เที่ยวญี่ปุ่นแบบอวยไส้แตก งานนี้ไม่รู้จะแหกอะไร เพราะมันประทับใจมากกกกกกกกก!!!!!
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วที่เห็นเงียบ ๆ ไป โพสรีวิวหนังก็น้อย ก็เพราะมีทริปไปเที่ยวดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่นแบบไฟไหม้สุดๆ กับเพื่อนโผล่มา บอกตามตรงว่าตอนแรกไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องไปไหนบ้าง เพื่อนบอกให้เก็บกระเป๋าเดินทางก็เก็บจนไปถึงสนามบินแล้วถึงรู้ว่าจะไปดูใบไม้เปลี่ยนสีกันที่ Naruko Onsen ซึ่งเป็นที่ที่ไม่เคยไปมาก่อน เอาจริงๆ ก็ยังไม่เคยไปดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ไหนเหมือนกัน
ซึ่งทริปนี้เป็นทริปที่ดีมากนะ ได้เห็นอะไรหลายๆ อย่างของญี่ปุ่น แล้วก็รู้สึกประทับใจ เลยอยากเอามาเล่าสู่กันฟัง อาจจะยาวนิดนึงแต่อยากให้ได้อ่านกัน
อย่างที่บอกไปว่าทริปนี้ค่อนข้างกระทันหัน มีเวลาเตรียมตัวน้อย แถมยังต้องเคลียร์งานที่มีให้เสร็จก่อนจะได้เที่ยวอย่างสบายใจ ทุกอย่างเลยวุ่นไปหมด สิ่งสำคัญ 2 อย่างนอกจากของใช้ เสื้อผ้าในกระเป๋าเดินทาง ก็คือ เปิดโรมมิ่งเพื่อใช้เน็ตกับโทรศัพท์ที่ญี่ปุ่น และ #ประกันการเดินทาง ซึ่งสำคัญมากๆๆๆๆๆๆๆๆ เพราะเคยมีประสบการณ์คุณอาเคยไปน็อคที่ไต้หวัน แต่แกเป็นคนบ้าทำประกันทีนึงแบบดีสุดแพงสุด แกต้องนอนโรงพยาบาลที่ใต้หวันร่วมสองสัปดาห์ ถ้าจ่ายเองก็หมดเป็นล้าน ดังนั้นเพื่อความอุ่นใจ แน่นอนว่าไม่มีใครอยากให้การเดินทางของตัวเองต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแต่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ และเมื่อมันเกิดขึ้นเราก็คงไม่อยากถังแตกหรือต้องมาเรี่ยไรขอรับบริจาคเพราะค่ารักษาพยาบาลในประเทศพัฒนาแล้วราคามันสูงจนแอดมินไม่มีปัญญาจะจ่ายแน่ๆ
ก็เลยลองใช้บริการ AIS Insurance Service ซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทประกันชั้นนำที่มีแผนการประกันหลายแบบให้เราเลือกตามความต้องการของเรา แถมยังสะดวกและรวดเร็วเพราะสามารถจัดการซื้อผ่านออนไลน์บนสมาร์โฟนทาง http://m.ais.co.th/ZyHbyD7S6 เลือกชำระเบี้ยประกันผ่านค่าบริการของเบอร์ AIS หรือผ่านบัตรเครดิตก็ได้ แถมยังกดซื้อประกันในวันเดินทางเลยก็ได้ สะดวกมากๆ (สามารถใช้ขอวีซ่าเชงเก้นได้ด้วยนะ)
ตอนนี้มีโปรโมชั่นได้รับบัตรกำนัล Starbucks e-coupons มูลค่า 100 บาท สำหรับเบี้ยประกันทุกๆ 500 บาท ต่อกรมธรรม์ อีกด้วย
ส่วนตัวจะเน้นเลือกแบบที่ไม่ต้องสำรองจ่ายค่ารักษา และคุ้มครองการสูญหายของกระเป๋าเดินทางเป็นหลัก
==========
วันแรกที่ไปถึงพักที่โตเกียวก่อนคืนนึง กะว่าจะเดินเล่นชิลๆ ในโตเกียว และพอดีว่าวันที่เดินทางไปถึงเป็นวันวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่น ทำให้จุดสำคัญต่าง ๆ ในเมืองโตเกียวมีกิจกรรมมากมาย
งานแรกที่แอดเดินไปเจอคือ งานแสดงสินค้าเกษตรกรรมประจำปีที่ชาวไร่ชาวสวน โดยที่ญี่ปุ่นเค้าพยายาม Empower ให้ผู้หญิงมีบทบาทมากขึ้นในภาคการเกษตร เพราะจำนวนของเกษตรกรในญี่ปุ่นนั้นลดลงเรื่อย ๆ จึงมีการจูงใจให้คนรุ่นใหม่มาเป็นเกษตกร โดยเฉพาะผู้หญิง มีการเปลี่ยนภาพป้าโอบ้าจังนั่งหลังแข็งตากแดดหน้าไหม้ใส่เสื้อเชย ๆ แบกจอบทำสวนให้ดูทันสมัยขึ้น มีการผลิตสินค้าสำหรับการทำสวนสำหรับผู้หญิง ตั้งแต่ชุดซัพพอร์ตสรีระเพื่อลดอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อ ชุดที่กันยูวีสีสวย ถุงมือน่ารัก จอบ เสียม เคียวเกี่ยวข้าวสีหวานพาสเทล และอื่น ๆ อีกมากมาย
ถ้าให้พูด งานนี้ก็คงเหมือนกับงานแสดง OTOP บ้านเรา (ซึ่งจริงๆแล้ว OTOP ของไทยก็ไปเอาแบบจากญี่ปุ่นมาอีกที) แต่ญี่ปุ่นก็เป็นญี่ปุ่นเนอะ นอกจากผลผลิตที่มีคุณภาพสูงแล้ว แพคเกจยังดูแพงเพิ่มมูลค่า ดูน่ากินน่าใช้ ดูน่ารัก อย่างพาสต้ารูปดอกซากุระ หรือรูปเกล็ดหิมะ ที่เห็นแล้วอดใจไม่ไหวจริง ๆ เลยซื้อกลับมาด้วย ผลไม้ก็น่ากินไปหมดเลย
เดินไปจนสุดงานฟาร์มเฟซฯ ก็เจองาน Tokyo Film Festival จัดอยู่ที่อีกฝากถนน และในวันนี้ก็เป็นวันคล้ายวันเกิดของพี่เบิ้ม Godzilla จึงมีแฟน ๆ จากทั่วทุกสารทิศทั้งหัวดำหัวทองหลากช่วงอายุตั้งแต่เด็กเล็กยันคนอายุคราวพ่อของเราได้ มายืนต่อคิวซื้อสินค้าที่ระลึกหรือไม่ก็รอที่จะได้จับมือกับก็อตซิล่า มีศิลปินมาวาดรูปสดๆ ให้ชมกัน ที่นี่ก็ยังมีรูปปั้น Godzilla เวอร์ชั่นปี 2016 สูงเด่นเป็นสง่าอยู่แถวตึก Tokyo Midtown Hibiya ใครที่เป็นแฟนของพี่เขาก็แวะมาถ่ายรูปกันได้
วันที่สอง แอดกับเพื่อนก็ตื่นกันแต่เช้า นั่งรถไฟชินคันเซนและต่อรถไฟขบวน Local ระยะเวลารวมเกือบ 3 ชั่วโมงไปยัง Naruko Onsen จังหวัดมิยากิ ถือว่าเร็วมากนะ สำหรับการนั่งรถไฟระยะทาง 400 กว่ากิโล แถมยังสะดวกมากด้วย คนญี่ปุ่นเองก็นิยมมาดูไม้เปลี่ยนสีที่ Naruko Gorge กันเยอะเลย แอดถือว่าโชคดีที่ได้มาช่วงที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีพอดี และได้เก็บภาพสะพานข้ามหุบเขา และภาพรถไฟออกจากอุโมงข้ามหุบเขาที่ห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้สีอบอุ่น อันโด่งดัง ซึ่งใครที่อยากได้รูปรถไฟก็ต้องอดทนรอกันหน่อยเพราะว่าที่นี่เป็นเมืองตากอากาศเล็ก ๆ น่ารักที่จะมีรถไฟผ่านไปมาทุก ๆ 1 - 1.30 ชั่วโมงเท่านั้น พูดง่าย ๆ คือถ้าพลาดไปก็ต้องรอไปอีกชั่วโมงนึงเป็นอย่างต่ำ
หุบเขา Naruko Gorge มีจุดถ่ายรูปสวย ๆ อยู่หลายจุด แต่มุมที่ถ่ายมานั้นจะต้องเดินลงไปตามทางแคบ ๆ และชันของไหล่เขา ที่ก็มีความลื่นจากน้ำที่ไหลซึมออกมาตามข้างทางที่ค่อนข้างลื่นทีเดียว ใครคิดจะเดินมาทางนี้ควรใส่รองเท้าที่เกาะพื้นดี ๆ ไม่ลื่นง่าย และหากมีอะไรไม่คาดฝันเกิดขึ้น เกิดหกล้มหัวแตกต้องนอนโรงพยาบาล อย่างน้อยก็ยังมีประกันภัยการเดินทาง ช่วยดูแลเรื่องค่ารักษาพยาบาลให้เราอุ่นใจ
คืนนี้แอดกับเพื่อนนอนพักกันที่โรงแรมชื่อดัง Naruko Kissho เห็นว่าที่นี่จองยากมาก ตัวตึกของโรงแรมดูทันสมัย แต่ภายในเป็นห้องพักเป็นแบบเรียวกัง กว้างขวาง นอนได้ 2-4 คน แต่เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปส่วนนี้มาให้ชม มีอาหารเย็นและอาหารเช้าเป็นบุฟเฟ่ต์ ซึ่งเป็นไลน์บุฟเฟต์ที่มีของให้เลือกหลากหลายและโดยรวมคุณภาพค่อนข้างดี โดยเฉพาะไข่ออนเซ็นที่ไข่แดงเข้มข้น และข้าวสวยจากเมืองต่าง ๆ ที่หุงมาได้เงามันขลับเหมือนจะแฉะแต่ไม่แฉะ หอมนุ่มกินอร่อยเป็นที่สุด
ที่นี่มีออนเซ็นทั้งแบบ Public ที่เป็นบ่อรวม และออนเซ็นแบบห้อง Private ซึ่งเราจะแช่คนเดียว หรือแช่กับเพื่อนที่ไปด้วยกันก็ได้ เพราะห้องไพรเวทเราจะล็อคห้อง จะได้ไม่มีคนอื่นเข้ามารบกวน การแช่ออนเซนกลางแจ้งท่ามกลางอาการเย็นๆ นี่ฟินจริงๆ แถมแช่น้ำเสร็จก็มีไอติมให้กินหลังแช่
เนี่ย ถ้าทำงานเหนื่อยมาทั้งปี ได้มาชาร์จแบตแบบนี้คือสุขที่สุดแล้ว
วันที่สาม วันนี้ได้ตื่นสาย กินอาหารเช้า แล้วนั่งรถไฟกลับเข้าโตเกียว เพื่อนที่มาด้วยกันนางบอกยังไม่ได้ดู Maleficent ก็เลยไปดูเป็นเพื่อน ตอนแรกคิดว่าการดูหนังที่ญี่ปุ่นจะยุ่งยาก แต่จริงๆ แล้วง่ายมากนะ กดซื้อผ่านตู้ขายตั่วได้เลย
การเข้าโรงหนังในญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในโรงหนัง TOHO สาขาชินจูกุที่โดยรวมเห็นแล้วเราก็ต้องยอมรับว่าโรงหนังของไทยหลายที่นั้นทำออกมาได้ดูสวยงามและใหญ่โตอลังการกว่า แต่ความน่าประทับใจที่ได้พบคือการใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเช่นการมีกระดาษกั้นสำหรับแบ่งรสชาติของป็อปคอร์นที่ทำให้มันไม่ผสมปนกัน และถาดสำหรับวางแก้วเครื่องดื่มและของขบเคี้ยวที่สามารถเสียบตรงจุดวางแก้วของที่นั่งเราได้ ทำให้เราไม่ต้องคอยถือกล่องป็อปคอร์นเอาไว้ตลอดเวลา แถมที่นั่งก็ห่างกันเยอะ ยืดขาได้ และสำหรับผู้ที่ชอบสะสม ที่นี่ก็จะมีใบปลิวหนังที่พิมพ์อย่างสวยงามมาให้หยิบไปสะสมกันได้ฟรีอีกด้วย
สำหรับใครที่จะมาดูหนังที่ญี่ปุ่น สิ่งที่สำคัญมากคือเรื่องมารยาท การเล่นโทรศัพท์เพียงแค่พลิกขึ้นมาดูว่าใครมิสคอลมาในระหว่างที่หนังเริ่มฉายไปแล้วก็ถือว่าไม่มีมารยาทแล้ว และพอโรงหนังปิดไฟ ทุกอย่างจะเงียบกริบ ไม่ได้ยินเสียงใครคุยกันเลย ซึ่งผมชอบนะ
แล้วก็ปิดท้ายทริปด้วยมื้อเย็นที่ MK ชิบุย่า เราก็ถามเพื่อนไปนะว่ามันเหมือนของไทยไหม เพื่อนบอกไม่เหมือนซะทีเดียว ต้องไปลองเอง ซึ่งบอกได้เพียงว่านอกจากน้ำจิ้มสุกี้ MK ที่เหมือนของไทยแล้ว อย่างอื่นนี่ดูไม่ออกเลยว่านี่คือ MK เพราะว่าวัตถุดิบและของที่ใช้ต่าง ๆ นั้นคุณภาพดีมาก มีให้เลือกกินทั้งแบบสั่งแยก และแบบบุฟเฟต์
ซึ่งแบบบุฟเฟ่ต์ธรรมดาราคาสองพันกว่าเยน (เอาจริงๆ นะ กินแบบธรรมดาก็พอแล้ว มีของให้เลือกเยอะมาก) ส่วนแบบพรีเมี่ยมแบบสี่พันกว่าเยนจะมีทั้งติ่มซำและเนื้อแบบพรีเมี่ยมลายสวยชิ้นเบ้อเริ่มให้สั่งได้แบบไม่จำกัดตลอดเวลา 90 นาที มีน้ำซุบให้เลือกหลายแบบ และมีซอสหลายชนิดนอกเหนือจากซอสสุกี๊ MK ก็ยังมีทั้งซอสพอนซึ ซอสงา มีเกลือบ๊วยเอาไว้ให้เลือกตามชอบเลยทีเดียวนี่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเรามาญี่ปุ่นแล้วจะต้องมากิน MK แต่พอได้ลองแล้วบอกเลยว่าอยากให้มาลอง
ทริปนี้ถึงจะเข้ามาแบบกระทันหันฉุกลหุก แต่พอไปถึงที่นั่นทุกอย่างช่างชิลเหลือเกิน และได้สัมผัสกับความสะดวกสบายของระบบที่ออกแบบมาอย่างดี แม้จะพูดและอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ได้เลยสักนิดก็สามารถไปเที่ยวได้ง่าย ๆ เพียงมีสมาร์ทโฟนและสัญญาณอินเตอร์เนทดี ๆ เพราะข้อมูลทุกอย่างหาได้ผ่านบริการต่าง ๆ ของ Google แถมวางแผนการเดินทางได้ง่ายและตรงเวลา และอุ่นใจเสมอว่าแม้จะมีอะไรไม่คาดฝันเกิดขึ้นก็จะไม่ถังแตกเพราะค่ารักษาพยาบาลเพราะซื้อประกันภัยเดินทางจาก AIS Insurance Service เอาไว้แล้ว
#AISInsuranceService #อุ่นใจทุกทริป #ซื้อง่ายจ่ายผ่านมือถือ
อยากอุ่นใจแบบแอด คลิก >> http://m.ais.co.th/ZyHbyD7S6
อุ่นใจทุกทริป 在 อุ่นใจทุกทริป...แค่มีประกันการเดินทาง AIS Insurance... | Facebook 的推薦與評價
อุ่นใจ คุ้มครองค่ารักษาพยาบาล สูงสุด 2,000,000 บ. ไม่ต้องสำรองเงินค่ารักษา หากเจ็บป่วยฉุกเฉิน หรือเกิดอุบัติเหตุ *กรณีผู้ป่วยใน คุ้มครองกระเป๋าเดินทาง ... ... <看更多>