สรุป ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ที่เคยเกิดขึ้นในไทยทั้งหมด /โดย ลงทุนแมน
เคยสงสัยไหมว่า นับตั้งแต่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 1997
ประเทศไทยเคยเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยกี่ครั้ง
วันนี้ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit ที่สุดของแอปมีสาระ
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ในทางเศรษฐศาสตร์นั้น ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Economic Recession) คือ ภาวการณ์ที่การเติบโตของ GDP เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าติดลบติดต่อกันอย่างน้อย 2 ไตรมาส
ในปี 2019 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจประเทศไทย
ไตรมาสที่ 1/2019 GDP เติบโต 1%
ไตรมาสที่ 2/2019 GDP เติบโต 0.4%
ไตรมาสที่ 3/2019 GDP เติบโต 0.2%
ไตรมาสที่ 4/2019 GDP เติบโต -0.2%
พอตัวเลขออกมาแบบนี้ ก็หมายว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่ภาวะของการชะลอตัว ยังไม่ได้เข้าสู่ภาวะถดถอย
อย่างไรก็ตาม
การระบาดของโควิด-19 ที่กำลังส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคการท่องเที่ยว จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ประเทศไทยอาจประสบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือติดลบ 2 ไตรมาสติดต่อกัน
ถ้าให้ย้อนกลับไป
นับตั้งแต่ปี 1997 ประเทศไทยนั้นเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยไปทั้งหมด 4 ครั้ง ซึ่งกินเวลาไปทั้งหมด 10 ไตรมาส หรือประมาณ 2 ปีครึ่ง
1) ครั้งที่ 1 ในปี 1997 ภาวะเศรษฐกิจถดถอยของไทยเกิดขึ้นในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง
จุดเริ่มต้นมาจากการเปิดเสรีทางการเงินและการจัดตั้งกิจการวิเทศธนกิจไทย (BIBF) ทำให้ประเทศไทยสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากต่างประเทศได้สะดวก
ตอนนั้นการกู้เงินจากต่างประเทศได้รับความนิยม เพราะมีดอกเบี้ยถูกกว่าในประเทศ ภาคเอกชนจำนวนมาก จึงไปกู้เงินจากต่างประเทศมาลงทุน
อย่างไรก็ตาม เงินจำนวนไม่น้อยกลับถูกนำไปเก็งกำไรในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งตลาดหลักทรัพย์จนเกิดเป็นฟองสบู่
ช่วงปี 1996 การส่งออกของประเทศเริ่มชะลอตัวลง ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยเริ่มขาดดุลมากเรื่อยๆ ซึ่งเป็นสัญญาณการอ่อนค่าของเงินบาท
ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงต้องนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมาซื้อเงินบาทเพื่อพยุงค่าเงิน แต่เมื่อทุนสำรองระหว่างประเทศเริ่มเหลือน้อยลงเรื่อยๆ
สุดท้ายธนาคารแห่งประเทศไทยจึงตัดสินใจปล่อยค่าเงินบาทลอยตัวจากระดับที่ 25 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเงินบาทนั้นเคยเพิ่มไปถึงระดับ 56 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ
คนที่กู้เงินจากต่างประเทศจำนวนมากต้องล้มละลาย สถาบันการเงินหลายแห่งปิดกิจการ คนไทยจำนวนมากต้องตกงาน และวิกฤตนี้ยังกระจายไปอีกหลายประเทศในเอเชีย
ในตอนนั้น GDP ของประเทศไทยลดลงติดต่อกัน 4 ไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3/1997 - ไตรมาสที่ 2/1998
2) ครั้งที่ 2 ในปี 2008 วิกฤตซับไพรม์ในสหรัฐอเมริกา
แม้ว่าวิกฤตดังกล่าวเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา แต่กลับมีผลกระทบไปยังภูมิภาคอื่นๆ ของโลกโดยเฉพาะในยุโรป เพราะสถาบันการเงินในยุโรปหลายแห่งมีการลงทุนในตราสารที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อประเภทซับไพรม์ในสหรัฐอเมริกาจํานวนมาก
โดยผลของวิกฤตดังกล่าวทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกานั้นชะลอตัว จนมีผลทำให้ความต้องการสินค้าจากไทยไปขายที่สหรัฐอเมริกา และความต้องการวัตถุดิบจากไทยที่นำไปผลิตและส่งออกยังสหรัฐอเมริกานั้นลดลงไปด้วย
ในตอนนั้น GDP ของประเทศไทยลดลงติดต่อกัน 2 ไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4/2008 - ไตรมาสที่ 1/2009
3) ครั้งที่ 3 ในปี 2013 การชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะประเทศในสหภาพยุโรป
สหภาพยุโรปมีอัตราการว่างงานอยู่ในระดับสูงกว่า 10% จากผลกระทบของวิกฤตหนี้สาธารณะจำนวนมากของหลายประเทศอย่างกรีซ โปรตุเกส อิตาลี ไอร์แลนด์ และ สเปน ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปลายปี 2009 แต่ส่งผลกระทบต่อเนื่องหลายปีต่อมา
เมื่อรวมกับวิกฤตภัยแล้งของประเทศไทยที่กระทบหลายจังหวัดในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้ภาคการส่งออก การผลิตภาคอุตสาหกรรม และภาคเกษตรกรรมของไทยได้รับผลกระทบอย่างหนัก
ในตอนนั้น GDP ของประเทศไทยลดลงติดต่อกัน 2 ไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาสที่ 1/2013 - ไตรมาสที่ 2/2013
4) ครั้งที่ 4 ในปี 2013-2014 ความไม่สงบเรียบร้อยทางการเมือง
ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2013 มาจนถึงกลางปี 2014 โดยมีการชุมนุมและประท้วงต่อต้านรัฐบาล จนนำไปสู่การปิดกรุงเทพฯ หรือเรียกว่า Bangkok Shutdown ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้นำไปสู่การรัฐประหารโดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ การท่องเที่ยว การลงทุน การค้าของประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงนั้น เพราะสถานที่สำคัญหลายแหล่งในกรุงเทพฯ ถูกใช้เป็นที่ชุมนุม
ในตอนนั้น GDP ของประเทศไทยลดลงติดต่อกัน 2 ไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4/2013 - ไตรมาสที่ 1/2014
โดยปกติแล้ว เมื่อเศรษฐกิจมีแนวโน้มว่าจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ธนาคารแห่งประเทศไทยก็จะเข้ามามีบทบาทด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง เพื่อบรรเทาผลกระทบจากช่วงที่ประเทศเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย
แต่การระบาดของโควิด-19 ครั้งนี้อาจถือเป็นความท้าทายครั้งสำคัญ เพราะอัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศไทยก็กำลังอยู่ ณ จุดต่ำสุดในประวัติศาสตร์เรียบร้อยแล้ว หรือพูดอีกอย่างก็คือ นโยบายการเงินของประเทศกำลังมีข้อจำกัดมากขึ้นเมื่อเทียบกับอดีต เพราะกระสุนเกือบหมดแล้ว
ซึ่งตอนนี้หลายคนก็ได้แต่หวังว่า นโยบายการคลัง (Fiscal Policy) ซึ่งเป็นการใช้จ่ายของภาครัฐ ต้องเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้มากขึ้นกว่านี้
เราก็ต้องมาตามดูกันต่อไปว่า ด้วยนโยบายการเงินที่มีอยู่ เมื่อรวมกับนโยบายการคลังของประเทศจะสามารถช่วยไม่ให้เศรษฐกิจของไทยเข้าสู่ภาวะถดถอยได้หรือไม่
ที่น่าสนใจคือ ไม่ใช่แค่ประเทศไทยเท่านั้นที่กำลังเจอกับเรื่องนี้ แต่ประเทศทั่วโลกกำลังเจอความเสี่ยงที่เข้าสู่ภาวะถดถอยเหมือนกันหมด
และโดยปกติแล้วแต่ละประเทศจะดำเนินเข้าสู่ภาวะถดถอยต่างเวลากัน
แต่ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งแรกที่ประเทศทั่วโลกมีเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยพร้อมกันทั้งหมด..
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
รู้ไหมว่า ภาวะเศรษฐกิจที่รุนแรงและยาวนานกว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยก็คือ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ (Economic Depression) ซึ่งจะกินเวลาหลายปี บางครั้งก็ใช้เวลากว่า 10 ปี กว่าที่เศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง
ซึ่งนับตั้งแต่เริ่มศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา
ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่รุนแรงมากที่สุดก็คือ The Great Depression ซึ่งกินเวลาตั้งแต่ปี 1929-1941 มีจุดเริ่มต้นจากสหรัฐอเมริกา
โดยตั้งแต่ปี 1929-1933 มูลค่า GDP ของสหรัฐอเมริกาหายไปกว่า 33% อัตราการว่างงานพุ่งขึ้นสูงกว่า 25% ซึ่งนับเป็นอัตราการว่างงานที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา
ธนาคารในสหรัฐอเมริกากว่า 11,000 แห่งต้องปิดตัวลง คนที่ฝากเงินไว้กับธนาคารเหล่านี้ต้องสูญเงินไปทั้งหมด ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ตกต่ำอย่างหนัก
คนอเมริกันกว่า 2 ล้านคน กลายเป็นผู้ไร้ที่อยู่อาศัย และ 60% ของประชากรอยู่ในฐานะยากจน
แม้วิกฤตจะเริ่มต้นที่สหรัฐอเมริกาในตอนนั้น
แต่ความรุนแรงนั้นกลับแพร่กระจายไปในหลายประเทศทั่วโลก
หนึ่งในนั้นรวมถึงประเทศไทยของเราด้วย
ทำให้ช่วงนั้น ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงหลายเรื่องเช่นกัน
ถ้าเรื่องใหญ่สุดก็คือ ปี ค.ศ. 1932 หรือ ปี พ.ศ. 2475
เป็นปีที่ประเทศไทยเปลี่ยนการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย นั่นเอง..
อยากเข้าใจความเป็นไปของเศรษฐกิจโลก ต้องเรีบนรู้อดีต
หนังสือ เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 3
หนังสือเล่มนี้จะพูดถึงประวัติเศรษฐกิจโลกตั้งแต่ปี ค.ศ.1100 ไล่ยาวไปจนถึง ค.ศ.2019
ถ้าทางออนไลน์หมดแล้วก็คงต้องไปตามหาซื้อได้ที่ร้านหนังสือ หรือ รอพิมพ์ในครั้งต่อไป
สั่งซื้อได้ที่ (ซื้อตอนนี้มีส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)
Lazada : https://www.lazada.co.th/products/1000-i714570154-s1368712682.html
Shopee : https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161
╔═══════════╗
Blockdit ที่สุดของแอปมีสาระ
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-http://www.nesdc.go.th/download/article/article_20200220160533.pdf
- https://www.bot.or.th/Thai/Statistics/EconomicAndFinancial/RealSector/Pages/Index.aspx
-https://www.investopedia.com/terms/r/recession.asp
-http://www.nesdc.go.th/ewt_dl_link.php?nid=5176&filename=QGDP_report
-https://www.thebalance.com/recession-vs-depression-definition-causes-and-stats-3306048
-https://www.history.com/topics/great-depression/great-depression-history
-https://www.thebalance.com/the-great-depression-of-1929-3306033
-https://www.thebalance.com/unemployment-rate-by-year-3305506
-https://www.scbeic.com/th/detail/product/1431
-http://www.etatjournal.com/mobile/index.php/menu-read-tat/menu-2013/menu-2013-jan-mar/22-12556-euro
-https://www.youtube.com/watch?v=vMfD8gq7aSc
-https://www.bot.or.th/Thai/MonetaryPolicy/ArticleAndResearch/FAQ/FAQ_115.pdf
-http://pioneer.netserv.chula.ac.th/~msompraw/Subprime%20paper_Revised.pdf
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過4萬的網紅สาระ ศาสตร์,也在其Youtube影片中提到,#สาระ #แนวคิด #ความรู้ #สาระศาสตร์ ขึ้นชื่อว่า #การล้มเหลว เราคงอยากหลีกเลี่ยงมันให้มันมากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ แต่คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ก็ผ่...
หนังสือ เติบโต 在 K.S. Khunkhao Facebook 的最讚貼文
***รางวัลสูงสุดของชีวิตการทำงาน***
การที่คนๆหนึ่ง นำสิ่งที่ผมแบ่งปันไปใช้จนทำให้ชีวิตดีขึ้น
มีความสุขมากขึ้น และมีความหมายต่อผู้อื่นมากขึ้น
นี่คือรางวัลสูงสุดของชีวิตการทำงานของผมครับ
หากใครกำลังเบื่อชีวิต เหงา หรือเป็นโรคซึมเศร้า (ซึ่งช่วงนี้เป็นโรคที่ "มาแรง" มาก)
ลองอ่านเรื่องราวความเปลี่ยนแปลงของคุณแป้งดูในโพสต์ด้านล่าง และตามรูปเหล่านี้
แล้วเอาไปทำตามดูนะครับ ผมเชื่อว่าความเศร้าเหล่านั้นจะจางหายไป
เหลือเพียงคุณค่าและความสุขในการใช้ชีวิตทุกๆวัน
ขอบคุณคุณแป้งจากใจที่นำเรื่องราวดีๆมาแบ่งปัน
รวมทั้งเขียนสรุปความหนังสือของผมออกมาได้อย่างงดงาม
และเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
เข้าไปติดตามเพจของคุณแป้ง - ทนายธรรมะ - ผู้หญิงที่ผมชื่นชมในหัวใจอันมุ่งมั่น ได้ที่นี่นะครับ:
ทนายแป้ง ชุติมา
<3,
ขุนเขา.
#วันนี้แป้งจะมารีวิวหนังสือสมองเศรษฐี
ของคุณขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร
นักเขียนคนโปรดที่เปลี่ยนชีวิตแป้ง
แป้งรีวิวด้วยหัวใจและชีวิตนะคะ
เพราะแป้งนำความรู้จากหนังสือและคลิปต่างๆ ของคุณขุนเขามาปรับใช้กับชีวิตของแป้งจริงๆ คะ
ก่อนอื่นขอเล่าเรื่องก่อนนะคะว่าทำไมแป้งถึงชื่นชมคุณขุนเขา เพราะมีช่วงหนึ่งของชีวิตที่ผ่านมาช่วงปี 2556-2557 แป้งเสียคนที่รักไปสองปีติดกันแบบกะทันหัน ไม่ทันได้เตรียมใจ จึงเสียใจมาก จนอยู่ในภาวะซึมเศร้า ไม่สามารถก้าวข้ามผ่านไปได้ แป้งพยายามหาวิธีแก้ปัญหาจนไปเจอคลิปของคุณขุนเขาในยูทูป ชื่อคลิป "รักษาโรคซึมเศร้า" และทำตามที่คุณขุนเขาแนะนำจนดีขึ้น ได้ดูคลิปแทบทุกคลิปของคุณขุนเขา และอ่านหนังสือ จนชอบศึกษาเกี่ยวกับจิตวิทยาเลยทีเดียว
แต่หนังสือที่เป็นสุดยอดของสุดยอดของคุณขุนเขา และเป็นหนังสือที่ดีที่สุดในการใช้เป็นเข็มทิศในการดำเนินชีวิตเพื่อให้ประสบความสำเร็จ คือ หนังสือ "สมองเศรษฐี" คะ
หนังสือเล่มนี้แป้งอ่านแล้ว สนุกจริงๆ คุณขุนเขาเขียนได้ดีมาก ใช้ความรู้ทั้งคำสอนของพระพุทธเจ้าในการดำเนินชีวิต ที่สอนให้ทำสิ่งใดต้องเริ่มจากอิทธิบาท 4 (ฉันทะ-รัก วิริยะ-ขยัน จิตตะ-ตั้งใจ วิมังสา-ไตร่ตรอง)
ความรู้ ข้อคิด คำคม ความทะเยอทะยานของนักคิดนักเขียนของทางตะวันตก
และสุดท้ายจบด้วยบทสรุปแบบสุดประทับใจในแบบของคุณขุนเขา คือ เมื่อคนเราประสบความสำเร็จจนร่ำรวยแล้ว เงินจะขยายความเป็นตัวตนของคนนั้น
ในหนังสือสมองเศรษฐี
วิธีที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จประกอบด้วย 3H คือ
Heart = I dream ความฝัน
ประกอบด้วยความฝัน ความปรารถนา ความต้องการ เป้าหมาย จินตนาการ ความเชื่อมั่น ความกล้าหาญ และความรัก
สิ่งนี้แทนด้วย "หัวใจ" หรือ "Heart"
ถ้าคุณไม่มีใจ ไม่มีความฝัน คุณก็จะไม่ทำอะไร
Head = Idea ความคิดสร้างสรรค์
ประกอบด้วยความคิด ความรู้ ไอเดีย แผนการ หลักการ ระบบ และวิธีการ
สิ่งนี้แทนด้วย "หัวสมอง" หรือ "Head"
เป็นเรื่องของ "เหตุผล" และ "กลยุทธ์" ที่จะต้องคิดหาเส้นทางไปสู่ฝัน
Hand = I do ความขยันลงมือ
ประกอบด้วยการกระทำ การอดใจ ความอดทน ความอุตสาหะ ความมานะ ความมุ่งมั่น ความขยัน และความพยายาม
สิ่งนี้แทนด้วย "สองมือ" หรือ "Hand"
คือต้องลงมือทำ เปลี่ยนความฝัน ความคิดสร้างสรรค์ให้เป็นจริง
#การตั้งเป้าหมาย
สิ่งสำคัญที่สุด คือการตั้งเป้าหมาย
ให้เขียนลงไปในกระดาษ ให้เขียนในสิ่งที่อยากได้จริงๆ อยากเปลี่ยนจริงๆ และให้รักจริงๆ เพราะเมื่อเรารัก เราจะทำโดยไม่เบื่อ
มีความคิดสร้างสรรค์ มีพลังตลอดเวลา
การตั้งเป้าหมายมีความสำคัญมาก
เพราะเมื่อเราตั้งเป้าหมายแล้วเราจะโฟกัสตลอดเวลา ตากับสมองจะคอยมองหาโอกาส เราจะมองทุกอย่างเป็นอุปกรณ์ให้สำเร็จ
ไม่ได้มองเป็นอุปสรรค
มองแต่เป้าหมาย ไม่ได้มองขวากหนาม
เมื่อเราเจอใครหรือโอกาสอะไรเราจะคว้าไว้ทัน
#กฎแห่งความคู่ควร
เมื่อเราตั้งเป้าหมายชัดเจนแล้ว คุณขุนเขาสอนให้ต้องใช้ "กฎแห่งความคู่ควร"
เราไม่ได้ดึงดูดสิ่งที่เราต้องการ
แต่เราดึงดูดสิ่งที่เราคู่ควร
คือต้องลงมือทำ อยากได้อะไรต้องทำตัวให้คู่ควร อยากได้แฟนแบบนี้ ก็ต้องทำตัวให้คู่ควร
อยากรวยอยากประสบความสำเร็จ
ต้องพัฒนาตัวเองทุกวันให้คู่ควรกับสิ่งที่เราหวัง ที่เราอยากได้
#ดึงเสาที่ปักข้อจำกัดของตัวเองออกไปซะ
เป้าหมายจะหมดคุณค่าทันที
เมื่อเราปฏิเสธที่จะเดินเข้าไปหามัน
กุญแจทางจิตวิทยาที่คุณต้องจำไว้เสมอ คือ
"คุณจะไม่มีวันเดินไปได้ไกลกว่าเสาที่คุณปักไว้" หรือพูดอีกอย่างก็คือ "คุณจะไม่มีวันประสบความสำเร็จได้ไกลไปกว่าความเชื่อของคุณ"
ดังนั้นการตั้งเป้าหมายทางธุรกิจต้อง
เป็นสิ่งที่คุณรัก+คุณถนัด+มีคนย่อมจ่ายเงินให้คุณ
และสิ่งที่คุณคิดมีประโยชน์กับคนจำนวนมาก
และคุณต้องรู้จักใช้ระบบที่มีอยู่แล้วทำให้คุณรวย สร้างร่างของคุณเยอะๆ เช่น ใช้ยูทูป Facebook ให้เป็นประโยชน์ให้มันทำหน้าที่แทนคุณ โฆษณาแทนคุณตลอดเวลา
สร้างลูกน้องให้เก่งเหมือนคุณ
ยกตัวอย่าง คุณต๊อบ สาหร่ายเถ้าแก่น้อย
ใช้ประโยชน์จากระบบของเซเว่น เขาผลิตสาหร่ายส่งเซเว่น 1,000 กว่าสาขา ถ้าเขาเปิดร้านทอดสาหร่ายขาย เขาคงไม่รวยเป็นพันล้าน
และสุดท้ายที่สุด จะมี กฎ "Pareto Principle 80/20" คือ คน 20% ที่อ่านหนังสือเล่มนี้เท่านั้น ที่จะลงมือสร้างสมองเศรษฐีและมีอิสรภาพด้านการเงินได้ในที่สุด ส่วนที่เหลือ 80% จะได้รับความรู้ใหม่และได้แรงบันดาลใจ แต่ชีวิตไม่เปลี่ยนไปอย่างแท้จริง
ดังนั้น คุณขุนเขาจึงจะพลิกกฎนี้กลับ โดยให้สองสาเหตุที่ฉุดคนไว้ไม่ลงมือทำสิ่งที่ควรทำ เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตไปในทางที่ดีขึ้นอย่างจริงจัง นั่นคือ
1. การอดทนกับความทุกข์บางชนิด "ไม่ได้"
2. การอดใจกับความสุขบางชนิด "ไม่เป็น"
ทุกคนต้องทุกข์ต้องเจ็บ แต่คุณเลือกเจ็บแบบไหน
แบบแรก ความเจ็บที่เพิ่มความทุกข์
เช่น คุณทนเจ็บไม่ได้ที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ พัฒนาตัวเอง เพื่อให้มีอิสรภาพทางการเงิน
มาคิดได้อีกทีก็แก่แล้ว ไม่มีเรี่ยวมีแรง เจ็บป่วย ไม่มีเงินพอใช้ในชีวิตบั่นปลาย เพราะไม่ยอมเจ็บวันนี้ที่จะเปลี่ยนตัวเอง เพื่อสร้างอนาคต สร้างชีวิตที่ดีของคุณในระยะยาว
แบบที่สอง ความเจ็บที่จะเพิ่มความสุข
คือ ความเจ็บของการใช้ชีวิตที่มีวินัย
ในตอนแรกทุกคนย่อมรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นคนใหม่ เช่น ขยันอ่านหนังสือขึ้น ขยันออกกำลังกาย ไปเรียนเพิ่มเติม เพื่อปูรากฐานอนาคตที่รุ่งเรือง
สิ่งเหล่านี้แม้จะเจ็บและเหนื่อยยากเหมือนกัน แต่ย่อมสร้างความสุขที่ยั่งยืนภายหลัง
ความเจ็บปวดแบบแรก แปลงกายมาเป็น "ความสุข" แค่ไม่กี่วัน จากนั้นกลายเป็นความทุกข์ไม่มีที่สิ้นสุด
ความเจ็บปวดแบบที่สอง แปลงกายมาเป็น "ความทุกข์" แค่ไม่กี่วัน จากนั้นกลายเป็นความสุขไม่มีที่สิ้นสุด
ชีวิตยังไงก็ต้องเจ็บ แต่เศรษฐีเลือกเจ็บแบบที่สองเสมอ...
ให้รู้จัก 3G แห่งชีวิต คือ
Gain การ "ได้รับ"
...มันอาจเป็นรอยยิ้มจากคนที่เราไม่รู้จัก
...มันอาจเป็นคำบอกรักจากคนที่ห่วงใย
...มันอาจเป็นสิ่งของที่เราอยากได้มาใช้
...มันอาจเป็นเงินทองที่หลั่งไหลเข้าบัญชี
Grow การ "เติบโต"
...มันอาจเป็นความรู้ที่ทำให้ประกายตาเราสุกใส
...มันอาจเป็นการได้ค้นพบเรื่องราวอันแปลกใหม่
...มันอาจเป็นการก้าวข้ามความเจ็บปวดในหัวใจ
...มันอาจเป็นประสบการณ์ที่สร้างให้เราเติบโต
Give การ "ให้"
...มันอาจเป็นการทำบุญที่หนุนให้ใจสูง
...มันอาจเป็นการจูงคนตาบอดข้ามถนน
...มันอาจเป็นการได้ให้ความสุขใครสักคน
...มันอาจเป็นการสละตนจนไร้ "อัตตา"
3G นี้จะทำให้เราสมบูรณ์และค้นพบความหมายของชีวิต
"ความหมายของชีวิต" ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เงินจะขยายตัวตนของคนนั้น
แต่คนที่มีเงินมากมาย แต่ชีวิต "ไม่มีความหมาย" ก็ไม่ต่างจาก "คนตายที่มีสมบัติเต็มโลง"
นี้แค่ส่วนหนึ่งของหนังสือนะคะ
สุดยอดของหนังสือจริงๆ
ใครอยากประสบความสำเร็จต้องมีไว้
เป็นหนังสือสามัญประจำบ้านเลยนะคะ
ด้วยจิตคารวะและชื่นชมอย่างที่สุด
ติดตามคุณขุนเขาได้ที่
Facebook : Khunkhaowriter
Youtube : ขุนเขามีคำตอบ
หนังสือ เติบโต 在 สาระ ศาสตร์ Youtube 的最讚貼文
#สาระ #แนวคิด #ความรู้ #สาระศาสตร์
ขึ้นชื่อว่า #การล้มเหลว เราคงอยากหลีกเลี่ยงมันให้มันมากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ แต่คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ก็ผ่านการล้มเหลวแบบแสนสาหัสกันมาแล้วทั้งนั้นครับ ไม่มีใครที่ยิ่งใหญ่ได้โดยไม่ผ่านการเจ็บปวดเลย
แต่สิ่งที่ทำให้บุคคลที่ผ่านการล้มเหลวแล้วสามารถกลับมาเก่งขึ้น ยิ่งใหญ่กว่าเดิมได้ เพราะ เค้าเหล่านั้นล้มเหลวอย่างมีหลักการ
รวบรวมสาระที่เป็นประโยชน์จากเรื่องราวต่างๆที่ได้อ่านและประวัติของบุคคลที่ประสบความสำเร็จไ เพื่อให้เป็นประโยชน์สำหรับคนที่รักการพัฒนาตัวเองและอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขี้น
ถ้าสาระเหล่านี้มีประโยชน์อล่าลืมแชร์ให้คนที่คุณรักรอบๆตัวได้อ่าน ได้ฟังกันนะครับ ขอให้สนุกกับการพัฒนาตัวเองและความรู้ทุกท่านครับ
สำหรับคนชอบอ่าน ผมได้เขียนบทความเอาไว้ที่นี่ http://bit.ly/2nTdvYr
สำหรับคนที่อยากอ่านอะไรสั้น ผมได้เขียนเอาไว้ที่นี่ https://twitter.com/M0l30T
สำหรับคนที่เล่นเฟซบุ๊คมากกว่า ผมมีเพจที่นี่ http://bit.ly/2DnkUVM
ขอบคุณทุกคนจากใจจริงที่ยังติดตามและสนับสนุนกันอยู่นะครับ