคคล รวมไปถึงการใช้อำนาจเฉพาะขององค์กรตามรัฐธรรมนูญที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจในการตัดสินชี้ขาดการละเมิดนั้นเป็นเรื่องเฉพาะ
3.3.2 มีมาตรการให้การละเมิดนั้นหมดไป
การมีมาตรการให้การละเมิดนั้นหมดไปอาจมีการเยียวยาชดใช้ค่าเสียหาย ศาลจึงมีความเป็นอิสระมีอำนาจในการทำให้การละเมิดสิทธิเสรีภาพนั้นยุติลง และต้องจ่ายค่าเสียหายให้ปัจเจกชนที่เสียหายด้วย ซึ่งเป็นการเยียวยาให้กับผู้เสียหายที่ถูกละเมิด
แต่สำหรับประเทศในปัจจุบัน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2557 ฉบับชั่วคราว ไม่ได้รับรองสิทธิเสรีภาพ นะครับ จึงใช้สิทธิเสรีภาพในการวิพากษณ์วิจารณ์บริหารงานของรัฐบาล(ในอนาคตที่เกิดขึ้น) สนช. คสช. ไม่ได้ "เสรีภาพทางวิชาการยังอยู่ในลูกกรง"
“ วิธีการที่ทำกันอยู่คงไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องนักสำหรับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนะครับ” !!!
「ลัทธิ หมายถึง」的推薦目錄:
- 關於ลัทธิ หมายถึง 在 sittikorn saksang Facebook 的最讚貼文
- 關於ลัทธิ หมายถึง 在 sittikorn saksang Facebook 的最讚貼文
- 關於ลัทธิ หมายถึง 在 sittikorn saksang Facebook 的精選貼文
- 關於ลัทธิ หมายถึง 在 ข้อแตกต่างระหว่าง "ลัทธิ" กับ "ศาสนา" | By ALTV ช่อง 4 ทีวีเรียนสนุก 的評價
- 關於ลัทธิ หมายถึง 在 "โว้ค" หรือ "ลัทธิตื่นรู้" (Wokism) ท้าทายอารยธรรมดั้งเดิม - YouTube 的評價
- 關於ลัทธิ หมายถึง 在 นโยบายเกี่ยวกับลัทธิสุดโต่งที่นิยมความรุนแรงหรือองค์กร ... 的評價
ลัทธิ หมายถึง 在 sittikorn saksang Facebook 的最讚貼文
ผมรู้สึกว่าเวลานี้ อ้างสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญกันตลอด ผมเลยอยากให้ความรู้ด้านสิทธิเสรีภาพ ดังที่นักศึกษาด่า ว่า "อย่าเก่งในโลกโชเชียล เก่งแต่ในห้องเรียน เราต้องมาชุมนุมต่อปฏิรูปประเทศไทยกัน" ผมเลยต้องเอาความรู้เกี่ยวกับสิทธิเสรภาพตามรัฐธรรมที่เป็นกฎกติกาและเป็นหลักทั่วไทยเขายอมรับกันมาอธิบายครับ
สิทธิเสรีภาพของประชาชน (Rights and Liberties of People) จะกล่าวถึง ความหมายของสิทธิเสรีภาพ การรับรองสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ กฎเกณฑ์ที่ใช้บังคับในกรณีจำเป็นต้องจำกัดสิทธิเสรีภาพ การละเมิดกฎเกณฑ์ที่คุ้มครองหรือจำกัดเสรีภาพ ดังนี้
1.1 ความหมายและประเภทของสิทธิเสรีภาพ
1.1.1 ความหมายของสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
ก่อนที่จะทราบถึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่บัญญัติรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ เราจำเป็นต้องทราบถึงความหมายของสิทธิและความหมายของเสรีภาพ ดังนี้
1.1.1.1 ความหมายของสิทธิตามรัฐธรรมนูญ
สิทธิ (Right) หมายถึง อำนาจตามกฎหมายที่บุคคลได้รับรองและคุ้มครองให้ กฎหมายในที่นี้เป็นกฎหมายที่มีฐานะสูงสุด คือ “รัฐธรรมนูญ” (Constitution) เมื่อกล่าวถึงสิทธิตามรัฐธรรมนูญ จึงหมายถึง สิทธิในทางมหาชน (Public Rights) ซึ่งมีหลักเกณฑ์คลุมถึงสิทธิในทางเอกชน (Private Rights)ด้วย กล่าวคือ สิทธิในทางกฎหมายมหาชนครอบคลุมไปถึงสิทธิต่างๆของกฎหมายเอกชนที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติรับรอง ดังนั้น “สิทธิตามรัฐธรรมนูญ” จึงหมายถึง อำนาจตามรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมานสูงสุดได้บัญญัติรีบรองแก่ปัจเจกบุคคลในอันที่กระทำหรือไม่กระทำการให้แก่ปัจเจกบุคคลดังกล่าว ก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้องต่อองค์กรของรัฐมิให้แทรกแซงในขอบเขตสิทธิของตน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง สิทธิตามรัฐธรรมนูญ จึงเป็นความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกบุคคลกับรัฐและสิทธิเสรภาพตามรัฐธรรมนูญเป็นสิทธิที่ผูกพันองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐทั้งหลายที่จะต้องให้ความเคารพปกป้องและคุ้มครองสิทธิตามรัฐธรรมนูญเพื่อให้สิทธิสิทธิตามรัฐธรรมนูญในทางปฏิบัติ
1.1.1.2 เสรีภาพ
เสรีภาพ (Liberty) หมายถึง ภาวะของมนุษย์ที่ไม่อยู่ภายใต้การครอบงำของผู้อื่น อยู่ในภาวะที่ปราศจากการถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวหรือขัดขวาง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง เสรีภาพ คือ อำนาจของบุคคลในอันที่จะกำหนดตนเอง (Self-determination) โดยอำนาจนี้บุคคลย่อมเลือกวิถีชีวิตของตนเองได้ด้วยตนเองจึงเป็นอำนาจที่บุคคลมีอยู่เหนือตนเอง เสรีภาพจึงมีความหมายต่างกับสิทธิ แต่อย่างไรก็ตามถ้าเสรีภาพใดมีกฎหมายรับรองและคุ้มครอง เสรีภาพนั้นก็อาจเป็นสิทธิด้วย จึงมีผู้เรียกรวมๆกันไปว่า “สิทธิเสรีภาพ”
1.1.2 ประเภทของสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
เมื่อพิจารณาถึงประเภทของสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ มีข้อพิจารณาอยู่หลายประการ ในหัวข้อนี้ผู้เขียนขอแบ่งโดยการพิจารณาผู้ทรงสิทธิ ซึ่งเป็นการพิจารณาผู้ซึ่งได้รับสิทธิตามรัฐธรรมนูญหรือบุคคลซึ่งรัฐธรรมนูญมุ่งที่จะคุ้มครอง อาจแบ่งได้ออกเป็น 2 ประเภทดังนี้
1.1.2.1 สิทธิมนุษยชน
สิทธิมนุษยชนหรือสิทธิของทุกคน สิทธิประเภทนี้ คือ สิทธิที่รัฐธรรมนูญมุ่งที่จะให้ความคุ้มครองแก่ทุกคนโดยมิได้แบ่งแยกว่าบุคคลนั้นเป็นชาติใด เชื้อชาติใดหรือศาสนาใด หากแต่บุคคลนั้นเข้ามาอยู่ในขอบเขตอำนาจรัฐที่ใช้รัฐธรรมนูญของประเทศนั้นแล้ว บุคคลดังกล่าวย่อมได้รับความคุ้มครองภายใต้รัฐธรรมนูญนั้นด้วย สิทธิมนุษยชนเป็นคุณลักษณะประจำตัวของมนุษย์ทุกคนเพราะเป็นสิทธิเสรีภาพตามธรรมชาติที่เป็นของมนุษย์ในฐานะที่เกิดมาเป็นมนุษย์และด้วยเหตุผลอย่างเดียวว่า “เพราะเขาเกิดมาเป็นมนุษย์” มนุษย์ทุกคนล้วนมีสิทธิเสรีภาพเหล่านี้อยู่แล้ว ตั้งแต่ก่อนที่จะมี “รัฐ” เกิดขึ้น สิทธิประเภทนี้ได้แก่ สิทธิในชีวิตและร่างกาย เป็นต้น
1.1.2.2 สิทธิพลเมือง
สิทธิประเภทนี้เป็นสิทธิที่รัฐธรรมนูญมุ่งที่จะให้ความคุ้มครอง เฉพาะบุคคลที่เป็นพลเมืองของรัฐเท่านั้น เช่น สิทธิในทางการเมือง สิทธิเสรีภาพในการประกอบอาชีพ สิทธิเสรีภาพในการศึกษา เป็นต้น
1.2 การรับรองและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ
รัฐเสรีประชาธิปไตย ถือว่าสิทธิเสรีภาพของประชาชนทุกคนในสังคมเป็นหัวใจของการเมืองการปกครอง จึงให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้ในรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด ซึ่งรัฐเสรีประชาธิปไตยเกือบทุกรัฐจะบัญญัติรับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนออกได้ 5 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
1.2.1 ความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตร่างกาย
ความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตร่างกาย คือ เสรีภาพที่มนุษย์ไม่สามารถปฏิเสธได้ เป็นเสรีภาพที่ทุกคนต้องการ เป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนต้องการและจัดเป็นเหตุสำคัญที่สุดที่นักปรัชญากฎหมายเห็นกันว่าเป็นเหตุให้มนุษย์รวมตัวกันเป็นสังคม ดังนั้นการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพดังกล่าวถือว่าเป็นความสำคัญมากกว่าสิทธิเสรีภาพอื่นๆ เพราะถือว่าสิทธิเสรีภาพดังกล่าวเป็นพื้นฐานของเสรีภาพอื่นๆ
1.2.2 เสรีภาพในชีวิตส่วนตัว
รัฐตระหนักถึงว่ามีเสรีภาพของบุคคลบางอันมีขอบเขตที่มีความเป็นอิสระและปฏิเสธการที่บุคคลอื่นเข้ามารุกรานเสรีภาพ เสรีภาพดังกล่าวก็คือ เสรีภาพในชีวิตส่วนตัวซึ่งได้แก่ เสรีภาพในเคหสถาน เสรีภาพในการติดต่อสื่อสาร เสรีภาพในความลับส่วนบุคคล เสรีภาพในข้อมูลส่วนบุคคล เป็นต้น
1.2.3 เสรีภาพในตัวบุคคล
เสรีภาพในตัวบุคคล เป็นเสรีภาพที่บุคคลสามารถกระทำอะไรกับร่างกายของตนก็ได้ บุคคลอื่นจะก้าวล่วงเข้ามาขัดขวางการเคลื่อนไหวทางกายภาพของเขาไม่ได้ เช่น เสรีภาพในการเดินทาง บุคคลอื่นจะเข้ามาก้าวล่วงในร่างกายของเขาโดยปราศจากการยินยอมไม่ได้ เช่น การผ่าตัดคนไข้ต้องได้รับความยินยอมจากคนไข้ เป็นต้น
สิทธิเสรีภาพในตัวบุคคล เป็นสิทธิของแต่ละคนที่จะเคารพในเนื้อตัวร่างกายของตนที่จะสามารถกระทำอะไรกับเนื้อตัวของตนเองภายใต้กรอบของกฎหมายกำหนดไว้ แต่อย่างไรก็ตามการใช้สิทธิเสรีภาพในตัวบุคคลก็ตาม แต่เมือการใช้สิทธิเสรีภาพนั้นเกินกว่าที่กฎหมายบัญญัติรับรองไว้ไม่ เช่น การเร่ขายบริการทางเพศ จะเห็นได้ว่าบุคคลที่กระทำดังกล่าวใช้เสรีภาพในตัวบุคคลและอ้างว่าสามารถทำได้ แต่ในกรณีนี้จะอ้างว่าการกระทำดังกล่าวเป็นสิทธิเสรีภาพในตัวบุคคลไม่ได้ เนื่องจากเป็นการกระทำผิดต่อกฎหมายการค้าประเวณี เป็นต้น
1.2.4 เสรีภาพทางปัญญาและศีลธรรม
สมองของมนุษย์เป็นผลผลิตทางธรรมชาติที่เป็นอวัยวะที่สำคัญเหนือการคาดเดาได้ว่า มนุษย์จะใช้สมองคิดไปในทางใด คิดอย่างไร มนุษย์สามารถแสดงออกสิ่งที่ตนเองคิด สิ่งที่ตนเองเชื่อและแสดงออกซึ่งสิ่งที่ตนเองคิดได้ เช่น เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในทางความเชื่อ เสรีภาพในการนับถือศาสนา เสรีภาพในการแสดงออก เสรีภาพในทางวิชาการ เสรีภาพในการรวมตัวเป็นกลุ่มบุคคลเป็นต้น
ปัจจุบันเสรีภาพทางปัญญาและศีลธรรมอาจจะแสดงออกมาในทางสื่อต่างๆ ไม่ว่าสื่อทางด้านละคร เสรีภาพของวิทยุโทรทัศน์ เป็นการแสดงออกถึงการกกระจายทางความคิด รวมถึงผู้สอนหนังสือซึ่งเป็นเสรีภาพทางความคิด เสรีภาพในการประชุม เสรีภาพในการชุมนุม เสรีภาพในการประท้วง เสรีภาพในการนับถือศาสนา เป็นต้น ซึ่งสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนานั้นกฎหมายรับรองโดยที่ไม่มีอะไรเข้ามาแทรกแซงได้เลย มีอิสระ มีเสรีภาพในการนับถือศาสนา ลัทธิ นิกายใดก็ได้ กฎหมายไม่สามารถก้าวล่วงได้ในด้านทางความคิด
1.2.5 เสรีภาพทางเศรษฐกิจ
เสรีภาพทางเศรษฐกิจนั้นส่วนใหญ่จะมีลักษณะพิเศษเกี่ยวกับการประกอบอาชีพในทางเศรษฐกิจ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของเสรีภาพดั้งเดิม คือ เสรีภาพตามแนวคิดปัจเจกชนนิยม เสรีภาพประเภทนี้ เช่น เสรีภาพในกรรมสิทธิ์ เสรีภาพในการทำงาน เสรีภาพในอุตสาหกรรมและพาณิชกรรม เสรีภาพในการเป็นสหภาพ เสรีภาพในการนัดหยุดงาน เป็นต้น
1.3 กฎเกณฑ์ที่ใช้บังคับในกรณีจำเป็นต้องจำกัดสิทธิเสรีภาพ
รัฐธรรมนูญรัฐเสรีประชาธิปไตยทุกรัฐให้การตรากฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลเท่าที่จำเป็นและจะกระทบสาระสำคัญของสิทธิเสรีภาพของบุคคลไม่ได้ การที่ทุกคนที่มีสิทธิเสรีภาพนั้นถ้าไม่มีขอบเขตจำกัด ทุกคนจะใช้สิทธิเสรีภาพนั้นเกินเลยทำให้เกิดปัญหาในทางสังคมได้ รัฐจึงจำเป็นต้องมาแทรกแซงเข้ามาจัดการคุ้มครองไม่ให้ผู้อื่นมาละเมิดสิทธิเสรีภาพของเรา ซึ่งการจำกัดสิทธิเสรีภาพนั้นจำเป็นต้องกระทำอย่างน้อย 3 ประการ ดังนี้
1.3.1 การจำกัดเสรีภาพเพื่อคุ้มครองเสรีภาพผู้อื่นและคุ้มครองสังคม
การจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคล รัฐต้องตรากฎหมายมาจำกัดสิทธิเสรีภาพและกฎหมายดังกล่าวต้องเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นมาจากองค์กรที่เป็นตัวแทนของประชาชนด้วยตามครรลองในการปกครองระบอบประชาธิปไตยซึ่งก็ คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) แต่อย่างไรก็ตามการจำกัดสิทธิเสรีภาพเพื่อคุ้มครองสังคมและคุ้มครองเสรีภาพผู้อื่นนั้น คงเป็นไปไม่ได้เลยที่รัฐจำกัดสิทธิเสรีภาพโดยไม่คงเหลือสิทธิเสรีภาพอะไรเลยให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนที่รัฐยังคงต้องรับรอบและไม่สามารถจำกัดสิทธิขั้นพื้นฐานได้
1.3.2 การคุ้มครองเสรีภาพจากการละเมิดของรัฐ
ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยรัฐจะตรากฎหมายมาจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้นั้น รัฐเองก็ต้องไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพที่กฎหมายรับรองและคุ้มครองประชาชนด้วย การคุ้มครองเสรีภาพจากการละเมิดของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หน่วยงานของรัฐ มีอยู่ 3 ระดับด้วยกันดังนี้
1. สิทธิเสรีภาพบางประเภทนั้นรัฐไม่สามารถตรากฎหมายออกมาจำกัดได้เลย เสรีภาพประเภทนี้เป็นเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้อย่างสมบูรณ์ เช่น สิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา เป็นต้น
2. การจำกัดสิทธิเสรีภาพนั้นต้องตราเป็นกฎหมายที่มาจากฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) ซึ่งแสดงออกถึงเจตนารมณ์ของประชาชน ซึ่งถือว่าเจตนารมณ์ร่วมกันของประชาชนเท่านั้นที่จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้ ดังนั้นหากรัฐต้องการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนในเรื่องใด รัฐต้องตรากฎหมายออกมาในรูปของพระราชบัญญัติ มิเช่นนั้นรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ไม่สามารถกระทำการได้ เว้นแต่ในกรณีที่เกิดภัยพิบัติ ความมั่นคงของรัฐหรือ ในกรณีที่เกี่ยวกับภาษีอากรหรือเงินตรา ถ้ามีความจำเป็นรีบด่วนและลับ ฝ่ายบริหารนั้นสามารถตราพระราชกำหนดมาจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนนั้นได้ แต่เมื่อเข้าสู่สมัยประชุมสภานิติบัญญัติต้องนำพระราชกำหนดนั้นให้สภาอนุมัติ
3. ถ้ามีการละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน รัฐต้องจัดให้มีองค์กรทำหน้าที่คุ้มครองประชาชนที่ถูกละเมิด เช่น ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลทหาร คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นต้น นอกจากนี้ฝ่ายนิติบัญญัติตรากฎหมายมาจำกัดสิทธิเสรีภาพและขัดต่อรัฐธรรมนูญแล้ว รัฐต้องมีองค์กรชี้ขาดในเรื่องดังกล่าว เช่น องค์กรทางการเมือง ศาลยุติธรรมหรือศาลพิเศษคือ ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นต้น
1.3.3 การคุ้มครองเสรีภาพจากการละเมิดของบุคคลอื่น
การกระทำหน้าที่ดังกล่าวของรัฐเป็นไปเพื่อการปกป้องคุ้มครองคนทุกคนในสังคม ให้มีความสงบสุขและต้องการมีการกำหนดโทษไว้ ถ้ามีการละเมิดสิทธิเสรีภาพเกิดขึ้นทั้งทางแพ่ง ทางอาญา ทางปกครองและทางรัฐธรรมนูญ การละเมิดกฎเกณฑ์ที่คุ้มครองหรือจำกัดเสรีภาพจะต้องมีองค์กรชี้ขาดที่เป็นอิสระและทำให้การละเมิดนั้นหมดไป ในประเทศที่ใช้การปกครองระบอบประชาธิปไตยถือว่า การที่จะทำให้เสรีภาพได้รับการคุ้มครองอย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่ จะต้องมีปัจจัย อีก 2 ประการ คือ
1.3.3.1 มีองค์กรอิสระในการตัดสินชี้ขาดการละเมิด
ในประเทศที่ใช้หลักการปกครองแบบนิติรัฐ (Legal State) ที่ยึดหลักนิติธรรม (The Rule of Law) นั้นถือว่าต้องให้ศาลซึ่งเป็นศาลยุติธรรมหรือศาลพิเศษ (เช่น ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ) ในระบบกฎหมายมหาชนเป็นผู้ชี้ขาดในการคุ้มครองเสรีภาพของปัจเจกบุคคล รวมไปถึงการใช้อำนาจเฉพาะขององค์กรตามรัฐธรรมนูญที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจในการตัดสินชี้ขาดการละเมิดนั้นเป็นเรื่องเฉพาะ
1.3.3.2 มีมาตรการให้การละเมิดนั้นหมดไป
การมีมาตรการให้การละเมิดนั้นหมดไปอาจมีการเยียวยาชดใช้ค่าเสียหาย ศาลจึงมีความเป็นอิสระมีอำนาจในการทำให้การละเมิดสิทธิเสรีภาพนั้นยุติลง และต้องจ่ายค่าเสียหายให้ปัจเจกชนที่เสียหายด้วย ซึ่งเป็นการเยียวยาให้กับผู้เสียหายที่ถูกละเมิด
ลัทธิ หมายถึง 在 sittikorn saksang Facebook 的精選貼文
สิทธิเสรีภาพของประชาชนและหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ
นอกจากรัฐธรรมนูญได้กำหนดรับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนและยังได้กำหนดหน้าที่ของประชาชนไว้ในรัฐธรรมนูญเช่นกัน ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าสังคมใดที่ให้สิทธิเสรีภาพของประชาชนสังคมนั้นต้องกำหนดหน้าที่ของประชาชนไว้ด้วย ดังนั้นในบทนี้ผู้เขียนจะกล่าวถึงหลักการแนวคิดในเรื่องสิทธิเสรีภาพและหน้าที่ของประชาชนที่ปรากฏอยู่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเป็นหลัก ดังนี้
1.สิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ
สิทธิเสรีภาพของประชาชน (Rights and Liberties of People) จะกล่าวถึง ความหมายของสิทธิเสรีภาพ การรับรองสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ กฎเกณฑ์ที่ใช้บังคับในกรณีจำเป็นต้องจำกัดสิทธิเสรีภาพ การละเมิดกฎเกณฑ์ที่คุ้มครองหรือจำกัดเสรีภาพ ดังนี้
1.1 ความหมายของสิทธิเสรีภาพ
ก่อนที่จะทราบถึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่บัญญัติรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ เราจำเป็นต้องทราบถึงความหมายของสิทธิและความหมายของเสรีภาพ ดังนี้
1.1.1 สิทธิ
สิทธิ (Right) หมายถึง อำนาจตามกฎหมายที่บุคคลได้รับรองและคุ้มครองให้ กฎหมายในที่นี้เป็นกฎหมายที่มีฐานะสูงสุด คือ “รัฐธรรมนูญ” (Constitution) เมื่อกล่าวถึงสิทธิในรัฐธรรมนูญ จึงหมายถึง สิทธิในทางมหาชน (Public Rights) ซึ่งมีหลักเกณฑ์คลุมถึงสิทธิในทางเอกชน (Private Rights) ด้วย
1.1.2 เสรีภาพ
เสรีภาพ (Liberty) หมายถึง ภาวะของมนุษย์ที่ไม่อยู่ภายใต้การครอบงำของผู้อื่น อยู่ในภาวะที่ปราศจากการถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวหรือขัดขวาง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง เสรีภาพ คือ อำนาจของบุคคลในอันที่จะกำหนดตนเอง (Self-determination) โดยอำนาจนี้บุคคลย่อมเลือกวิถีชีวิตของตนเองได้ด้วยตนเองจึงเป็นอำนาจที่บุคคลมีอยู่เหนือตนเอง เสรีภาพจึงมีความหมายต่างกับสิทธิ อย่างไรก็ตามถ้าเสรีภาพใดมีกฎหมายรับรองและคุ้มครอง เสรีภาพนั้นก็อาจเป็นสิทธิด้วย จึงมีผู้เรียกรวมๆกันไปว่า “สิทธิเสรีภาพ”
การดำเนินงานของรัฐ หน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ ถึงแม้ว่าจะเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะ แต่ต้องไม่กระทบสิทธิเสรีภาพ หรือทำลายสิทธิเสรีภาพของประชาชน ด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นหน้าที่ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดที่จะรับรองและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน และต้องกำหนดกฎเกณฑ์ทั้งหลายให้ใช้บังคับการกระทำของรัฐ หน่วยงานของรัฐ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในกรณีที่จำเป็นต้องมีการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ทั้งนี้เมื่อการละเมิดกฎเกณฑ์เหล่านั้น ก็ต้องมีวิธีการให้รัฐหรือหน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ ต้องรับผิดชอบไว้ดังนี้
1.2 การรับรองและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ
รัฐเสรีประชาธิปไตย ถือว่าสิทธิเสรีภาพของประชาชนทุกคนในสังคมเป็นหัวใจของการเมืองการปกครอง จึงให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้ในรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด ซึ่งรัฐเสรีประชาธิปไตยเกือบทุกรัฐจะบัญญัติรับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนออกได้ 5 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
1.2.1 ความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตร่างกาย
ความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตร่างกาย คือ เสรีภาพที่มนุษย์ไม่สามารถปฏิเสธได้ เป็นเสรีภาพที่ทุกคนต้องการ เป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนต้องการและจัดเป็นเหตุสำคัญที่สุดที่นักปรัชญากฎหมายเห็นกันว่าเป็นเหตุให้มนุษย์รวมตัวกันเป็นสังคม ดังนั้นการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพดังกล่าวถือว่าเป็นความสำคัญมากกว่าสิทธิเสรีภาพอื่นๆ เพราะถือว่าสิทธิเสรีภาพดังกล่าวเป็นพื้นฐานของเสรีภาพอื่นๆ
1.2.2 เสรีภาพในชีวิตส่วนตัว
รัฐตระหนักถึงว่ามีเสรีภาพของบุคคลบางอันมีขอบเขตที่มีความเป็นอิสระและปฏิเสธการที่บุคคลอื่นเข้ามารุกรานเสรีภาพ เสรีภาพดังกล่าวก็คือ เสรีภาพในชีวิตส่วนตัวซึ่งได้แก่ เสรีภาพในเคหสถาน เสรีภาพในการติดต่อสื่อสาร เสรีภาพในความลับส่วนบุคคล เสรีภาพในข้อมูลส่วนบุคคล เป็นต้น
1.2.3 เสรีภาพในตัวบุคคล
เสรีภาพในตัวบุคคล เป็นเสรีภาพที่บุคคลสามารถกระทำอะไรกับร่างกายของตนก็ได้ บุคคลอื่นจะก้าวล่วงเข้ามาขัดขวางการเคลื่อนไหวทางกายภาพของเขาไม่ได้ เช่น เสรีภาพในการเดินทาง บุคคลอื่นจะเข้ามาก้าวล่วงในร่างกายของเขาโดยปราศจากการยินยอมไม่ได้ เช่น การผ่าตัดคนไข้ต้องได้รับความยินยอมจากคนไข้ เป็นต้น
สิทธิเสรีภาพในตัวบุคคล เป็นสิทธิของแต่ละคนที่จะเคารพในเนื้อตัวร่างกายของตนที่จะสามารถกระทำอะไรกับเนื้อตัวของตนเองภายใต้กรอบของกฎหมาย เช่น การเร่ขายบริการทางเพศ จะเห็นได้ว่าบุคคลที่กระทำดังกล่าวใช้เสรีภาพในตัวบุคคลและอ้างว่าสามารถทำได้ แต่ในกรณีนี้จะอ้างว่าการกระทำดังกล่าวเป็นสิทธิเสรีภาพในตัวบุคคลไม่ได้ เนื่องจากเป็นการกระทำผิดต่อกฎหมายการค้าประเวณี เป็นต้น
1.2.4 เสรีภาพทางปัญญาและศีลธรรม
สมองของมนุษย์เป็นผลผลิตทางธรรมชาติที่เป็นอวัยวะที่สำคัญเหนือการคาดเดาได้ว่า มนุษย์จะใช้สมองคิดไปในทางใด คิดอย่างไร มนุษย์สามารถแสดงออกสิ่งที่ตนเองคิด สิ่งที่ตนเองเชื่อและแสดงออกซึ่งสิ่งที่ตนเองคิดได้ เช่น เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในทางความเชื่อ เสรีภาพในการนับถือศาสนา เสรีภาพในการแสดงออก เสรีภาพในทางวิชาการ เสรีภาพในการรวมตัวเป็นกลุ่มบุคคลเป็นต้น
ปัจจุบันเสรีภาพทางปัญญาและศีลธรรมอาจจะแสดงออกมาในทางสื่อต่างๆ ไม่ว่าสื่อทางด้านละคร เสรีภาพของวิทยุโทรทัศน์ เป็นการแสดงออกถึงการกกระจายทางความคิด รวมถึงผู้สอนหนังสือซึ่งเป็นเสรีภาพทางความคิด เสรีภาพในการประชุม เสรีภาพในการชุมนุม เสรีภาพในการประท้วง เสรีภาพในการนับถือศาสนา เป็นต้น ซึ่งสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนานั้นกฎหมายรับรองโดยที่ไม่มีอะไรเข้ามาแทรกแซงได้เลย มีอิสระ มีเสรีภาพในการนับถือศาสนา ลัทธิ นิกายใดก็ได้ กฎหมายไม่สามารถก้าวล่วงได้ในด้านทางความคิด
1.2.5 เสรีภาพทางเศรษฐกิจ
เสรีภาพทางเศรษฐกิจนั้นส่วนใหญ่จะมีลักษณะพิเศษเกี่ยวกับการประกอบอาชีพในทางเศรษฐกิจ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของเสรีภาพดั้งเดิม คือ เสรีภาพตามแนวคิดปัจเจกชนนิยม เสรีภาพประเภทนี้ เช่น เสรีภาพในกรรมสิทธิ์ เสรีภาพในการทำงาน เสรีภาพในอุตสาหกรรมและพาณิชกรรม เสรีภาพในการเป็นสหภาพ เสรีภาพในการนัดหยุดงาน เป็นต้น
1.3 กฎเกณฑ์ที่ใช้บังคับในกรณีจำเป็นต้องจำกัดสิทธิเสรีภาพ
รัฐธรรมนูญรัฐเสรีประชาธิปไตยทุกรัฐให้การตรากฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลเท่าที่จำเป็นและจะกระทบสาระสำคัญของสิทธิเสรีภาพของบุคคลไม่ได้ การที่ทุกคนที่มีสิทธิเสรีภาพนั้นถ้าไม่มีขอบเขตจำกัด ทุกคนจะใช้สิทธิเสรีภาพนั้นเกินเลยทำให้เกิดปัญหาในทางสังคมได้ รัฐจึงจำเป็นต้องมาแทรกแซงเข้ามาจัดการคุ้มครองไม่ให้ผู้อื่นมาละเมิดสิทธิเสรีภาพของเรา ซึ่งการจำกัดสิทธิเสรีภาพนั้นจำเป็นต้องกระทำอย่างน้อย 3 ประการ ดังนี้
1.3.1 การจำกัดเสรีภาพเพื่อคุ้มครองเสรีภาพผู้อื่นและคุ้มครองสังคม
การจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคล รัฐต้องตรากฎหมายมาจำกัดสิทธิเสรีภาพและกฎหมายดังกล่าวต้องเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นมาจากองค์กรที่เป็นตัวแทนของประชาชนด้วยตามครรลองในการปกครองระบอบประชาธิปไตยซึ่งก็ คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) แต่อย่างไรก็ตามการจำกัดสิทธิเสรีภาพเพื่อคุ้มครองสังคมและคุ้มครองเสรีภาพผู้อื่นนั้น คงเป็นไปไม่ได้เลยที่รัฐจำกัดสิทธิเสรีภาพโดยไม่คงเหลือสิทธิเสรีภาพอะไรเลยให้แก่ประชาชน
1.3.2 การคุ้มครองเสรีภาพจากการละเมิดของรัฐ
ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยรัฐจะตรากฎหมายมาจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้นั้น รัฐเองก็ต้องไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพที่กฎหมายรับรองและคุ้มครองประชาชนด้วย การคุ้มครองเสรีภาพจากการละเมิดของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หน่วยงานของรัฐ มีอยู่ 3 ระดับด้วยกันดังนี้
1. สิทธิเสรีภาพบางประเภทนั้นรัฐไม่สามารถตรากฎหมายออกมาจำกัดได้เลย เสรีภาพประเภทนี้เป็นเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้อย่างสมบูรณ์ เช่น สิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา เป็นต้น
2. การจำกัดสิทธิเสรีภาพนั้นต้องตราเป็นกฎหมายที่มาจากฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) ซึ่งแสดงออกถึงเจตนารมณ์ของประชาชน ซึ่งถือว่าเจตนารมณ์ร่วมกันของประชาชนเท่านั้นที่จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้ ดังนั้นหากรัฐต้องการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนในเรื่องใด รัฐต้องตรากฎหมายออกมาในรูปของพระราชบัญญัติ มิเช่นนั้นรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ไม่สามารถกระทำการได้ เว้นแต่ในกรณีที่เกิดภัยพิบัติ ความมั่นคงของรัฐหรือ ในกรณีที่เกี่ยวกับภาษีอากรหรือเงินตรา ถ้ามีความจำเป็นรีบด่วนและลับ ฝ่ายบริหารนั้นสามารถตราพระราชกำหนดมาจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนนั้นได้ แต่เมื่อเข้าสู่สมัยประชุมสภานิติบัญญัติต้องนำพระราชกำหนดนั้นให้สภาอนุมัติ
3. ถ้ามีการละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน รัฐต้องจัดให้มีองค์กรทำหน้าที่คุ้มครองประชาชนที่ถูกละเมิด เช่น ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลทหาร คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นต้น นอกจากนี้ฝ่ายนิติบัญญัติตรากฎหมายมาจำกัดสิทธิเสรีภาพและขัดต่อรัฐธรรมนูญแล้ว รัฐต้องมีองค์กรชี้ขาดในเรื่องดังกล่าว เช่น องค์กรทางการเมือง ศาลยุติธรรมหรือศาลพิเศษคือ ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นต้น
1.3.3 การคุ้มครองเสรีภาพจากการละเมิดของบุคคลอื่น
การกระทำหน้าที่ดังกล่าวของรัฐเป็นไปเพื่อการปกป้องคุ้มครองคนทุกคนในสังคม ให้มีความสงบสุขและต้องการมีการกำหนดโทษไว้ ถ้ามีการละเมิดสิทธิเสรีภาพเกิดขึ้นทั้งทางแพ่ง ทางอาญา ทางปกครองและทางรัฐธรรมนูญ การละเมิดกฎเกณฑ์ที่คุ้มครองหรือจำกัดเสรีภาพจะต้องมีองค์กรชี้ขาดที่เป็นอิสระและทำให้การละเมิดนั้นหมดไป ในประเทศที่ใช้การปกครองระบอบประชาธิปไตยถือว่า การที่จะทำให้เสรีภาพได้รับการคุ้มครองอย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่ จะต้องมีปัจจัย อีก 2 ประการ คือ
1.3.3.1 มีองค์กรอิสระในการตัดสินชี้ขาดการละเมิด
ในประเทศที่ใช้หลักการปกครองแบบนิติรัฐ (Legal State) ที่ยึดหลักนิติธรรม (The Rule of Law) นั้นถือว่าต้องให้ศาลซึ่งเป็นศาลยุติธรรมหรือศาลพิเศษ (เช่น ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ) ในระบบกฎหมายมหาชนเป็นผู้ชี้ขาดในการคุ้มครองเสรีภาพของปัจเจกบุคคล รวมไปถึงการใช้อำนาจเฉพาะขององค์กรตามรัฐธรรมนูญที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจในการตัดสินชี้ขาดการละเมิดนั้นเป็นเรื่องเฉพาะ
1.3.3.2 มีมาตรการให้การละเมิดนั้นหมดไป
การมีมาตรการให้การละเมิดนั้นหมดไปอาจมีการเยียวยาชดใช้ค่าเสียหาย ศาลจึงมีความเป็นอิสระมีอำนาจในการทำให้การละเมิดสิทธิเสรีภาพนั้นยุติลง และต้องจ่ายค่าเสียหายให้ปัจเจกชนที่เสียหายด้วย ซึ่งเป็นการเยียวยาให้กับผู้เสียหายที่ถูกละเมิด
2.สิทธิ เสรีภาพแลพหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญไทย
เมื่อรัฐให้สิทธิเสรีภาพและคุ้มครองแก่ประชาชนแล้ว รัฐและประชาชนก็ต้องมีพันธะหรือหน้าที่กระทำการหรืองดเว้นกระทำการ กล่าวคือ หน้าที่ (Duty) คือ พันธะหรือความผูกพันที่ทำให้บุคคลอยู่ในสถานะที่ต้องกระทำการ งดเว้นกระทำการบางอย่าง เพื่อให้เป็นไปตามสิทธิของบุคคลอื่น ดังนั้นหน้าที่ตามกฎหมาย คือ พันธะหน้าที่หรือความผูกพันที่ทำให้บุคคลอยู่ในฐานะที่ต้องกระทำ งดเว้นกระทำการบางอย่างเพื่อให้เป็นไปตามสิทธิของบุคคลอื่นตามที่กฎหมายกำหนดไว้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้บัญญัติรับรองสิทธิ เสรีภาพและหน้าที่ไว้ดังนี้
2.1 สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญไทย
หลังจากประเทศไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 มีรัฐธรรมนูญฉบับแรกได้บัญญัติรับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้ในรัฐธรรมนูญและได้บัญญัติรับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนในฉบับต่อมาถึงฉบับปัจจุบัน คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ไว้ในหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย ดังนี้
2.1.1 ส่วนที่ 1 บทนำทั่วไป
ส่วนที่ 1 บทนำทั่วไป กล่าวถึงการใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กรต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับสิทธิเสรีถาพของประชาชนย่อมผูกพันทุกองค์กร บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฝกิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ขัดต่ศีลธรรมอันดีของประชาชน รัฐจะจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนมิได้ เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจไว้
2.1.2 ส่วนที่ 2 ความเสมอภาค
ส่วนที่ 2 ความเสมอภาค กล่าวถึง บุคคลย่อมเสมอภาคกันในกฎหมายและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน ไม่ว่าเป็นชายหรือหญิง บุคคลผู้เป็นทหาร ตำรวจ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐและพนักงานหรือลูกจ้างขององค์กรของรัฐ ย่อมมีสิทธิ เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกันกับบุคคลทั่วไป
2.1.3 ส่วนที่ 3 สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล
ส่วนที่ 3 สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล กล่าวถึง บุคคลย่อมมีสิทธิ เสรีภาพในชีวิตร่างกาย บุคคลย่อมมีเสรีภาพในเคหสถาน บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการเดินทางและมีเสรีภาพในการเลือกถิ่นที่อยู่อาศัยภายในราชอาณาจักร สิทธิของบุคคลในครอบครัว เกียรติยศ ชื่อเสียงตลอดจนความเป็นส่วนตัว บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการสื่อสารถึงกันโดยทางชอบด้วยกฎหมาย บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา การเกณฑ์แรงงานจะกระทำมิได้ เว้นตามอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
2.1.4 ส่วนที่ 4 สิทธิในกระบวนการยุติธรรม
ส่วนที่ 4 สิทธิในกระบวนการยุติธรรม กล่าวถึง บุคคลไม่ต้องรับโทษทางอาญา เว้นแต่ได้กระทำอันกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้และโทษที่จะลงแก่บุคคลนั้นจะหนักกว่าโทษที่กำหนดไว้ในกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลที่กระทำความผิดมิได้ บุคคลย่อมมีสิทธิในกระบวนการยุติธรรม
2.1.5 ส่วนที่ 5 สิทธิในทรัพย์สิน
ส่วนที่ 5 สิทธิในทรัพย์สิน กล่าวถึง สิทธิของบุคคลในทรัพย์สินย่อมได้รับความคุ้มครอง การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์จะกระทำมิได้ เว้นแต่จะอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะกิจการของรัฐเพื่อการอันเป็นสาธารณูปโภค การอันจำเป็นในการป้องกันประเทศ การได้มาซึ่งทรัพยากรธรรมชาติ การผังเมือง การส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การพัฒนาเกษตรหรือการอุตสาหกรรม การปฏิรูปที่ดิน การอนุรักษ์โบราณสถานและแหล่งทางประวัติศาสตร์หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างอื่น
2.1.6 ส่วนที่ 6 สิทธิเสรีภาพในการประกอบอาชีพ
ส่วนที่ 6 สิทธิเสรีภาพในการประกอบอาชีพ กล่าวถึง บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการประกอบกิจการหรือประกอบอาชีพและการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับหลักประกันความปลอดภัยและสวัสดิภาพในการทำงาน รวมทั้งหลักประกันในการดำรงชีพทั้งในระหว่างการทำงานและเมื่อพ้นภาวะการทำงาน
2.1.7 ส่วนที่ 7 เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชน
ส่วนที่ 7 เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชน กล่าวถึง บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด เขียนพิมพ์ การโฆษณาและการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นที่ไม่ละเมิดบุคคลอื่น พนักงานหรือลูกจ้างของเอกชนที่ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์หรือสื่อมวลชน ย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าวและแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต คลื่นความถี่ที่ใช้ในการส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และโทรคมนาคม เป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะโดยต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดำเนินการสื่อมวลชนสาธารณะ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการในหนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์หรือโทรคมนาคมมิได้
2.1.8 ส่วนที่ 8 สิทธิเสรีภาพในการศึกษา
ส่วนที่ 8 สิทิในการศึกษา กล่าวถึง บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาไม่น้อยกว่า 12 ปีที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย บุคคลย่อมมีเสรีภาพในทางวิชาการ การศึกษาอบรม การเรียนการสอน การวิจัยและการเผยแพร่งานวิจัยตามหลักวิชาการ เท่าที่ไม่ขัดต่อหน้าที่พลเมืองหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
2.1.9 ส่วนที่ 9 สิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขและสวัสดิการจากรัฐ
ส่วนที่ 9 สิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขและสวัสดิการจากรัฐ กล่าวถึง บุคคลย่อมมีสิทธิกันในการรับบริการทางสาธารณสุขที่เหมาะสมและได้รับมาตรฐานและผู้ยากไร้มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลจากสถานบริการสาธารณสุขของรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เด็กและเยาวชนมีสิทธิในการอยู่รอดและได้รับการพัฒนาด้านร่างกาย จิตใจและสติปัญยา ตามศักยภาพแวดล้อมที่เหมาะสม บุคคลซึ่งมีอายุเกิน 60 ปีบริบูรณ์และไม่มีรายได้เพียงพอแก่การยังชีพ มีสิทธิได้รับสวัสดิการ สิ่งอำนวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะอย่างสมศักดิ์ศรีและความช่วยเหลือที่เหมาะจากรัฐ บุคคลซึ่งพิการหรือทุพพลภาพมีสิทธิเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากสวัสดิการสิ่งอำนวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะอย่างสมศักดิ์ศรีและความช่วยเหลือที่เหมาะจากรัฐ บุคคลซึ่งไร้ที่อยู่อาศัยและไม่มีรายได้เพียงพอแก่การยังชีพย่อมมีสิทธิได้รับความช่วยเหลือที่เหมาะจากรัฐ
2.1.10 ส่วนที่ 10 สิทธิในข้อมูลข่าวสารและการร้องเรียน
ส่วนที่ 10 สิทธิในข้อมูลข่าวสารและการร้องเรียน กล่าวถึง บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับทราบและเข้าถึงข้อมูลข่าวสารสาธารณะในครอบครองของหน่วบราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับข้อมูลคำชี้แจงและเหตุผลจากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจหรือราชการส่วนท้องถิ่น ก่อนการอนุญาตหรือดำเนินโครงการหรือกิจกรรมใดที่อาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิต บุคคลย่อมมีสิทธิมีส่วนร่วมในกระบวนการพิจารณาของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการปฏิบัติราชการทางปกครองอันมีผลหรืออาจมีผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน บุคคลย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องราวร้องทุกข์และได้รับแจ้งผลการพิจารณาภายในเวลาอันรวดเร็ว บุคคลย่อมมีสิทธิที่ฟ้องหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถิ่นหรือองค์กรของรัฐที่เป็นนิติบุคคลให้รับผิดเนื่องจากการกระทำหรือการละเว้นการกระทำของข้าราชการ พนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานนั้น สิทธิของบุคคลซึ่งเป็นผู้บริโภคย่อมได้รับความคุ้มครองในการรับได้รับข้อมูลที่เป็นความจริง บุคคลย่อมมีสิทธิติดตามและร้องขอให้มีการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ
2.1.11 ส่วนที่ 11 เสรีภาพในการชุมนุม
ส่วนที่ 11 เสรีภาพในการชุมนุม กล่าวถึง บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมตัวกันเป้นสมาคม สหภาพ สหพันธ์ สหกรณ์ กลุ่มเกษตร องค์การเอกชน องค์การพัฒนาเอกชนหรือหมู่คณะ บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมกันจัดตั้งพรรคการเมืองเพื่อสร้างเจตนารมณ์ทางการเมืองของประชาชนและเพื่อดำเนินกิจกรรมในทางการเมืองให้เป็นไปตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ
2.1.12 ส่วนที่ 12 สิทธิชุมชน
ส่วนที่ 12 สิทธิชุมชน กล่าวถึง บุคคลซึ่งรวมกันเป็นชุมชน ชุมชนท้องถิ่นหรือชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม ย่อมมีสิทธิอนุรักษ์หรือฟื้นฟูจารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่นและของชาติและมีส่วนร่วมในการจัดการ การบำรุงรักษาและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม รวมทั้งความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุลและยั่งยืน สิทธิบุคคลที่จะมีส่วนร่วมกับรัฐและชุมชนในการอนุรักษ์ บำรุงรักษาและการได้ประโยชน์จากทรัพยากระรรมชาติและหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งสิทธิชุมชนที่จะฟ้องหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรอื่นของรัฐที่เป็นนิติบุคคล
2.1.13 ส่วนที่ 13 สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ
ส่วนที่ 13 สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ กล่าวถึง บุคคลจะใช้สิทธิ เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางรัฐธรรมนูญ ต่ออัยการสูงสุดเพื่อยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใดๆที่เป็นไปเพิ่ให้ได้มาวึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการที่มิได้เป็นไปตามวิถีทางรัฐธรรมนูญ
2.2 หน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ
หน้าที่ตามรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญ นี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้บัญญัติหน้าที่ออกได้ 2 ส่วน คือ หน้าที่ของรัฐกับหน้าที่ของประชาชน ดังนี้
2.2.1 หน้าที่ของรัฐ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้กำหนดหน้าที่ของรัฐ (Duties of State) ไว้ในหมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานของรัฐเพื่อกำหนดเจตจำนงบังคับให้รัฐบาลปฏิบัติตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐอย่างจริงจัง เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินมีประสิทธิภาพและสามารถตรวจสอบได้ ซึ่งอาจแยกได้ 2 หน้าที่คือ หน้าที่หลักของรัฐกับหน้าที่รองของรัฐ
2.2.1.1 หน้าที่หลักของรัฐ
หน้าที่หลักของรัฐหรืออาจเรียกว่า “ภารกิจขั้นพื้นฐานของรัฐ” (Basic function of State) คือ มีหน้าที่ดูแลความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของประชาชนภายในรัฐ รัฐต้องมีความมั่นคงและมีความสงบเรียบร้อยภายในรัฐ ได้แก่
1. หน้าที่หลักของรัฐที่ต้องรักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช และบูรณภาพแห่งอาณาเขตรัฐหรือรัฐบาล มีหน้าที่ปกป้องและรักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์รักษา เอกราชอธิปไตยของชาติ รวมทั้งรักษาแผ่นดิน ผืนน้ำ มิให้ต้องสูญสลายหรือตกไปเป็นของประเทศอื่น
2. หน้าที่หลักของรัฐที่ต้องมีกำลังทหารมีกองทัพ รัฐมีหน้าที่มีกำลังทหารและมีกองทัพโดยมีภารกิจหลักเพื่อความมั่นคงของรัฐ ดังต่อไปนี้
1) พิทักษ์รักษาเอกราชของชาติมิให้ตกเป็นเมืองขึ้นของใคร
2) พิทักษ์รักษาความมั่นคงของรัฐ
3) พิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์
4) พิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของชาติมิให้เสียหายหรือถูกเอารัดเอาเปรียบ
5) พิทักษ์รักษาการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองและสร้างความผาสุกอยู่ดีกินดีแก่ประชาชน
3.หน้าที่หลักของรัฐที่ต้องดำเนินการเพื่อความยุติธรรม รัฐจะต้องดำเนินการเพื่อให้ประชาชนทุกคนปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อให้เกิดความยุติธรรมในสังคมและแก่ประชาชนไว้สองส่วนด้วยกันดังนี้
ส่วนแรก แบ่งออกเป็น 4 เรื่อง ได้แก่ รัฐต้องดูแลให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย รัฐต้องคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคล รัฐต้องจัดระบบงานของกระบวนการยุติธรรมให้มีประสิทธิภาพและอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนย่างรวดเร็วและเท่าเทียมกับรัฐต้องจัดระบบงานราชการและงานของรัฐอย่างอื่นให้มีประสิทธิภาพ เพื่อสนองความต้องการของประชาชน
ส่วนที่สอง กำหนดให้รัฐ(รัฐบาล) จัดสรรงบประมาณให้พอเพียงกับการบริหารงานโดยอิสระขององค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญทั้งหลาย ได้แก่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ สำนักงานศาลปกครอง เป็นต้น
2.2.1.2 หน้าที่รองของรัฐ
นอกจากรัฐมีหน้าที่หลักแล้วรัฐมีหน้าที่รองลงมาหรือาจเรียกว่า “ภารกิจลำดับรองของรัฐ” (Secondary function of State) คือ มีหน้าที่สนับสนุนส่งเสริมให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ซึ่งได้แก่
1.หน้าที่รองของรัฐที่เกี่ยวกับศาสนาและหลักธรรม หน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาและหลักธรรมศาสนาที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ มี 3 ประการ คือ
1)รัฐต้องให้ความอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น
2)รัฐต้องส่งเสริมความเข้าใจอันดีและความสมานฉันท์ระหว่างศาสนิกชนของทุกศาสนา
3)รัฐต้องสนับสนุนการนำหลักธรรมอันดีและความชอบธรรมมาใช้เพื่อส่งเสริมสร้างคุณธรรมและพัฒนาคุณภาพชีวิต
2.หน้าที่รองของรัฐที่ต้องส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชน รัฐมีหน้าที่ที่จะต้องส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในด้านต่างๆโดยต้องคำนึงถึงสัดส่วนของหญิงและชายที่ใกล้เคียงกัน ดังนี้
1) รัฐต้องส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายและวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น
2) รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตัดสินใจทางการเมือง การวางแผนพัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งการจัดทำบริการสาธารณะ
3) รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐทุกระดับ ในรูปแบบองค์กรทางวิชาชีพหรือตามสาขาอาชีพที่หลากหลายหรือรูปแบบอื่น
4) รัฐต้องส่งเสริมให้ประชาชนมีความเข้มแข็งในทางการเมืองและจัดให้มีกฎหมายจัดตั้งกองทุนพัฒนาการเมืองภาคพลเมืองเพื่อช่วยเหลือการดำเนินกิจกรรมสาธารณะของชุมชน รวมทั้งสนับสนุนการดำเนินการของกลุ่มประชาชนที่รวมตัวกันในลักษณะเครือข่ายทุกรูปแบบให้สามารถแสดงความคิดเห็นและเสนอความต้องการของชุมชนในพื้นที่
5) รัฐต้องส่งเสริมและให้การศึกษาแก่ประชาชนเกี่ยวกับการพัฒนาการเมืองและการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนได้ใช้สิทธิเลือกตั้งโดยสุจริตและเที่ยงธรรม
3. หน้าที่รองของรัฐที่จะต้องบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนบนพื้นฐานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ ดังต่อไปนี้
1) รัฐต้องกำหนดขอบเขตและความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจหน้าที่ราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่นให้ชัดเจน สนับสนุนให้จังหวัดทำแผนพัฒนาโดยภาคประชาชนมีส่วนร่วม สนับสนุนงบประมาณให้จังหวัดมีศักยภาพในการพัฒนาอย่างยั่งยืนสอดคล้องกับความต้องการและความจำเป็นของประชาชน ทั้งนี้เพื่อป้องกันความซ้ำซ้อนและให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ยั่งยืน ตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง
2) รัฐต้องให้ความสำคัญแก่การกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองท้องถิ่นโดยเท่าเทียมกันในการเข้าถึงการพัฒนาทุกด้าน เช่น การพัฒนาเศรษฐกิจ สาธารณูปโภคสาธารณูปการ สารสนเทศ
3) รัฐต้องพัฒนาองค์กรและบุคลากรของภาครัฐทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่นและรัฐวิสาหกิจ ให้มีความสามารถคู่คุณธรรมและจริยธรรม พัฒนาวิธีปฏิบัติราชการโดยยึดหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีหรือธรรมาภิบาล (Good Governance)
4) รัฐต้องจัดระบบงานเพื่อบริการสาธารณะให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมตามหลักการสำคัญในการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (Good Governance)
5) รัฐต้องจัดให้มีหน่วยงานอิสระ เพื่อให้ความเห็นและตรวจสอบการตรากฎหมายของฝ่ายบริหารให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ปราศจากการแทรกแซงหรืออิทธิพลใดๆจากรัฐบาล ทั้งนี้เป็นไปตามหลักนิติธรรม (The Rule of Law)
6) รัฐต้องจัดให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ได้รับสิทธิประโยชน์อย่างเหมาะสม เช่น การรักษาพยาบาล บำเหน็จ บำนาญ เป็นต้น
4.หน้าที่รองของรัฐที่ต้องปฏิบัติในการใช้ที่ดินและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดังนี้
1) รัฐต้องปฏิรูประบบและนโยบายการใช้ที่ดินทั้งระบบโดยกำหนดเกณฑ์และมาตรฐานการใช้ที่ดินอย่างยั่งยืน คำนึงถึงสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและวิถีชีวิตชุมชนท้องถิ่นให้ครอบคลุมทั้งประเทศ ทั้งนี้ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและการดูแลทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพและให้ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมีส่วนร่วมในการตัดสินใจด้วย
2) รัฐต้องกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม รวมทั้งจัดหาแหล่งน้ำเพื่อใช้ในการเกษตรอย่างเหมาะสมเพียงพอ
3) รัฐต้องจัดการวางผังเมือง เพื่อประโยชน์ในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ
4) รัฐต้องจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างเป็นธรรม โดยให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงมีส่วนร่วมในการสงวน การบำรุงรักษาและใช้ประโยชน์ตามความหลากหลายทางชีวภาพ
5) การควบคุมและกำจัดภาวะมลพิษที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ อนามัย สวัสดิภาพ และคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น การรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงสภาวะโลกร้อน รวมถึงการปลูกป่าทดแทน เป็นต้น โดยให้ประชาชน ชุมชนท้องถิ่นและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน
5.หน้าที่รองของรัฐที่ต้องพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิต ในการพัฒนาสังคม การสาธารณะสุขและวัฒนธรรมของชาติ ดังต่อไปนี้
1) รัฐต้องคุ้มครองสิทธิของเด็กและเยาวชนให้ได้รับการพัฒนาอย่างยั่งยืนอย่างเต็มที่ทั้งด้านร่างกาย จิตใจและสติปัญญา การอบรมเลี้ยงดูและการศึกษาปฐมวัย เสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันครอบครัวและความเสมอภาคหญิงชาย ตลอดจนจัดการสงเคราะห์และจัดสวัสดิการแก่ผู้สูงอายุ ผู้ยากไร้ ผู้พิการหรือทุพพลภาพหรือผู้อยู่ในสภาวะยากลำบาก ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและพึ่งตนเอง โดยส่งเสริมให้ชุมชนมีความเข้มแข็งและมีส่วนร่วมในภารกิจดังกล่าว
2) รัฐต้องพัฒนาระบบสุขภาพเพื่อสร้างเสริมสุขภาพที่ยั่งยืนของประชาชน ส่งเสริมให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณะสุขที่ได้มาตรฐานอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งส่งเสริมให้ภาคเอกชนและชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาสุขภาพและจัดบริการสาธารณสุข ทั้งนี้บุคลากรที่ให้บริการด้านสาธารณสุขต้องมีมาตรฐานวิชาชีพและจริยธรรม
3) รัฐต้องส่งเสริมความสามัคคีของคนในชาติ ให้ตระหนักในความสำคัญและพึงหวงแหนศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ค่านิยมอันดีงามของชาติและภูมิปัญญาของท้องถิ่น
6.หน้าที่รองของรัฐที่ต้องจัดการศึกษาของชาติอย่างเป็นระบบ รัฐมีหน้าที่ที่จะต้องจัดการศึกษาของชาติอย่างเป็นระบบ เป็นเอกภาพและมีคุณภาพ เพื่อให้การพัฒนาบุคคลของชาติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ดังต่อไปนี้
1) รัฐต้องจัดการศึกษาอบรมและสนับสนุนให้เอกชนจัดการศึกษาอบรมให้เกิดความรู้คู่คุณธรรม
2) รัฐต้องจัดให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาแห่งชาติ เพื่อให้การจัดการศึกษาแห่งชาติดำเนินไปอย่างเป็นระบบเพื่อพัฒนาการศึกษา รวมทั้งพัฒนาคุณภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยเน้นการเสริมสร้างคุณภาพของผู้เรียน
3) รัฐต้องปรับปรุงการศึกษาให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม
4) รัฐต้องสร้างเสริมความรู้และปลูกฝังจิตสำนึกที่ถูกต้องเกี่ยวการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
5) รัฐต้องสนับสนุนการค้นคว้าวิจัยในศิลปะวิทยาการต่างๆเพื่อความก้าวหน้าของประเทศและก้าวทันความเจริญก้าวหน้าของโลก
6) รัฐต้องพัฒนาวิชาชีพครู เพื่อให้วิชาชีพครูเป็นหลักของชาติในด้านการศึกษาของชาติ
7) รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชุมชน องค์การทางศาสนาและเอกชนซึ่งมีความพร้อม ให้มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาตั้งแต่ก่อนและในระดับปฐมวัยให้ได้มาตรฐานและมีคุณภาพเท่าเทียมกัน
7. หน้าที่รองของรัฐที่ต้องช่วยเหลือเกษตรกร รัฐมีหน้าที่ทีจะต้องช่วยเหลือเกษตรกรให้บังเกิดผลเป็นรูปธรรม ดังนี้
1) รัฐต้องจัดระบบการถือครองที่ดินและการใช้ที่ดินอย่างเหมาะสม
2) รัฐต้องจัดหาแหล่งน้ำเพื่อเกษตรกรรมให้เกษตรกรอย่างทั่วถึง
3) รัฐต้องรักษาผลประโยชน์ของเกษตรกรในการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตรกรให้ได้รับผลตอบแทนสูงสุด
4) รัฐต้องส่งเสริมการรวมตัวของเกษตรกรเพื่อวางแผนการเกษตรและรักษาผลประโยชน์ร่วมกันของเกษตรกร
5) รัฐต้องส่งเสริมการแปรรูปผลผลผลิตทางการเกษตรทุกประเภท ทั้งการแปรรูปสินเกษตรขั้นต้นนำไปสู่การแปรรูปเป็นสินค้าสำเร็จรูป เพื่อเพิ่มโอกาสและทางเลือกแก่เกษตรกร ซึ่งทำให้เกิดมูลค่าในทางเศรษฐกิจ
8.หน้าที่รองของรัฐที่ต้องดูแลระบบเศรษฐกิจของประเทศอาจแยกได้ 2 แนวทางควบคู่กันไปคือ หน้าที่ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการดำเนินการแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและ รัฐมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลระบบเศรษฐกิจของประเทศ ดังนี้
1) หน้าที่ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการดำเนินการแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ รัฐต้องส่งเสริมและให้สนับสนุนให้ประชาชนและทุกภาคส่วนในส่วนในสังคมนำแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตและกิจการอย่างถูกต้อง เหมาะสม รวมทั้งเผยแพร่และพัฒนาองค์ความรู้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างกว้างขวาง
2) รัฐมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลระบบเศรษฐกิจของประเทศ ดังนี้
(1) รัฐต้องสนับสนุนระบบเศรษฐกิจแบบเสรีและเป็นธรรม ให้มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน รัฐต้องไม่แทรกแซงและควบคุมกลไกตลาด หรือ ประกอบกิจการที่มีลักษณะแข่งขันกับเอกชน เว้นแต่เพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคง หรือผลประโยชน์ส่วนรวมหรือกิจการที่มีลักษณะเป็นสาธารณูปโภค
(2) รัฐต้องคุ้มครองการประกอบกิจการให้เป็นไปอย่างเสรีและเป็นธรรม ป้องกันการผูกขาดตัดตอนไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมเพื่อให้คุ้มครองผู้บริโภค
(3) รัฐต้องส่งเสริมการประกอบอาชีพและสนับสนุนการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อใช้ในการผลิตสินค้า บริการและการประกอบอาชีพ ตลอดจนกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม
(4) รัฐต้องสนับสนุนให้ภาคเอกชนนำหลักคุณธรรม จริยธรรมและธรรมาภิบาลมาใช้ในการประกอบธุรกิจ เพื่อป้องกันไม่ให้เอารัดเอาเปรียบกันในเชิงธุรกิจ
(5) รัฐต้องควบคุมให้มีวินัยการเงินการคลังอย่างจริงจัง เพื่อให้เกิดเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการใช้งบประมาณไม่เหมาะสมอันนำไปสู่ปัญหาคอรัปชั่น รวมทั้งต้องปรับปรุงการจัดเก็บภาษีอากร อาทิ การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงานจัดเก็บภาษีอากร การขยายฐานภาษีอากร การเพิ่มการจัดเก็บภาษีอากรประเภทใหม่ เช่น ภาษีมรดก ภาษีทรัพย์สิน เป็นต้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคมและสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพเศรษฐกิจและสังคม
(6) รัฐต้องส่งเสริมให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีการออมในรูปแบบต่างๆเพื่อการดำรงชีพในยามชรา รองรับโครงสร้างประชากรที่มีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นและอายุขัยยืนยาวขึ้น ซึ่งจะเป็นปัญหาสังคมที่รัฐต้องรับภาระดูแล หากไม่เร่งดำเนินการให้เกิดการออมเพื่อเป็นหลักประกันในยามชราภาพครอบคลุมประชาชนอย่างทั่วถึง
(7) รัฐต้องส่งเสริมให้ประชากรวัยทำงานมีงานทำ คุ้มครองแรงงานโดยเฉพาะแรงงานเด็กและแรงงานหญิง จัดระบบแรงงานสัมพันธ์และระบบไตรภาคี การประกันสังคม สิทธิประโยชน์ สวัสดิการที่เป็นธรรม รวมทั้งค่าตอบแทนแรงงานให้เป็นธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ
(8) รัฐต้องส่งเสริมและคุ้มครองระบบสหกรณ์ให้เป็นอิสระ รวมทั้งการรวมกลุ่มการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพด้านต่างๆของประชาชน
9. ที่รัฐต้องพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ทรัพย์สินทางปัญญาและพลังงาน มีดังนี้
1) รัฐต้องส่งเสริมพัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รวมทั้งสนับสนุนงบประมาณให้มีการศึกษา ค้นคว้าวิจัย ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆเพื่อนำผลการศึกษาค้นคว้าไปใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง โดยต้องจัดให้มีกฎหมายและสถาบันการศึกษาและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี
2) รัฐต้องส่งเสริมการประดิษฐ์คิดค้นเพื่อให้เกิดความรู้ใหม่ รักษาพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย รวมทั้งคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา
3) รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัย พัฒนาและใช้ประโยชน์จากพลังงานทดแทนจากธรรมชาติ โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องเป็นระบบ
2.2.2 หน้าที่ของประชาชนชาวไทย
หน้าที่ของประชาชนชาวไทย (Duties of Thai People) คือ ประชาชนชาวไทยทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อให้สังคมอยู่รอดปลอดภัยและสงบสุข ซึ่งสามารถสรุปหน้าที่ของปวงชนที่ต้องปฏิบัติ ที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ดังต่อไปนี้
2.2.2.1 หน้าที่ที่ต้องยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
หน้าที่ของประชาชนที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด คือ ต้องยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดทั้งกายและใจ ได้แก่ หน้าที่รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
2.2.2.2 หน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย
ประเทศไทยปกครองประเทศโดยใช้หลักการปกครองแบบนิติรัฐที่ยึดหลักนิติธรรมหรือปกครองรัฐโดยกฎหมาย ดังนั้น คนไทยทุกคนต้องเคารพปฏิบัติตามกฎหมาย หน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายมหาชน ซึ่งรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายหมายพื้นฐานการปกครองของรัฐได้กำหนดหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายมหาชนได้แก่
1. หน้าที่ของประชาชนที่ต้องไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ประชาชนชาวไทยทุกคนที่มีอายุ 18 ปี บริบูรณ์ขึ้นไปต้องมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง การไปใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นเรื่องจำเป็นของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยถ้าผู้ฝ่าฝืนเสียสิทธิบางอย่าง ซึ่งประเทศไทยได้กำหนดว่าถ้าไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งนั้นจะเสียสิทธิต่างๆตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งวุฒิสภา พ.ศ. 2550
2. หน้าที่ของประชาชนในการป้องกันประเทศ ในยามที่ประเทศไทยมีภัยก็เป็นหน้าที่ของประชาชนทุกคนไม่ว่าชาย หญิงก็ต้องในการป้องกันประเทศ
3. หน้าที่ของประชาชนในการรับราชการทหาร ในยามปกติไทยชายไทยมีอายุ 20 ปี ขึ้นไปต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหาร แต่ผู้หญิงไม่ต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหาร
4. หน้าที่ของประชาชนในการเสียภาษี ประชาชนคนไทยทุกคนมีหน้าที่เสียภาษีอากรทุกคน ไม่ว่าจะเป็นภาษีรายได้บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล เป็นต้น
5. หน้าที่ของประชาชนในการช่วยเหลือราชการ ประชาชนคนไทยทุกคนมีหน้าที่ช่วยเหลือทางราชการ คือ พฤติตนเป็นพลเมืองดี คอยช่วยเหลือร่วมมือในการพัฒนาบ้านเมือง เป็นต้น
6. หน้าที่ของประชาชนเข้ารับการศึกษา เป็นหน้าที่ที่ซึ่งต้องเป็นไปตามกฎหมายกำหนด เช่น กฎหมายกำหนดการศึกษาภาคบังคับเป็นเวลา 9 ปี เยาวชนทุกคนเมื่อถึงวัยเรียนตามเกณฑ์ก็ต้องเข้ารับการศึกษาอบรมในโรงเรียนของรัฐหรือเอกชนก็ได้
7. หน้าที่ของประชาชนในการพิทักษ์และสืบสานศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น คือ ต้องช่วยกันปกป้องศิลปวัฒนธรรมธรรมของชาติไม่ให้ใครทำลาย เป็นต้น
8. หน้าที่ของประชาชนในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประชาชนทุกคนต้องมีหน้าที่ปกป้องและรักษาทรัพยากรธรรมชาติไม่ให้ใครทำลาย เพราะเป็นสมบัติของชาติ เป็นต้น
หนังสือและเอกสารอ่านประกอบเพิ่มเติม
โกเมศ ขวัญเมืองและสิทธิกร ศักดิ์แสง “การศึกษาแนวใหม่ : ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมาย
ทั่วไป” กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์วิญญูชน, 2549
คณิน บุญสุวรรณ “คู่มือการใช้สิทธิของประชาชน” กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์สุขภาพใจ,2547
สมยศ เชื้อไทย “หลักกฎหมายมหาชนเบื้องต้น”กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์วิญญูชน,2536
ลัทธิ หมายถึง 在 "โว้ค" หรือ "ลัทธิตื่นรู้" (Wokism) ท้าทายอารยธรรมดั้งเดิม - YouTube 的推薦與評價
รายการ The Daily Dose ประจำวัน 19 เมษายน 2566 สมัครสมาชิกเพื่อรับสิทธิพิเศษ (Membership) ... ... <看更多>
ลัทธิ หมายถึง 在 นโยบายเกี่ยวกับลัทธิสุดโต่งที่นิยมความรุนแรงหรือองค์กร ... 的推薦與評價
ความปลอดภัยของครีเอเตอร์ ผู้ชม และพาร์ทเนอร์คือสิ่งสำคัญสูงสุดของเรา เราจึงต้องการความร่วมมือจากพวกคุณทุกคนเพื่อช่วยปกป้องชุมชนที่มีชีวิตชีวาและโดดเด่นนี้ ... ... <看更多>
ลัทธิ หมายถึง 在 ข้อแตกต่างระหว่าง "ลัทธิ" กับ "ศาสนา" | By ALTV ช่อง 4 ทีวีเรียนสนุก 的推薦與評價
ลัทธิ ” และ ✝️“ศาสนา” สองสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่นำมายึดเหนี่ยวจิตใจ หรือนำมาเป็นหลักการดำเนินชีวิต ลัทธิ กับศาสนามีข้อแตกต่างกันอย่างไรบ้าง ?... ... <看更多>