กระทรวงการคลังยืนยัน หนี้สาธารณะปี 2564 ไม่ทะลุเพดาน เพราะหนี้รัฐบาลไทยยังอยู่ในระดับที่ต่ำเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศอื่นในเศรษฐกิจระดับเดียวกันโดยหลังจากที่มีการเผยแพร่ข่าวกรณี “ธนาคารโลกรายงานว่าประเทศไทยกำลังจะเผชิญกับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจอย่างรุนแรง เป็นหนึ่งในปัญหาที่สำคัญที่สุดเกิดจากการที่ หนี้สาธารณะของไทยเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 18 ปี เพราะการกู้เงินของรัฐบาลจำนวน 1.9 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 13% ของ GDP” จากเพจ วิชชั่นใหม่ เพื่อเศรษฐกิจไทยมั่นคง
.
ทำให้ นางจินดารัตน์ วิริยะทวีกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะได้ออกมาปฏิเสธข่าวลือดังกล่าว และชี้แจงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับหนี้สาธารณะ ดังนี้ สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตและสุขภาพอนามัยของประชาชนทุกสาขาอาชีพในวงกว้าง (Pandemic) การดำเนินมาตรการควบคุมและยับยั้งการแพร่ระบาด ส่งผลให้การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของทุกภาคส่วนทั่วโลกเกิดภาวะชะงักงันอย่างฉับพลัน นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงและขยายเป็นวงกว้างทั่วโลกและยังไม่สามารถคาดการณ์การหยุดการระบาดได้
.
การกู้เงินของรัฐบาลแบ่งเป็นอะไรบ้าง ?
ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 อย่างรุนแรง รัฐบาลจึงได้ตราพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เพื่อรองรับผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19 จำนวน 3 ฉบับ ได้แก่
1) พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน วงเงิน 1 ล้านล้านบาท
2) พ.ร.ก. ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 วงเงิน 500,000 ล้านบาท
3) พ.ร.ก. การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ วงเงิน 400,000 ล้านบาท
.
ทั้งนี้ พ.ร.ก. 2) และ 3) เป็นการช่วยเหลือทางการเงินและการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน มิได้เป็นการกู้เงินเพื่อนำไปดำเนินงาน จึงไม่นับเป็นหนี้สาธารณะ ดังนั้น สรุปได้ว่า รัฐบาลจะมีภาระจากการกู้เงินโดยตรงเพียง 1 ล้านล้านบาท มิใช่ 1.9 ล้านล้านบาท ซึ่งปัจจุบันกระทรวงการคลังดำเนินการกู้เงินภายใต้ พ.ร.ก. ดังกล่าวแล้วจำนวน 348,761 ล้านบาท
.
“หนี้สาธารณะต่อ GDP ยังอยู่ในกรอบ พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ ไม่เกิน 60% ต่อ GDP”
สำหรับหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2563 มีจำนวนทั้งสิ้น 7.8 ล้านล้านบาท โดยมีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เท่ากับ ร้อยละ 49.53 ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้กรอบวินัยทางการคลังซึ่งกำหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 60 ขณะที่ปี 2543 มีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงสุดเท่ากับ ร้อยละ 59.98 เนื่องจากประสบกับวิกฤติของสถาบันการเงินในประเทศ
.
รัฐบาลไทยมีหนี้อยู่ใน “ระดับต่ำ”
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาสัดส่วนหนี้ภาครัฐบาล (General Government Debt) พบว่า รัฐบาลไทยมีหนี้อยู่ในระดับต่ำ (ร้อยละ 44.37) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชีย (Emerging and Developing Asia Countries) ซึ่งมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 62.89 (IMF, 2563)
.
นอกจากนี้ สัดส่วนของไทยยังอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่ม ASEAN และประเทศกำลังพัฒนาด้วยกัน เนื่องจากหนี้สาธารณะส่วนใหญ่เกิดจากการกู้เพื่อเป็นรายจ่ายลงทุนในระบบงบประมาณ และการกู้เพื่อลงทุนในโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมด้านต่างๆ ซึ่งส่งผลให้ GDP ของประเทศเกิดการขยายตัวตามไปด้วย
.
นอกจากนี้ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Agencies) ระดับสากล ได้แก่ S&P Moody’s และ Fitch ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) เนื่องจากประเทศไทย มีภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) ที่แข็งแกร่งเป็นผลจากการบริหารจัดการทางการคลังอย่างรอบคอบและรักษาวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด
.
อนึ่ง #หนี้สาธารณะ หมายถึง การกู้ยืมเงินของรัฐบาลเมื่อรัฐบาลมีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย จึงจําเป็นต้องกู้เงินมาใช้จ่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลของประเทศกําลังพัฒนา หนี้สาธารณะมีความสำคัญต่อประชาชน เนื่องจากประชาชนต้องเสียภาษีเพื่อให้รัฐบาลนำเงินไปใช้จ่ายหนี้ที่กู้ยืมมาเพื่อการพัฒนาประเทศ หากหนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้นจนทะลุเพดานที่กำหนดไว้ ความมั่นคงทางการเงินของประเทศอาจสั่นคลอน และส่งผลกระทบต่อประชาชนด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
.
ที่มา : https://www.pdmo.go.th/th/press-release
http://www.investerest.co/economy/what-is-public-debt/ https://web.facebook.com/MoFNewsStationThailand/posts/1553256118213032
.
#อายุน้อยร้อยล้าน #ryounoi100lan
#อายุน้อยร้อยล้านNEWS
#Financial #หนี้ #หนี้สาธารณะ #กระทรวงการคลัง #รัฐบาล
หนี้ หมายถึง 在 sittikorn saksang Facebook 的最讚貼文
สรุปเนื้อหากฎหมายมหาชน
"กฎหมายเอกชนกับกฎหมายมหาชน"
แนวคิดการแบ่งประเภทของกฎหมายเอกชน - มหาชน
เมื่อพิจารณาศึกษา กฎหมายเอกชนกับกฎหมายมหาชน มีวิธีคิดการแบ่งแยก 3 ทฤษฎี ดังนี้
1.ทฤษฎีประโยชน์ คือ
1)การกระทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว จะเป็นกฎหมายเอกชน
2)ถ้าการกระทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม จะเป็นกฎหมายมหาชน
2.ทฤษฎีนิติสัมพันธ์ คือ
1)ความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชน จะเป็นกฎหมายเอกชน
2)ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับรัฐ รัฐกับเอกชน หน่วยงานของรัฐด้วยกัน หน่วยงานจองรัฐกับเอกชน เจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน
3.ทฤษฎีอำนาจเหนือ คือ
1)ถ้ากระทำที่อำนาจเท่าเทียมกัน คือ กฎหมายเอกชน
2)ถ้าการกระทำที่บังคับฝ่ายเดียว รัฐ หน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ มีอำนาจเหนือกว่าเอกชน
ความหมายกฎหมายเอกชน- มหาชน
"กฎหมายเอกชน" หมายถึง กฎหมายที่มีความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกขนด้วยกัน กระทำไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัวโดยที่ทั้งคู่มีอำนาจเท่าเทียมกัน รวมถึงนิติสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน โดยที่ทั้งคู่มีอำนาจเท่าเทียมกัน
"กฎหมายมหาชน" หมายถึง กฎหมายที่ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับรัฐ รัฐกับเอกชน หน่วยงานของรัฐด้วยกัน หน่วยงานของรัฐกับเอกชน เจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน กระทำไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยที่รัฐ หน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ มีอำนาจเหนือกว่าเอกชน
ความแตกต่าง
กฎหมายเอกชนกับกฎหมายมหาชนจึงมีความแตกต่างกัน ดังนี้
1.แตกต่างกันในการบังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย
1) กฎหมายเอกชนบังคับฝ่ายเดียวไม่ได้
2) กฎหมายมหาชนสามารถบังคับฝ่ายเดียวได้
2.การเข้าเป็นสมาชิกในนิติบุคคลมหาชน
1) การเข้าเป็นสมาชิกนิติบุคคลเอกชนต้องขึ้นอยู่กับความสมัครใจทั้ง 2 ฝ่าย
2) การเข้าเป็นสมาชิกนิติบุคคลของรัฐ ได้เป็นสมาชิกของรัฐโดยอัตโนมัติ
3.แตกต่างในแง่ของวิธีคิดหรือนิติวิธีทางกฎหมาย
1) นิติวิธีทางกฎหมายเอกชน มองเรื่องเสรีภาพในการเข้านิติสัมพันธ์ด้วยความสมัครใจเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของทั้ง 2 ฝ่าย บนพื้นฐานของความเท่าเทียมกัน โดยสุจริตไม่ขัดต่อกฎหมาย ไม่พ้นวิสัยและไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีงามและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
2) นิติวิธีทางกฎหมายมหาชน ปฏิเสธหลักคิดแบบเอกชน มองเรื่องประโยชน์สาธารณะ และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนให้เกิดดุลยภาพกันในสังคมโดยให้รัฐมีอำนาจบังคับฝ่ายเดียวผ่านทางผู้ปกครองที่ใช้อำนาจแทนรัฐ
ประเภทของกฎหมายเอกชกับกฎหมายมหาชน
ประเภทของกฎหมายเอกชน คือ
1.กฎหมายแพ่ง ได้แก่ กฎหมายเกี่ยวกับบุคคล หนี้ ทรัพย์ ครอบครัว และมรดก กับ
2.กฎหมายพาณิชย์ ได้แก่ กฎหมายจั้งองค์กรทางธุรกิจ กฎหมายดำเนินการทางธุรกิจ กฎหมายระงับข้อพิพาททางธุรกิจ
ประเภทกฎหมายมหาชน คือ กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายปกครอง กฎหมายการคลัง กฎหมายอาญา กฎหมายเศรษฐกิจ กฎหมายสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
หนี้ หมายถึง 在 sittikorn saksang Facebook 的最佳貼文
กฎหมายเอกชนกับกฎหมายมหาชน
เมื่อพิจารณาศึกษา กฎหมายเอกชนกับกฎหมายมหาชน มีวิธีคิดการแบ่งแยก 3 ทฤษฎี ดังนี้
1.ทฤษฎีประโยชน์ คือ การกระทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว จะเป็นกฎหมายเอกชน ถ้าการกระทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม จะเป็นกฎหมายมหาชน
2.ทฤษฎีนิติสัมพันธ์ คือ ความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชน จะเป็นกฎหมายเอกชน ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับรัฐ รัฐกับเอกชน หน่วยงานของรัฐด้วยกัน หน่วยงานจองรัฐกับเอกชน เจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน
3.ทฤษฎีอำนาจเหนือ คือ ถ้ากระทำที่อำนาจเท่าเทียมกัน คือ กฎหมายเอกชน ถ้าการกระทำที่บังคับฝ่ายเดียว รัฐ หนวยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ มีอำนาจเหนือกว่าเอกชน
ดังนั้นสรุปได้ว่า
"กฎหมายเอกชน" หมายถึง กฎหมายที่มีความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกขนด้วยกัน กระทำไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวม โดยที่ทั้งคู่มีอำนาจเท่าเทียมกัน รวมถึงนิติสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน โดยที่ทั้งคู่มีอำนาจเท่าเทียมกัน
"กฎหมายมหาชน" หมายถึง กฎหมายที่ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับรัฐ รัฐกับเอกชน หน่วยงานของรัฐด้วยกัน หน่วยงานของรัฐกับเอกชน เจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน กระทำไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยที่รัฐ หน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ มีอำนาจเหนือกว่าเอกชน
กฎหมายเอกชนกับกฎหมายมหาชนจึงมีความแตกต่างกัน ดังนี้
1.แตกต่างกันมนการบังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย
2.การเข้าเป็นสมาชิกในนิติบุคคลมหาชน
ประเภทของกฎหมายเอกชกับกฎหมายมหาชน
ประเภทของกฎหมายเอกชน คือ กฎหมายแพ่ง ได้แก่ กฎหมายเกี่ยวกับบุคคล หนี้ ทรัพย์ ครอบครัว และมรดก กับกฎหมายพาณิชย์ ได้แก่ กฎหมายจั้งองค์กรทางธุรกิจ กฎหมายดำเนินการทางธุรกิจ กฎหมายระงับข้อพิพาททางธุรกิจ
ประเภทกฎหมายมหาชน คือ กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายปกครอง กฎหมายการคลัง กฎหมายอาญา กฎหมายเศรษฐกิจ