พลังแห่งโซเชียลจีน!"ชาวจีนช้อปแหลกเพื่อแบรนด์อุปกรณ์กีฬาสัญชาติจีน” ยอดขายเพิ่มขึ้น 52 เท่าบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ตอบแทนยอดบริจาคน้ำท่วม 250 ล้านบาทจากแบรนด์
.
ได้ใจชาวจีนไปเต็มๆ สำหรับแบรนด์รองเท้าและอุปกรณ์กีฬาสัญชาติจีน “Erke” เมื่อพวกเขาประกาศบริจาคช่วยเหลือเหตุน้ำท่วมใหญ่มณฑลเหอหนาน คิดเป็นเงินมากถึง 50 ล้านหยวน (ราว 250 ล้านบาท) ชาวเน็ตจีนต่างพากันบอกว่า เป็นยอดเงินบริจาคที่สูงมาก ถ้าเทียบกับการเป็นแบรนด์จีน ไม่ได้เป็นแบรนด์ระดับโลก โดยสื่อจีน อย่างเช่น GlobalTimes สื่อกระบอกเสียงทางการจีน ใช้คำเรียกการบริจาคครั้งนี้ของ Erke ว่า Low-Profile Donation ด้วยซ้ำ
.
ด้วยสาเหตุข้างต้น จึงเกิดเป็นกระแสไวรัลไปทั่วโลกออนไลน์จีน โดยเฉพาะบน Weibo โซเชียลมีเดียจีน โพสต์ประกาศบริจาค 50 ล้านหยวน ของ Erke บนเพจทางการบน Weibo มียอด Likes มากกว่า 9.5 ล้านครั้ง และ จำนวนความคิดเห็นอีกกว่า 282,000 ความคิดเห็น และเมื่อพวกเขาทำการ Live สด ยอดดูก็มีมากถึง 2 ล้านวิว จากที่ก่อนหน้านี้ ยอดดู Live ของพวกเขา โดยเฉลี่ยต่ำกว่า 10,000 วิว
.
ไม่ใช่แค่ส่งผลต่อยอด Likes จำนวนความคิดเห็น ยอดดู Live สด บนสื่อโซเชียลของบริษัท แต่ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับบริษัท Erke ต่างเป็น Talk of the Town เป็นไวรัล ติดคำค้นหายอดฮิตบน Weibo แทบทั้งนั้น โดยส่งผลไปถึงแคมเปญเฉพาะกิจที่ชาวโซเชียลจีนต่างทำขึ้นมาเพื่อ Erke นั่นคือ “ช้อปปิ้งสินค้า Erke อย่างบ้าคลั่ง เพื่อตอบแทนน้ำใจอันยิ่งใหญ่”
.
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อในพลังของโซเชียลจีน มีการเปิดเผยโดย 都市快报 ระบุว่า “Shop ของ Erke สาขาถนนเหยียนอัน เมืองหังโจว มณฑลเจ้อเจียง ซึ่งเป็นหนึ่งใน 20 กว่าสาขาในหังโจว แต่เป็นสาขาเดียวที่อยู่ในเขตเมือง เปิดมา 10กว่าปีแล้ว ปกติยอดขายของที่สาขานี้ก็ไม่ได้แย่อะไร แต่สองวันมานี้ (24-25 กรกฎาคม 2564) ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตัว โดยมีผู้ให้สัมภาษณ์กับสื่อด้วยว่า “ตั้งใจมาซื้อรองเท้าของแบรนด์นี้โดยเฉพาะ หลังจากได้ยินข่าวการบริจาค 50 ล้านหยวน”
.
หลายสาขาของ Erke ตามเมืองต่างๆของจีน ก็มีรายงานบน Weibo เพจต่างๆว่า มีคนเข้าไปซื้อสินค้าแน่นร้านเป็นพิเศษแตกต่างจากช่วงเวลาปกติ
.
ชาวโซเชียลจีนไม่ได้พากันไปซื้อสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีชาวจีนบางคน ตั้งใจไปร่วมบริจาค โดยการจ่ายเงินค่าสินค้าเกินกว่าราคาที่ต้องจ่าย อย่างเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา เหตุเกิดที่สาขาหนึ่งของ Erke ในเมืองหนานจิง มณฑลเจียงซู มีชายคนหนึ่งจ่ายเงินหน้าเคาน์เตอร์คิดเงิน จ่ายด้วยการสแกน QRCode จึงไม่ต้องรอพนักงานนับเงินหรือทอนเงินใดๆ สิ่งที่ชายผู้นี้ทำคือ จ่ายเงิน 1,000 หยวน (ราว 5,000 บาท) ทั้งๆที่ยอดเงินที่ต้องชำระเพียง 500 หยวน (ราว 2,500 บาท) เท่านั้น เมื่อสแกนจ่ายเงินเสร็จ ก็วิ่งออกจากร้านโดยทันที ซึ่งหลังเขาออกจากร้านไป พนักงานถึงจะรู้ว่าลูกค้าคนนี้จ่ายเงินก่อน และกำลังพยายามตามหาชายผู้นี้อยู่
.
ด้านข้อมูลจาก JD.com แพลตฟอร์ม E-commerce คู่แข่งสำคัญของ Alibaba ยักษ์ใหญ่จีน รายงานยอดขายของ Erke บนแพลตฟอร์ม JD.com ประจำวันที่ 23 กรกฎาคม 2564 ยืนยัน “ยอดขายพุ่ง 52 เท่า”
.
Wu Rongzhao ประธานบริษัท Erke เปิดใจถึงการตัดสินใจบริจาคครั้งยิ่งใหญ่เพื่อน้ำท่วมมณฑลเหอหนานในครั้งนี้ ผ่านบัญชี Weibo ของเขา ว่า
“Erke ผ่านวิกฤติมาหลายต่อหลายครั้ง นับตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์เมื่อ 21 ปีที่แล้ว ไม่ว่าจะน้ำท่วมใหญ่จนทำให้อุปกรณ์ของบริษัทและวัตถุดิบเสียหายจำนวนมาก หลังจากก่อตั้งได้เพียง 3 ปี อีก 5 ปีจากนั้นก็เจอปัญหาทางการเงิน และเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ก็เพิ่งเจอเหตุไฟไหม้ใหญ่ที่ทำให้สินค้าครึ่งหนึ่งเสียหาย จนถึงตอนนี้ บริษัทก็ยังอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากเหมือนกัน แต่แต่ไม่ถึงกับขั้นใกล้ล้มละลาย อย่างไรก็ตามวิกฤติที่เกิดกับพวกเขา ทำให้เขาเข้าใจปัญหาของผู้ประสบภัยน้ำท่วมเป็นอย่างดี”
.
อย่างไรก็ตาม แบรนด์อุปกรณ์กีฬาสัญชาติจีนแท้ๆ ไม่ได้มีแค่ Erke เพียงแบรนด์เดียวที่ตัดสินใจบริจาคก้อนใหญ่ ยังมีแบรนด์ Anta อีกหนึ่งแบรนด์ที่บริจาค 50 ล้านหยวนช่วยเหลือน้ำท่วมเหอหนาน ตามการรายงานของ GlobalTimes
.
ทั้งนี้ ตั้งแต่สงครามการค้าจีน-อเมริกาเมื่อหลายปีก่อน และการแพร่ระบาดโควิดเมื่อปีที่แล้ว (2563) เป็นดั่งการกระตุ้นให้คนจีนหันมาบริโภคแบรนด์ Local มากยิ่งขึ้น เรียกว่าเป็นการบริโภคแบบชาตินิยม ก็ว่าได้
.
อ้ายจงเล่าเรื่องจาก
Weibo:都市快报
https://m.weibo.cn/1847582585/4662918639259509
Weibo: 头条新闻 (คลิปชาวจีนจ่ายเงินเกิน เพื่อตอบแทน Erke)
https://m.weibo.cn/1618051664/4662475998101969
GlobalTimes
https://www.globaltimes.cn/page/202107/1229422.shtml
#อ้ายจง #เล่าเรื่องเมืองจีน #ชีวิตในจีน #กระแสสังคมจีน #การตลาดจีน
เป็นไวรัล 在 สมองไหล Facebook 的最佳貼文
ตอนนี้เราอยู่ในยุคที่อะไรๆ ก็สำเร็จรูปไปหมด ตั้งเเต่อาหารการกิน ไปจนถึง “ความสำเร็จ” ที่มักมีคนพยายามทำให้มันดูเหมือนเป็นของ “สำเร็จรูป” ให้เราเห็นตามหน้าฟีตเต็มไปหมด
.
ไม่ว่าจะเป็น 5 เคล็ดลับความสำเร็จ, 7 วิธีปั้นเงินล้าน หรือ 10 ขั้นตอนสู่ความมั่งคั่ง อย่างกับว่าแค่ทำตามขั้นตอนเหล่านี้่ ก็สามารถสำเร็จได้ราวกับฉีกซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปใส่ถ้วยแล้วทำตามขั้นตอนข้างซองก็พร้อมรับประทานได้เลย
.
แต่ในชีวิตจริง “ความสำเร็จ” มันไม่ได้ง่ายเหมือนฉีกซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหรอก แต่มันเกิดขึ้นได้จากการทดลองลงมือทำทีละเล็กละน้อยต่างหาก
.
อย่างประโยคที่ว่า “กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว” ซึ่งเป็นสิ่งที่เราควรนึกถึงเรื่องนี้เยอะๆ แทนที่จะคิดว่าแค่ทำตามขั้นตอนก็สำเร็จได้
.
ในปี 1995 ที่เมืองแอนะไฮม์ รัฐแคลิฟอร์เนีย วอลต์ ดิสนีย์ เพิ่งจะทำตามความฝันของตัวเองด้วยการเปิดสวนสนุกที่เกิดจากจินตนาการ และการวางแผนมาเกือบ 20 ปี นั่นก็คือ Disneyland
.
แต่สิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่เรื่องราวของ วอลต์ ดิสนีย์ แต่เป็นเรื่องของเด็กชายวัย 10 ขวบ คนหนึ่งที่เดินเข้ามาสมัครงานที่ Disneyland ต่างหาก
.
ซึ่งในระหว่างทำงาน เมื่อมีเวลาพักเบรคหรือว่างจากการทำงานเขามักจะเข้ามาแวะเวียนอยู่แถวร้านที่มีโชว์การแสดงมายากลอยู่เสมอ เขามีความสนใจการแสดงมากจนในที่สุดเขาก็ได้ย้ายมาทำงานที่ร้านมายากลแห่งนี้
.
ระหว่างที่ได้ทำงานอยู่ร้านมายากลเขาก็เริ่มเรียนรู้การเล่นกลต่างๆ จนสามารถแสดงมายากลง่ายๆ ให้นักท่องเที่ยวชมได้ พอยิ่งเล่นนานเข้า เขาก็เริ่มชำนาญจนสามารถพัฒนาไปเล่นกลที่มีความยากและหลากหลายขึ้น
.
จนมาถึงตอนที่เขาเข้าโรงเรียนมัธยมปลาย เขาก็เริ่มรับจ๊อบไปแสดงตามคลับเล็กๆ ในเมือง โดยการแสดงของเขามีเพียง 5 นาทีเท่านั้น
.
จนถึงช่วงที่เขาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย UCLA ในสาขาภาพยนต์ (แต่ก็หยุดเรียนไปตอนอายุ 21 ปี) เขาก็ยังแสดงในคลับเล็กๆ นั้นต่อไป
.
แต่เอาจริงๆ แล้ว ไม่ค่อยมีใครสนใจการแสดงของเขาหรอก ส่วนใหญ่คนที่เข้ามาในคลับก็จะมาดื่มหรือพูดคุยกันมากกว่า ถึงขนาดที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเล่นในคลับโดยไม่มีคนดูเลยแม้แต่คนเดียว
.
ชีวิตของเขาวนเวียนอยู่ที่เดิม ขึ้นๆ ลงๆ แบบนี้มาประมาณ 10 ปี สิ่งที่เปลี่ยนไปมีเพียงระยะเวลาการแสดงของเขาที่เริ่มยาวขึ้น จาก 5 นาที เป็น 10 15 20 นาที
.
แต่อยู่มาวันหนึ่ง เขาก็เริ่มพาตัวเองเข้าไปแสดงเดี่ยวไมโครโฟน The Tonigth Show Starring Johnny Carson, The Muppet Show และ Saturday Night Live ซึ่งที่ Saturday Night Live นี่เอง ที่ทำให้ผู้คนชอบเขามากๆ ว่ากันว่าเมื่อเขาปรากฎตัวในรายการ ยอดผู้ชมก็พุ่งสูงขึ้นเป็นหลักล้านคน โดยเขาได้ปรากฎตัวในรายการ 27 ครั้ง
.
เขาออกอัลบั้ม A Wild amd Crazy Guy ในปี 1978 และได้ขึ้นลำดับ 2 ในสหรัฐฯ มียอดขายเป็นหลักล้านก๊อปปี้ แถมยังมีอัลบั้มที่ได้รางวัลแกรมมี่ถึงสองรางวัลในปี่ 1977 และ 1978
.
และยังได้แสดงในภาพยนต์หลายเรื่อง เช่น Roxanne, Father of Bride, Bowfinger,Cheaper by the Dozen ฯลฯ
.
เขากลายเป็นนักแสดงตลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุค การแสดงของเขาในนิวยอร์กเคยมีคนเข้าชมถึง 50,000 คน
.
ผู้ชายคนนี้ชื่อ Steve Martin
.
นักแสดงที่เคยเล่นในคลับที่ไม่มีคนดูเลยแม้แต่คนเดียว จนกลายเป็นหนึ่งในนักแสดงตลกที่มีคนรู้จักมากที่สุดในโลก
.
เมื่อมีคนถามว่าอะไรคือเคล็ดลับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของเขา
.
เขาตอบว่า “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นเคล็ดลับหรือเปล่า ผมก็แค่เริ่มพยายามทีละเล็กๆ และลองเล่นไปเรื่อยๆ ถ้าอะไรไม่เวิร์กก็เปลี่ยน การแสดงแบบไหนคนไม่หัวเราะก็ปรับ ก็ทำไปอย่างนี้เรื่อยๆ จนการแสดงเล็กๆ มันก็ค่อยๆ ใหญ่ขึ้นเอง”
.
สำคัญคือ ต้องไม่หยุดทำ ไม่หยุดค้นหา จริงๆ มันก็แค่นี้แหละ
.
ระหว่างที่ผมอ่านเรื่องนี้ใน "หนังสือวิธีคิดไร้กระบวนท่า" ผมก็นึกถึงตัวเองตอนเริ่มทำเพจสมองไหลขึ้นมา
.
คือ วันนี้มีหลายคนมักถามผมเหมือนกันว่า “มีเคล็ดลับอะไรในการทำเพจให้ประสบความสำเร็จ”
.
สิ่งที่ผมมักจะตอบกลับไปก็คือ เอาจริงๆ เลยนะ ผมไม่ได้มีเคล็ดลับอะไรมากหรอก ตอนเริ่มทำเพจแรกๆ ตอนนั้นไม่มีใครอ่านบทความผมเลยแม้แต่คนเดียว แต่ผมก็เขียนมาเรื่อยๆ เขียนทุกวัน โดยไม่หยุด จนเริ่มมีแม่และเพื่อนๆ ช่วยแชร์บ้าง ไม่รู้ว่าด้วยความสงสารหรือเปล่า
.
แต่ผมก็ยังเขียนมันทุกวัน ทดลองวิธีใหม่ๆ ลองหาภาพที่สวยๆ ใช้แอพนั่นแอพนี้แต่งภาพดู ลองทดลองหาวิธีเขียนพาดหัวให้คนสนใจ เพราะเริ่มจับจุดได้ว่าคนส่วนใหญ่จะอ่านพาดหัวก่อน
.
ก็เริ่มมีคนอ่านจริงๆ มากขึ้น มีคนติดตามมากขึ้น ได้เจอกับคนที่มากขึ้น มีผู้ใหญ่มาคอยแนะนำคอยสอนวิธีการเขียน ลองไปลงคอร์สเรียนพัฒนาทักษะการเขียนบ้าง
.
ผมวนเวียนเรื่อยๆ อยู่อย่างนี้ประมาณครึ่งปีคนก็ไม่ได้ติดตามมากอะไร
.
จนอยู่มาวันหนึ่ง คุณหนุ่ม กรรชัย เข้ามาอ่านบทความแล้วเอาไปเล่าในรายการข่าวใส่ไข่ทางช่องไทยรัฐทีวี และเชิญไปเป็นแขกรับเชิญในรายการโหนกระแสทางช่อง 3 จนมีคนเข้ามาติดตาม 3 พันกว่าคนภายในวันเดียวหลังจากที่รายการออกอากาศ
.
ถึงตอนนั้นก็ยังไม่ได้ปังอะไรมาก คือ มีคนเข้ามาติดตามก็จริง แต่ว่าบทความแต่ละโพสต์ก็ยังมีตัวเลขเท่าเดิมอยู่ เพิ่มขึ้นแค่นิดหน่อยเท่านั้น
.
แต่เพราะผมเขียนมันเรื่อยๆ แบบนี้ทุกวันไม่มีหยุด อยู่ๆ มันก็มีโพสต์หนึ่ง เป็นไวรัล ถูกแชร์เป็นหมื่น แล้วโพสต์หมื่นแชร์ที่สอง สาม สี่ ก็ตามมา
.
จนมีคนติดตามเพิ่มขึ้นจาก 3 พัน เป็น 1 แสนคนภายในเวลา 6 เดือน และก็เริ่มมีผู้สนับสนุนเข้ามา เริ่มทดลองขายหนังสือ ก็มีคนเข้ามาซื้อมากมายจนตอนนี้ขายมา 2 เดือน มียอดทะลุ 1,000 เล่มแล้ว
.
เอาจริงๆ ที่ผมเล่ามาทั้งหมด ผมก็ไม่ได้มีเคล็ดลับอะไรเลย ผมแค่เริ่มต้นทำมันทีละเล็กๆ และทดลองไปเรื่อยๆ อะไรที่เขียนแล้วไม่เวิร์กก็ปรับ อะไรที่คนไม่ชอบก็เปลี่ยน
.
ทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวเพจเล็กๆ มันก็ค่อยๆ ใหญ่ขึ้นเอง
.
แต่สำคัญคือ ต้องเริ่มลงมือทำ และต้องไม่หยุดทำ ไม่หยุดค้นหาด้วย
.
ตัวแปรสำคัญ มันก็มีแค่นี้แหละ
.
ผมเคยพยายามทำตามเคล็ดลับความสำเร็จทั้งหลาย แต่ก็ไม่เห็นได้ผลทันตาอย่างที่เขาว่าไว้
.
เพราะจริงๆ แล้ว ความสำเร็จมันไม่ได้เกิดจากการทำตามเคล็ดลับที่ยิงใหญ่อะไร แต่มันเกิดจากการกระทำเล็กๆ ทีละเล็กละน้อย แต่ทำอย่างต่อเนื่อง และ สม่ำเสมอ ต่างหาก
.
แทนที่จะเชื่อ "เคล็บลับสำเร็จเร็ว" ของใคร ลองเปลี่ยนมา เชื่อในการ "ลงมือทำเล็กๆ" ของตัวเอง ดีกว่าครับ
.
.
.
หนังสือ วิธีคิดไร้กระบวนท่า
.
หนังสือวิธีคิดแบบพลิกมุมมองที่จะช่วยให้คุณ
มีไอเดียพัฒนาทั้งด้าน ชีวิต การทำงาน และธุรกิจ
.
.
“เปลี่ยนตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น ด้วยการอ่านหนังสือดีๆ สักเล่ม”
.
เเต่ถ้าไม่รู้ว่าตัวเองควรอ่านเล่มไหน ทักมาปรึกษาสมองไหลได้เลย
.
สั่งซื้อหนังสือออนไลน์ง่ายๆ ส่งตรงถึงหน้าบ้านคุณ
ได้ที่ Inbox เพจ #สมองไหล