รีโพสต์...เพื่อเตือนใจตัวเอง
และแม่ทุกคน
.
การได้เห็นลูกใส่ชุดนักเรียนครั้งแรก
มันช่างน่ายินดี
.
เก็บความรู้สึกปิตินี้ไว้...และเตือนใจตัวเอง
ว่าเป้าหมายในของการเติบโตระยะยาวของลูกคืออะไร
อย่าให้ระบบการศึกษาและโรงเรียน
มีอิทธิพลเหนือเป้าหมายของเรา
ที่จะเลี้ยงลูก ให้เป็นคนที่"เรียนรู้ชีวิต"
ไม่ใช่เป็นเด็กที่มีอาชีพเป็น นักเรียน
.
ให้โรงเรียนเป็นอีกสังคมที่ลูกต้องเรียนรู้ที่จะใช้ทักษะชีวิต
นอกบ้าน
.
แต่จะอย่างไร การเรียนรู้ ที่สำคัญที่สุด
ต้องเริ่มจากที่บ้าน
*** ไม่ต้องกลัวว่าลูกจะไม่เก่ง...ให้กลัวว่าตัวเองจะเก่งไม่พอ
ที่จะมองเห็นศักยภาพของลูก ***
.
พ่อแม่สมัยใหม่
ใช้ “ความกลัว” ขับเคลื่อนในการเลี้ยงลูกเยอะมากเลยนะคะ
ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดที่สุด
คือ "ธุรกิจการติว" ที่เติบโตขึ้นทุกปี
และค่อยๆขยายกลุ่มมาเป็นเด็กในวัยเล็กลงเรื่อยๆ
จนในที่สุด แม้แต่การเข้าอนุบาล
ก็ยังต้องติว
.
หมอไม่ได้เหมารวมทุกคนนะคะ
บางคนที่มีสติรู้แน่ชัด ว่าทำอะไร เพื่ออะไร ก็คงมี
แต่เรากำลังพูดถึงคนส่วนใหญ่
ถ้าเราไม่หลอกตัวเอง เราจะรู้นะคะ
ว่าบางอย่างเราทำไปเพราะเรากลัว
.
ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่ผิดอะไร
อารมณ์กลัว เป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดการกระทำที่รุนแรงที่สุด
เพราะมันถูกสั่งการด้วยสมองส่วน primitive brain
สมองส่วนที่เก่าแก่ที่สุด เหมือนกับสมองของสัตว์ดึกดำบรรพ์ หรือสัตว์เลื้อยคลาน
ที่ให้เราตอบสนองเมื่อเกิดภัยคุกคาม
.
เรากลัวลูกไม่ฉลาด
เรากลัวลูกจะเก่งไม่เท่าเด็กวัยเดียวกัน
เราจึงเครียดเมื่อลูกเดินได้ช้ากว่าเด็กข้างบ้าน
เรากลัวสมองลูกจะไม่เติบโต
เราก็เลยเครียดเมื่อลูกกินอาหาร ไม่ได้เท่าที่เราอยากให้กิน
เรากลัวว่าลูกจะเข้าโรงเรียนดีๆไม่ได้
พอเข้าโรงเรียนดีๆ ไม่ได้ ก็กลัวว่าสิ่งที่ครูสอนจะไม่ดีพอ
สังคมที่ล้อมรอบลูก จะไม่ดีพอ
เรากลัวว่าถ้าเด็กคนอื่นได้เรียนที่นี่ ลูกเราแค่คนเดียวที่ไม่ได้ ลูกเราจะตามเพื่อนๆไม่ทัน
เรากลัวโน่น...กลัวนี่...
.
แต่
.
เราลืมกลัวว่า....สิ่งที่เราให้ๆๆๆ กับลูกด้วยความรู้สึกกลัว
จะไปบดบัง....ศักยภาพที่โดดเด่นที่สุดของลูก
.
ดังนั้น
บทความนี้ หมออยากบอกว่า
ไม่ใช่ลูกหรอกที่ต้อง “หาที่เรียน”เพิ่ม
แต่เป็น เราๆ พ่อแม่ นั่นแหละค่ะ
ที่ต้องพัฒนาตัวเองในทุกวัน
เราต้องหาเวลาว่าง เพื่อเรียนรู้ และเท่าทัน “ใจ” ของเรา
และเราต้องยอมรับ ว่าเราเอากรอบความคิดของตัวเอง
ไปจำกัดการเรียนรู้ของลูกไม่ได้
.
เหมือนที่ถ้าปู่กับย่าของเราสอนเราวันนี้ว่า
ถ้าจะฝากเงิน จะถอนเงิน ต้องไปที่ธนาคารเท่านั้น เรื่องเงินอย่าไว้ใจเครื่องจักร
เรารู้สึกยังไงคะ
.
สักวัน ถ้าเราเอากรอบความคิดของตัวเองที่ไม่กว้างพอ
ไปใส่ในตัวลูก
เราจะทนได้มั้ย...ที่ลูกเราไม่ดีพอสำหรับโอกาสที่เข้ามาในชีวิตเค้า
เป็นเพราะเราขังเค้าไว้ในกรอบความคิดแคบๆของเรา
.
เลี้ยงลูก...ต้องเลี้ยงให้เค้าเก่งกว่าเรา
การที่เค้าจะเก่งกว่าเรา แปลว่าพ่อกับแม่ ต้องเป็นคนที่พัฒนาขึ้นทุกๆวัน
และมีจิตใจที่เปิดกว้าง
เราต้องรับรู้ว่า “การเรียนรู้ และการศึกษาเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้”
ไม่มีตัวเลขใด ไม่มีการสอบแข่งขันใด ที่จะมาตีค่าความเก่งของคนๆหนึ่งได้ทุกด้าน
.
หมอไม่ใช่นักการศึกษา
ไม่ใช่ผู้มีอิทธิพลที่จะเปลี่ยนแปลงสังคม
ไม่ใช่คนมีชื่อเสียงที่ใครๆจะฟังเมื่อพูดสิ่งใด
.
แต่หมอเป็นแม่ และ ครู คนที่สำคัญที่สุดของ ลูกสาวหมอ
ซึ่งก็เหมือนกับทุกท่านที่เข้ามาอ่านบทความนี้
ท่านเป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของลูกท่านเช่นกัน
.
จำไว้นะคะ...ลูกลอกเลียนวิธีคิด การดำรงชีวิตจากเราทุกขณะจิต
.
เนื่องจากวิชาชีพของหมอ นอกจากรักษา
หมอก็ต้องเป็นครู ด้วย
เดี๋ยวนี้ทุกวงการ ตื่นตัวเรื่อง คุณสมบัติ
ของเด็กในยุคศตวรรษที่ 21
ทักษะการเรียนรู้ที่สำคัญ
#creativity (ความคิดสร้างสรรค์ รวมไปถึงสามารถยืดหยุ่น พลิกแพลง ปรับตัวได้เมื่อเกิดปัญหา)
#collaboration (การทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ เป็นส่วนหนึ่งของทีม ที่ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีที่สุด)
#communication (มีทักษะการสื่อสารที่ดี ไม่ได้หมายถึงพูดเก่งนะคะ แต่ต้องสื่อสารในสิ่งที่สำคัญได้อย่างตรงประเด็น ถูกต้อง กล้าที่จะบอกความต้องการของตนเอง)
#critical thinking (การคิดพิจารณาเรื่องสำคัญอย่างมีวิจารณญาณ)
.
4 คุณสมบัติที่ว่า ถ้าลูกเรามี ไม่ว่าศตวรรษไหนๆเค้าก็มีชีวิตที่ดีทั้งนั้นนะคะ
.
แต่สิ่งที่หมอจะสื่อคือ...ความก้าวหน้าในยุคของลูกๆ
จะเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก
จนเราไม่สามารถจินตนาการไปถึงได้ว่า
วันที่ลูกเรียนจบปริญญาอย่างที่ใครๆหวัง
โลกจะเป็นอย่างไร
ลูกอาจจะไม่ต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยแล้ว
เพราะนั่งเรียนอยู่ที่บ้านก็เข้าคลาสเรียนของมหาวิทยาลัยได้ทั่วโลก
อาจไม่มีใบปริญญาเป็นคณะนั้น คณะนี้
มีเพียง อยากรู้อะไรก็ศึกษาด้วยตัวเอง
.
มีโจ๊กเล่าว่า
ต่อไปที่โรงงานอุตสาหกรรม
จะมีคนงานเพียง 1 คน กับหมาอีก 1 ตัว
คนงานเอาไว้ ให้อาหารหมา
ส่วนหมา เอาไว้เฝ้าไม่ให้คนไปยุ่งกับเครื่องจักร
ฟังดูเหมือนตลก...แต่ทุกคนคงรู้ ว่ามันไม่ใช่เรื่องตลกอีกต่อไป
.
ดังนั้น
เราจะเอากรอบความคิดของยุคเรา
ไปมอง และตัดสินให้ลูกเดินตามที่เราคิด
ไม่ได้แล้วนะคะ
จะต้องเรียนอนุบาล จะต้องสอบเข้าสาธิต เพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ
เพื่อจบมาจะได้มีงานทำ
.
หมอว่าแนวคิดนี้....มันไม่น่าใช้ได้แล้วในยุคลูก
ไม่ใช่บอกว่า ไม่ให้ลูกไปโรงเรียน หรือไปมหาวิทยาลัยนะคะ
แต่จะสื่อว่า “การวัด” หรือการประเมินผลในระบบการศึกษา
มันไม่ได้สำคัญขนาดนั้น
.
ไม่ต้องเครียดถ้าครูจะบอกว่าลูกเราตามเพื่อนไม่ทันในวิชานั้น วิชานี้
ไม่ต้องไปสมัครเรียนพิเศษเพิ่มในวิชาที่ลูกอ่อน เพราะยิ่งตอกย้ำว่า ลูกรัก...ลูกไม่เก่งนะ แม่ถึงให้ลูกเรียนเพิ่ม แรกๆเค้าจะดีขึ้น เพราะเค้าอยากให้แม่สบายใจ แต่กับจิตใต้สำนึกระยะยาว
เค้าจะไม่มีความสุขกับการใช้เวลากับสิ่งที่เค้าไม่ชอบ
.
แต่
ให้ปิติยินดี ถ้าครูมาบอกว่าลูกเราชอบทำอะไร
เค้าเก่งอะไร เค้ากล้าบอกความต้องการของตัวเองมากแค่ไหน
และเติมพลังให้สิ่งที่เค้าเก่ง
.
เราไม่ต้องเอาใจไปเฝ้าเครียดกับสิ่งที่วัดความเก่งในศตวรรษที่ 19
มันอาจสำคัญในยุคของเรา เพราะมันเป็นยุคหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม
การศึกษาเทรนคนเพื่อเข้าทำงาน เหมือนโรงงานไงคะ
การจบปริญญา ก็เหมือนสินค้าที่ต้องผ่าน QC
.
แต่ในศตวรรษที่ 21
ใบปริญญา จะไม่มีค่าเท่ากับทักษะเฉพาะตัวของคนแต่ละคนที่ติดตัวมา
ทักษะที่คนคนหนึ่ง ทำๆๆๆฝึกๆๆๆ ซ้ำๆ
จนเก่ง...และไม่สามารถแทนที่ได้โดย “เครื่องจักร”
.
ถ้าวันนี้ลูกกล้า ปฏิเสธ สิ่งที่เราคิดว่าเราให้ด้วยความรัก (แต่ฐานมาจากความกลัว)
แสดงว่าเค้าเริ่มใช้ทักษะที่สำคัญของศตวรรษที่ 21 แล้วนะคะ
ใช้ communication skill ยืนยันความต้องการว่าหนูไม่อยากเรียนพิเศษ หนูอยากไปเล่น
ซึ่งกว่าจะพูดออกมาได้ ต้องผ่าน critical thinking skill ของเค้าแล้วค่ะ
ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับตัวเค้าเอง...และการที่เค้าคิดหาคำพูดเพื่อปฏิเสธแม่อย่างนิ่มนวล
แปลว่าเค้ามี creativity สูงมากเลยค่ะ ที่จะเปลี่ยนเรื่องที่แม่จะปรี๊ด ให้กลายเป็นเรื่องดี
.
แล้วเราจะกล้าทำลาย 21th century skills ของลูกหรือคะ??
.
รักลูก เติมพลังให้กับสิ่งที่”ลูกรัก” ด้วยนะคะ
หมอแพม
ผู้ยังต้องพัฒนาตัวเองอย่างมาก ในทุกมิติ และทุกๆวัน
Search