เศรษฐีรวยสุดในเอเชีย มีน้องชาย เป็นบุคคลล้มละลาย ได้อย่างไร ? /โดย ลงทุนแมน
หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า Mukesh Ambani เจ้าของ Reliance Industries กลุ่มธุรกิจที่ใหญ่สุดในอินเดียและเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในเอเชีย มีน้องชายชื่อ Anil Ambani
สำหรับน้องชายของมหาเศรษฐีคนนี้ ก็เป็นเจ้าของธุรกิจที่แยกตัวออกมาจาก Reliance Industries ของพี่ชาย มีชื่อบริษัทว่า Reliance ADA Group
ในปี 2008 Mukesh Ambani มีทรัพย์สิน 1.4 ล้านล้านบาท รวยเป็นอันดับ 5 ของโลก
ในขณะที่ Anil Ambani ตามมาติด ๆ ด้วยทรัพย์สิน 1.37 ล้านล้านบาท และรวยเป็นอันดับ 6 ของโลก
โดยในปีนั้น เศรษฐี 4 อันดับแรกของโลก ได้แก่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (อเมริกัน), คาร์ลอส สลิม (เม็กซิโก),
บิลล์ เกตส์ (อเมริกัน) และลักษมี นิวาส มิตตัล (อินเดีย)
หลังจากผ่านไป 13 ปี Mukesh Ambani มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านล้านบาท
กลายมาเป็นมหาเศรษฐีรวยสุดในอินเดียและเอเชีย และรวยเป็นอันดับ 10 ของโลก
แต่ในปี 2019 Ambani คนน้องกลับมีทรัพย์สิน เพียง 5.6 หมื่นล้านบาท
จนล่าสุด มีหลายคนกล่าวว่าความมั่งคั่งตอนนี้ของ Ambani คนน้อง ลดลงจนเกือบเป็นศูนย์
แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับน้องชาย ของคนที่รวยสุดในเอเชีย ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ย้อนกลับไปในปี 1948 หรือเมื่อ 73 ปีก่อน ชายชาวอินเดียวัย 16 ปี
ที่ชื่อ Dhirubhai Ambani ได้ตัดสินใจเดินทางออกจากบ้านเกิดไปทำงานที่ประเทศเยเมน
ผ่านไป 10 ปี Dhirubhai กลับมาที่อินเดียพร้อมกับเงินเก็บ เพื่อมาเริ่มสร้างธุรกิจเอง
Dhirubhai เริ่มจากการนำเข้าเส้นใยสังเคราะห์และส่งออกเครื่องเทศ ก่อนจะเริ่มทำธุรกิจสิ่งทอ ซึ่งก็เติบโตอย่างรวดเร็ว จน Dhirubhai ได้ขยายกิจการไปในอุตสาหกรรมอื่น และเปลี่ยนมาใช้ชื่อบริษัทว่า “Reliance Industries” ในปี 1973
Reliance Industries สามารถ IPO ได้ในปี 1977 ซึ่งหุ้นของบริษัทก็มีชาวอินเดียสนใจลงทุนเป็นจำนวนมาก ถึงขนาดเคยจัดประชุมผู้ถือหุ้นที่สเตเดียม
ตั้งแต่ที่กิจการเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว Dhirubhai ก็เริ่มให้ลูกชายทั้ง 2 คนของเขา เข้ามาช่วยบริหารงานที่บริษัท
Mukesh Ambani ลูกชายคนโต เป็นประธาน
Anil Ambani ลูกชายคนรอง เป็นกรรมการผู้จัดการ
แต่แล้วในปี 2002 Dhirubhai ได้เสียชีวิตลงและได้ทิ้งกิจการ Reliance Industries ไว้กับลูกชายทั้ง 2 คน
Dhirubhai ที่จากโลกนี้ไปไม่ได้ทำพินัยกรรมและข้อตกลงแบ่งกิจการให้กับลูกแต่ละคนไว้ ซึ่งเขาก็คงไม่คิดว่า จะเกิดปัญหาตามมา
โดยปัญหาที่ว่านั้นเริ่มเกิดขึ้นเพราะลูกชายทั้ง 2 คน ที่เริ่มเข้าทำงานและมีบทบาทในบริษัทมาพร้อม ๆ กัน
กลับตกลงกันไม่ได้ว่าใครจะเป็นเจ้าของและใครจะดูแลและรับผิดชอบบริษัทไหนบ้าง
สุดท้ายแล้ว ในช่วงปี 2004 ถึง 2005 ผู้เป็นแม่ต้องเข้ามาช่วยแก้ปัญหา
โดยการจ้างบุคคลที่ 3 ให้เข้ามาจัดการเรื่องการแยกบริษัทออกจากกันไปเลย
Mukesh Ambani คนพี่ได้ธุรกิจหลักคือปิโตรเลียม ซึ่งเขามีบทบาทสำคัญในการขยายกิจการในส่วนนี้มาตั้งแต่แรก และยังได้ธุรกิจอื่น ๆ อย่างเช่นปิโตรเคมี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจยุคเก่า โดยกลุ่มบริษัทของ Mukesh ใช้ชื่อว่า Reliance Industries
Anil Ambani คนน้องได้ธุรกิจหลักคือ Reliance Communications ธุรกิจโทรคมนาคมที่เพิ่งเริ่มกิจการได้ไม่นาน แต่ก็กลายเป็นบริษัทเทเลคอมที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในอินเดีย ซึ่งแม้ว่า Mukesh จะมีบทบาทสำคัญมาตั้งแต่ต้น แต่ Anil ก็อยากได้ธุรกิจนี้เช่นกัน
นอกจากธุรกิจเทเลคอมแล้ว กิจการอื่นที่ Anil Ambani ได้รับไปดูแลอีกก็อย่างเช่น ธุรกิจพลังงาน และบริการทางการเงิน ซึ่งส่วนมากจะเป็นธุรกิจยุคใหม่ โดยกลุ่มธุรกิจของ Anil Ambani ใช้ชื่อว่า “Reliance ADA Group”
หลังจากจบเรื่องการแบ่งธุรกิจแล้ว แต่ละคนก็เริ่มต่อยอดธุรกิจตามเส้นทางของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น
Mukesh Ambani เริ่มทำธุรกิจค้าปลีกในปี 2006 จน Reliance Retail กลายมาเป็นธุรกิจค้าปลีกที่ใหญ่สุดในอินเดีย
ในขณะที่ Anil Ambani ก็ได้ต่อยอดทำธุรกิจบันเทิง อย่างเช่นในปี 2005 ได้ซื้อบริษัท Adlabs Films ที่เป็นเจ้าของโรงภาพยนตร์ Big Cinemas ซึ่งกลายมาเป็นโรงภาพยนตร์ที่มีสาขามากสุดในอินเดียในอีก 3 ปีถัดมา
ในปี 2008 Reliance Entertainment ของ Anil Ambani ก็ได้เซ็นสัญญากับบริษัทผลิตภาพยนตร์ DreamWorks ของผู้กำกับ Steven Spielberg ซึ่งได้ร่วมผลิตภาพยนตร์ที่ได้รางวัลมากมาย อย่างเช่น The Help และ Lincoln
และปีเดียวกันนี้ Anil Ambani ก็ได้นำบริษัทพลังงานอย่าง Reliance Power จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ด้วยมูลค่าการระดมทุนที่สูงเป็นประวัติการณ์ในขณะนั้น
ผ่านไป 6 ปีหลังจากการเสียชีวิตของ Dhirubhai
ดูเหมือนว่าลูกชายของเขาทั้งคู่ก็ต่อยอดกิจการไปได้อย่างสวยงาม
จนทำให้ในปี 2008 Mukesh มีทรัพย์สิน 1.4 ล้านล้านบาท รวยเป็นอันดับ 5 ของโลก และ Anil มีทรัพย์สิน 1.37 ล้านล้านบาท รวยเป็นอันดับ 6 ของโลก
แต่หลังจากนั้น เส้นทางความมั่งคั่งของพี่น้องคู่นี้ กลับเริ่มมีทิศทางที่สวนทางกัน
คนพี่รวยขึ้น ส่วนคนน้องความมั่งคั่งหายไปเกือบหมด
แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ?
เรื่องทั้งหมดมีจุดเริ่มต้นมาจากเงินที่บริษัท Reliance Power ของ Anil Ambani ได้มาจากการ IPO มีแผนจะใช้สร้างโรงไฟฟ้าที่ส่วนใหญ่จะผลิตจากก๊าซ
โดยก๊าซที่ Reliance Power ใช้ ก็มาจากบริษัทก๊าซธรรมชาติในเครือ Reliance Industries ของ Mukesh นั่นเอง
ซึ่งในตอนที่แยกบริษัทกัน สองพี่น้องก็ได้เซ็นสัญญาว่าบริษัทก๊าซของ Mukesh Ambani จะขายก๊าซให้โรงไฟฟ้าของน้องชายที่ราคาหนึ่ง
แต่ในวันที่โรงไฟฟ้าสร้างใกล้จะเสร็จและถึงเวลาที่พี่ชายจะขายก๊าซให้กับน้อง ราคาก๊าซในตลาดโลกกลับเพิ่มสูงขึ้นไปเกือบเท่าตัว
Anil Ambani จึงต้องการซื้อก๊าซในราคาที่ตกลงกัน เพื่อที่จะไม่ต้องเผชิญต้นทุนก๊าซที่สูงขึ้น
แต่ทาง Mukesh Ambani ไม่สามารถขายก๊าซตามราคาที่ตกลงกันไว้ได้เพราะบริษัทของเขาจะขาดทุน
แต่แทนที่จะเจรจาตกลงกัน Anil Ambani กลับเลือกที่จะยื่นฟ้องบริษัทพี่ชายในปี 2010 เพื่อให้ซื้อก๊าซได้ในราคาเดิมที่เคยตกลงกัน
แต่ศาลก็ได้มีคำสั่งให้ Anil Ambani ซื้อก๊าซในราคาใกล้เคียงกับราคาตลาดโลก ซึ่งเป็นไปตามนโยบายราคาก๊าซของประเทศ
สุดท้ายแล้ว Anil Ambani ที่ต้องแบกรับต้นทุนก๊าซเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว จึงไม่สามารถจัดหาก๊าซเพื่อไปใช้ผลิตไฟฟ้าในโรงไฟฟ้าที่สร้างรอไว้แล้วได้
Reliance Power จึงกลายเป็นบริษัทที่มีหนี้มหาศาล จนต้องขายทรัพย์สินและกิจการบางส่วนออกไป เพื่อเอามาใช้หนี้ ซึ่งรวมถึงกิจการโรงภาพยนตร์ Big Cinemas ที่ซื้อมาเมื่อปี 2008 ด้วย
แต่ความผิดพลาดทางธุรกิจของ Anil Ambani ยังไม่ได้จบลงแค่นี้ เพราะเรื่องราวที่ร้ายแรงกว่านั้น เกิดขึ้นกับธุรกิจโทรคมนาคมอย่าง Reliance Communications (RCom)
ในปี 2002 ซึ่งเป็นช่วงที่ RCom เพิ่งเริ่มทำธุรกิจ RCom เลือกใช้เทคโนโลยีการสื่อสารที่เรียกว่า CDMA ซึ่งใช้เงินลงทุนน้อยกว่า ขณะที่บริษัทคู่แข่งอย่างเช่น Airtel เลือกใช้เทคโนโลยีที่ชื่อ GSM
แม้เทคโนโลยีทั้ง 2 แบบจะใช้ได้ดีกับ 2G และ 3G เหมือนกัน แต่ปัญหาก็คือ CDMA ที่ RCom เลือกใช้ ไม่สามารถรองรับ 4G และ 5G ได้แบบ GSM ที่เหล่าคู่แข่งเลือกใช้
นั่นจึงทำให้ช่วงเวลาที่ทั่วโลกเปลี่ยนผ่านจาก 3G มาเป็น 4G อย่างรวดเร็ว RCom เลยตามคนอื่นไม่ทัน จน RCom กลายเป็นบริษัทที่เริ่มมีหนี้มากขึ้น
และจุดพลิกผันครั้งใหญ่ของ RCom รวมไปถึงทั้งอุตสาหกรรมเทเลคอมของอินเดีย ก็เกิดขึ้นในปี 2016
เมื่อ Mukesh Ambani ได้ก่อตั้งบริษัทย่อยของ Reliance Industries ในชื่อ “Jio” ซึ่งเป็นบริษัท
ที่เน้นบริการด้านเทคโนโลยี รวมถึงการให้บริการโทรคมนาคมแบบเดียวกับ RCom ด้วย
ด้วยชื่อเสียงของ Reliance Industries ก็ทำให้ Jio มีจำนวนผู้ใช้งานเครือข่ายโทรศัพท์เพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้กำไรของบริษัทที่เป็นหนึ่งในผู้นำตลาดอย่าง Airtel ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และทำให้อีก 2 บริษัทที่มีส่วนแบ่งตลาดรองลงมาอย่าง Vodafone และ Idea ต้องควบรวมกิจการกัน
ในเวลาต่อมาบริษัท Jio ของ Mukesh Ambani ก็กลายมาเป็นบริษัทเทเลคอมที่ใหญ่สุดในอินเดีย ส่วน RCom ของ Anil ที่ย่ำแย่อยู่แล้ว ก็หายไปจากการแข่งขันในตลาดเทเลคอม จนทำให้บริษัทขาดทุนและกลายเป็นหนี้มหาศาล
RCom ต้องยอมขายสินทรัพย์ของกิจการบางส่วนให้กับ Jio เพื่อลดหนี้
แต่นั่นก็ยังไม่ช่วยให้สถานการณ์ของ RCom ดีขึ้น
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2013 RCom ได้ทำข้อตกลงกับ Ericsson โดยจ้างให้ Ericsson มาเป็นผู้บริหารเครือข่ายในบริเวณทางเหนือและตะวันตกของอินเดีย แต่ผลจากการขาดทุนต่อเนื่องก็ทำให้ RCom ไม่มีเงินจ่ายให้ Ericsson ตั้งแต่ปี 2016
RCom ติดหนี้ Ericsson 2.46 พันล้านบาท ซึ่ง RCom ก็ไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ตามกำหนด และขอเลื่อนเวลาการจ่ายหนี้ออกไปเรื่อย ๆ ซึ่งสุดท้ายแล้ว RCom จ่ายหนี้ได้เพียง 528 ล้านบาท นำไปสู่การถูกฟ้องร้องในเวลาต่อมา
ศาลสูงสุดจึงมีคำตัดสินว่า ถ้าภายใน 1 เดือน RCom ยังจ่ายหนี้ให้ Ericsson ไม่ได้ Anil จะต้องถูกจำคุก 3 เดือน
สุดท้ายแล้วพี่ชายของ Anil Ambani อย่าง Mukesh ก็เข้ามาช่วย
โดยการจ่ายหนี้ที่เหลือ มูลค่ากว่า 2 พันล้านบาทให้
ในขณะที่ บริษัท RCom ก็ต้องยื่นล้มละลาย
แต่เรื่องราวยังไม่จบแค่นั้น เพราะ RCom ยังมีหนี้ก้อนใหญ่อีกก้อน ที่กู้ยืมมาจาก 3 ธนาคารขนาดใหญ่ของจีน ทั้ง ICBC, China Development Bank และ EXIM Bank of China เป็นมูลค่า 2.3 หมื่นล้านบาท
ทั้ง 3 ธนาคารจึงยื่นฟ้อง RCom และ Anil Ambani..
ช่วงต้นปี 2020 ที่ผ่านมา ซึ่ง Anil ได้พูดระหว่างพิจารณาคดีออนไลน์กับศาลของประเทศอังกฤษว่า เขาไม่มีเงินใช้หนี้ เพราะความมั่งคั่งของเขาตอนนี้ใกล้จะเป็นศูนย์แล้ว.. ซึ่งจนถึงตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าเขาจะหาเงินจากไหนมาใช้หนี้
จากความขัดแย้งเพื่อแย่งกิจการกันเองในครอบครัว บวกกับการบริหารธุรกิจที่ผิดพลาด การทุ่มเงินลงทุนขนาดใหญ่แต่ได้ผลลัพธ์แย่กว่าที่คาด ทำให้บริษัทก่อหนี้ก้อนโต
ทั้งหมดนี้ก็ได้ส่งผลไปยังทรัพย์สินของผู้ที่เคยรวยติดอันดับ 6 ของโลกอย่าง Anil Ambani ได้หายไปเกือบหมด ในขณะที่พี่ชายที่เติบโตมาพร้อมกัน กลับเดินสวนทางกัน เพราะประสบความสำเร็จในธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นเศรษฐี ที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชีย นั่นเอง
ถ้าใครเชื่อว่าชีวิตของเราถูกกำหนดมาแล้วตั้งแต่เกิด
เกิดมาในครอบครัวที่รวย ก็ย่อมมีแรงส่งให้พวกเขารวยขึ้น
ซึ่งมันก็เป็นจริงในหลายกรณี
แต่ในบางกรณี มันก็อาจเป็นตรงกันข้าม
ซึ่งอย่างน้อย มันก็เกิดขึ้นแล้วกับ Anil Ambani น้องชายของ มหาเศรษฐี ที่รวยสุดในเอเชีย นั่นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.businessinsider.in/thelife/personalities/news/anil-ambanis-journey-from-42-billion-net-worth-to-claiming-poverty/articleshow/74028627.cms
-https://www.scmp.com/magazines/style/celebrity/article/3093874/mukesh-vs-anil-why-did-one-ambani-brother-go-bankrupt
-https://economictimes.indiatimes.com/industry/telecom/telecom-news/from-glory-to-dust-an-ambani-brands-journey-to-bankruptcy/articleshow/67837769.cms?from=mdr
-https://www.businesstoday.in/latest/economy-politics/story/anil-ambani-road-to-bankruptcy-how-the-brother-of-indias-richest-man-lost-his-way-271119-2020-08-25
-https://www.moneycontrol.com/news/business/a-timeline-of-reliance-communications-versus-ericsson-case-3661261.html
-https://youtu.be/dBH0E20kc30
-https://www.forbes.com/forbes/2008/0324/080.html?sh=3e185f910f2e
-https://en.wikipedia.org/wiki/Reliance_Industries
-https://en.wikipedia.org/wiki/Reliance_Group
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過102萬的網紅Pit Start,也在其Youtube影片中提到,ถ้าชอบช่วยกันสนับสนุนด้วยนะครับ(หนึ่งแรงใจเพื่อเป็นแรงผลักดัน) กสิกร 642-212310-3 Attapon Phanichagarn ----------------------------------------------...
「หลังจากผ่านไป6เดือน」的推薦目錄:
- 關於หลังจากผ่านไป6เดือน 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
- 關於หลังจากผ่านไป6เดือน 在 สมองไหล Facebook 的精選貼文
- 關於หลังจากผ่านไป6เดือน 在 Fit Junctions Facebook 的最佳解答
- 關於หลังจากผ่านไป6เดือน 在 Pit Start Youtube 的精選貼文
- 關於หลังจากผ่านไป6เดือน 在 ภาพรวมและคุณสมบัติในการมีสิทธิ์เข้าร่วมโปรแกรมพาร์ทเนอร์ ... 的評價
- 關於หลังจากผ่านไป6เดือน 在 ศึกวัดบางคลานยืด! “เจ้าอาวาส” เผย 6 เดือนยังเข้าวัดไม่ได้ - YouTube 的評價
- 關於หลังจากผ่านไป6เดือน 在 โพสต์ของ สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน - Social ... 的評價
หลังจากผ่านไป6เดือน 在 สมองไหล Facebook 的精選貼文
หลายคนที่ติดตามเพจสมองไหลมา น่าจะเห็นผ่านตากันมาบ้าง ว่าช่วงก่อนที่ หนังสืองานประจำสอนทำธุรกิจ จะวางขาย ผมได้มีการเปิดให้ทุกคนในเพจโหวตกันว่าอยากจะได้หน้าปกหนังสือดีไซน์แบบไหน โดยมีให้เลือก 3 แบบด้วยกัน
.
แต่สิ่งที่หลายคนยังไม่รู้ คือ หน้าปกหนังสือที่ตีพิมพ์ออกมานั้น ได้รับการโหวดน้อยที่สุด เพียง 13 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
.
เมื่อได้ยินอย่างนี้แล้ว ผมขอร้องว่าอย่าเพิ่งโกรธกัน เพราะที่ผมตัดสินใจไม่เลือกหน้าปกแบบที่ทุกคนโหวตนั้น ไม่ใช่เพราะผมไม่ฟังเสียงทุกคน ไม่ใช่ว่าผมเผด็จการ แต่มันมีเหตุผลของมันอยู่ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง…
.
หนึ่งในขั้นตอนที่ตัดสินใจยากที่สุดของการออกหนังสือ 1 เล่ม ไม่ใช่ตอนที่เขียน แต่คือ ตอนตั้งชื่อ และ ตอนเลือกหน้าปก เพราะสิ่งแรกที่จะดึงดูดผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาให้หยิบหนังสือขึ้นมาลองเปิดอ่าน ก่อนจะตัดสินใจซื้อ ก็คือ ชื่อหนังสือที่ดึงดูด และ การออกแบบหน้าปกที่สะดุดตา
.
การตั้งชื่อว่ายากแล้ว แต่ทว่าการเลือกดีไซน์หน้าปกนั้นยากกว่า ซึ่งตอนที่ทางดีไซน์เนอร์ส่งตัวอย่างหน้าปกมาให้ ผมก็ตัดสินใจไม่ถูกเหมือนกัน เพราะถ้าเกิดเลือกผิดขึ้นมา ความเสียหายที่ตามมาจะเกิดขึ้นอย่างมหาศาลแน่นอน
.
ผมจึงตัดสินใจเปิดโหวตทางเพจเพื่อให้ลูกค้าเป็นคนตัดสินใจ เพราะหลักในการทำธุรกิจ เราต้องทำตามความต้องการของลูกค้าจริงไหม ?
.
โดยผมได้ทำการเปิดโหวด 3 ดีไซน์ ประกอบด้วย แบบ A, B และ C จากการคัดเลือกมาแล้วทั้งหมด 8 แบบ ซึ่งผลการโหวตปรากฎว่าแบบ A นั้นชนะการโหวตอย่างถล่มทลาย 87 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญแบบที่คนส่วนใหญ่เลือก ผมก็ชอบอยู่แล้วด้วย
.
อย่างไรก็ตาม ก่อนถึงวันกำหนดที่จะให้คำตอบเรื่องหน้าปกกับทางสำนักพิมพ์ ผมเองก็ยังสงสัยในตัวเองอยู่ ว่าดีไซน์นี้มันเวิร์คจริงๆ หรือเปล่า ความคิดผมในหัวแบ่งเป็น 2 ฝั่ง และตีกันตลอดเวลา
.
แต่ในระหว่างที่ความคิดผมกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดนั้น ก็มีเรื่องเล่าหนึ่งที่ผมได้ยินมาตั้งแต่สมัยเริ่มศึกษาเรื่องธุรกิจใหม่ๆ ตอนยังเรียนมหาวิทยาลัยปี 4
.
เรื่องมีอยู่ว่า… บริษัทผลิตยาสีฟันเเห่งหนึ่ง ได้รับเรื่องร้องเรียนจากลูกค้าจำนวนมาก ว่าพวกเขาได้รับกล่องยาสีฟันเปล่าที่ไม่มียาสีฟันอยู่ข้างใน
.
เมื่อทาง CEO ของบริษัทได้รับทราบเรื่องนี้ จึงรีบเรียกฝ่ายวิศวกรเข้ามาประชุมเพื่อหาทางเเก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น !
.
หลังจากประชุมกันอยู่นานก็ได้ข้อสรุปออกมาว่า “ในกระบวนการสุดท้ายก่อนที่สินค้าจะถูกส่งออกไปขายนั้น กล่องยาสีฟันทั้งหมดจะวิ่งผ่านด้วยสายพานความเร็วสูง มันจึงเป็นเรื่องยากมากที่จะตรวจพบกล่องยาสีฟันที่ไม่มีหลอดอยู่”
.
เมื่อ CEO รู้อย่างนั้น จึงตัดสินใจลงทุนซื้อเครื่องชั่งความเร็วสูงราคา 250 ล้าน มาติดตั้งไว้ที่ปลายสายพาน เพื่อให้สามารถชั่งน้ำหนักกล่องยาสีฟันที่วิ่งผ่านด้วยความเร็วสูงได้ทัน
.
เพราะฉะนั้น ต่อจากนี้ถ้าเครื่องชั่งน้ำหนักตรวจพบว่ามีกล่องเปล่าหลุดรอดออกมา สายพานจะหยุดทันที เพื่อให้คนงานเดินมาคัดกล่องเปล่านั้นออก แล้วค่อยกดปุ่ม reset ให้สายพานทำงานต่ออีกที
.
หลังจากที่ติดตั้งเครื่องชั่งน้ำหนักนี้ ผลที่ออกมานั้นเป็นที่พอใจมาก เพราะบริษัทไม่ได้รับเรื่องร้องเรียนจากลูกค้าอีกเลย
.
หลังจากผ่านไป 1 เดือน CEO ก็ได้รับรายงานสรุปเเผนการผลิตอีกครั้ง เเต่เขาก็ต้องเเปลกใจเพราะในรายงานระบุว่า “เครื่องชั่งสุดไฮเทคนี้ไม่เคยตรวจพบกล่องเปล่าเลยเเม้เเต่ครั้งเดียว”
.
CEO ท่านนี้จึงขอเข้าไปตรวจดูโรงงานสักหน่อย ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเครื่องชั่งราคา 250 ล้าน ไม่ตรวจพบกล่องเปล่าเลย
.
เมื่อ CEO เดินทางไปถึงโรงงาน เขาก็พบกับพัดลมตัวเล็กๆ ราคา 250 บาท วางอยู่ที่ใกล้ๆเครื่องชั่ง ราคา 250 ล้าน
.
CEO จึงเดินเข้าไปถามคนงานว่า “คุณเอาพัดลมมาตั้งไว้ตรงนี้ทำไม ?“
.
คนงานจึงตอบว่า "ผมใช้พัดลมตัวนี้ เป่ากล่องเปล่าออกไป เพราะว่าถ้ามีกล่องเปล่าผ่านเข้าไปตรงเครื่องชั่งตัวนี้ สายพานจะหยุดการทำงาน ซึ่งเขาขี้เกียจเดินไปกดปุ่ม reset ใหม่”
.
CEO ถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ เพราะเขาเพิ่งจัดการกับปัญหานี้ไปด้วยเงิน 250 ล้าน เเต่คนงานกลับเเก้ปัญหาเดียวกันด้วยเงินเพียง 250 บาท
.
หลังจากที่ผมคิดทบทวนถึงบทเรียนจากเรื่องเล่านี้ มันก็ทำให้ผมฉุกคิดว่า…
หลายครั้งปัญหาที่เกิดขึ้นมันเป็นเพียงเเค่ ”เส้นผมที่บังภูเขา” เเต่เรากลับมองไม่เห็น เพราะการนั่งเเก้ปัญหาอยู่ในห้องอย่างเดียวนั้นไม่อาจทำให้เข้าใจเรื่องหน้างานที่เกิดขึ้นได้อย่างเเท้จริง !
.
ทันทีที่ผมตกผลึกเรื่องนี้ได้ ผมก็ขับรถออกไปที่ร้านปริ้นเอกสารหน้าปากซอยทันที แล้วเอาดีไซน์หน้าปกทั้ง 3 แบบ ปริ้นออกมา จากนั้นก็เอามันมาแปะกับหนังสือทั่วไป แล้วขับรถต่อไปที่ร้านหนังสือนายอินทร์สาขาใกล้บ้าน
.
ผมเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ผู้จัดการสาขา แล้วยกมือไหว้เพื่อขออนุญาตนำตัวอย่างปกหนังสือมาวางตามจุดต่างๆ ในร้าน เพื่อดูว่าถ้ามันวางอยู่หน้างานในสถานที่จริง ปกแบบไหนจะดึงดูดมากกว่ากัน
เริ่มแรกผมเอาหน้าปกที่ชนะการโหวตลองวางดูก่อน แล้วหันหลังเดินออกจากร้านไป 10 ก้าว แล้วหันหลังกลับมาดูภาพรวมแบบกว้างๆ …
.
Oh my god !!
ผลปรากฎว่า ผมแทบหาหนังสือตัวเองไม่เจอเลย เพราะเมื่อมันมาอยู่ท่ามกลางหนังสือเล่มอื่น มันถูกกลบจนจมอย่างสิ้นเชิง
.
หลังจากนั้นผมจึงลองเอาหนังสือที่ได้รับการโหวตน้อยที่สุดไปวางลงแล้วทำแบบเดิมทุกอย่าง ผลปรากฎว่าหนังสือที่ผู้คนโหวตน้อยที่สุด กลับโดดเด่นที่สุดเมื่อมันมาอยู่ท่ามกลางหนังสือเล่มอื่นๆ บนชั้นวางในร้านหนังสือ เด่นถึงขนาดที่ว่ามองจากบรรไดเลื่อนเข้ามายังเห็น ไม่ว่าจะมองจากมุมบนสุด มุมล่างสุด มองจากมุมด้านข้างของชั้นหนังสือก็ยังเห็นได้อย่างชัดเจน
.
เมื่อเห็นอย่างนั้น ผมก็ถ่ายรูปผลการทดลองแล้วส่งเข้า Line กลุ่มสำนักพิมพ์ทันที ว่าผมขอเลือกหน้าปกดีไซน์นี้ แม้ว่ามันจะขัดกับผลโหวตก็ตาม เพราะผมคิดว่าตอนที่ปกมันอยู่ในหน้าจอมือถือมันยังไม่ได้เปรียบเทียบกับเล่มอื่นๆ ทุกคนจึงโหวตดีไซน์นั้น แต่ถ้าทุกคนมายืนจุดเดียวกับผมตรงนี้ ผมเชื่อเหลือเกินว่าทุกคนคงคิดเหมือนผมแน่นอน
.
และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะเมื่อหนังสือวางขายที่หน้าร้านหนังสือชั้นนำ ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า หน้าปกเด่นมาก เดินเข้ามาในร้าน คือ เห็นหนังสืองานประจำสอนทำธุรกิจ ก่อนเลย และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้หนังสืองานประจำสอนทำธุรกิจขึ้นอันดับ 1 หนังสือขายดีในบางสาขาตั้งแต่วันแรก และ ขึ้นอันดับ 3 หนังสือขายดีหมวดบริหารธุรกิจในสัปดาห์นี้
.
นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า ทุกครั้งที่ต้องตัดสินใจเพื่อกำหนดทิศทางธุรกิจ อย่าเอาแต่นั่งอ่านรายงานในห้องสี่เหลี่ยมอย่างเดียว เพราะคุณจะไม่เห็นบริบทแวดล้อมอื่นๆ และหลายครั้งที่การตัดสินใจผิดพลาด ก็เกิดจากการที่ไม่ยอมลงไปดูบริบทหน้างานจริงๆ นี่แหละ
.
ดังนั้น ก่อนจะตัดสินใจเรื่องอะไร คุณจำเป็นต้องลงไปดูหน้างานจริงด้วย ถ้าไม่อยากเสียใจทีหลัง
.
.
เปิดรับอาหารสมองดีๆ ต้อนรับเช้าวันใหม่ ในรูปแบบ “เสียง” ให้คุณได้ฟังโดยไม่ต้องอ่านได้แล้ววันนี้
.
ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 07.30 น. ทาง Youtube chanel ของเพจ สมองไหล
.
.
เพราะ “อารมณ์แรก” ของวัน คือ “อารมณ์หลัก” ของวัน
.
ดังนั้น สิ่งแรกที่คุณเสพในแต่ละวัน จะกำหนดชะตาชีวิตคุณ หากคุณอยากจะมีอนาคตที่ดี ก็จงเลือกสิ่งดีๆ ให้กับสมองของคุณเอง
.
ด้วยการกด “subscribe” Youtube ของ เพจสมองไหล ได้ที่ลิงก์ข้างล่างนี้เลยครับ
.
https://www.youtube.com/channel/UCtm0PtVcyoBsqvs2WaWAzvg
หลังจากผ่านไป6เดือน 在 Fit Junctions Facebook 的最佳解答
ไม่ได้ยกเวทนานแค่ไหน กล้ามถึงจะหาย?
ถึงแม้ในช่วงนี้เริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรค Covid-19 ลงแล้ว แต่ฟิตเนสยิมก็ยังไม่สามารถเปิดได้ หลาย ๆ คนก็คงเกิดข้อสงสัยกันว่า แบบนี้ถ้าเราไม่ได้ยกเวทไปนาน ๆ กล้ามเนื้อที่อุตส่าห์ออกกำลังกายสร้างมาจะหายไปไหม Fit Junctions จะมาให้คำตอบในเรื่องนี้กัน
- - -
รู้หรือไม่ว่าจริง ๆ แล้วร่างกายคนเรามีการสูญเสียและการสร้างกล้ามเนื้ออยู่ในทุก ๆ วันเป็นเรื่องปกติ เราเรียกว่ากระบวนการเหล่านี้ว่า Muscle Protein Breakdown คือ การเอาโปรตีนไปใช้ และ Muscle Protein Synthesis คือ การสร้างโปรตีน
เพราะฉะนั้นที่เรากล้ามไม่หาย เป็นเพราะกระบวนการสร้างโปรตีนเยอะกว่ากระบวนการเสียโปรตีน ซึ่งการจะทำให้เกิดกระบวนการนี้ได้ เราก็ต้องกระตุ้นกล้ามเนื้อด้วยการออกกำลังกายแบบแรงโหลดต้าน หรือเวทเทรนนิ่ง รวมถึงกินสารอาหารให้ครบ กินโปรตีนให้เพียงพอ รวมถึงการพักผ่อนให้เพียงพอด้วย
- - -
หากเราไม่ได้กระตุ้นกล้ามเนื้อเลย หรือหยุดเล่นเวทไปนานๆ สิ่งที่จะเกิด คืออะไรบ้างมาดูกัน
ถ้าหยุด 1-2 สัปดาห์กล้ามเนื้อและพละกำลังจะยังไม่ได้ลดลง แต่จะเริ่มรู้สึกว่าร่างกายเหี่ยวๆ หนังเหี่ยวๆ บวมน้ำ แต่ไม่ได้แปลว่ากล้าเนื้อหายไปแล้ว สาเหตุจริง ๆ คือ เพราะสารอาหารในร่างกาย หรือ Glycogen ไม่ได้ถูกใช้งาน เนื่องจากเราไม่ได้ออกกำลังกายมันจึงค่อย ๆ ลดลง จึงทำให้กล้ามเนื้อไม่ฟู รวมถึงการกินอาหารสำเร็จรูปที่มีโซเดียมเยอะ ๆ ก็ทำให้ร่างกายบวมน้ำได้ด้วย
- - -
เข้าสัปดาห์ที่ 3 ระบบเผาผลาญหรือ RMR (Resting Metabolic Rate) จะยังไม่ลดลง ซึ่ง RMR มีความเกี่ยวโยงกับกล้ามเนื้อ เมื่อ RMR ไม่ลดก็เท่ากับว่ากล้ามไม่หาย
หลังจากผ่านไป 3 สัปดาห์ที่เราไม่ได้ออกกำลังกาย พละกำลังของเราจะเริ่มลดลง แต่ก็ไม่ได้แปลว่ากล้ามเนื้อจะหายอยู่ดี แต่เกิดจากระบบสั่งการของสมองที่สั่งการไปที่กล้ามเนื้อที่เราไม่ได้ใช้งาน จึงทำให้ระบบสั่งการของร่างกายเราฝืดขึ้น สั่งการกล้ามเนื้อได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จึงทำให้เมื่อหยุดไป 3 สัปดาห์ 4 สัปดาห์ 5 สัปดาห์ เราก็จะยิ่งเสียพละกำลังลงไปเรื่อยๆ เริ่มจาก 10% 15% 20% เป็นต้น
หลังจากนี้ 2 เดือน 3 เดือนกล้ามจึงจะค่อยๆ หายไป ซึ่งทั้งหมดนี้เราก็บอกไม่ได้ว่าจะหายเยอะแค่ไหน ขึ้นอยู่กับเราว่าโภชนาการที่เราได้รับเป็นอย่างไร การพักผ่อนเราดีเพียงพอหรือเปล่า
- - -
สรุป
- หยุด 1-2 สัปดาห์ จะไม่ทำให้กล้ามหาย และพละกำลังก็ไม่ได้ลดลง
- หยุด 3 สัปดาห์ ระบบเผาผลาญจะยังดีอยู่ = กล้ามจะยังไม่หาย
- หยุด 4 สัปดาห์ขึ้นไป พละกำลังจะเริ่มลดลง
- หยุด 8-12 สัปดาห์ กล้ามก็จะค่อย ๆ หายไป หากไม่พยายามรักษา maintain ไว้
เราไม่ต้องกลัวกล้ามเนื้อจะหายในช่วงยิมปิดจนเกินไป เพราะยังมีวิธีรักษากล้ามเนื้ออีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังแบบบอร์ดี้เวท การยืดกล้ามเนื้อ การกินโปรตีน และดูแลโภชนาการให้เพียงพอต่อความต้องการของเรา สุดท้ายอย่าลืม "วินัย และความสม่ำเสมอ" สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญอีกอย่างที่จะทำให้เราฟิตได้ในทุก ๆ วัน
หลังจากผ่านไป6เดือน 在 Pit Start Youtube 的精選貼文
ถ้าชอบช่วยกันสนับสนุนด้วยนะครับ(หนึ่งแรงใจเพื่อเป็นแรงผลักดัน)
กสิกร 642-212310-3 Attapon Phanichagarn
----------------------------------------------------------------------------------------------------
มารีวิวกันอีกรอบหลังจากใช้งานไป 3 เดือน โอวเย่
▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
IG : https://goo.gl/xgkTWU
FACEBOOK - https://goo.gl/ZbLhTZ
FACEBOOK FanPage - https://goo.gl/7sxGgG
FACEBOOK กลุ่ม - https://goo.gl/v1Y1T2 (เข้ามาคุยเล่นกัน)
*** ถ้าในคลิปได้ล่วงเกินผู้ใด ขอกราบขออภัยด้วยครับ ทำเพื่อความบรรเทิงเท่านั้น **
▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
หลังจากผ่านไป6เดือน 在 ศึกวัดบางคลานยืด! “เจ้าอาวาส” เผย 6 เดือนยังเข้าวัดไม่ได้ - YouTube 的推薦與評價
... หลัง ลั่น มีข้อมูลลับมากถ้าเปิดมาอาจไร้แผ่นดิน. 3PlusNews New 4.5K ... ผ่านไป 6 เดือน เจ้าอาวาสยังไม่ได้เข้าวัด ชาวบ้านงง โดน อิทธิพล หรือ ... ... <看更多>
หลังจากผ่านไป6เดือน 在 โพสต์ของ สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน - Social ... 的推薦與評價
ยื่นสงเคราะห์บุตรผ่านไป 2 เดือนแล้วแต่ยังรออนุมัติหมายความว่ายังไงคะ. 2 ... คนแรก2ปี6เดือนคนที่28เดือน. พฤหัสที่ผ่านมา. เลย์ ใง. ขอทราบนะคะ เงินสงเคราะบุตร ... ... <看更多>
หลังจากผ่านไป6เดือน 在 ภาพรวมและคุณสมบัติในการมีสิทธิ์เข้าร่วมโปรแกรมพาร์ทเนอร์ ... 的推薦與評價
1. มีผู้ติดตาม 1,000 คนและเวลาในการรับชมวิดีโอสาธารณะที่เข้าเกณฑ์ 4,000 ชั่วโมงในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา หรือ ... ไปตามนโยบายและหลักเกณฑ์ของเราอยู่เสมอเมื่อเวลาผ่านไป. สมัครได้จากที่ใด. เมื่อ ... ... <看更多>