Love, Victor (สามารถดูได้ใน Disney+ Hotstar)
• ซีรีส์สานต่อความสำเร็จของ Love, Simon เล่าถึงเด็กหนุ่มลาตินในช่วงค้นหาตัวเอง โดยมีไซมอนเป็นที่ปรึกษาคอยแนะนำผ่านทาง dm อินสตาแกรม
• เป็นซีรีส์แนวให้กำลังใจที่คำแนะนำค่อนข้างมีประโยชน์สำหรับวัยรุ่นในช่วงยังไม่เปิดตัว สัมผัสได้ถึงความเป็นชุมชนจากคนผ่านประสบการณ์เดียวกันมาก่อนมาคอยช่วยเหลือกัน
• เกรดดิ้งสีค่อนข้างแปลกตา เปิดมาตอนแรกคือนึกว่าจอเสียหรือไฟล์เพี้ยน มันทำโทนออกมาเหลืองร้อนเหมือนเวลาหนังฮอลลีวูดไปถ่ายเม็กซิโกประมาณนั้น
• เนื้อเรื่องแอบสูตรพอสมควร แทบจะทุกตอนสามารถเดาฉากต่อไปไม่ยาก แต่ก็เป็นซีรีส์ที่ดีนะ
• ตัวละครจาก Love, Simon ที่มาปรากฏตัวมีแค่ ไซมอนกับแบรม เป็นวัยมหาวิทยาลัยอยู่นิวยอร์กกันละ
• ซีรีส์ดูเป็นเซ็ตติ้งโลกปัจจุบัน คนในรุ่นราวคราวเดียวกันไม่ได้เหยียดเพศ เข้าใจเรื่องสิทธิ์ในการเปิดเผย แต่กับคนรุ่นก่อนบางส่วนยังเคร่งศาสนา อาจจะไม่ได้แคร์ว่าใครจะเป็นเกย์ ขอแค่อย่าเป็นคนในครอบครัวประมาณนั้น
• ฟังเพลงธีมซีรีส์ Somebody Tell Me จนกลายเป็นเพลงที่ชอบไปเลย
• เห็นมี 10 ตอน แต่ตอนนึงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง จบทั้งซีซั่นก็ประมาณเกือบ 5 ชั่วโมงเอง ไม่ยาวมาก
• ซับไทยใน Disney+ Hotstar แปลแยกและผิดกันเกิน เข้าใจว่าแบ่งกันแปลแต่ละตอนแล้วไม่มีคำกลางใช้หรือไม่มีคนตรวจสุดท้าย ชื่อตัวละครคนนึงแปล แอนดรูว์ อีกคนมาแอนดริว หรือแบบตัวเอกเป็นพี่ชายคนโต อยู่ดี ๆ กลายเป็นมีพี่สาวเฉย นอกนั้นก็พวกคำแทนตัว ผม/เขา/นาย
-------------------------------------
'วิคเตอร์' (Michael Cimino) เพิ่งย้ายบ้านมาแอตแลนต้าตามครอบครัว เขาต้องปรับตัวเข้าไฮสคูลกลางเทอม ในช่วงที่กำลังค้นหาตัวเองว่าชอบเพศไหนกันแน่ จึงลองทักไปปรึกษา 'ไซม่อน' (Nick Robinson) ที่ให้คำแนะนำอย่างดี ปรากฏว่าเข้าเรียนวันแรกเขาก็ปิ๊ง 'มีอา' (Rachel Hilson) เด็กสาวที่ไม่เคยเดตกับใครมาก่อนจนกลายเป็นคู่เดตกัน แต่ก็แอบเหล่ 'เบนจี้' (George Sear) เกย์สุดหล่อที่ต่อมากลายเป็นคนทำงานร้านกาแฟเดียวกับเขา
.
ด้วยความที่สองผู้สร้างซีรีส์ก็คือคนเขียนบทหนัง Love, Simon แถมตัวเรื่องก็เอาแรงบันดาลใจมาจากนิยายเดียวกัน โทนและบรรยากาศจึงแทบจะเรียกได้ว่าถอดมาจาก Love, Simon เอามาปรับบริบท โดยยังคงแกนหลักเป็นเรื่องของเด็กม.ปลายในช่วงค้นหาตัวเอง และมีเพื่อนคุยแชทลับ ๆ แค่คราวนี้เป็นที่ปรึกษาไม่ใช่คนที่แอบชอบ ซึ่งคำแนะนำจากไซมอนก็จะเป็นเรื่องการวางตัว, การกระตุ้นให้ตัดสินใจ ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไปและเน้นไปที่ความเป็นตัวของตัวเอง ดูเป็นคำแนะนำจากรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์คอยชี้ทางรุ่นน้องให้เดินไปในทางที่เหมาะสมแบบไม่เสียความเป็นตัวเอง ซึ่งพอมันเล่าแบบนี้แล้วจึงชอบมาก ๆ
.
ตลอดทั้งเรื่องโมเม้นต์ส่วนใหญ่คืออยู่กับแฟนสาวและครอบครัว พวกตัวละครก็ปรับเปลี่ยนนิดหน่อย เช่น จากเดิมครอบครัวอบอุ่นสุขสันต์หัวเสรีนิยม เพื่อนก็ดีเป็นเซฟโซน แต่คราวนี้ครอบครัวมีปัญหาระหองระแหง พ่อแม่เป็นคนเคร่งศาสนาระดับหนึ่ง และคราวนี้เพิ่งย้ายโรงเรียนมาต้องหาเพื่อนใหม่อีก แถมพอความยาวในการเล่าเยอะขึ้นเลยมีเวลาให้สำรวจรูปแบบชีวิตของเด็กคนอื่น ๆ ที่ล้วนมีปัญหาจากครอบครัว โดยเฉพาะบทของ 'เลค' (Bebe Wood) ที่ดูจะเด่นเป็นพิเศษในฐานะเด็กสาวที่ถูกกดดันจากแม่ที่ประสบความสำเร็จ จนตัวเองกลายเป็นคนแคร์ความเห็นคนอื่นมากเกินไปจนแทบไม่เป็นตัวของตัวเอง
.
ในภาพรวมต้องบอกว่า Love, Victor เป็นซีรีส์ให้กำลังใจที่ดี โฟกัสหลักเรื่องค้นหาตัวเอง ยังคงทำให้คนเข้าใจถึงความยากลำบากในการเปิดเผยตัวในยุคที่สังคมเปิดกว้างมากขึ้นแล้ว แม้จะเป็นคนไม่มีประสบการณ์ร่วมก็ยังดูแล้วเข้าใจความรู้สึกดังกล่าว
Creators: Isaac Aptaker, Elizabeth Berger (คนเขียนบท Love, Simon)
10 Episodes (เฉลี่ยตอนละ 28 นาที)
B+
#หนังโปรดxDisneyplusHotstar
「หนังโปรดxdisneyplushotstar」的推薦目錄:
- 關於หนังโปรดxdisneyplushotstar 在 หนังโปรดของข้าพเจ้า Facebook 的最佳解答
- 關於หนังโปรดxdisneyplushotstar 在 หนังโปรดของข้าพเจ้า Facebook 的最讚貼文
- 關於หนังโปรดxdisneyplushotstar 在 หนังโปรดของข้าพเจ้า Facebook 的精選貼文
- 關於หนังโปรดxdisneyplushotstar 在 Disney+ Hotstar Thailand | Facebook 的評價
- 關於หนังโปรดxdisneyplushotstar 在 หนังและซีรีส์แนะนำ เดือนเมษายน | Disney+ Hotstar Thailand 的評價
- 關於หนังโปรดxdisneyplushotstar 在 หนังและซีรีส์แนะนำ เดือนมีนาคม | Disney+ Hotstar Thailand 的評價
- 關於หนังโปรดxdisneyplushotstar 在 หนังและซีรีส์น่าดู เดือนกุมภาพันธ์ | Disney+ Hotstar Thailand 的評價
หนังโปรดxdisneyplushotstar 在 หนังโปรดของข้าพเจ้า Facebook 的最讚貼文
Devs (สามารถดูได้ใน Disney+ Hotstar)
• ซีรีส์แนว Hard Sci-fi ไม่ได้มีมาบ่อย ๆ แค่เห็นชื่อ อเล็กซ์ การ์แลนด์ คนเขียนบทและกำกับ Ex Machina, Annihilation ก็ไว้ใจได้
• ทั้ง Ex Machina และ Devs มีจุดร่วมคล้ายกันคือการสวมบทเป็นพระเจ้าผ่านจักรกล เรื่องแรกต้องการพิสูจน์ความเป็นปัญญาประดิษฐ์ ส่วนเรื่องหลังพิสูจน์ว่าโลกดำรงอยู่ด้วยเหตุวิสัย (Determinism) เหตุของการกระทำถูกกำหนดด้วยผลที่เกิดขึ้นก่อนหน้า
• แค่เปิด EP. แรกมาก็จูนติดทันที ซีรีส์เริ่มต้นด้วยการทดลองทำนายการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวจากระบบประสาท ซึ่งสามารถคาดเดาล่วงหน้าได้เป็น 10 วินาที มีความแม่นยำเกือบจะ 100% แล้วถ้าเรามีควอนตัมคอมพิวเตอร์หรือเทคโนโลยีที่ประมวลผลได้ดีกว่านี้ มันก็น่าเชื่อว่าจะคาดเดามนุษย์ได้
• ต้องยอมรับว่าซีรีส์เนือยมาก แต่ละตอนเนื้อเรื่องเดินหน้าน้อยแต่มีความน่าติดตามสูง ถ้าตัดจริง ๆ เชื่อว่าสามารถเหลือความยาวพอเป็นหนังได้ อย่างช่วงแรกที่ดูรู้สึกว่ามันขายเนื้อเรื่องประมาณ 30% ส่วนที่เหลือโชว์งานออกแบบ โชว์งานกำกับภาพ ซึ่งก็เจ๋งดี
• คนออกแบบงานสร้างคือ Mark Digby ส่วนตกแต่งภายในก็ Michelle Day ทั้งคู่เคยร่วมงานกับการ์แลนด์มาทั้ง Ex Machina และ Annihilation คิดว่า Devs นี่คือยกไปอีกระดับเลย
• ส่วนตัวเป็นคนเชื่อใน Free Will แต่ซีรีส์ชักจูงจนเราเชื่อใน Determinism ว่าทุกอย่างถูกกำหนดไว้หมดแล้ว เผลอ ๆ จะไม่เชื่อใน Random Experiment อย่างเช่นการโยนเหรียญที่สามารถโต้แย้งได้ทั้งเรื่องแรงดีด, ความเร็วลม, มุมตกกระทบ, น้ำหนักของเหรียญ
-------------------------------------
'เซอร์เกย์' นักพัฒนาด้าน AI ได้รับคำชวนจาก 'ฟอเรสต์' (Nick Offerman) เจ้าของบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ให้เข้าร่วมโครงการลับสุดยอดชื่อว่า Devs แต่ปรากฏว่าแค่เข้าทำงานวันแรกก็หายตัวไปอย่างลึกลับ ทำให้ 'ลิลี่' (Sonoya Mizuno) แฟนสาวที่เป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ต้องออกตามหาตัวเขา ก่อนจะพบข่าวร้ายที่ทำให้เธอใจสลาย
.
สิ่งแรกที่ดึงดูดเราให้จูนติดกับเรื่องราวคือไอเดียที่อยู่เบื้องหลังของซีรีส์ Devs ไม่ได้อ้อมค้อมในการเปิดจุดยืนของฟอเรสต์ในฐานะเจ้าของบริษัทและการพัฒนาเทคโนโลยีจากควอนตัมคอมพิวเตอร์เพื่อพิสูจน์ว่าทุกสิ่งอย่างบนโลกเป็นเหตุวิสัย จักรวาลถูกกำหนดไว้แล้วจากผลของการกระทำก่อนหน้า คนเราไม่ได้มีเจตจำนงเสรีที่จะเลือกจงรักภักดีหรือหักหลังใคร ทุกคนใช้ชีวิตอยู่บนรางที่เคลื่อนไปข้างหน้าพร้อมภาพลวงตาว่าเราสามารถเลือกตัดสินใจได้ เราแค่ทำในสิ่งที่เชื่อมโยงต่อกันมาจากผลก่อนหน้านี้ คล้ายกับที่เซอร์เกย์สามารถทำนายการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว แค่มีความซับซ้อนกว่ากันหลายเท่า
.
สิ่งต่อมาที่ดึงดูดเราเหลือเกินคือการออกแบบสถาปัตยกรรมอาคารแล็บ Devs จริง ๆ ถูกจริตตั้งแต่การเลือก The McHenry Library เป็นสถานที่ถ่ายทำออฟฟิศหลัก มันทำให้ดูเป็นบริษัทที่มีความลึกลับและล้ำสมัยในตัว เป็นอาคาร 3 ชั้นที่ผนังเป็นกระจกแนวสูงทั้งหมด ล้อมรอบด้วยป่าไม้สนยิ่งเสริมให้ทำเลมีเสน่ห์ชวนค้นหา แต่พอการออกแบบเพิ่มรูปปั้นเด็กสาวขนาดใหญ่ สูงพ้นแนวต้นส้นมันกลับทำให้สถานที่แห่งนี้มีความชวนรู้สึกอึดอัดจากรูปปั้นและงานเพ้นต์ตามผนัง มองไปทางไหนก็เจอแต่เด็กสาวอยู่รอบตัว แค่เพียงเพราะเจ้าของบริษัทต้องการดึงตัวตนของเด็กสาวที่ชอบงานปั้นและงานระบายสีออกมา
.
ส่วนอาคารแล็บ Devs คือไปสุดมาก ภายนอกเป็นคอนกรีตหนาทึบชวนให้นึกถึงโบสถ์หินที่ตั้งอยู่กลางป่าโล่ง ๆ แต่คนออกแบบเพิ่มความเท่ในตอนกลางวันด้วยแท่งเหล็กทอง ๆ เป็นเงาส่องสะท้อน ส่วนกลางคืนก็มีไฟเล็ก ๆ ตามแนวพื้นกับส่วนล่างผนังอาคารที่ดูแล้วโคตรคูล แล้วระหว่างทางเดินไปอาคารตอนกลางคืนเป็นป่าสนที่มีวงแหวนส่องสว่างรอบต้นสน โคตรล้ำโคตรไซไฟแบบมินิมอล ยิ่งพอเจอการออกแบบภายในคือปรบมือให้เลย ชอบการออกแบบห้องลูกบาศก์กลางสุญญากาศที่เชื่อมต่อด้วยลิฟต์แบบทำงานด้วยสนามแม่เหล็ก เรียบหรูเปิดโล่งดูล้ำ อลังการด้วยการตกแต่งภายในด้วยสีทองล้วน ๆ แล้วมันจงใจวางควอนตัมคอมพิวเตอร์ไว้เด่นหราแบบเสริมความไฮเทคเข้ากับงานออกแบบภายในมาก ๆ จนทั้งหมดของอาคารดูเป็นเนื้อเดียวกัน
.
***** เปิดเผยเนื้อหาบางส่วน แต่ไม่เฉลยตอนจบ *****
จุดเริ่มต้นของ Devs น่าสนใจมาก ตั้งแต่เปิดเรื่องเราจะเห็นว่างานออกแบบช่างทำให้รู้สึกได้เลยว่าฟอเรสต์หมกมุ่นอยู่กับการเสียชีวิตของลูกสาว ทั้งชื่อบริษัท อมายา ที่เป็นชื่อลูกสาวตัวเอง, รูปปั้นขนาดใหญ่ชวนอึดอัด, ภาพอมายาเต็มกระจกอาคาร เพียงแต่ที่เราแปลกใจคือความหมกมุ่นขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องความต้องการย้อนเวลากลับไปหาลูกสาว แต่เป็นความต้องการจะพิสูจน์ว่าการตายของลูกสาวเป็นสิ่งที่จักรวาลกำหนดไว้แล้วไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
.
อารมณ์เหมือนคนเรารู้สึกผิดแล้วเกิดสถานการณ์ what if... ขึ้นมาในใจ เช่น ฟอเรสต์มัวแต่ชวนภรรยาคุยโทรศัพท์ขณะขับรถจนทำให้เกิดอุบัติเหตุ ถ้าเกิดเขาตัดสินใจวางสายเร็วกว่านั้นสัก 30 วินาที อุบัติเหตุคงไม่เกิด แต่การที่เขาไม่มี free will คือไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาก็ไม่มีทางตัดสินใจด้วยตัวเองว่าต้องวางโทรศัพท์ ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้วเป็นเหตุวิสัยจากผลก่อนหน้า การสร้างจักรกลสุดล้ำที่สามารถย้อนเวลาไปดูภาพจำลองตั้งแต่ยุคหิน และเวลาไหนก็ได้ตามใจต้องการ จึงมีหน้าที่เพียงพิสูจน์ข้อสงสัยเพื่อปลดล็อคความรู้สึกผิดในใจเท่านั้นเอง (ฉากที่ทำทึ่งไปเลยคือพอพิสูจน์ได้ถึงพหุภพ/จักรวาลคู่ขนาน แทนที่ฟอเรสต์จะดีใจในความคืบหน้าทางวิทยาศาสตร์ กลับกลายเป็นว่าเขาโมโหที่ไปเพิ่มความเป็นไปได้ของมิติที่ไม่ใช่มิติที่เราดำรงอยู่)
.
***** เปิดเผยตอนจบ *****
ตลอดทั้งเรื่องเราจึงเห็นว่ามนุษย์ทุกคนกระทำตามสิ่งที่จักรกลทำนายไว้ล่วงหน้า มีเพียงแค่ฟอเรสต์และ 'เคธี่' (Alison Pill) มือขวาของเขาที่แหกกฎด้วยการดูอนาคต แต่สิ่งที่เราสงสัยมาตลอดก็ได้รับการคลี่คลาย สมมุติเรารู้อนาคตเรียบร้อย เราจะยังตัดสินใจตามภาพที่เห็นจริงเหรอ ส่วนตัวเข้าใจได้ถ้าซีรีส์จะชักจูงให้เราคล้อยตามทฤษฎี Determinism เพราะยังไม่รู้อนาคต เท่ากับไม่รู้การตัดสินใจ จึงเป็นการตัดสินใจตามผลก่อนหน้าที่ถูกจักรวาลกำหนดชะตากรรมไว้แล้ว
.
แต่สมมุติเราเห็นภาพอนาคตเรียบร้อย เราจะไม่เปลี่ยนแปลงการตัดสินใจจริงเหรอ พอมาเจอฉากที่ลิลี่ ซึ่งเห็นภาพจำลองอนาคตหมดแล้วตัดสินใจทำสิ่งที่ไม่เหมือนกับภาพจำลอง มันเลยกลายเป็นฉากที่ทำให้เรากลับมาเชื่อใน free will ของตัวเองอยู่ดี แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเข้าใจสถานการณ์ของซีรีส์ว่า Determinism เกิดเพราะทุกคนไม่เคยเห็นภาพจำลองอนาคต แต่ถ้าเราเห็นอนาคตเราจะสามารถตัดสินใจได้ แปลว่าโลกนี้ไม่ได้มีพระเจ้ากำหนดทุกสิ่ง เพราะมนุษย์ทุกคนมีเจตจำนงเสรี ต่อให้การกระทำของเราตรงกับที่พระเจ้ากำหนดก็ใช่ว่าจะเป็นผลของการกระทำก่อนหน้า แต่อาจเป็นเพราะเรามีความรู้สึกนึกคิดของตัวเองในการตัดสินใจ
.
ในทางลึก ๆ แล้ว Devs ของการ์แลนด์ ก็ยังคงเป็นงานที่ท้าทายความเชื่อในการพิสูจน์เรื่องพระเจ้ามาก ๆ และเราก็ชอบที่การ์แลนด์บอกว่า ไม่ว่าเราจะรับรู้ถึงเจตจำนงเสรีหรือภาพลวงตา สุดท้ายทุกคนก็มีสิ่งที่ตัวเองห่วงใยอยู่ เมื่อได้ทางเลือกในการตัดสินใจใหม่อีกครั้ง เราก็จะเลือกทำหรือเปลี่ยนแปลงเพื่ออยู่กับสิ่งที่ตัวเองแคร์ในท้ายที่สุด
Creator: Alex Garland (เขียนบท Ex Machina, Annihilation, Sunshine)
10 Episodes (เฉลี่ยตอนละ 50 นาที)
A
#หนังโปรดxDisneyplusHotstar
หนังโปรดxdisneyplushotstar 在 หนังโปรดของข้าพเจ้า Facebook 的精選貼文
Snowfall ซีซั่น 1 (สามารถดูได้ใน Disney+ Hotstar)
ซีรีส์แนวอาชญากรรมแก๊งค้ายาในแอลเอ ช่วงยุค 80's จุดเริ่มต้นก่อนโคเคนแบบแคร็กจะระบาดไปทั้งเมือง ซีรีส์เล่าชีวิตของคน 3 กลุ่ม ที่ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับตรง ๆ เลย 'แฟรงคลิน' (Damson Idris) เด็กผิวดำวัย 20 ปีที่สบโอกาสได้เริ่มต้นขายโคเคน ด้วยการรับยาจากแก๊งอิสราเอลมาปล่อยต่อให้เจ้าของคลับ, 'เท็ดดี้' (Carter Hudson) เจ้าหน้าที่ CIA ที่นำเข้ายาเสพติดมาขายในอเมริกาเพื่อหาเงินกลับไปซื้ออาวุธและสนับสนุนการต่อต้านคอมมิวนิสต์ในต่างแดน, 'กุสตาโว่' (Sergio Peris-Mencheta) นักมวยปล้ำที่มีจ็อบเสริมรับทวงหนี้ ก่อนจะได้รับการชักชวนให้เข้าวงการค้ายาเสพติดกับลูกหลานของแก๊งเม็กซิกัน ที่แอบ ๆ ครอบครัวทำธุรกิจ
.
ถึงแม้ซีซั่นแรกจะเล่าสามเส้นเรื่องพร้อมกันตัดต่อสลับไปมา แต่จุดร่วมที่มีตรงกันอย่างหนึ่งคือทุกคนเป็นพวกไร้ประสบการณ์ในวงการนี้ จึงต้อง ๆ ค่อยเจอแบบทดสอบท้าทายความชั่วร้ายและความเหี้ยมโหดในตัวเอง เพื่อจะมีชีวิตรอดอยู่ในวงการต่อไป อย่างแฟรงคลินยังเด็กวัยเพิ่งเรียนจบกำลังห้าว ขนยาเป็นกิโลคนเดียวลำพัง ดอกแรกที่เจอคือโดนรุมกระทืบเกือบตายจากแก๊งค้ายาที่เสียลูกค้า ต่อจากนั้นเขาจึงต้องเริ่มชวนเพื่อนมาทำ แต่เพื่อนแต่ละคนก็วัยเดียวกัน ไม่มีประสบการณ์เหมือนกัน, เท็ดดี้ก็เป็นพวกรักชาติจัด ต้องมาทำงานแทนเจ้าหน้าที่ CIA อีกคนที่เสียชีวิตเพราะเสพยาเกินขนาด เขาต้องดีลกับ 'อเลฮานโดร' ทหารนิการากัวที่ได้รับเงินสนับสนุนจากอเมริกา ทั้งเรื่องขนยาเข้าและเอาอาวุธออก แถมยังต้องช่วยปกปิดคดีฆ่าคนตายของอเลฮานโดรอีก, ส่วนกุสตาโว่ยิ่งแล้วใหญ่ รับงานขโมยเงินง่าย ๆ แต่ดันจ๊ะเอ๋คนในบ้านจนถึงขั้นฆ่าคนตาย ต้องฆ่าคนมาเป็นแพะรับผิดแทนอีก
.
ซีรีส์จึงเต็มไปด้วยเรื่องราวระหว่างแก๊งในแอลเอที่เชื่อมโยงกันทางอ้อม เท็ดดี้เป็นต้นน้ำลักลอบนำยาเสพติดเข้ามากระจายต่อ ซึ่งกุสตาโว่กับแก๊งอิสราเอลมารับไปขายต่ออีกที กว่าจะถึงรายย่อยคือเจอคนกลางหลายต่อมาก ในยุคที่คนผิวดำไม่มีเงินจึงเลือกเสพแต่กัญชา ส่วนโคเคนเป็นของชุมชนคนผิวขาวฐานะดี ซีซั่นแรกจะค่อย ๆ พาไปดูจุดเปลี่ยนว่าโคเคนมาขยายตลาดถึงกลุ่มคนผิวดำได้ด้วยกรรมวิธีแปรรูปเป็นแคร็กขายราคาต่ำ และความขัดแย้งระหว่างแก๊งค้ายาผิวดำกับแก๊งเม็กซิกันก็ยังคุกรุ่นพร้อมระเบิดได้ตลอดเวลา จึงแยกกันอยู่ตัวใครตัวมัน ล้ำเส้นเป็นต้องโดน แล้วพวกตัวละครหลักในซีซั่นแรกคือตัวกระจ้อยที่ทะเยอทะยานอยากเป็นใหญ่ จึงต้องหาทางโค่นเจ้าถิ่นให้ได้ก่อน
.
ใครมองหาซีรีส์แนวอาชญกรรมวงการค้ายาช่วงล้มลุกคลุกคลานก็ต้องจัดซีซั่นแรกของ Snowfall เชื่อว่าซีซั่นต่อไปจะเข้มข้นขึ้นไปได้อีก
Creators: Eric Amadio, Dave Andron, John Singleton (ผู้กำกับและเขียนบท Boyz n the Hood)
10 Episodes (เฉลี่ยตอนละ 50 นาที)
B+
#หนังโปรดxDisneyplusHotstar
หนังโปรดxdisneyplushotstar 在 หนังและซีรีส์แนะนำ เดือนเมษายน | Disney+ Hotstar Thailand 的推薦與評價
รวบตึง หนัง และซีรีส์แนะนำเดือนเมษา รอดูเรื่องอะไรกันอยู่บ้างน้า ... Top 10 Most Popular Series on Disney+ | Disney Plus Hotstar. ... <看更多>
หนังโปรดxdisneyplushotstar 在 หนังและซีรีส์แนะนำ เดือนมีนาคม | Disney+ Hotstar Thailand 的推薦與評價
หนัง และซีรีส์แนะนำ เดือนมีนาคม | Disney+ Hotstar Thailand ... Disney Plus ตัดอะไรบ้าง [ Viewfinder : Disney+ Hotstar Thailand ]. ... <看更多>
หนังโปรดxdisneyplushotstar 在 Disney+ Hotstar Thailand | Facebook 的推薦與評價
หาชมได้ใน Disney plus Hotstar มีพากย์ไทยแบบระบบเสียง ... Disney hotstar โดนหักบัตรไปวันนี้ ... หนังมาร์เวลที่ดีที่สุดหลัง Endgame ได้ฤกษ์เข้า Disney+ ... <看更多>