#ประสบการณ์ทำงานในญี่ปุ่ Ep 1
#เล่าชีวิตการทำงานครั้งแรกในญี่ปุ่น 🇯🇵
สำหรับมายแล้ว นี่คือการทำงานประจำครั้งแรก
และที่แรกในชีวิต
เพราะพอมายเรียนจบที่ไทย
ก็มาเรียนต่อที่ญี่ปุ่นเลย🇯🇵
เพราะฉะนั้น มายจึง ไม่มีปสก.การทำงานที่ไหนมาก่อน แม้แต่ที่ไทย🇹🇭
.
หลังจากที่สมัครงาน สัมภาษณ์งานมาอย่างหนักหน่วง
(ไว้ถ้าสนใจ จะมาเล่าเรื่องการสมัครงานที่ญี่ปุ่นให้ฟังค่ะ)
บริษัทที่มายเลือกเข้าทำงาน คือ
บริษัทผลิตเครื่องจักรพลังงานแสงอาทิตย์ ในโตเกียว🇯🇵
เข้ามาปุ๊บ 2อาทิตย์แรกไปอบรมที่โรงงานแถวเกาะคิวชู
อยากจะบอกว่า ด้วยความโก๊ะของตัวเอง😖
คือ มายตกเครื่องบิน... ไปไม่ทัน
(โอ๊ยยยย คิดแล้วอายมากกกก เข้าทำงานวันแรก เพื่อนๆที่เข้าทำงานพร้อมกันปฐมนิเทศเสร็จเรียบร้อยแล้ว)
มายต้องนั่งเที่ยวถัดไปตามไป...✈
JAL ใจดีไม่ชาร์ตเงินเพิ่ม อาจเป็นเพราะสงสารเด็กตัวน้อยๆ😂
พอไปถึงสนามบินMatsuyama ก็นั่งแท๊กซี่ตามไปโรงงาน
(ดีที่บริษัทออกค่าตั๋ว ค่ารถให้ และไม่ได้ตำหนิอะไร แต่เรารู้สึกแย่มากกก กลัวfirst impression จะไม่ดี อุตส่าห์สัมภาษณ์มาตั้ง 5รอบ กว่าจะเข้าที่นี่ได้ ดันมาสายวันแรกซะงั้น💦)
.
หลังอบรมเสร็จ2อาทิตย์ ก็มีการสอบ
เพื่อวัดผลว่าเราจะได้ไปอยูแผนกไหน
โดยมีพนง.ที่เข้าใหม่รุ่นเดียวกับมาย 40คน
(เป็นคนญี่ปุ่นหมด ยกเว้นมาย กับคนไต้หวัน1คน)
.
มายได้ถูกเลือกให้ไปประจำสาขาโตเกียว
แผนกเซลเครื่องจักรพลังงานแสงอาทิตย์ ในตำแหน่ง Sales Engineer กลุ่ม1
ซึ่งจะดูแลแถบSouth East Asia และบังคลาเทศ
.
อยากจะบอกว่าเครียดมากกกกกก😖
เพราะ
1. อย่างที่บอก เพื่อนที่เข้ามาทำงานรุ่นเดียวกัน
ทุกคนเป็นคนญี่ปุ่นหมด ยกเว้น เรา กับ คนไต้หวันอีก1คน ที่สาขาโตเกียว
มีทั้งหมด12คน ทุกคนเก่งและจบจากมหาวิทยาลัยดีๆในญี่ปุ่น แอบกดดันมาก
.
2. ถูกให้มาเป็น Sales Engineer
แต่เราจบสายศิลป์มา (คณะบริหารฯ เอกการตลาด) ไม่มีความรู้ด้านวิศวะฯเลย
ต้องมานั่งเทรน เรียนรู้ทุกอย่างจากศูนย์
หลายคำ ยังไม่รู้เลยว่าภาษาไทยเรียกอะไร
ชิ้นส่วนอะไรเนี่ย??
มันเรียกว่าอะไร ไม่เคยเห็นมาก่อน
การคำนวนค่าตัวเลขของเครื่องจักรต่างๆ
หลักการการทำงานของเครื่องจักร
ฯลฯ
หลักการด้านวิศวะหลายอย่างต้องมานั่งเรียน
ซึ่งท้อมากๆช่วงแรก ยากมาก ลองเสริสgoogle อ่านหลักการเป็นภาษาไทยยังงง
เพราะเราไม่ได้เรียนสายนี้มา
ไม่เข้าใจเลยยยยยยย
.
3. หลังจากเข้างาน1เดือน คนไต้หวันลาออก ❗
กลายเป็นว่า เราเป็นพนง.ต่างชาติคนเดียวในบริษัท😭
.
4. ช่วงแรกที่เข้าทำงาน บริษัทให้พนง.ใหม่ในแผนก ทำหน้าที่รับโทรศัพท์ 📞
ในแผนกเรามีพนง.ใหม่3คน ก็ผลัดกันรับ
ซึ่งแน่นอน แผนกฝ่ายขาย
โทรศัพท์ดังทั้งวัน ดังที สะดุ้งที เครียดมาก!!
โอ๊ยยยยย ไม่มีสมาธิทำงานอื่นเลย
.
ขนาดรับโทรศัพท์ลูกค้าภาษาไทย ยังตื่นเต้น
ไม่เคยรับมาก่อน ประสาอะไรรับสายเป็นภาษาญี่ปุ่น🇯🇵แถมลูกค้าญี่ปุ่น
ภาษาญี่ปุ่นที่เคยใช้ มักเป็นภาษาที่ใช้กับเพื่อน
.
ชั่วโมงนึงดังอย่างน้อย 3-4ครั้ง
ใครทำงานบริษัทที่ญี่ปุ่น จะรู้เลยว่า เวลารับโทรศัพท์ลูกค้านี่ขั้นตอนเยอะมากกกกกกก 💦
ซึ่งบริษัทมีเทรนเราก่อนอยู่แล้ว
แต่พอถึงตอนจริง ลืมค่ะ5555
มันก็ยังตื่นเต้นมาก
.
เอามาแชร์ เผื่อใครต้องทำงานกับลค.ญี่ปุ่น🇯🇵
🔸️ถ้าโทรศัพท์ดังเกิน 2ครั้ง ตอนรับสาย ต้องพูดว่า ขอโทษที่ทำให้รอค่ะ
🔸️ ตอนรับสาย ห้ามพูดว่า ฮัลโหล (โมชิๆ)
แต่ต้องแนะนำตัวเองก่อนว่า ดิฉันชื่อ....จากบริษัท.... ค่ะ ซึ่ง! มันยาวมากกก ในภาษาญี่ปุ่น
🔸️และชื่อเราเป็นชื่อภาษาไทย
ต้องบอกทั้งชื่อและนามสกุล และลูกค้า ก็จะฮะ! เพราะฟังชื่อเราไม่ออก ฯลฯ
ต้องบอกซ้ำหลายรอบ เพราะลค.ไม่ปล่อยผ่าน😂
หลังๆเลยใช้วิธี พูดชื่อตัวเอง สำเนียงญี่ปุ่น🇯🇵
(ไช-อา-รี-กิ นี้-ละ-ฉะ (นีรชา ชัยอารีย์กิจ) โตะโมชิมัส) เออ! วิธีนี้เวิร์ค❗✊🏻
🔸️จากนั้น ลูกค้าจะบอกชื่อเขากับบริษัท และขอสายคนที่อยากคุยด้วย
🔸️ ณ จุดนี้ พีคมากกกกก เพราะ บริษัทมีลูกค้าหลายบริษัท ส่วนใหญ่จะเป็นคนจากโรงงาน พูดเร็วมาก บางคนพูดภาษาถิ่น
ตอนลค.บอกชื่อบริษัท... บอกเลย ฟังไม่ทัน555
เพราะเป็นชื่อเฉพาะ ไหนจะชื่อนามสกุล ลูกค้าอีก คือ เครียดสุดๆ ทุกครั้งที่โทรศัพท์ดัง
รู้สึกเหมือนอายุสั้นลง.... 😂
บางครั้งเป็นลูกค้าที่โทรมาคอนเพลน มาถึงด่าเราเลยยย
🔸️หลังๆ หาทางออกโดยการจดชื่อ และไปนั่งดูลิสชื่อลูกค้าและนั่งจำ จนจำชื่อลค.ที่โทรมาบ่อยๆได้
🔸️ จากนั้น อีก1ปัญหาคือ
ต้องจดชื่อลูกค้าที่โทรมา และโอนสายไปยังรุ่นพี่ หรือเจ้านาย
ซึ่ง สาขาโตเกียว ตอนนั้นมีพนง.100กว่าคน
ทุกคนมีโทรศัพท์คนละเครื่องบนโต๊ะ แม่เจ้า!
แรกๆ จำชื่อรุ่นพี่ก็ไม่ได้คร่าาา😂
บางคนนามสกุลเหมือนกัน แผนกเดียวกันอีก พวกTanaka, Yamada, Sato ฯลฯ นั่งหาเบอร์ภายใน โอนสายอีก
🔸️คิดในใจ ถ้าเป็นลค.ต่างชาติโทรมา จะดีมากเลย เราจะได้ใช้ภาษาอังกฤษ แต่ปรากฎไม่มี เพราะโทรทางไกล คงแพง เลยมีแต่อีเมล
🔸️ตอนวางสาย ห้ามวางก่อนลูกค้า ต้องรอให้ลค.วางก่อน
🔸️ถ้าคนที่ลค.โทรหาไม่อยู่ บางทีเขามีข้อความฝากถึง เราก็ต้องฟังให้ทันและจด และส่งเนื้อหาไปหาคนๆนั้ยทางอีเมล (ความยากของมัน คือ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องทางเทคนิค ภาษาเทคนิควิศวะล้วนๆ)
🔸️ต้องใช้ภาษาสุภาพ (ภาษาเคย์โกะ) ซึ่ง ตอนเข้าใหม่ แน่นอน ยังใช้ไม่คล้อง ไหนจะต้องคิดว่าจะพูดอะไร ไหนจะพูดเป็นภาษาสุภาพยังไงอีก
🔸️ตอนพักนั่งคุยกับเพื่อนแผนกเดียวกันเข้าใหม่ ทุกคนเครียดเหมือนกันหมด เจอปัญหาเดียวกัน (แต่เรารู้สึกว่าเราเครียดกว่า เพราะยังไงภาษาญี่ปุ่นก็เป็นภาษาเขา)
สรุปคือ สำหรับเด็กจบใหม่ แม้แต่คนญี่ปุ่นเอง ก็เครียดกันเหมือนกัน
5. นอกจากต้องเรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับวิศวะและโซล่าเซลแล้ว ต้องเรียนรู้ด้านlogistic กับ กฎหมายการโอนเงินระหว่างประเทศด้วย เพราะเราขายเสร็จ ต้องทำเรื่องดีลกับการขนส่งเครื่องจักรกับแผนกlogistic ด้วย แต่เอาจริงๆ อันนี้ยังง่ายกว่าเรียนวิศวะ
6. ตามสไตล์บริษัทญี่ปุ่น เลิกงาน5โมงครึ่ง แต่ยังกลับไม่ได้ ถ้ารุ่นพี่ หรือเจ้านายยังไม่กลับ หรือบอกให้กลับได้ ตอนนั้นเราเข้าใหม่ งานที่มอบหมาย ยังไม่เยอะ ไม่มีอะไรทำแล้ว แต่ก็นั่งเบื่อ สบตากับเพื่อนที่เข้ามาพร้อมกัน แน่นอน มือถือห้ามเล่นระหว่างงาน ขนม อาหารก็ห้ามกิน มือถือไม่เท่าไหร่ แต่เราหิววววว
.
7.ช่วงที่มายเข้ามาทำงาน เป็นช่วงที่บริษัทเข้าสู่ภาวะขาดทุนพอดี เพราะโดนคู่แข่งจีนตี เลยถูกกดดันสูงในเรื่องยอดขายมาก เพราะเซลคือหัวใจของบริษัท
.
อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ พอเข้าทำงานสักพักก็เริ่มปรับตัวเป็นมนุษย์เงินเดือนญี่ปุ่นได้ เริ่มทำเป็นรูทีน
🔸️ตอนเช้า ต้องเข้างานก่อนอย่างน้อย 15นาที (เจ้านายมาย มาถึงก่อน 1ชม. สุดยอดมาก บ้านก็ไกล)
🔸️ต้องมีมีตติ้งทุกเช้า และต้องพรีเซ้นทุกเช้าว่าจะทำอะไร กับมีตติ้งประจำเดือนอีก1ครั้ง รายงานความคืบหน้า
🔸️ กลางวัน ทำข้าวกล่องมาทานเอง เพื่อความประหยัด
🔸️หลังจากผ่านไป2-3เดือน เจ้านายเริ่มให้ไปBusiness Trip ที่ต่างประเทศด้วย เช่น ประเทศมาเลเซีย อินโดฯ สิงคโปร์ จะบ่อยสุด แทบทุกเดือน ส่วนไทย นานๆที เพราะที่ไทย เรื่องการใช้ระบบพลังแสงอาทิตย์ยังไม่ค่อยเป็นที่นิยมในตอนนั้น
.
🔴🛩 พูดถึงเรื่อง出張 หรือไปทำงานต่างถิ่น (Business Trip)
ก่อนทำงาน เคยคิดว่าไปbusiness trip สบาย เท่ๆ แต่เปล่าเลยค่าาาา 😂
.
🔹️ส่วนใหญ่ต้องบินไฟลท์ดึก 🛩
ถึงเช้า ล้างหน้า แปรงฟันที่สนามบิน และไปทำงาน เยี่ยมลูกค้าประมาณวันละ3-4เจ้า จนถึงเย็น
แถมพอเลิกงาน ต้องไปดื่มกับเจ้านายต่ออีก ทั้งๆที่ตาจะปิดแล้ว เฮอๆ
.
🔹️เจ้านายชอบแบบanalog เพราะงั้น เราต้องปริ้นเอกสาร เอาแผ่นพับ แบบพิมพ์เขียว layout ฯลฯ มาเป็นตั้ง ให้บริษัทละอย่างน้อย3ชุด
ซึ่งหนักมากกก
เพราะขายทั้งproduction line เลย เครื่องจักรประมาณ 10กว่าเครื่องได้ แต่ละเครื่องdetail เยอะ
แบกกันเข้าไปค่ะ ณ จุดนี้
คือเราเป็นลูกน้อง
ถึงจะเป็นผู้หญิง ก็ตาม
เราต้องเป็นคนแบกเอกสาร สิ่งของทุกอย่าง พร้อมแบกlaptop รุ่นเก่า(หนัก) ไปเยี่ยมลค.ทุกที่
(จริงๆแรกๆ เจ้านายผู้ชาย ก็มีถามว่า ช่วยมั้ย แต่เราบอกไม่เป็นไร เพราะรู้วัฒนธรรมว่า ปกติที่ญี่ปุ่นลูกน้องต้องเป็นคนแบก)
.
🔹️ "เขียนรายงาน" อันนี้เกลียดมากกก เพราะ 1.บริษัทมายมีกฎว่าต้องส่งรายงานของแต่ละบริษัทที่ไปเยี่ยมภายใน1วัน หลังจากไปเยี่ยม บางทีไปตปท.5วันติด
ยังไม่ทันจบทริป ก็ต้องส่งแล้ว😂
แถมต้องเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นอีก🇯🇵เรื่องที่เขียนส่วนใหญ่เป็นเกี่ยวกับเครื่องจักร
บางทีต้องเอาเทปไปอัดและกลับมาแกะ
จากภาษาอังกฤษ เป็นญี่ปุ่น
จริงๆอันนี้ไม่เท่าไหร่
จะร้องไห้ ก็ตอนที่ หลังจากเยี่ยมลค.เสร็จ ต้องไปดื่มกับเจ้านายหรือลูกค้าต่อ
จากนั้นกลับมาถึงโรงแรม4ทุ่ม
กว่าจะอาบน้ำเสร็จ เริ่มเขียนรายงาน บางทีเสร็จตี3
รีบส่งรายงายเข้าระบบ
และตัองตื่น6โมงเช้า ไปเยี่ยมลค.อีกที่ต่อ คือ....ซอมบี้โหมดมาก55555
โรงแรมสวยๆดีๆ ไม่มีอารมณ์มานั่งเอนจอยเลยค่ะ555 (ท่องไว้เรามาทำงาน ไม่ใช่มาเที่ยว)
.
🔹️ขากลับ ส่วนใหญ่เป็นไฟลท์ดึก 🛩
มาถึงที่ญี่ปุ่นเช้า ประมาณ10โมงเช้า
กลับมาวางกระเป๋า อาบน้ำที่ห้อง
และกลับไปทำงานที่ออฟฟิศต่อ
(มาส่งรายงาน+ส่งเมลขอบคุณลค.ที่อนุญาตให้เราไปเยี่ยม)
ไม่ใช่แค่มายคนเดียว เซลทุกคน ทำแบบเดียวกัน
วางกระเป๋า แล้วไปทำงานต่อ ไม่มีการพัก
.
🔹️มีข้อดี อย่างนึง คือ ได้เบี้ยเลี้ยงรายวัน กับ ส่วนใหญ่บริษัทญี่ปุ่นมักให้พักโรงแรมที่ค่อนข้างโอเคหรือดี
.
อย่างไรก็ตาม อ่านมาถึงตรงนี้ หลายๆคน อาจจะบอกว่า โห.... ทำที่นี่ไม่เห็นมีข้อดีเลย
จริงๆแล้ว มายไม่เสียใจนะคะ
มันสอนอะไรมายหลายๆอย่างด้วยซ้ำ
.
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ก็ยังจะทำที่นี่อีก
เพราะมายได้เรียนรู้ประสบการณ์หลายอย่างจากที่นี่ จนกระทั่งคิดว่าพอล่ะ จึงออกไปลองสายงานอื่นที่อยากทำ
.
บอกตามตรง มายไม่ได้คิดเรื่องเงินเลย
เงินเดือนเด็กจบใหม่ในญี่ปุ่นมันไม่ได้เยอะขนาดที่จะเหลือเก็บได้มาก
.
ถามว่ามีเงินเก็บไหมช่วงนั้น?
ก็แทบไม่ค่อยมี เพราะรายจ่ายมันก็เยอะ
แต่มายคิดว่า...
ตอนเราเป็นน.ร.เราต้องเสียเงินแพงๆเพื่อให้ได้เรียน
เพื่อให้ได้ประสบการณ์
แต่ตอนนี้ เราไม่ต้องเสียเงิน แถมได้เงินใช้ทุกเดือนเพื่อเรียนอีก!
เชื่อมั้ย ที่แรก มายไม่ต่อเงินเดือนเลย555
ให้เท่าไหร่ฉันก็เอา เพราะอยากทำงานจนตัวสั่น และรู้ว่าเรายังไม่มีของ
ปสก.จริงที่มหาวิทยาลัยไหนก็สอนไม่ได้
หลังจากที่เราได้เรียนรู้ ได้ปสก.. พูดง่ายๆมีของแล้ว ถึงตอนนั้น ค่อยมาตีมูลค่าของเราก็ยังไม่สาย
.
.
🔴 สิ่งที่มายได้จากการทำงานที่นี่ คือ
- ได้ลองทำทุกอย่าง
บริษัทนี้ เป็นบริษัทขนาดกลาง มีพนง.แค่2-3พันคน (ส่วนใหญ่อยู่โรงงาน สาขาที่โตเกียวเป็นออฟฟิศ) เพราะฉะนั้น เขาเลยให้มายทำทุกอย่าง
ซึ่งถ้าเป็นบริษัทใหญ่ๆ เขาจะให้ทำงานของเราโดยเฉพาะ โฟกัสอย่างๆเดียว
ดีอย่างคือ สวัสดิการดี แต่มักไม่ได้รับมอบหมายงานใหญ่ๆ
มีแผนกแยกชัดเจน ซึ่ง ตรงจุดนี้ก็ทำให้มายได้เรียนรู้อะไรต่างๆมากมาย
เจ้านายเคยมอบหมายให้มาไปเจอและดีลงาน CEO กับ CFO บริษัทลค.
ซึ่งปกติไม่มีที่ไหนให้เด็กเข้าใหม่ไม่ถึงปีทำหรอก แต่ที่นี่ให้เราทำ
สิ่งนี้ส่งผลถึงการก้าวหน้าและการย้ายงานเข้าทำงานในบริษัทต่อไปในอนาคตของมาย
.
- บริษัทนี้ ปกติถ้าเป็นผู้หญิง ไม่มียูนิฟอร์ม ใส่ชุดอะไรก็ได้เวลามาทำงาน ยกเว้นเวลาเข้าโรงงานกับไปเจอลูกค้า
.
- อีก1ข้อดี ของบริษัทที่ไม่ใหญ่ คือ
เรามีโอกาสได้ใกล้ชิดและเรียนรู้งานกับคนระดับผู้บริหาร
การที่เราได้อยู่ใกล้คนเก่ง มันทำให้เรา
ได้เห็นวิสัยทัศน์และได้ซึมซับการทำงานของเขาโดยที่ไม่ต้องไปเสียเงินไปฟังสมนาแพงๆเลย
ได้รับการสอนงานจากเขา
ซึ่งมายได้เรียนรู้เยอะมาก เหนื่อยนะ แต่คุ้ม
ถ้าทำบริษัทใหญ่ๆ ส่วนใหญ่แทบเป็นไปไม่ได้เลย ที่เด็กเข้าใหม่จะได้ไปทำงาน หรือไปbusiness trip กับคนระดับผู้บริหาร
.
- ได้ไปเมืองนอกบ่อยๆ เป็นการเปิดหูเปิดตาเราด้วย ได้ไปเห็นบ้านเมืองใหม่ๆ
- ได้ใช้ทั้งสกิลภาษาอังกฤษและญี่ปุ่น ทำให้ไม่ลืมภาษาอังกฤษด้วย
- ได้เรียนรู้การทำงานร่วมกับคนญี่ปุ่น มารยาทในการทำงาน ได้มิตรภาพ คอนเนคชั่นใหม่ๆ
.
- สิ่งทีท้าทายอีก1อย่าง คือ
เราต้องคุยกับล.ค.ที่เป็นเอ็นจิเนียร์ระดับสูง
(เพราะเราขายเครื่องจักรราคา 10ล้านบาทอัพ) และคนที่เชี่ยวชาญเรื่องวิศวะฯถามคนที่ไม่ได้จบวิศวะอย่างเรา แต่ละคำถามวิศวะหินๆทั้งนั้น😂
(หลายครั้งที่อ้าปากค้าง เพราะตอบไม่ได้)
ต้องทำการบ้านเตรียมตัวเยอะมาก
(แน่นอนว่าเจ้านายอยู่ด้วย คอยแบคอัพอย่างเดียว ไม่ช่วย เพราะจะฝึกเรา😂)
ถ้าเป็นบริษัทอื่นคงไม่มีโอกาสแบบนี้
.
- บริษัทนี้ ให้โอกาสผู้หญิงและคนต่างชาติอย่างมาย ผู้ซึ่งไม่เคยมีปสก.ทำงานเลย ได้ทำงานหลายๆอย่าง
สมัยนั้นญี่ปุ่นยังไม่ค่อยเปิดรับต่างชาติเข้าทำงานเท่าตอนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้หญิง
เขาเชื่อในตัวเรา และเลือกเราเข้าทำงาน ในขณะที่เขาสามารถเลือกคนญี่ปุ่นที่จบวิศวะและพูดอังกฤษเก่งก็ได้
เขียนมาซะยาวเลย....
ขี้เกียจอ่านกันรึยังนะ555
จริงๆ ยังมีอีกหลายเรื่อง แต่กลัวจะเบื่อกันแล้ว
เอาเป็นว่า
ถ้ายังอยากฟังกันอยู่ ไว้จะมาเล่าให้ฟังต่อนะคะ หลังจากทำงานที่นี่ มายไปทำงานที่ไหนต่อ ทำไมถึงเลิอกที่นี่ ^^
.
หรือใครอยากรู้อะไรก็มาเม้นถามกันได้นะคะ ^^
.
ป.ล. เรื่องราวที่มายเล่านี้ เป็นเรื่องเมื่อเกือบ10ปีทีแล้ว ปัจจุบัน อาจจะเปลี่ยนไปตามยุคสมัยและสถานการณ์นะคะ .
.
🔴 ป.ล.2
รูปแรก - ใส่ชุดโรงงาน 作業着 ตอนไปเจอลูกค้า
รูปที่สอง - บัตรพนักงาน
รูปที่สาม - รูปรวมกับรุ่นพี่และเจ้านายที่แผนก สาขาโตเกียว
รูปที่สี่ - ตอนไปคาราโอเกะหลังเลิกงานกับเพื่อนที่ทำงานกับรุ่นพี่
.
ป.ล.รูปถ่ายจากมือถือ สมัยนั้น มือถือรุ่นเก่า ถ่ายภาพอาจไม่ชัดเท่าไหร่ ขออภัยด้วย555
🔴ติดตาม Ep2
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=2699432650290264&id=1407865602780315&sfnsn=mo
#มายเซนเซ
เขียนรายงาน 在 1. ผู้ควบคุมงานไม่เขียนรายงานกรรมการตรวจรับต้องทำอย่างไร 2. อป ... 的推薦與評價
1. ผู้ควบคุมงานไม่ เขียนรายงาน กรรมการตรวจรับต้องทำอย่างไร 2. อปท.จำเป็นต้องใช้แบบฟอร์มรายงานควบคุมงาน ตาม ว0523 ลว 27 มกราคม 2559 หรือไม่ ... ... <看更多>
เขียนรายงาน 在 ภาษาไทย ม.2 ตอนที่ 7 การเขียนรายงาน - Yes iStyle - YouTube 的推薦與評價
สอนวิชาภาษาไทย ระดับชั้น มัธยมศึกษา ปีที่ 2 ตอนที่ 7เนื้อหา การ เขียนรายงาน โดยครู ยีนส์ ยุราพันธ์. ... <看更多>