ภาษา เป็นตัวกำหนดความคิด ของคนประเทศนั้น /โดย ลงทุนแมน
หลายศตวรรษที่ผ่านมา หลายคนมักคิดว่าภาษาเป็นเพียงแค่การใช้คำศัพท์
หรือการเรียงประโยคที่ไม่เหมือนกันเท่านั้น
แต่รู้หรือไม่ว่า จริง ๆ แล้ว กรอบความคิดและทักษะส่วนหนึ่งของเราเอง
อาจจะถูกครอบงำจากภาษา โดยที่เราก็ไม่ทันรู้ตัว
ทำไม คนจีนถึงมีความชำนาญด้านตัวเลข
ทำไม คนอังกฤษกับสเปนอาจมีมุมมองต่อเรื่องเดียวกัน ไม่เหมือนกัน
รวมถึงว่าทำไม ประเทศไทยถึงมีการปลูกฝังเรื่องความอาวุโสตั้งแต่ยังเล็ก
ทุกอย่างนี้สามารถอธิบายได้ โดยสิ่งที่เรียกว่า “ภาษา”
แล้วภาษา มีอิทธิพลต่อเราขนาดไหน ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
บนโลกนี้มีภาษาที่ใช้สื่อสารถึงกว่า 7,000 ภาษาด้วยกัน
ซึ่งแต่ละภาษามีความแตกต่างในหลายแง่มุม
ทั้งจากการออกเสียง คำศัพท์ และโครงสร้างที่ไม่เหมือนกัน
นอกจากนี้ สังเกตได้ว่าคนในแต่ละประเทศ
มีทั้งวัฒนธรรมและความคิดแตกต่างกันไป
นั่นจึงเป็นที่มาให้บรรดานักภาษาศาสตร์ศึกษาว่า
ภาษานั้นส่งผลต่อความคิดและการกระทำหรือไม่
เหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์
จึงได้ทำการวิจัยและทดลองคนแต่ละประเทศ
แล้วพบว่าภาษาไม่ได้เพียงแค่ส่งผลต่อความคิดและทักษะเท่านั้น
แต่มันอาจจะเป็น “ตัวกำหนดความคิดของเรา” เลยด้วยซ้ำ
จึงเกิดเป็นทฤษฎี Linguistic Relativity หรือ ทฤษฎีสัมพันธภาพทางภาษา
ถูกคิดโดยเอ็ดเวิร์ด ซาเพียร์ และเบนจามิน วอร์ฟ
ซึ่งแบ่งย่อยได้อีก 2 แนวคิดคือ
1. Linguistic Determinism ภาษาเป็นตัวกำหนดความคิดของเรา
2. Linguistic Relativity คนที่ใช้ภาษาต่างกัน จะมีมุมมองและวิธีคิดที่ไม่เหมือนกัน
แล้วทฤษฎีนี้ มีเหตุผลสนับสนุนอะไรบ้าง ?
เรามาดูตัวอย่างงานวิจัยและทดลองที่ผ่านมา
เบนจามิน วอร์ฟ ได้ยกตัวอย่างโดยการเทียบ
ระหว่างภาษายุโรปกับภาษาอเมริกันอินเดียนหรือ Hopi
ทั้งนี้ เพื่อให้เห็นภาพว่า ภาษาที่มีไวยากรณ์ที่แตกต่างกันนั้นส่งผลต่อความคิดของเรา
โดยภาษายุโรป จะมองว่าเวลานั้นมีตัวตนเหมือนสิ่งของทั่วไป
สามารถนับเป็นหน่วยได้ เช่นเดียวกับสิ่งของที่นับเป็นชิ้น
แต่เวลาจะนับเป็นหน่วยวินาทีหรือชั่วโมงแทน
ซึ่งการมองว่าเวลาเป็นสิ่งที่มีตัวตนนี้เอง ส่งผลให้เกิดสิ่งที่ตามมา
เช่น การให้ความสำคัญกับเวลา ซึ่งนำมาสู่สิ่งประดิษฐ์อย่าง ปฏิทินและนาฬิกา
หรือกระทั่งความสนใจในอดีต อย่างการบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์
หรือแม้กระทั่งหลักไวยากรณ์ในหลายภาษา เช่น ภาษาอังกฤษก็จะมีรูปประโยคที่แสดงถึง อดีต ปัจจุบัน อนาคต
ในขณะที่ Hopi เองนั้นมองเวลาเป็นเพียงแค่สิ่งที่ไม่มีตัวตน เป็นเพียงแค่สิ่งที่วนเวียนเหมือนเดิม
จึงไม่แปลกที่จะไม่มีการจดบันทึกเหตุการณ์ด้วยภาษา Hopi และก็สะท้อนมายังสังคมของชาว Hopi ที่ให้ความสำคัญกับการกระทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
ตรงนี้แสดงให้เห็นว่า แม้จะพูดถึงสิ่งเดียวกัน
แต่ความคิดและมุมมองจะแตกต่างกันไปตามแต่ละภาษา
นอกจากความคิดแล้ว
ภาษายังส่งผลต่อทักษะอีกด้วย
สะท้อนมาจากงานวิจัยของเลรา โบโรดิตสกี
ศาสตราจารย์ด้านภาษาศาสตร์
ที่ได้ไปเจอกับชุมชนชาวอะบอริจินในออสเตรเลีย
ซึ่งผู้คนในชุมชนนี้ไม่รู้จักคำว่าซ้ายหรือขวาเลย
แต่จะบอกทิศทางโดยการใช้ศัพท์ตามเข็มทิศ
ตัวอย่างรูปประโยคแปลเป็นภาษาไทย
เช่น “มีมดเกาะอยู่บนขาข้างตะวันตกเฉียงใต้”
นอกจากนี้ พวกเขามักจะทักทายด้วยคำว่าสวัสดี
แล้วต่อด้วยการถามเส้นทางของคู่สนทนา
เช่น “สวัสดี คุณกำลังไปทางไหน”
ซึ่งจากการใช้ภาษาแบบนี้ ทำให้ชาวอะบอริจินมีความเชี่ยวชาญในการระบุทิศทางได้ดี
นี่ถือเป็นตัวอย่างแรกที่ชี้ให้เห็นว่าภาษาส่งผลต่อทักษะเช่นกัน
ตัวอย่างถัดไปก็คือ การแยกเฉดสีของชาวรัสเซีย
ปกติแล้ว ผู้ที่ใช้ภาษาอังกฤษมักจะเรียกสีฟ้าเข้มและอ่อนว่า Blue ทั้งหมด
แต่ชาวรัสเซียกลับต้องจำแนกเฉดสี
ระหว่างสีฟ้าอ่อน ที่เรียกว่า “โกลูบอย” กับสีฟ้าเข้ม ที่เรียกว่า “ซีนีย์”
นั่นจึงทำให้พวกเขามีความสามารถในการแยกแยะสีได้เร็วกว่าชาติอื่น
และตัวอย่างสุดท้ายคือ ทักษะด้านตัวเลขของชาวจีน
ชาวจีนเก่งการนับเลขมากกว่าผู้ที่ใช้ภาษาอังกฤษ
นั่นก็เพราะว่าตัวเลขมีการสื่อสารที่เรียบง่าย
ในขณะที่เลข 11 ภาษาอังกฤษ คือ Eleven
หรือ 12 คือ Twelve ซึ่งจะเป็นการสร้างคำพูดใหม่ขึ้นมา
แต่สำหรับเลขจีน กลับเป็นคำพูดที่เรียบง่าย เช่น เลข 11 หรือ 十一
อ่านว่า สืออี ซึ่งเป็นการนำคำศัพท์เลข 10 กับเลข 1 มาผสมกัน เท่านั้น
ทีนี้ เรามาดูอีกผลวิจัยที่พิสูจน์ว่าแต่ละภาษาส่งผลต่อการเล่าเรื่องที่แตกต่างกันด้วย
ซึ่งเป็นการทดลองโดยการฉายภาพเหตุการณ์หนึ่งขึ้นมา
ในรูปแบบคลิปวิดีโอเกี่ยวกับแจกันแตก
เพราะมีคนบังเอิญเดินมาชนอย่างไม่ตั้งใจ
และมีผู้เข้าร่วมทดสอบ 2 ประเภท คือผู้ที่ใช้ภาษาอังกฤษ และผู้ที่ใช้ภาษาสเปน
ผลทดลองพบว่า สิ่งที่คนอังกฤษสรุปออกมาได้ก็คือ แจกันแตกเพราะมีคนชนมันตกลง
ในขณะที่คนสเปนจะจดจำได้เพียงแค่ว่า มีแจกันแตกเท่านั้น
หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมคนสเปนถึงจำได้แค่นั้น
นั่นก็เพราะว่าภาษาสเปนจะคำนึงถึงเจตนาด้วย
หากเป็นอุบัติเหตุ ชาวสเปนจะตัดเรื่องราวส่วนผู้กระทำออกไป
โดยไม่ให้ความสำคัญกับส่วนนั้นและมองว่าไม่มีความจำเป็นที่ต้องจดจำ
ซึ่งเรื่องนี้มีความสำคัญอย่างมาก เพราะมันสะท้อนให้เห็นว่า
แม้เราจะเผชิญเหตุการณ์เดียวกัน แต่เรากลับมีมุมมองที่แตกต่างกันออกไป
ซึ่งมันก็จะนำไปสู่วิธีคิดและแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ต่างกัน
เรื่องดังกล่าวยังส่งผลกระทบไปถึงการพิพากษาคดี หรือแม้แต่การตัดสินใจร่วมกันของคนต่างชาติ ต่างภาษา อีกด้วย
นอกจากนี้ ภาษาก็ส่งผลต่อความเชื่อและค่านิยมอีกเช่นกัน
เช่น ประเทศไทย เป็นหนึ่งประเทศที่ให้ความสำคัญกับเรื่องลำดับขั้นหรือความอาวุโส
ซึ่งก็สะท้อนมาจากการใช้คำว่า ครับ หรือ ค่ะ ท้ายประโยคแทนความเคารพ
แตกต่างจากประเทศฝั่งตะวันตก
ในขณะเดียวกัน เราก็มีคำสรรพนามที่ใช้เรียกผู้อื่นหรือตัวเองที่มีอยู่มากมาย
ตั้งแต่ เรา ผม หนู ฉัน ดิฉัน กระผม ข้า ข้าพเจ้า หม่อมฉัน
ซึ่งแต่ละสรรพนามก็ใช้แตกต่างกันตามสถานะของอีกฝ่าย
เกาหลีใต้และญี่ปุ่นเอง ก็เป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับความอาวุโสเช่นกัน
จึงเห็นได้ว่าทั้ง 2 ประเทศมีคำที่ใช้สื่อสารต่อผู้คนที่แตกต่างกัน
เช่น เกาหลีใต้ คำว่า 요 หรือ -습니다
จะถูกใช้ท้ายประโยคเหมือนคำว่า ครับ หรือ ค่ะ ของคนไทย
และเหล่าคำกริยาก็สามารถผันเป็นรูปอื่น
เพื่อแสดงความเคารพต่อคนที่อาวุโสกว่า
ภาษาญี่ปุ่น はい แปลว่า ครับ หรือ ค่ะ เป็นการตอบแบบสุภาพ ใช้ได้กับทุกสถานการณ์
ในขณะที่ ええ แปลว่า ครับ หรือ ค่ะ เช่นกัน แต่ใช้ได้แค่คนระดับเดียวกันหรือรองลงมา
ในทางกลับกัน ชาวเกาหลีใต้และญี่ปุ่น เป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับเรื่องเวลาอย่างมาก
แต่ประเทศไทยกลับไม่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าคำศัพท์ของไทยไม่มีการผันตามเวลา
ซึ่งต่างจาก 2 ประเทศข้างต้น ที่มีการผันคำศัพท์ที่แตกต่างตามช่วงเวลา
จากตัวอย่างทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่าภาษาคือสิ่งที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมและความคิดของผู้คนแต่ละพื้นที่ จึงไม่แปลกใจที่คนพูดได้หลายภาษาจะสามารถมองโลกได้กว้างกว่า
และนี่จึงอาจจะเป็นเหตุผลที่ว่า
ทำไมบางธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในประเทศหนึ่ง
อาจจะไม่ได้เป็นที่นิยมมากนักในบางประเทศ
จากเรื่องนี้ก็ทำให้เห็นความสำคัญว่า ทำไมเราจึงควรเรียนรู้ภาษาของประเทศอื่น
เพราะสิ่งที่เราได้รับ นอกจากจะได้ภาษาใหม่แล้ว ยังเป็นการสร้างมุมมองใหม่อีกด้วย
ซึ่งการมีมุมมองที่รอบด้าน ก็จะกลายเป็นโอกาสทางธุรกิจที่มากขึ้นตามไปด้วย
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.psychologytoday.com/us/blog/the-biolinguistic-turn/201702/how-the-language-we-speak-affects-the-way-we-think
-https://www.ted.com/talks/lera_boroditsky_how_language_shapes_the_way_we_think?language=th
-https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/60825/50088
-https://itdev.win/14215/13.pdf
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過26萬的網紅I Love Japan ภาษาญี่ปุ่น เที่ยวญี่ปุ่น,也在其Youtube影片中提到,►ฝากกด "subscribe" ด้วยนะคะ(#^.^#)? ►フォローよろしくお願いします!! ------------------------------------------------------------- 【?Online School 】 ? https://www....
「เลข 0 ภาษาญี่ปุ่น」的推薦目錄:
- 關於เลข 0 ภาษาญี่ปุ่น 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
- 關於เลข 0 ภาษาญี่ปุ่น 在 Nutty NihonGo Facebook 的最讚貼文
- 關於เลข 0 ภาษาญี่ปุ่น 在 I Love Japan TH Facebook 的精選貼文
- 關於เลข 0 ภาษาญี่ปุ่น 在 I Love Japan ภาษาญี่ปุ่น เที่ยวญี่ปุ่น Youtube 的精選貼文
- 關於เลข 0 ภาษาญี่ปุ่น 在 นับเลขภาษาญี่ปุ่น 0-1000000 | ตัวเลขภาษาญี่ปุ่น Foxky JP 的評價
- 關於เลข 0 ภาษาญี่ปุ่น 在 BeamSensei - วันนี้แหละ เราจะต้องนับเลขเป็นภาษาญี่ปุ่นได้... 的評價
เลข 0 ภาษาญี่ปุ่น 在 Nutty NihonGo Facebook 的最讚貼文
เลข 9 ของญี่ปุ่นไม่ใช่เลขมงคล!!!!
และวันนี้ก็คงจะไม่ใช่เลขที่ดี
ของคนไทยอีกหลายๆคนเช่นกัน...
นอกจากเลข 4 ที่ออกเสียงอีกแบบ
ว่า "ชิ" し ที่ตรงกับ 死
ซึ่งหมายถึง"ความตาย" แล้ว
ก็ยังมีเลข 9 ที่ออกเสียงว่า "คุ" く
ที่ตรงกับ 苦
ซึ่งก็คือ "ความทุกข์ยาก, ลำบาก"
นั่นเอง ค่าาาา
ก็เป็นเรื่องของความเชื่อของแต่ละที่
แต่ละบุคคลกันไปนะคะ
เป็นเกร็ดความรู้เกี่ยวกับญี่ปุ่นว่าฝากกันค่า^^
#ภาษาญี่ปุ่น
#ภาษาญี่ปุ่นกับนัตตี้เซนเซ
เลข 0 ภาษาญี่ปุ่น 在 I Love Japan TH Facebook 的精選貼文
#มีแฟนเป็นคนต่างชาติในญี่ปุ่น ภาคพิเศษ
ตอน ทำไมอเล็กซ์ถึงมาที่ญี่ปุ่น 🇯🇵🇷🇺
เนื่องจากมีหลายคนถามคำถามเข้ามามากมาย
ว่าทำไมฝรั่งคนนี้ถึงได้ตัดสินใจไปอยู่ญี่ปุ่น
วันนี้เลยจะมาเล่าให้ฟังค่ะ❓
อย่างที่เคยเล่าไปใน Ep ก่อนว่า
ตั้งแต่ตอนที่เจออเล็กซ์แรกๆ
เขาก็ทำงานเป็น IT Engineer ที่ธนาคารอยู่แล้ว
(จนถึงปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่ แต่เปลี่ยนธนาคาร)
หลายคนถามว่า อเล็กซ์จบไอทีมาเหรอคะ?
คำตอบคือ เปล่าค่ะ!😂
จริงๆแล้วนางไม่ได้จบไอทีมา
แต่นางจบอักษรศาสตร์ เอกญี่ปุ่นค่าาาา 5555
(ดูไม่เข้าเลยใช่มั้ยคะ
นางไม่ได้เรียนเกี่ยวกับไอทีมาก่อนเลย แล้วอยู่ดีๆ
ก็กลายมาเป็น IT engineer เฉยเลย)
เรื่องมีอยู่ว่า
สมัยตอนที่นางเป็นนักเรียน นางเคยลังเลว่า
จะเรียนหมอดี หรือว่าเรียนญี่ปุ่นดี 👨🏼⚕️
แต่สุดท้ายนางก็เลือกเรียนญี่ปุ่น🇯🇵
นางบอกว่า
นางเห็นโอกาสและประโยชน์ในการเรียนภาษาญี่ปุ่น
นางเชื่อว่าถ้านางเรียนภาษาญี่ปุ่น
สักวันมันจะต้องมีประโยชน์กับนาง
ในอนาคตอย่างแน่นอน
แต่ถึงกระนั้น...
คนรอบข้างนางก็ไม่มีใครเห็นด้วยเลยสักคนค่ะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณพ่อของอเล็กซ์
ยื่นคำขาดเลยว่า
ถ้าจะเรียนญี่ปุ่น ก็จะไม่จ่ายค่าเทอมให้
(สุดท้าย คุณแม่อเล็กซ์ก็เป็นคนแอบจ่ายค่าเทอมให้อเล็กซ์เอง)
เพื่อนๆนางก็มักจะถามนางอยู่เสมอว่า
“เรียนภาษาญี่ปุ่นไปเพื่ออะไร”
เพราะ ภาษาญี่ปุ่น
เป็นภาษาที่ไม่ได้รับความนิยมเลยในประเทศรัสเซีย
คนรัสเซียส่วนใหญ่มักจะเรียนภาษาอังกฤษหรือภาษาในแถบยุโรปมากกว่า
แต่ตอนนั้นอเล็กซ์ก็ไม่สนใจเสียงรอบข้าง
และตัดสินใจที่จะเรียนเอกญี่ปุ่น
(สมัยนั้น สำหรับคนรัสเซียแล้ว
ประเทศญี่ปุ่น เป็นเหมือนประเทศที่เอื้อมไม่ถึง
(อเล็กซ์บอกว่าอารมณ์เหมือนไปอวกาศ)
ไม่ใช่ว่าใครก็ไปได้ง่ายๆ
เลยไม่เห็นประโยชน์ที่จะเรียน
ปัจจุบัน เนื่องจากอิทธิพลจากอะนิเมะ ฯลฯ
ทำให้คนรัสเซียรู้จักญี่ปุ่นมากขึ้น
และชอบญี่ปุ่นมากขึ้น มีคนเรียนภาษาญี่ปุ่นมากขึ้น
แต่สำหรับคนรัสเซียนั้น ก็ยังไปญี่ปุ่นยากอยู่ดี แม้จะไปเที่ยวก็ตาม
เพราะไหนจะวีซ่าที่ขอไม่ง่าย และค่าตั๋วแพง
ถ้าจะว่าไปแล้ว สำหรับคนรัสเซีย ไปไทยง่ายกว่าเยอะมากๆ วีซ่าก็ไม่ต้องมี ค่าครองชีพก็ถูกกว่ามาก แถมอากาศไม่หนาว)
อเล็กซ์ก็ตั้งใจเรียนภาษาญี่ปุ่นมากๆ
ตอนจบ นางได้เกียรตินิยมอันดับ1🏅
จากนั้น มีคนรู้จักของอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยที่
อเล็กซ์จบมาคนนึง เป็นคนญี่ปุ่น
เขาเปิดบริษัทนำเข้าส่งออกกับประเทศรัสเซียอยู่
เขาเห็นอเล็กซ์พูดญี่ปุ่นได้
เลยชวนอเล็กซ์ไปทำงานที่ญี่ปุ่น
นั่นคือ จุดเริ่มต้นในการมาญี่ปุ่นค่ะ🇯🇵
.
แน่นอนว่า
ช่วงที่อเล็กซ์มาญี่ปุ่นแรกๆก็ลำบากมากๆ
เพราะว่า มาถึงญี่ปุ่น ก็ต้องเริ่มทำงานเลย
ไหนจะเรื่องภาษา (ที่เวลาเรียนในห้องเรียน กับในชีวิตจริงไม่เหมือนกัน)
ไหนจะเรื่องการปรับตัวในด้านวัฒนธรรม
ไหนจะเรื่องอาหารการกินที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง
(เช่น คนรัสเซียกินขนมปัง คนญี่ปุ่นกินข้าว ฯลฯ)
ไหนจะเรื่องเงินเดือนอันน้อยนิด
ยิ่งไปกว่านั้น
ถึงจะเป็นบริษัทนำเข้าส่งออกก็จริง
แต่บริษัทก็มีความเป็นญี่ปุ่นจ๋ามากๆๆ🇯🇵
เจ้านายหัวโบราณสุดๆ
ทั้งเรื่องกฎระเบียบ การทำโอที
แถมเงินเดือนเด็กจบใหม่ก็น้อยนิด
ทำให้ไม่ได้มีเงินเก็บมากนัก
ยิ่งอเล็กซ์เป็นคนต่างด้าว
ที่หน้าตาไม่เหมือนคนเอเชียเลย👱🏻♂️
เลยยิ่งถูกมองแปลกแยกเป็นธรรมดา
บางทีก็ถูกเจ้านายพูดจาไม่ดีใส่
สรุปง่ายๆ ก็คือ ชีวิตช่วงนั้น ก็ต้องสู้หลายอย่าง
อเล็กซ์ก็เลยมีความคิดว่า
การใช้ชีวิตแบบมนุษย์เงินเดือนแบบนี้
มันไม่โอเคแล้ว
ทำงานหนัก แต่เงินเดือนน้อย
ไม่อยากจะอยู่ตรงนี้ไปตลอดชีวิต
แต่ก็ไม่อยากกลับไปรัสเซีย
อยากจะลบคำสบประมาทของหลายๆคนที่
เคยพูดกับอเล็กซ์ไว้
ดังนั้น อเล็กซ์เลยตัดสินใจว่าต้องหาสกิลเพิ่มอีกอย่างนึง
นั่นก็คือ ทักษะทางด้านไอที
นางเลยเริ่มเรียนเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ด้วยตัวเอง
㊙️ ป.ล. จะว่าอวยนางก็ได้😅
แต่ยอมรับจริงๆว่าอเล็กซ์หัวดีมากๆ
ตอนที่เริ่มทำไอเลิฟเจแปน ก็ได้อเล็กซ์นี่แหล่ะ
มาช่วยสอนวิธีการตัดต่อวีดีโอให้ ดีไซน์แบนเนอร์และโลโก้ให้
นางบอกนางเรียนวิธีการใช้โปรแกรมตัดต่อจากยูทูป และมาสอนเราอีกที เพราะเราดูเองแล้วงง ไม่เข้าใจ
ตอนถ่ายคลิป ก็ได้นางมาช่วยเป็นตากล้องให้
ตอนทำบัญชีบริษัทของตัวเอง
ก็ได้นางมาช่วยสอน ทั้งๆที่นางไม่ได้จบบริหารมา
(แอบอาย😳 เพราะเราจบบริหารมา เคยลงวิชาบัญชีมา แต่ลืมหมดแล้ว)
นางบอกนางเรียนเองจากเน็ตและยูทูป
ตอนทำเว็บไซด์ยากๆ
ก็ได้นางมาช่วยเขียนโค๊ดให้
นางบอกว่า นางไปลงเรียนเขียนโค๊ดออนไลน์มา
เวลาไปจ้างdeveloper จะได้ไม่โดนโก่งราคาและเวลาเว็บมีปัญหาจะได้แก้ไขเองได้ ไม่ต้องเสียเงินจ้างเขาทุกครั้ง
(นางเป็นIT engineer ก็จริง แต่ไม่ได้เป็นสาย programmer นางก็เลยไปเรียนเพิ่มเอง)
สำหรับ I Love Japan แล้ว
ภายนอกหลายคนอาจจะเห็นแต่มายที่เป็นคนทำ แต่จริงๆแล้ว คนที่ปิดทองหลังพระ คือ อเล็กซ์
ที่ไอเลิพเจแปนมีทุกวันนี้ได้
ครึ่งนึงก็มาจากอเล็กซ์ล้วนๆ
ตอนที่เดทกับอเล็กซ์ครั้งแรก จำได้ว่า
เคยถามว่า "อะไรคือสิ่งที่ยูถนัดที่สุด"
นางบอกว่านางเก่งคณิตศาสตร์ และยูล่ะ?
พอโดนถามกลับ ไปต่อไม่ถูกเลย ตอนแรกว่าจะตอบว่า "ภาษา" แต่พอนางตอบว่า "เลข"
เราเลยแอบคิดในใจว่า
จะพูดว่า เราเก่งภาษา ก็อาย
เพราะภาษาอังกฤษนางก็เก่งกว่าเรา
ภาษาญี่ปุ่นนางก็พอๆกับเรา สกิลที่เฉยๆของนาง คือ สกิลเด่นของเรา😂
ขอโทษ นอกเรื่องอีกละ5555😝
ต่อๆ
จนกระทั่งวันนึง โอกาสก็มาถึง
มีรุ่นพี่คนรัสเซียคนนึง เขาทำงานเป็น IT Manager
ที่ธนาคารชื่อดังแห่งหนึ่งในโตเกียว
(เป็นธนาคาของอเมริกา🇺🇸)
เขาค่อนข้างสนิทกับอเล็กซ์ เป็นเพื่อนข้างห้องกัน
และเขาก็รู้ว่าอเล็กซ์มีทักษะในด้านไอที
พอดีช่วงนั้น ที่ธนาคารกำลังประกาศหา IT engineer ใหม่ ที่ต้องพูดได้ทั้งภาษาอังกฤษและญี่ปุ่น
รุ่นพี่คนนั้น ก็เลยชวนอเล็กซ์ไปสมัครดู
และช่วยเขียน recommendation letter ให้ด้วย
แน่นอนว่า มันไม่ได้ง่ายเลย
เพราะอเล็กซ์ไม่ได้จบทางด้านไอทีมา
หลายคนไม่เชื่อว่าอเล็กซ์จะทำได้
เพราะฉะนั้น ตอนที่สัมภาษณ์จึงโหดมาก
ทางธนาคารใช้เวลาถึง 6 เดือนในการสอบสัมภาษณ์อเล็กซ์
อเล็กซ์ถูกสัมภาษณ์ถึง 5 ครั้ง
ตอนสัมภาษณ์
เขายก case study ยากๆมาให้อเล็กซ์แก้ปัญหาจริงๆเพื่อดูว่าอเล็กซ์มีสกิลถึงไหม ทำได้จริงๆไหม
และในที่สุด
หลังจากผ่านการสัมภาษณ์อันสุดโหด
อเล็กซ์ก็ได้เข้างานที่ธนาคารแห่งนั้นค่ะ
ซึ่งการที่อเล็กซ์ได้เข้าทำงานที่นี่
ต่อมา มันกลายเป็นใบเบิกทางในวงการไอทีของ
อเล็กซ์ 555
(อย่างที่เล่าไปใน ep ก่อนว่า
ที่ญี่ปุ่น ไอทีที่โหดสุด คือ สายธนาคาร
ถ้าเคยทำไอทีที่ธนาคารมาแล้ว ต่อไป จะไปเข้าที่ไหนก็คือง่ายแล้ว)
หลังจากที่ได้ทำงานที่นี่ ได้ประมาณ2ปี
อเล็กซ์ก็ลาออก
ไปทำงานที่บริษัทอเมริกาแห่งหนึ่งในโตเกียว
ในฐานะ IT manager
อเล็กซ์บอกว่า เทียบกับงานไอทีที่ธนาคาร ที่นี่สบายกว่าเยอะ และไม่เครียดด้วย เงินก็ดีกว่านิดนึง
จากนั้นอีก2ปี อเล็กซ์ก็ลาออก
และย้ายมาที่เมืองไทยด้วยกัน
กลายมาเป็นไอทีประจำของ I Love Japan แทน 🤣555 (ค่าตัวโดนลดลงกว่า 90% เพราะเราไม่มีตังจ้าง)
และตอนนี้ หลังจากที่อเล็กซ์พัฒนาระบบต่างๆของที่นี่ได้อยู่ตัวแล้ว อเล็กซ์ก็ตัดสินใจกลับไปทำงานที่ญี่ปุ่นอีกครั้งที่ธนาคารฝรั่งเศสในโตเกียว
ไปช่วงโควิดพอดีเลย
ทำให้ตอนนี้ มายกับอเล็กซ์ต้องแยกกันอยู่
เพราะว่าอเล็กซ์กลับเข้าไทยไม่ได้
ส่วนมายกับเอริค จะออกนอกประเทศก็ไม่ได้
และนี่ก็เป็นที่มาที่ไปคร่าวๆของอเล็กซ์ค่ะ ^^
เลข 0 ภาษาญี่ปุ่น 在 I Love Japan ภาษาญี่ปุ่น เที่ยวญี่ปุ่น Youtube 的精選貼文
►ฝากกด "subscribe" ด้วยนะคะ(#^.^#)?
►フォローよろしくお願いします!!
-------------------------------------------------------------
【?Online School 】
? https://www.ilovejapanschool.com
-------------------------------------------------------------
【Play List 】
ภาษาญี่ปุ่นที่ไม่สอนในห้องเรียน
►https://bit.ly/2nXFntR
ภาษาญี่ปุ่นที่ได้ยินบ่อยในอะนิเมะ
►https://bit.ly/2PaIM43
สัมภาษณ์คนญี่ปุ่น
►https://bit.ly/2oCepbJ
รายการอัปโหลดยอดนิยม
►https://bit.ly/2nUO6gm
JLPT
►https://bit.ly/2oxOQZe
-------------------------------------------------------------
【 ?WEB】รวมเรื่องราวบทความเกี่ยวกับญี่ปุ่น
►https://www.ilovejapan.co.th/
-------------------------------------------------------------
【?ช่องทางการติดต่อ Contact】
►Line@ : https://line.me/R/ti/p/%40ilovejapanese
►E-Mail : info@ilovejapangroup.com
-------------------------------------------------------------
【?โซเชียล】
►FB : https://www.facebook.com/ilovejapan.th
►IG : https://www.instagram.com/ilovejapanth/
►TW : https://twitter.com/ILOVEJAPANTH
►IG_Maiเซนเซ :https://www.instagram.com/myneeracha/
►IG_Kenji :https://www.instagram.com/kenji_thailand/
►TW_Kenji :https://twitter.com/Kenji_thailand
-------------------------------------------------------------
#ภาษาญี่ปุ่น #คนญี่ปุ่นพูดไทย #ILoveJapanese
เลข 0 ภาษาญี่ปุ่น 在 BeamSensei - วันนี้แหละ เราจะต้องนับเลขเป็นภาษาญี่ปุ่นได้... 的推薦與評價
ภาษาญี่ปุ่น สำหรับเด็กๆค่ะ แต่ผู้ใหญ่ก็ดูได้นะ ... เรียนรู้วิธีนับจำนวนนับเป็นภาษาญี่ปุ่นง่าย ๆ ตั้งแต่เลข 0-1. ... <看更多>
เลข 0 ภาษาญี่ปุ่น 在 นับเลขภาษาญี่ปุ่น 0-1000000 | ตัวเลขภาษาญี่ปุ่น Foxky JP 的推薦與評價
อยากเรียน ภาษาญี่ปุ่น กับพี่ฟ๊อกกี้ คลิกเลย https://foxky-jp.blogspot.com/ ตัวเลขและนับ เลขภาษาญี่ปุ่น หลักหน่วยถึงหลักล้าน ... ... <看更多>