จอร์จ ลูคัส ผู้กำกับภาพยนตร์ ที่รวยสุดในโลก ผู้สร้าง Star Wars /โดย ลงทุนแมน
ถ้าพูดถึงภาพยนตร์ที่ทำรายได้ทั่วโลกได้สูงสุดตลอดกาล
ก็ต้องมีชื่อ Avatar, Avengers: Endgame และ Titanic
แต่ถ้าเรารวมค่าเข้าชมภาพยนตร์กับยอดขายจากสินค้าและค่าลิขสิทธิ์ที่ต่อยอดจากภาพยนตร์เข้าไปด้วย
ภาพยนตร์ที่สามารถกวาดรายได้ไปได้มากที่สุดในโลกจะเป็น “Star Wars”
และนั่นก็ได้ทำให้ผู้สร้างจักรวาล Star Wars อย่าง “George Lucas”
กลายเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ที่รวยที่สุดในโลก ด้วยทรัพย์สินมูลค่ากว่า 2.2 แสนล้านบาท
แล้วเบื้องหลังเรื่องราวชีวิตของ George Lucas เป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
George Lucas เกิดในปี 1944 และเติบโตที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
เมื่ออายุได้ 11 ปี Lucas ได้ไปเที่ยวกับครอบครัวที่ Disneyland ซึ่งเพิ่งเริ่มเปิดให้บริการเป็นครั้งแรก
และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาหลงใหลในการ์ตูนภาพเคลื่อนไหวและนวนิยายแนววิทยาศาสตร์
แต่พอเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เขามีความสนใจอีกอย่างเพิ่มเข้ามานั่นก็คือ การแข่งรถ
Lucas จึงตั้งเป้าหมายที่จะเป็นนักแข่งรถ แต่ต่อมาแผนการนี้ก็ถูกล้มเลิก
เพราะในวัยเพียง 18 ปี Lucas ได้ประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำอย่างรุนแรงจนเขาต้องรักษาตัวอยู่นาน
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ก็ได้ทำให้ความตั้งใจที่จะเป็นนักแข่งรถหมดลง
เขาจึงนำความหลงใหลในวัยเด็กหรือ “การ์ตูน” กลับมาเป็นเครื่องนำทาง
แม้ว่าพ่อของ Lucas ที่เปิดกิจการขายเครื่องเขียน อยากให้ลูกชายมาช่วยกิจการครอบครัว
แต่ Lucas ที่ตั้งใจแล้วว่าจะไปเรียนต่อในด้านศิลป์ จึงได้ตัดสินใจออกจากบ้าน
พร้อมกับบอกครอบครัวของเขาว่าจะมีเงิน 30 ล้านบาท ก่อนอายุ 30 ปีให้ได้
Lucas จึงเลิกเรียนมัธยมกลางคันทั้งที่ใกล้จะจบแล้ว
และไปสมัครเรียนที่ Modesto Junior College ซึ่งเป็นวิทยาลัยชุมชนแทน
ซึ่งในตอนแรก Lucas ได้ลงเรียนหลายแขนงวิชามาก เพราะยังไม่แน่ใจว่าตัวเองอยากทำอะไรกันแน่
ระหว่างเรียนอยู่ที่นี่ Lucas ก็เริ่มสนใจเกี่ยวกับการถ่ายภาพเคลื่อนไหวและการสร้างภาพยนตร์
เขาจึงตัดสินใจเรียนต่อระดับปริญญาตรีด้าน Cinematic Arts ที่มหาวิทยาลัย Southern California
ซึ่งหนึ่งในเพื่อนสนิทของ Lucas ที่มหาวิทยาลัยก็คือ Steven Spielberg ผู้กำกับระดับตำนานอีกคนหนึ่ง
หลังเรียนจบในปี 1967 Lucas เลือกเรียนต่อปริญญาโทด้าน Film Production ที่มหาวิทยาลัยเดิม
และได้ทำหนังสั้นประเภท Sci-Fi ที่ชื่อ Electronic Labyrinth: THX 1138 4EB โดยได้นำภาพยนตร์เรื่องนี้ไปแข่งขันในงาน National Student Film Festival และได้รับรางวัลชนะเลิศ
รางวัลที่ Lucas ได้รับ นอกจากทาง Warner Bros. จะให้ทุนการศึกษาแล้ว
บริษัทยังให้สิทธิ์กับเขาไปดูงานเบื้องหลังการถ่ายทำภาพยนตร์ได้หนึ่งครั้ง
ซึ่ง Lucas ได้เลือกภาพยนตร์ที่กำกับโดย Francis Ford Coppola
Coppola ประทับใจความสามารถของ Lucas จึงชักชวนเขามาร่วมกันเปิดสตูดิโอ
ที่ชื่อว่า American Zoetrope ในปี 1969 และแนะนำให้ Lucas ดัดแปลงภาพยนตร์สั้นที่ได้รับรางวัล
มาทำเป็นภาพยนตร์ยาว แต่ผลตอบรับของผลงานชิ้นนี้กลับไม่ดีเท่าที่ควร
ปี 1971 Lucas จึงตัดสินใจขอออกมาเปิดบริษัทของตัวเองโดยใช้ชื่อว่า “Lucasfilm”
ซึ่งหลังจากนั้น ปี 1972 Coppola ได้กลายเป็นผู้กำกับระดับตำนานจากภาพยนตร์เรื่อง The Godfather
และแม้ว่า Lucas จะออกมาแล้ว แต่ทาง Coppola ก็ยังคงคอยให้ความช่วยเหลือเขามาโดยตลอด
ตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่องแรกของ Lucasfilm อย่าง American Graffiti ที่เข้าฉายในปี 1973
ซึ่งสามารถทำรายได้กว่า 4,500 ล้านบาทจากทุนสร้างเพียง 25 ล้านบาท
โดยถือเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ ที่มีอัตรากำไรมากที่สุดในขณะนั้น
American Graffiti ได้กลายเป็นผลงานแจ้งเกิดในฐานะผู้กำกับดาวรุ่งของ Lucas
และทำให้เขามีเงินถึง 30 ล้านบาทได้ในวัย 29 ปี ตามที่เคยบอกกับครอบครัวก่อนออกจากบ้านมา
ในปีเดียวกันนี้เอง ช่วงระหว่างรอ American Graffiti เริ่มเข้าฉาย
Lucas ก็เดินหน้าเสนอบทภาพยนตร์แนวที่เขาอยากทำมากที่สุดมาโดยตลอด
โดยเป็นภาพยนตร์ Sci-Fi ที่มีเรื่องราวการต่อสู้ในอวกาศ นั่นก็คือเรื่อง “Star Wars”
แต่ด้วยความที่ภาพยนตร์ Sci-Fi ในสมัยนั้นยังไม่ค่อยเป็นที่นิยม บวกกับต้นทุนการถ่ายทำที่สูง
เพราะยังแทบไม่มีการใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกหรือ CG จึงมีตัวอย่างภาพยนตร์แนวนี้ที่เจ๊งแทนที่จะแจ้งเกิดมาแล้วหลายเรื่อง จนไม่มีบริษัทไหนสนใจให้ทุนเขาเลย แม้แต่ Universal Pictures ที่เป็นผู้ให้ทุนสร้าง American Graffiti
จนกระทั่ง Lucas ได้มาเจอกับผู้บริหารของ 20th Century Fox ที่รู้สึกสนใจในไอเดียของเขา
จึงตอบตกลงเป็นผู้ให้ทุนสร้างและเป็นผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ Star Wars ให้ Lucasfilm
หลังจาก Lucas เริ่มเจรจากับ 20th Century Fox ไปได้ 3 เดือน ภาพยนตร์เรื่อง American Graffiti ที่เพิ่งเริ่มเข้าฉายได้รับกระแสตอบรับดี จึงทำให้ 20th Century Fox เสนอเพิ่มทุนสร้างให้กับ Star Wars เข้าไปอีก
และเหตุการณ์ที่จะเล่าต่อจากนี้ ก็น่าจะเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของ Lucas เลยก็ว่าได้..
นั่นก็เพราะว่า Lucas เลือกปฏิเสธเงินทุนที่มากขึ้น แต่เขากลับเจรจาขอเป็นผู้ครอบครองลิขสิทธิ์และสิทธิ์ในสินค้าที่เกี่ยวกับ Star Wars ทั้งหมดแทน
ซึ่งทาง 20th Century Fox ก็ตอบตกลงแต่โดยดี เพราะแม้จะสนใจในเรื่องราวของ Star Wars
แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าหลังจากนั้น Star Wars จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในเวลาต่อมา
หลังจากซุ่มเขียนบทและเตรียมตัวอยู่ 3 ปี Star Wars ก็ได้เริ่มถ่ายทำในปี 1976
และผลจากการที่ Lucas ปฏิเสธข้อเสนอเพิ่มทุนสร้าง ทำให้เขาต้องเครียดจากการมีงบประมาณที่จำกัด
ด้วยเหตุผลที่ Star Wars คือเรื่องราวในโลกเสมือน ตัวละครที่ Lucas สร้างสรรค์มาจึงเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตรูปร่างหน้าตาแปลกใหม่ อย่างเช่น โยดาและชิวแบคคา รวมไปถึงฉากหลักที่เป็นโลกอวกาศ อุปกรณ์ประกอบฉากอย่างยานอวกาศหรือแม้แต่ดาบไลท์เซเบอร์
การแปลงภาพจากจินตนาการที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ให้มาปรากฏในภาพยนตร์ ยังเป็นยุคที่ต้องให้คนสร้างของจริงขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ส่งผลให้ต้องใช้งบประมาณมหาศาล ซึ่งจำเป็นต้องบริหารงบประมาณอย่างรอบคอบ
แต่ด้วยความประณีตและใส่ใจรายละเอียดของทั้ง Lucas และทีมงาน จึงทำให้ภาพยนตร์มีภาพออกมาสมจริงรวมถึงเนื้อเรื่องที่แปลกใหม่
และเมื่อ Star Wars: Episode IV - A New Hope ได้เข้าฉายในปลายปี 1977 ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับผลตอบรับดีแบบถล่มทลาย จนดังระเบิดไปทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา ต่อเนื่องไปจนทั่วโลก
ทาง 20th Century Fox เลยให้ Lucas เริ่มถ่ายทำภาคต่อในทันที
แต่ Lucas ตระหนักดีว่าทุนสร้างภาพยนตร์ที่ได้รับ จะทำให้มีข้อจำกัดในการผลิตมากมายจากผู้ให้เงิน
เขาจึงขอใช้เงินทุนตัวเองในการสร้างภาคต่อที่เหลือ
โดยยังมี 20th Century Fox เป็นผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ให้อยู่
ภาพยนตร์ไตรภาคชุดแรกของ Star Wars ก็จบลงอย่างสวยงามในปี 1983 และได้ทำให้ Lucas กลายเป็นผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ชั้นนำของโลก ที่กวาดรางวัลใหญ่ไปมากมาย
นอกจากบทบาทการเป็นผู้สร้างภาพยนตร์ที่ครองใจผู้ชมไปทั่วโลกแล้ว
ในด้านของการผลิตภาพยนตร์ Lucas ยังเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี ซึ่งเขามุ่งมั่นและทุ่มงบประมาณให้ Lucasfilm วิจัยพัฒนา โดยได้แบ่งออกเป็นบริษัทย่อยที่เน้นโฟกัสคนละอย่าง
จนสามารถเป็นผู้นำในด้านนั้น ๆ ได้มาจนถึงปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น
- ILM ที่ก่อตั้งในปี 1975 เน้นพัฒนาการสร้างภาพเคลื่อนไหวเสมือนจริงด้วยคอมพิวเตอร์
- Skywalker Sound ที่ก่อตั้งในปีเดียวกัน เน้นพัฒนาการใส่เสียงประกอบภาพยนตร์
- Pixar ที่ก่อตั้งในปี 1979 เน้นพัฒนาเทคโนโลยีด้านการสร้างแอนิเมชัน 3 มิติ
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจทั้งหมดนี้ต้องใช้เงินลงทุนสูงโดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้น
ส่งผลให้ Lucasfilm ประสบปัญหาทางการเงินจนได้ตัดสินใจขาย Pixar
ให้กับ Steve Jobs ในปี 1986 ซึ่งเป็นช่วงที่ Steve Jobs เพิ่งโดนไล่ออกจาก Apple
ในตอนนั้น George Lucas ผู้เป็นเจ้าของ ได้ขาย Pixar ให้กับ Steve Jobs ด้วยราคา 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดย 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จ่ายให้กับ George Lucas
และอีก 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ใช้เป็นเงินทุนของ Pixar
ก่อนที่ Disney จะขอซื้อ Pixar ต่อจาก Steve Jobs อีกทีในปี 2006
และทั้ง 2 บริษัทที่มีผู้ก่อตั้งคนเดียวกันอย่าง Pixar กับ Lucasfilm ก็ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง
เมื่อทาง Disney เจรจาขอซื้อ Lucasfilm จาก Lucas ในปี 2012
ด้วยมูลค่า 4.05 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือมากถึง 1.31 แสนล้านบาท
แต่รู้หรือไม่ว่าสิ่งที่สร้างมูลค่าให้กับ Lucasfilm และความมั่งคั่งของ Lucas อย่างมหาศาล
กลับไม่ได้มาจากรายได้ของภาพยนตร์ Star Wars ที่ทำเงินได้กว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทุกภาครวมกันในโรงภาพยนตร์ทั่วโลก
นั่นก็เพราะว่าความนิยมของจักรวาล Star Wars ไม่ได้จบลงที่จอภาพยนตร์เท่านั้น
แต่ยังถูกต่อยอดไปเป็นผลิตภัณฑ์นานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นสินค้าจากภาพยนตร์ อย่างเช่น หุ่นจำลองของตัวละครหรือดาบไลท์เซเบอร์ หรือจะเป็นในสื่อชนิดอื่น อย่างซีรีส์ที่ฉายในโทรทัศน์ วิดีโอเกม หรือหนังสือ
โดยสินค้าทั้งหมดนี้ทำรายได้ให้ Star Wars มากกว่าค่าเข้าชมภาพยนตร์เกือบ 6 เท่า
ซึ่งเราก็ต้องกลับไปดูการตัดสินใจครั้งสำคัญของ Lucas ที่ได้เลือกเจรจาขอเป็นผู้ครอบครองลิขสิทธิ์และสิทธิ์ในสินค้าที่เกี่ยวกับ Star Wars ทั้งหมด มันส่งผลให้ Lucas มีช่องทางรายได้ที่มั่นคงกว่ามากในเวลาต่อมา
ปัจจุบัน Forbes ได้จัดอันดับให้ Lucas เป็นเซเลบริตีที่รวยสุดในโลกในปี 2018 และครองตำแหน่งผู้กำกับที่รวยสุดในโลกได้อย่างยาวนาน ด้วยมูลค่าทรัพย์สินในปัจจุบันกว่า 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2.2 แสนล้านบาท
นึกย้อนกลับไปถึง Lucas ในวัย 11 ปี
ที่เริ่มหลงใหลในตัวละครโลกเสมือนจากการไป Disneyland เป็นครั้งแรก
มาถึงวันนี้ Disneyland แห่งเดิม ได้มีโซนใหม่ที่ชื่อว่า “Star Wars: Galaxy's Edge”
ซึ่งมันก็เป็นผลงานของ Lucas ที่เกิดขึ้นได้เพราะการเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเขาเอง ที่สถานที่แห่งนี้ในวันนั้น
และเมื่อ 3 สิ่งนี้มาบรรจบกัน ก็ดูเหมือนว่าจะทำให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกจริง ดูน่าตื่นเต้นไม่แพ้โลกในภาพยนตร์เช่นกัน..
Lucas | Star Wars | Disney
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.businessinsider.com/how-star-wars-made-george-lucas-a-billionaire-2015-12
-https://www.businessinsider.com/star-wars-george-lucas-net-worth-movies-house-spending-2019-7
-https://www.theatlantic.com/magazine/archive/1979/03/the-man-who-made-star-wars/306228
-https://www.radiotimes.com/movies/how-to-watch-the-star-wars-movies-in-the-right-order/
-https://clubjade.net/nine-ways-george-lucas-changed-movies-forever/
-https://en.wikipedia.org/wiki/George_Lucas
-https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_highest-grossing_media_franchises
-https://www.forbes.com/profile/george-lucas/?sh=35340de56e63
同時也有8部Youtube影片,追蹤數超過61萬的網紅Jang Mi,也在其Youtube影片中提到,NHỚ THƯƠNG LÀM CHI - JANG MI | OFFICIAL MUSIC VIDEO ----- Nhớ Thương Làm Chi ? Stream on: https://YYM.lnk.to/NTLC ?Tiktok: https://vt.tiktok.com/ZSJd...
「1986 in film」的推薦目錄:
- 關於1986 in film 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
- 關於1986 in film 在 Facebook 的最佳貼文
- 關於1986 in film 在 Ken's Portable Classroom Facebook 的精選貼文
- 關於1986 in film 在 Jang Mi Youtube 的最佳解答
- 關於1986 in film 在 Marioverehrer Youtube 的最佳貼文
- 關於1986 in film 在 渡辺レベッカ ☆ Rebecca Butler Watanabe Youtube 的最佳解答
- 關於1986 in film 在 1986 | Film Trailer | [English Subtitles] - YouTube 的評價
- 關於1986 in film 在 1986 - FILM - Facebook 的評價
1986 in film 在 Facebook 的最佳貼文
「地獄空」攝影集即將在八月中元節前出版,由知名設計師與攝影家黃子欽設計,內附在下二位高徒精美繪製符咒、心經版畫書籤、愣嚴咒牌、尊勝咒語...等,感恩十方大德助印,希望疫情退散,平安喜樂,後記如下:
野放台灣五十餘年,貪狼獨坐,三方四正殺破狼格局,少年多舛,白手起家,隨展覽雲遊四海,如閒雲野鶴常持各類底片機流連廢墟、山川、宮廟忘返,遂設幻影堂自詡堂主,一日三省「凡所有相皆是虛妄」,常宅於暗房沖片放大通宵、鍾情黑白世界之單純,彩色照片俗世繽紛花俏做作甜美甚至比現實更現實故少拍也。知天命之年有餘,了悟人生一瞬、眨眼即逝,雖非仙人,亦無道骨,初聞離垢地生清淨心,但離華嚴「不動地」尚遠,待修持也。
2017年盛暑拍畢《巨神連線》,心律不整差點心肌梗塞向閻羅王報到,意識死神隨伺在側,人生苦短,如何了生脫死、盡斷煩惱、無所罣礙、遠離顛倒……總不得解,蒙釋迦摩尼佛開示飆淚三晝夜,聞佛法數載始知自我渺如塵埃,甚感慚愧。閒暇乃參訪名寺古剎,禮敬焚香佛陀菩薩羅漢諸神天仙王爺媽娘,台灣宮廟千奇百怪、宗派錯綜複雜(佛教、道教、一貫道、天主教、基督教、齋教、回教&大同教、儒教鑾堂、天帝教&天德教、慈惠堂&勝安宮、軒轅教、道院、理教、萬國道德會、會靈山……)、神棍橫行(依人不依法、偶像崇拜、斂財、邪淫),因歷史變遷、社會動盪、政治鬥爭、意識形態等因素導致佛道混雜,但地獄造景稀少,後專注拍攝各殿閻王、判官、陰司、獄卒、七爺、八爺乃至一切罪人,各寺造景巧妙、耐人尋味,意境乖張溢於言表,造型扭曲非常人所能塑也,然匠心獨運、自成一格,專研西方藝術數十載方知真誠樸拙最美,絲毫不輸喬托(Giotto di Bondone,1267~1337)乃至米開朗基羅(Michelangelo Di lodovico Buonarroti Simoni 1475 ~ 1564)矣。
創立於1986年的石門金剛宮風景優美可眺望北濱,雖主祀四面佛,儒釋道眾神尊也不含糊,可過七星橋解厄、繞行五百黝黑羅漢敲鑼印心、跪拜亞洲最大臥佛涅槃像,安太歲自不在話下,甲子太歲爺雙眼長出手掌印象甚深,1994年經閻羅王指示廟公建造一條肚內設極樂世界及陰曹地府之神龍,行走暗黑通道觸動感應機關,只見面容猙獰受刑者呼天搶地喊冤、身邊盡是血肉糢糊殘肢敗屍腦漿塗地,十殿閻羅各司其職、威儀攝人。新北市林口區青嶺湖北文紫祥宮包公廟則以壁面彩塑地獄浮雕獨步全台,粉嫩色彩搭配卡漫風格,尤為造型簡直恐怖到可愛透頂,該廟主祀森羅殿閻羅天子包拯(包青天),陽世冤屈者可至此參拜祭解,求破懸案者眾,逢中元普渡皆以紙紮船渡亡魂至彼岸,全台唯一閻羅天子巨像籌備中,四周環繞墓地,適合修不淨觀也。台灣首尊彰化八卦山大佛旁南天宮(1971)地府則是首座電動地府,規模精小但驚嚇度破表,略顯破敗但五光十色仍蠻凶悍,出自已故台南大道長金登富之作,而電動神明起始可追溯至1960年代北港朝天宮。倒是嘉義水上鄉白人牙膏觀光工廠「戴相府」、「將軍府」設置十殿地府出乎意料之外,乾淨亮麗、ㄧ殿ㄧ間、簡單樸實。由高雄蓮潭龍虎塔龍口入內可見全臺唯一交趾陶地獄牆面,尊尊栩栩如生,續入龍身乃進聞聲救苦白衣觀音大士三十三化身浮雕隧道,造型設色甚為古錐。高雄大岡山超峰寺入口處「西方三聖蓮池海會」(阿彌陀佛、觀世音菩薩、大勢至菩薩巨像)旁設靜態十殿閻羅(1970年代初),雖略為陳舊然韻味猶存,續往上行可抵「證菩提道-釋迦如來應化事迹」雕塑園區,一攬世尊畢生精華。如來年邁時,琉璃國王為報長期被釋迦族輕蔑之傲慢心,世尊雖三次單獨伽跌坐 阻擋大軍進攻之路,但因緣果報無法逆轉,昔日婢女所生王子瞋恨無以復加,還是滅了祖國。自持神通第一目犍連不忍無辜百姓慘遭屠殺,遂以缽盛救度五百族人,最終卻化為血水,佛言神通廣大仍不敵千百劫業力,因緣果報屢試不爽。其母死後墜入餓鬼道飢餓難耐,目犍連遂展神通救渡,但所食尚未入口皆化為赤火,佛陀囑咐農曆七月十五日僧眾解安居自恣日,於盆中設甘露美食供養十方僧眾,因此超度亡母。後世「盂蘭盆法會」乃至「水懺法會」、「瑜珈焰口法會 」皆為消業障、斷塵垢之超渡儀軌,既渡亡魂也自懺悔。
台南麻豆代天府規模宏大、造型豔麗,不但可遊十八層地獄尚可逛天堂(1979年興建,1983年開放),燈光絢爛、聲響駭人,獨自漫步宛如觀落陰、地獄走一回。先過「心頭山」、入「清心池」、進「陰陽界」、抵「交簿廳」、達「鬼門關」、遊「補經所」、探「枉死城」、行「奈何橋」,至ㄧ殿泰廣王照「孽鏡台」現造惡原形,睹抱柱、火床等小地獄。二殿楚江王開「陰查簿 」判案定奪,觀糞尿泥、餓鬼、舞池、寒冰、膿血、鞭韃、舌犁、劍葉、戟腹拋接、砧截……等小地獄。三殿宋帝王刑罰為倒吊、銅鐵刮臉、挖眼、搗樁、倒烤、吸血、穿肋、抽筋、蛆蛀等小地獄……兼遊「四生(胎、卵、濕、化)回魂府」。四殿五官王掌管腰斬、拔舌、沸湯、刺嘴、剝皮、箭樹、車崩、射眼……等十六小地獄。隨五殿森羅王豋「望鄉臺」回眸親人最終眼後觀擊膝、誅心、刀山、飛刀火石……小地獄。六殿卞城王別稱「大叫喚大地獄」,轄火牛、虎啖、噬腎、鉗嘴含鍼、釘喉、磨摧、砍頭……等小地獄。七殿泰山王為「熱惱大地獄」,窺烙手指、抽腸、頂石蹲身、油釜滾烹、割舌穿腮……等十六小地獄。八殿都市王掌管「大熱惱大地獄」兼火狗、鐵汁、鐵蛇、鋸劈斷肢、釘板、灸脊、鐵丸、磅秤……等小地獄。九殿平等王直轄十八層「阿鼻大地獄」,直透地心、內中陰森、不見五指、滿溢地漿,皆為極犯,另轄紫赤毒蛇鑽孔、夾頂、鐵鴉、針雨、蜂蠍……等小地獄。至十殿輪轉王上「觀生臺」、「轉劫所八司」(查驗司 、稽善司 、考過司 、恩怨司 、壽命司 、支配司、掌劫司 、授生司)後至「孟婆亭」飲「醧忘湯」忘盡前塵往事,依前世功德過金、銀、玉、石、木、竹六種橋樑至「轉輪臺(紫河車)」入六道輪迴轉生投胎。據《十八泥犁經》記載,人過世後七七四十九天為「中陰生」,經閻羅王審判善惡業力判定去留或懲罰百千萬劫,犯五逆重罪則墮入「無間地獄(阿鼻地獄)」永劫不復。地藏王乃幽冥教主,統轄十殿閻羅,逢三曹普渡便在各殿設「講道所」超度尚存善根之鬼魂。
人類居於五趣(阿修羅、人、傍生、餓鬼、地獄)雜居地五濁惡世之堪忍世界,犯十惡業(殺生、偷盜、邪淫、妄語、兩舌、惡口、綺語、貪慾、嗔恚、愚痴)者必墮三趣惡道。如何出「三界」(欲界、色界、無色界)二十八天?凡人無此意識,別說能破「十二因緣」(無明、行、識、名色、六入、觸、受、愛、取、有、生、老死)還滅門,更別想斷除「四聖諦」(苦、集、滅、道)集地八十一品見惑與八十八使思惑(五利使-身見、邊見、邪見、見取見、戒禁取見、五鈍使-貪、瞋、癡、慢、疑),了悟「五蘊」(色、受、想、行、識)本空、「十二入」(眼、耳、鼻、舌、意、色、聲、香、味、觸、法)空、「十八界」空,破俱生我執與分別我執、法執甚至空執,生十一處「善心所」(信、精進、慚、愧、無貪、無瞋、無痴、輕安、不放逸、行捨、不害),降二十六處「惡心所」(貪、瞋、癡、慢、疑、惡見、忿、恨、覆、惱、嫉、慳、誑、諂、害、憍、無慚、無愧、掉舉、惛沉、不信、懈怠、放逸、失念、散亂、不正知),須知善根斷盡則陷永劫輪迴、無垠轉世之苦。
地獄可能空滅嗎?若地獄空乏人間多鬼怪,地獄淨空世間何嘗非淨土?若能證空性何處現地獄?
地獄曠古來便廣泛流傳各部族間,老死生滅為自然運行之基礎、宇宙意識之核心,然今文明昌盛如咱城邦並非慾望消弭之所,惡性所及實無可根除,礙於憲法國家法律社會軍隊企業公司學校家庭團體之層層束縛不亞於十八層,乃遁於壓抑、束己情懷,暗埋心底、日久貪嗔痴慢疑怨噌會疊穢。而六塵未熄,心多妄念,妖魔鬼怪魑魅魍魎孤魂閃靈出沒於荒郊乃至人間,會靈於曠野密林以增性靈乃出世高人修煉之舉,我等凡人擅闖宛如迪士尼般之人造地獄,三魂七魄尚不足以出竅,驚邪恐怖淒厲猙獰倒滿足了自以為是的慚愧,豈不謬哉?
病毒肆虐年半有餘,全球確診者逼近一億八千萬,枉死者近四百萬,堪比戰爭規模,望眾生發慈悲心、令往生者安息、善待其他物種、平等有情眾生。地獄本空,唯妄念生起一切羨慕嫉妒恨而地獄現前。盡以此書作為世界新冷戰獨裁者、超限戰者、暗網駭客、陰險狡猾冷嘲熱諷落井下石者之良知備忘錄矣。
姚瑞中寫於2021年端午節
Postscript
I have been living recklessly in Taiwan for more than fifty years. According to Zi Wei Dou Shu (Purple Star Astrology), Tan Lang is the sole star in my house of Self. This star, which represents xxx, forms an equilateral triangle with that star Qi Sha and Po Jun on the square chart and constitutes a Sha Po Lang pattern. The pattern indicates a kind of turbulence and change, a life of wandering with ups and downs and it tells a lot about my life. After my ill-fated youth, I started from scratch and traveled around the world with exhibitions that I participated. Like a flaneur, I wandered around ruins, nature, and temples with every type of film camera obliviously. Thus, I founded the Hall of Illusion and claimed to be the master of the hall. Several times a day, I pondered a quote from the Diamond Sutra, “Everything with form is unreal.” In addition, I usually stayed in the darkroom developing film and enlarging those negatives overnight. However, I treasured the simplicity of the black and white world. The earthly, gaudy, garish, phony and pleasing qualities within colored photos make the images even more realistic than the real world. It is not my cup of tea, so I seldom took colored photos. In Confucian thought, the age of fifty marks the stage knowing the mandate of Heaven. I am now at my fifties and realize how ephemeral human life is. However, I am not an immortal, nor having sagelike characteristics. I just learned that the stage of stainless (the second bhūmi) and develop a pure mind that is free from doubt and defilement. However, I’m still far from the immovable state and need to practice.
In the summer of 2017, after filming the work Incarnation, I experienced a severe heart rhythm problem which almost triggered myocardial infarction and could have killed me. Consequently, I realized that death was waiting for me and the life is too short to figure out how I can liberate myself from the cycle of Birth and Death. I couldn’t comprehend how to be free from all afflictions and worries and how to avoid delusive ideas. I wept for three days and nights after being enlightened by Shakyamuni Buddha. Up to the moment, I felt ashamed that I failed to realize that the self is as insignificant as dust after these years learning and practicing Buddhism. Since then, I have visited famous temples and monasteries in my spare time, worshiping Buddha, Bodhisattvas, arhats, and all the deities and immortals. Taiwan’s temples are myriad with a enormous number of sects, including Buddhism, Taoism, Yiguandao, Catholicism, Christianity, Chinese religions of fasting, Islam& Baháʼí Faith, Confucianism, Tiandiism& Tian-De Teachings, Xiwangmu cult, Yellow Emperor Sect, Precosmic Salvationism, Liism, World Wide Ethical Society, séance cult, etc. Some people even claim that they can mediate communication between the deities or spirits of the dead with human beings, having their believer rely on themselves instead of the orthodox dharma or dogma and pay excessive respect and admiration for the mediums or objects, accumulating wealth through such an unfair means or even harassing their believer sexually. Due to Taiwan’s historical changes, social turbulence, political struggles, and ideological issues, Buddhism and Taoism are somehow mixed. However, there are few emphases on the concept of the hell. As I took photographs of Yama of each court, judges, wardens of the underworld, jailers, General Fan and Hsieh (the ghost escorts) and all sinners, I found few temples cleverly created hellish scenes that are intriguing, exaggerating, and extraordinary. However, the creations are unparalleled unique. I have been studying Western arts for decades and then I came to realize that simplicity makes the most beautiful works of art. These hellish scenes can even compete with works of Giotto di Bondone (1267-1337) and Michelangelo Di lodovico Buonarroti Simoni (1475-1564).
Jingang Temple Shimen District, founded in 1986, overlooks the beautiful North shore. Although the temple is mainly dedicated to Phra Phrom (the Thai representation of Mahabrahma), spirits of Confucianism, Buddhism, and Taoism can also be founded in the temple. The worshipper can go cross the Seven Star bridge to relieve bad luck, walk along the five hundred arhat statues and knock on the gong to affirm one’s Buddha nature. Furthermore, the worshipper can also prostrate themself before Asia’s largest statue of Buddha in Nirvana (the Reclining Buddha statue) and pacify the Taoist Tai Sui deity of the year. I was impressed by the Jia-Zi Tai Sui General that a pair of palms grow out of his eyes. In 1994, the biō-kong (the person taking charge of the temporal affairs of a temple) received a divine inspiration from Yama (the King of Hell) that he had to build a sacred hall in the shape of a divine dragon, with the interior designed according to the World of Ultimate Bliss and the Underworld. When the visitor walks in the dark hallway, they will see the tortured people (dioramas, of course) scrunching their faces and crying bitterly and loudly in excessive grief as the visitor triggers the mechanism. One will even find them in the midst of flesh, body liquid and blood, mutilated limbs, and rotten corpses. While each of the ten Yamas are focusing on their own duties, showing their sacred dignity that collect visitors’ attention. The Baogong Temple in Linkou District, New Taipei City exclusively features colorful depiction of hellish scenes in relief in Taiwan. With its pastel shades and cartoon-like style, the relief is both grotesque and adorable at the same time. This temple is dedicated to Bao Zhen (also known as Justice Bao) representing the incarnation of Yama. Living people who have been treated unjustly can come worshipping Bao Gong and receive exorcism. Therefore, many people come here for seeking to solve unsolved cases. In Zhongyuan Festival (the ghost festival), the temple will burn the Zhizha (paper craft) boat to ferry the ghosts to the other shore, which is the shore of enlightenment. The only giant statue of Yama in Taiwan is still in the making. The temple is surrounded by a cemetery, suitable for meditating on the loathsomeness and impurity. Nantian Temple (1971), located next to the Eight Trigram Mountains Buddha in Changhua, features the first animatronic underworld. Despite the small size, the animatronic underworld is intensely shocking. Though it’s slightly worn, the colorful dioramas are still brutally ferocious. The creator was the late venerable Dao Zhang (Taoist priest) Jing Deng-fu while the origin of animatronic deities can be traced back to the 1960s Beigang Chaotian Temple. On the contrary, the Whiteman Toothpaste Tourism Factory in Shuishang Township, Chiayi, features ten Yamas with individual booth. The place is unexpectedly clean and polished yet keeps a simple and modest tone. Then, the Dragon Pagoda of the Dragon and Tiger Pagodas at Lotus Lake in Zuoying, Kaohsiung, holds the only relief of hellish scenes made of Kochin ceramic. All the figures are vivid and life-like. If one goes further into the pagoda, they will see a relief tunnel of the thirty-three incarnations of the white-robed form of Guanyin (Avalokiteśvara) on a white lotus, with a lovely and interesting design. Another Hall of Yama is built in the 1970s next to the entrance of Dagangshan Chaofeng Temple, located in the Alian District of Kaohsiung. Visitors will also see three statues of the Three Holy Ones of the Western Pureland (Amitābha, Avalokiteśvara, Mahāsthāmaprāpta) which assemble at a lotus pond. Although the hellish scene looks somewhat antiquated, you may still find its previous charm. If one goes further, they will reach the sculptural garden of “Attaining the Bodhi Way: the Incarnation of Sakyamuni Buddha,” where the visitor can see the essence of Bhagavato’s (meaning the Blessed one, one of the common epithets for Buddha) life. When Tathāgata (another epithet for Buddha) was old, the king of Kosala wanted to avenge the arrogance of the tribe of Shakyas who had long despised him, regarding him as a son of a maiden. Although Buddha has sat in lotus position alone three times to stop the army from attacking his tribe. However, one can never reverse the cause and following karma. The prince born of a maiden was so furious that he eventually destroyed his homeland. Maudgalyāyana (one of the Buddha’s closest disciples), who is said to have had supernatural abilities that surpassed the other disciples, could not bear to see the slaughter of innocent people. Thus, he saved five hundred people of his tribe with a pātra (an eating utensil of Buddhist monks). Unfortunately, everything he did was in vain, those who were saved eventually turned into a puddle of blood. The Buddha said that the supernatural abilities cannot surpass the power of karma. The cause and effect work all the time. When Maudgalyāyana’s mother fell into the path of hungry ghost, he used his supernatural abilities to save his mother from hunger. However, all the food turned into fire before being fed to his mother. Later, the Buddha commanded the monks to put nectar and dishes in a basin on the 15th day of the seventh month in the lunar calendar for the monks from all directions to free his mother from reincarnation. In later times, the Ullambana Dharma Service, the Compassionate Samadhi Water Repentance, and the Yoga Collection for Feeding the Searing Mouths Dharma Service are rituals to eliminate karmic hindrance and to cease to worldly delusions. Through such practices, one can free the dead as well as confess their repentance.
Madou Daitian Temple is a magnificent and colorful temple in Tainan. Not only can the worshippers visit the eighteen levels of Hell but also the Heaven (it was built in 1979 and inaugurated in 1983) here. The lighting and sound effects are stunning and frightening. When walking alone in the space, one may feel like taking a Guan Luo Yin trip (a Taoist necromancy which leads people’s spirits to hell and communicate with the dead ones) to visit the underworld prison. Before arriving the first court of the underworld, the visitor will walk through the Mountain of Heart Summit, the Pure Heart Pond, the Frontier between the Living and the Dead Realms, the Soul Registry Hall, the Portico of Demons, the Center for Complementary Teaching of Canonical Books, the Citadel of Premature Death, and the Bridge of Vanity. When one arrives at the first court, they will see King Chin-guang, who is in charge of the court, using the Mirror of Retribution to show the earthly form of evil creatures and also witness the sub-hell of Pillar-Holding and Fire Bed, etc. At the second court, King Chu-jiang collates the register of sins the souls of the dead have committed to impose the punishments. Here, you will see the sub-hell of Excrement and Urine, Hungry Ghost, Burning Dance Floor, Ice, Pus and Blood, Whipping, Tongue-Raking, Sword Blade, Stomach-Piercing, Chopping, etc. Next, the dead at the third court, ruled by King Song-di, will receive the punishments including inversion tortures, face-skinning with steel and copper knife, eye-wrenching, pounding, blood-sucking, rib-piercing, roasting, tendon-taking, being eaten by maggots. The visitor can pay a visit to the Palace of Soul-Resuscitation for the Four Forms of Creatures (birth from an egg, birth from a womb, birth from moisture, and birth by transformation). King Wu-guan is in charge of the fourth court. There are sixteen sub-hells at the fourth court including Waist Chop, Tongue Removal, Boiling Pond, Mouth-stabbing, Skin-peeling, Sword Tree, Burning Wheels and Cart, Eye-shooting, etc. Next, at the fifth court, sinful souls are allowed to ascend the Tower of Hometown-Viewing to take a final look of their family. The visitor will witness sub-hells of Knee-striking, Heart-slicing, Blade Mountain, Flying Swords and Burning Stones, etc. The King of Bian City takes charge of the sixth court, which is also known as the “Great Hell of Screaming,” with sub-hells including Fire Cattle, Tiger-Biting, Kidney-Eating, Mouth-Poking, Throat-Nailing, Iron Mill, Decapitation, etc. The King of Tai-shan is in charge of the seventh court, the “Great Hell of Heat and Fire.” The sixteen sub-hells at this court include Finger-Searing, Bowel-Hauling, Stone-Bearing, Boiling Oil, Tongue-Removal and Cheek-Piercing, etc. Next, the King Du-shi is in charge of the eighth court, the “Great Hell of Intense Fire and Heat,” and the sub-hells including Fire Dogs, Molten Iron, Iron Snakes, Dismemberment, Steel Spikes, Burning-Marrow, Iron Ball, Scale, etc. The ninth court is ruled by the King Ping-deng. It is known as the biggest court, Avici Hell (the Hell of Incessant Suffering), which if the lowest level of the hell realm and the interior is gloomily and terrifyingly dark. Those who committed the most serious evil deed will be sent to the Avici Hell. Sub-hells such as Poisonous Snake, Brain-Removal, Crow-Gnawing, Raining Needles, Wasps and Scorpions are included at this court. After arriving the tenth court, ruled by the Great King of the Reincarnation Palace, one can visit the “Observatory of Life on earth” and the “eight bureaus of the Reincarnation Palace” (including the Bureau of Judicial Control, the Bureau of Good-Actions, the Bureau of Bad-Actions, the Bureau of Debts, Gratitude, and Vengeance, the Bureau of Longevity and Destiny, the Bureau of Familial Ties, the Bureau of the Reincarnated, and the Bureau of Birth). The sinful one will be sent to the Pavilion of Mengpo and made to drink the Soup of Forgetfulness to forget all past affairs. According to the sinful one’s merits of previous life, they will go across one of the six bridges (gold, silver, jade, stone, wood, bamboo) to the “Reincarnation-Wheel (Wheel on the Crimson River).” Finally, one is able to reborn in the six realms. According to the Aṣṭadaśa nāraka sutra ( the Eighteen Hells Sutra), after one passes away, they will enter an intermediate and transitional state between death and rebirth, known as antarābhava in Sanskrit, for forty-nine days. The being will be evaluated by Yama, who will decide if one should get reborn or get punished at the hell. Those who committed the Five Grave Offenses (killing one’s father, killing one’s mother, killing an Arhat, shedding the blood of a Buddha, and creating a schism within the community of Buddhist monks and nun who practice for attaining enlightenment.) will be sent to the Avici Hell and stay there eternally. Kṣitigarbha is the Lord of the Nether World, ruling the ten court of Hell. The lord will set up the “Hall of Teaching” at each court to salvage those sinful ones who still obtain few merits at the offering rituals.
Human beings live the Sahā world (sahāloka in Sanskrit, meaning “endurance of suffering,” a concept of mundane world in Mahāyāna Buddhism) where they share with other reincarnations (including beings of the hells, of the preta, and of malevolent nature spirits) with five turbidities (the Kalpa turbidity, the view turbidity, the affliction turbidity, the living beings turbidity, and the life turbidity). Those who commit the ten evil deeds (killing, stealing, adultery, lying, using immoral language, slandering, equivocating, coveting, anger, and false views) must fall into the three evil paths (animals, preta, and hell). However, how can one escape from the three realms/ twenty-eight heavens (including the six heavens of the desire realm, the eighteen heavens of the form realm, and the four heavens of the formless realm)? Worldly people who don’t have such an awareness cannot leave the cycle of the twelve nidanas (meaning causes or motivations), let alone eliminate the eighty-one afflictions (that have been produced due to misunderstanding regarding reality) and the eighty-eight illusions (including five afflictions of advanced practitioners, also known as five views: view of self, extreme view, evil view, view of attachment to views, and view of morality; and five unintelligent temptations: desire, anger, stupidity, arrogance, and doubt) of thought within the three realms and four Arya satyas (noble truths, including suffering, arising, ending, and path). They cannot realize that the essence of the five skandhas (referring to aggregates of clinging, including the matter of form, sensation, recognition, mental formation, and consciousness) , the twelve ayatana (meaning sense base, including six internal bases: eye, ear, nose, tongue, body, and mind and six external bases: visible objects, sound, odor, taste, touch, and mental objects), and the eighteen dhātavah (meaning compositional elements of human existence, including six consciousness, six faculties, and their objects) are the emptiness and the void. Furthermore, they cannot dispel the two reasons for clinging to the idea of the self and the attachment to elemental constructs and even believe in the two (false) tenets that that karma and nirvana are not real and that the ego and phenomena are real. As a consequence, they fail to develop the eleven wholesome mental factors (faith, energy, conscience, being ashamed, non-attachment, non-aggression, non-delusion, calmness, equanimity, conscientiousness, and non-injuriousness) and cease the sixteen unwholesome mental factors (desire, greed, anger, delusion, arrogance, doubt, wrong view, wrath, enmity, hypocrisy, vexation, jealousy, parsimony, deceit, flattery, harming, ambitiousness, stupidity, lacking of faith, idleness, being unrestrained, forgetting, distraction, non-discernment, ). One must bear in mind that once all our virtuous roots are discontinued, they will be trapped in the never-ending reincarnation and the suffering of infinite continuity.
Is it possible that the hell will be empty one day? If the beings in hell will become extinct while evil spirits inhabit the mundane world, the world could be considered as a pure land. If we could witness the nature of the void, then hell will exist no more.
Since ancient times, the concept of hell has been widely spread among all tribes. Aging, death, beginning, and end are the basis of nature and the core of cosmic consciousness. However, the prosperous civilization as our island is not a place where desire can be eliminated. It’s impossible to eradicate evil nature. Since fetters brought by the constitution, the state, the law, society, the military, corporations, schools, families, and groups are not less than the eighteen levels of hell, the mortals repress themselves, bury their feelings. Day after day, greed, anger, stupidity, arrogance, doubt, and resentment are stacking. However, since the six dust (visible objects, sound, odor, taste, touch, and mental objects) has not yet been extinguished, people in the mundane world are still full of delusions. The demons, devils, evil spirits, and the wondering dead exist in the wilderness, while only advanced practitioners with transcendent would attempt to make contact with the dead in the wasteland and forest. Worldly people like us trespass in Disneyland-like man-made hell. It is absurd and ridiculous that the hellish scenes cannot stop us from perpetrating evil deeds, but the horrific and cruel scenes yet satisfy our self-righteous shame.
The pandemic has been boiling over for more than a year and a half. The number of infected patients worldwide is nearly a hundred and eighty million, and the death toll has risen to four million, which is equivalent to a war crisis. I hope that we can all be compassionate, give peace to the dead, treat all sentient beings well and equally. The hell is innately empty; however, deluded and misleading thoughts would give rise to all jealousy and hatred and then manifest the hell before us. This book merely serves as a memorandum of conscience for dictators of the world’s new cold war, supporters of unrestrained warfare, dark web hackers, and those who are cunning and contemptuous and maltreat others when knowing they have problems.
June 2021,
Yao Jui-chung
1986 in film 在 Ken's Portable Classroom Facebook 的精選貼文
🖐🏽 五分鐘,Ken帶您看懂國際大小事— 🇺🇸
📰 The dying teenager who wanted world peace and love
🀄 垂死少年但願世界和平愛相隨
📘《Ken的文法筆記 I.》即將出售(詳置頂貼文)
When Californian teenager Jeff Henigson was diagnosed with brain cancer and given two years to live, a children's charity granted him the wish of a lifetime. But Jeff didn't choose to go to Disneyland or meet his favourite footballer - Jeff just wanted world peace.
📌 人生無常,這篇文章主人翁就是一個例子。Jeff給診斷患有(diagnosed with) 腦癌(brain cancer),他的一生中唯一願望(the wish of a lifetime)是世界和平(world peace)。
In the summer of 1986, 15-year-old Jeff Henigson was riding his bike to the local electronics shop to buy the last part for a "super laser" he'd been building, when he was hit by a van.
"It's coming in the opposite direction and she doesn't see me and just smashes right into me," Jeff says. "And I'm launched, like a rocket, 10 feet backwards. I land on the back of my head."
Jeff wasn't wearing a helmet, and was knocked unconscious. A few hours later, he woke up in hospital. He seemed to be OK, though, so he was discharged the same day.
📌 在1986年夏天,他騎自行車時發生意外,被廂形貨車 (van) 撞到,由於他沒有戴安全帽(helmet),因此被撞到不省人事(knocked unconscious)。他幾個小時醒來,看似可以了,所以在同一天出院(discharged)。
But within a few weeks Jeff began having seizures and he returned to the hospital, this time to have a CT scan of his brain.
If it had shown injuries from the cycling accident, Jeff would not have been surprised. But the news was worse than that - the scan revealed a tumor.
"Two things went through my mind," Jeff says. "One was a plan to lose my virginity that summer. And let's just say that did not work out. The second was to complete my laser project."
📌 他在幾個星期内感到不舒服,回到醫院進行電腦斷層掃描(CT scan),竟發現掃描顯示他有腫瘤(美: tumor 英: tumour)
Jeff was an ambitious teenager, whose dream was to work for Nasa. He believed that the best way to impress them was to build "the most amazing laser" which could bounce a beam off of a reflector that had been left on the moon by Apollo 11.
But the laser was also a way for him to bond with his father, a distant figure, who had served with the US Navy in World War Two.
📌 這段講述Jeff的夢想:為太空總署(NASA)工作。他希望建造一個激光器,令NASA對他留下好的印象。這個項目也是個與他爸爸建立緊密關係(bond with his father)的方法。
"I didn't know at the time if that was because of the war or something else. But my father was separate, emotionally, from the rest of us. And I thought, 'Here's this thing we have in common. This fascination with science. This fascination with space.' And that's why I pursued it."
Though Jeff's father never mentioned his experiences in the Pacific when the nuclear bombs were dropped on Hiroshima and Nagasaki, he would talk, at length, about nuclear weapons, the nuclear threat and the US's relationship with the USSR. And this seems to have had an impact on Jeff.
📌 Jeff解釋他跟爸爸的共同點是迷戀科學(fascination with science)、迷戀太空(fascination with space)。他爸爸詳盡地談及核武器(nuclear weapons)、核威脅(nuclear threat)以及美國跟蘇聯的關係(the US’s relationship with the USSR),這對Jeff有影響。
"There was a fictional film in the early 1980s called The Day After. It was about the Soviet Union dropping nuclear bombs on the US. I was probably 11 years old, and I was scared out of my mind. I would often fall asleep at night and go straight into a nightmare about nuclear war," Jeff remembers.
Jeff hoped not only that he would get that dream job with Nasa, but that the organisation would start to work with the USSR rather than competing with it.
"Even when I was fairly young, I could see the potential for collaboration between the US and Soviet Union," he says. "It just never made sense to me that we were pointing nuclear weapons at each other, when we could be collaborating to do extraordinary things in space."
📌 Jeff 不但希望在NASA工作,而且希望NASA會開始跟蘇聯合作,在太空合作做非凡事情 (collaborating to do extraordinary things in space)。
全文請至
https://reurl.cc/jq5Dy1
📘【Ken的高頻單字筆記 I】
購買辦法:https://is.gd/H8W7Qj
👨🏫【實用英語扎根培訓】
課程網址:https://reurl.cc/m95QDl
1986 in film 在 Jang Mi Youtube 的最佳解答
NHỚ THƯƠNG LÀM CHI - JANG MI | OFFICIAL MUSIC VIDEO
-----
Nhớ Thương Làm Chi
? Stream on: https://YYM.lnk.to/NTLC
?Tiktok: https://vt.tiktok.com/ZSJdHVVsX/
#JangMi
#NhoThuongLamChi
#YinYangMedia
-----
Production By: Kim Entertainment
Director: Huy Tran
Story By: Huyền Trân
Producer: Tăng Ngọc Trâm
D.O.P: Hoang Huynh
Music: Huỳnh Hiền Năng
Guest Starring: NS Kiến An, Gold Trần, Diễm Trần, Su Su, Vũ Đoàn Oh
Set Design: Lâm Minh Trung
Assistant Director: Duy Tân
Assistant Producer: Bích Trâm - Thuý Vy - Ánh Diệp
Camera equipment: Tony Vo Film Equipment
Photo: 1986 Studio
Editor: Huy Tran - Mlem Mlem
Behind The Scenes: Phat Vo
Stylist: Panda
Stylist Assistant: Kiều Len, Bin, Thanh, Phát
Costume: Hoa Niên - Năm Tháng Tươi Đẹp, NTK Trần Nhật Du
Graphic Design: Trần Duy Lộc
Hair Stylist: Team Gil Nguyen
Makeup Artist: Phương Si
Makeup Assistant: Maihuongnguyen
Makeup Extra: Huyền Trân - Trâmm Sapodilla
Focus Puller: Sơn Rock
Camop: Tùng Tony
Graffer: Trịnh Duy Hải
Lighting: Hải 94 team & Tony Vo
Datebase: Tony Vo
Asistant: Thư
Talent Acquisition Manager: SB Entertainment
Đăng kí kênh của Jang Mi nhé : https://bit.ly/SubscribeJangMi
Xem thêm các bài cover của Jang Mi tại: http://smarturl.it/coverbyJangMi
-----
► Keep in touch at:
Fanpage: https://www.facebook.com/jangmiofficial/
Instagram: http://instagram.com/jangmi2203
Tiktok: http://tiktok.com/@jangmiofficial
-----
© Bản quyền thuộc về SB Entertainment
© Copyright by SB Entertainment ☞Do not Reup
1986 in film 在 Marioverehrer Youtube 的最佳貼文
♫ Original Performance: https://youtu.be/zggvQC8x2xs
► Learn the piano step by step: https://www.skoove.com/#a_aid=marioverehrer *
► Learn piano songs quick and easy: http://tinyurl.com/flowkey-marioverehrer1 *
► iTunes: https://apple.co/2HdMswA
► Spotify: https://spoti.fi/2JqvMVq
► Sheet Music: https://www.musicnotes.com/l/Marioverehrer
► Classical Sheet Music: https://gumroad.com/marioverehrer
► Support me on Patreon: http://www.patreon.com/Marioverehrer
► Facebook: http://www.facebook.com/Marioverehrer2
► Twitter: https://twitter.com/Marioverehrer
* Affiliate Link
Enjoy the song "Innocent" from "Laputa: Castle in the Sky" arranged by Yeh-Kun!
♫ Promote Your Music ♫
To submit your music on my channel:
➝ Write me a PM on Facebook: https://www.facebook.com/Marioverehrer2
➝ Always send a link or music file of your work.
➝ If I'm interested, I will message you back.
Composer(s): Joe Hisaishi
Arrangement © Yeh-Kun (2017)
Original Music © Studio Ghibli (1986)
1986 in film 在 渡辺レベッカ ☆ Rebecca Butler Watanabe Youtube 的最佳解答
今日は、今月3日に横浜ジャズクラブFAROUTで行ったライブ映像の中から、ジブリ映画『天空の城ラピュタ』の主題歌「君をのせて」をお届けしたいと思います♪
Enjoy!
歌:渡辺レベッカ&白川えみ子(デュエット)
ピアノ:Mika E. / ドラム:小林慎
A cover of "Kimi wo Nosete" (Carrying You), the theme song from the 1986 Ghibli film "Castle in the Sky." The video is a live duet with my friend Emiko, piano by my friend Mika, and drums by Makoto Kobayashi, taken at our live show on September 3, 2016 at Jazz Club FAROUT in Yokohama. This was so much fun to sing as a duet :)
Vocals: Rebecca Butler Watanabe, Emiko Shirakawa
Piano: Mika E. / Drums: Makoto Kobayashi
~♪~♪~♪~♪~♪~
曲情報 / SONG INFO
~♪~♪~♪~♪~♪~
井上あずみ/君をのせて
『天空の城ラピュタ』主題歌
アルバム:天空の城ラピュタ サウンドトラック~飛行石の謎~(1986)
作詞:宮崎駿
作曲:久石譲
Azumi Inoue / Kimi wo Nosete (Carrying You)
Album: "Castle in the Sky" Soundtrack (1986)
Lyrics: Hayao Miyazaki
Music: Joe Hisaishi
~♪~♪~♪~♪~♪~
リンク / LINKS
~♪~♪~♪~♪~♪~
■HP⇒ http://BlueEyedUtaUtai.jimdo.com
■Facebook⇒ http://facebook.com/blueeyedutautai
■Twitter⇒ @BlueEyedUtaUtai
~♪~♪~♪~♪~♪~
Romanized Lyrics
~♪~♪~♪~♪~♪~
Ano chiheisen kagayaku no wa
Dokoka ni kimi wo kakushite iru kara
Takusan no hi ga natsukashii no wa
Ano doreka hitotsu ni kimi ga iru kara
Saa dekakeyou hitokire no pan
naifu, ranpu kaban ni tsumekonde
Tou-san ga nokoshita atsui omoi
Kaa-san ga kureta ano manazashi
Chikyuu wa mawaru kimi wo kakushite
Kagayaku hitomi kirameku tomoshibi
Chikyuu wa mawaru kimi wo nosete
Itsuka kitto deau bokura wo nosete
Tou-san ga nokoshita atsui omoi
Kaa-san ga kureta ano manazashi
Chikyuu wa mawaru kimi wo kakushite
Kagayaku hitomi kirameku tomoshibi
Chikyuu wa mawaru kimi wo nosete
Itsuka kitto deau bokura wo nosete
1986 in film 在 1986 - FILM - Facebook 的推薦與評價
1986 - FILM. 638 likes · 7 talking about this. THIS IS THE OFFICIAL PAGE OF THE FILM "1986" ... <看更多>
1986 in film 在 1986 | Film Trailer | [English Subtitles] - YouTube 的推薦與評價
http://www.lothar-herzog- film.de https://www.facebook.com/lotharherzogfilms/https://www.instagram.com/lothar_herzog_films/Director: Lothar ... ... <看更多>