สรุปเส้นทาง Unilever ผู้ผลิตสินค้าครอบจักรวาล /โดย ลงทุนแมน
หากเราลองสำรวจของใช้ภายในบ้าน เช่น สบู่ ยาสระผม ผงซักฟอก และน้ำยาล้างจาน
เราก็คงพบเจอชื่อแบรนด์ต่าง ๆ ไม่ซ้ำกัน
แต่หากลองสังเกตอย่างละเอียดแล้ว เราก็จะพบว่าหลายแบรนด์สินค้าที่เราคุ้นเคย
ถูกผลิตขึ้นจากบริษัทเดียวกัน ที่ชื่อว่า “Unilever” ยกตัวอย่างเช่น
- น้ำยาล้างจาน แบรนด์ ซันไลต์
- สบู่ แบรนด์ ลักส์
- ผงซักฟอก แบรนด์ โอโม
ปัจจุบัน Unilever นับเป็นหนึ่งในผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 92 ปี ทำธุรกิจอยู่ใน 190 ประเทศทั่วโลก และมีมูลค่าบริษัท 4.7 ล้านล้านบาท
แล้วเรื่องราวของ Unilever เป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
จุดเริ่มต้นของ Unilever นั้น อยู่ในช่วงประมาณปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งผลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งในช่วงเวลานั้น จำนวนประชากรในทวีปยุโรปเพิ่มขึ้นอย่างมาก
เมื่อประชากรเพิ่มขึ้น ความต้องการเนยซึ่งเป็นอาหารที่บริโภคกันอย่างแพร่หลายในยุโรปก็ได้ปรับตัวพุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะในประเทศอังกฤษ
แม้จะมีการนำเข้าจากประเทศรอบข้างอย่างไอร์แลนด์และเนเธอร์แลนด์ แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ
เรื่องดังกล่าวจึงไปจุดประกายให้ 2 ตระกูลพ่อค้าเนยในเนเธอร์แลนด์คือ Jurgens และ Van den Bergh ที่เป็นผู้ส่งออกเนยไปยังประเทศอังกฤษอยู่แล้ว ได้เริ่มหันมาผลิตเนยเทียม (Margarine) ที่ทำจากไขมันสัตว์ ซึ่งมีราคาถูกกว่าและเก็บรักษาได้นานกว่าเนยแบบปกติทั่วไปที่ทำจากนมวัว
จริง ๆ แล้วเนยเทียมนั้นมีรสชาติที่ไม่ดีนัก แต่จากการแข่งขันและพัฒนาของทั้ง 2 ตระกูลทำให้ในเวลาต่อมา เนยเทียมสามารถนำมาแทนที่เนยดั้งเดิมได้และตลาดเนยเทียมก็ได้เริ่มเติบโตขึ้น
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ตลาดเนยดั้งเดิม ก็ได้เข้าสู่ภาวะปกติ มีกำลังผลิตเพียงพอต่อความต้องการและกลับมาหาซื้อได้ง่าย นั่นจึงทำให้ความต้องการเนยเทียมเริ่มปรับตัวลดลง
ทั้ง 2 ตระกูลที่เป็นคู่แข่งกัน จึงได้ตัดสินใจรวมกิจการ เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันในปี 1908
ต่อมาในปี 1927 จึงได้ขยายกิจการและเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “Margarine Unie”
ซึ่งจะดำเนินธุรกิจผลิตสินค้าจากน้ำมันและไขมันในทวีปยุโรป
จุดนี้เองที่ทำให้ในเวลาต่อมา Margarine Unie ได้ควบรวมกับ Lever Brothers ผู้ผลิตสบู่รายใหญ่ของประเทศอังกฤษ
Lever Brothers นั้นก่อตั้งขึ้นในปี 1885 โดย 2 พี่น้อง William และ James Lever ซึ่งธุรกิจของพวกเขาเติบโตจากการขายสบู่สำหรับซักผ้า ชื่อว่า “ซันไลต์” ที่มีส่วนผสมของน้ำมันมะพร้าว ที่มีคุณสมบัติทำให้เกิดฟองได้ง่ายกว่าสบู่แบบดั้งเดิมที่ทำจากไขมันสัตว์
นอกจากประสิทธิภาพของสบู่ที่โดดเด่นแล้ว อีกความแตกต่างหนึ่งของ Lever Brothers
คือ การเป็นผู้ผลิตรายแรกที่ขายสบู่แบบบรรจุหีบห่อ ติดฉลากสินค้าและแบ่งขายเป็นก้อนเล็ก ๆ
ต่างจากการวางจำหน่ายรูปแบบเดิมที่เป็นลักษณะของการขายส่งแบบก้อนใหญ่
จากโรงงานไปสู่ร้านค้า แล้วร้านค้าเหล่านั้นค่อยแบ่งขายให้กับผู้บริโภคอีกต่อหนึ่ง
ด้วยวิธีการนี้เองทำให้ผู้บริโภคจดจำแบรนด์และบอกต่อได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้สบู่ของ Lever Brothers เป็นที่นิยมอย่างมากและสามารถวางจำหน่ายไปทั่วยุโรปและสหรัฐอเมริกาได้ในเวลาเพียงไม่กี่ปีหลังจากเปิดตัว
เมื่อธุรกิจสบู่ขยายใหญ่ขึ้น Lever Brothers จึงขยายไปยังธุรกิจอื่น ๆ อย่างเช่น
ในปี 1922 ได้เข้าซื้อ Wall’s ธุรกิจไอศกรีมที่ต่อมากลายเป็นแบรนด์ขายดีที่สุดในโลก
หรือการออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง Viking เนยเทียมที่อุดมไปด้วยวิตามิน
จากการที่ Margarine Unie และ Lever Brothers กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่องในยุโรป
และทั้ง 2 บริษัทต่างก็อยู่ในอุตสาหกรรมที่ผลิตสินค้าจากน้ำมันและไขมันอยู่แล้ว
ทั้ง 2 บริษัทจึงได้มีการเจรจากัน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อหยุดการผลิตสินค้าชนิดเดียวกันเพื่อแข่งกันเอง
จนในที่สุด การเจรจาก็ได้จบลงที่ทั้ง 2 บริษัทควบรวมกันเป็น “Unilever” ในปี 1929
หลังจากการควบรวมกิจการ Unilever ก็ได้ผลิตและพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดอยู่ตลอดเวลา
จนกลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคของโลก
ซึ่งปัจจุบัน บริษัทมีค่าใช้จ่ายในส่วนของการวิจัยและพัฒนากว่า 3 หมื่นล้านบาทต่อปี
และรู้หรือไม่ว่า แต่ละแบรนด์ที่ Unilever นำไปวางจัดจำหน่ายแม้จะมีชื่อแบรนด์เดียวกัน
แต่สินค้าเป็นคนละชนิดกันก็ได้ เพื่อให้เหมาะสมกับท้องถิ่น เช่น ซันไลต์ ที่คนไทยคุ้นเคยในรูปแบบของน้ำยาล้างจาน แต่ในทวีปแอฟริกาจะสามารถพบเจอในรูปของสบู่สำหรับซักผ้า
หรืออีกกรณีหนึ่งคือความแตกต่างในด้านชื่อแบรนด์สินค้าที่แม้จะเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวกัน อย่างเช่น ไอศกรีม Wall’s ที่ชื่อแบรนด์นี้เราจะพบเห็นได้ในประเทศไทยแต่จะแตกต่างจากประเทศสหรัฐอเมริกาที่จะใช้ชื่อว่า Good Humor แต่ยังคงใช้สัญลักษณ์รูปหัวใจเป็นโลโกของแบรนด์ เช่นเดิม
ในปี 2020 Unilever มีรายได้กว่า 1.98 ล้านล้านบาท ซึ่งมาจากสินค้ากว่า 400 แบรนด์ที่วางจำหน่ายอยู่ใน 190 ประเทศ โดยในแต่ละวันมีคนจำนวนกว่า 2,500 ล้านคน
คิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรทั่วโลกบริโภคสินค้าของบริษัทแห่งนี้
และปัจจุบัน Unilever มีมูลค่าบริษัท 4.7 ล้านล้านบาท
ทั้งหมดนี้ ก็เป็นเรื่องราวของบริษัท Unilever หนึ่งในบริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค ที่ได้ดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 92 ปี
ซึ่งพอเรามองย้อนกลับไปในวันแรกนั้น
ก็คงไม่มีใครคาดคิดว่าบริษัทแห่งนี้ จะเกิดขึ้นจากการควบรวมกันของผู้เห็นโอกาสในการผลิตเนยเทียมและผู้ที่มีไอเดียในการขายสบู่แบบบรรจุหีบห่อ จนกลายมาเป็นบริษัทที่ผลิตสินค้าให้ประชากรทั่วโลกกว่าพันล้านคน ได้ใช้กันในวันนี้..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.unilever.com/our-history.html#timeline+2D+556789+closed
-https://www.youtube.com/watch?v=aflUrStMymg&list=PLED475433C60012FF&index=2
-https://www.youtube.com/watch?v=gCNsYWgY7ZE
-https://en.wikipedia.org/wiki/Unilever
-https://www.unilever.com/Images/annual-report-and-accounts-2020_tcm244-559824_en.pdf
-https://www.companieshistory.com/unilever/
-https://en.wikipedia.org/wiki/Wall%27s_(ice_cream)
-https://www.unilever.com/our-company/at-a-glance/
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
「apple annual report」的推薦目錄:
- 關於apple annual report 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
- 關於apple annual report 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
- 關於apple annual report 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
- 關於apple annual report 在 コバにゃんチャンネル Youtube 的最讚貼文
- 關於apple annual report 在 大象中醫 Youtube 的最佳解答
- 關於apple annual report 在 大象中醫 Youtube 的最佳解答
- 關於apple annual report 在 How to Read and Understand a Balance Sheet (Apple in ... 的評價
- 關於apple annual report 在 Snap, Facebook, Twitter and YouTube lose nearly $10bn after ... 的評價
- 關於apple annual report 在 Snap, Facebook, Twitter and YouTube lose nearly $10bn after ... 的評價
apple annual report 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
William Li ใช้เวลา 6 ปี สร้างรถไฟฟ้า NIO ให้มูลค่าบริษัทมากกว่า BMW /โดย ลงทุนแมน
หากพูดถึงแบรนด์รถหรู เชื่อว่าคำตอบในใจของหลาย ๆ คน
คงหนีไม่พ้น Mercedes-Benz กับ BMW
ซึ่งหากเราเอาอายุของทั้ง 2 แบรนด์มารวมกันจะอยู่ที่ 200 ปีพอดี
แต่รู้หรือไม่ว่า ? มีบริษัทรถยนต์ที่มีอายุได้เพียง 6 ปี
แต่กลับมีมูลค่าที่สูสีกับแบรนด์รถในตำนานทั้งสอง
บริษัทนั้นคือ “NIO Inc.” บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน โดยปัจจุบัน
- Daimler AG บริษัทแม่ของ Mercedes-Benz มีมูลค่าอยู่ที่ 3.1 ล้านล้านบาท
- NIO Inc. มีมูลค่าอยู่ที่ 2.4 ล้านล้านบาท
- BMW มีมูลค่าอยู่ที่ 2.1 ล้านล้านบาท
โดยผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ NIO Inc. คือ “William Li” ซึ่งในวัยเด็กเขาไม่ได้เกิดมามีชีวิตที่สุขสบายนัก เขาเกิดมาท่ามกลางหุบเขาที่ไม่มีไฟฟ้าใช้เลย
แต่วันนี้เขาสามารถพาบริษัท NIO Inc. ขึ้นมาจนมีมูลค่าเทียบเคียงกับ Mercedes-Benz และ BMW ได้
เรื่องราวนี้เป็นมาอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
William Li หรือ Li Bin เกิดเมื่อปี 1974 ที่ Anhui จังหวัดทางฝั่งตะวันออกของจีน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ถูกห้อมล้อมไว้ด้วยภูเขา ซึ่งในเวลานั้นเป็นเมืองที่ยากจน จึงทำให้ในช่วงที่เขาเกิด ที่บ้านเขายังไม่มีไฟฟ้าใช้
กว่าที่บ้านเขาจะได้มีไฟฟ้าใช้ เขาก็อายุได้ 10 ขวบแล้ว
พ่อกับแม่ของเขาทำงานอยู่ในเหมืองถ่านหิน ซึ่งมีระยะทางไกลจากบ้านถึง 300 กิโลเมตร เขาจึงเติบโตมาจากการเลี้ยงดูของตากับยายเป็นหลัก
ด้วยความที่เกิดมาในครอบครัวที่ฐานะค่อนข้างยากจน คุณตากับคุณยายจึงสอนให้ William Li รู้คุณค่าของการทำงานหนัก
ทำให้เขาเป็นคนที่มีความขยันและชอบทำงานตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็นช่วยทำฟาร์ม หรือช่วยงานที่ร้านสะดวกซื้อของคุณตา
ด้วยความขยันและตั้งใจของ William Li ทำให้เขาสามารถเข้าเรียนที่ Peking University ได้ ซึ่งถือเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในจีน
ระหว่างเรียนที่มหาวิทยาลัย เขาทำงานพาร์ตไทม์หลายงาน เช่น ติวเตอร์ เซลส์ขายของ และรับจ้างเขียนโปรแกรม เพื่อนำเงินมาช่วยจ่ายเป็นค่าเรียน
แม้จะทำงานและเรียนไปพร้อม ๆ กัน แต่เขาก็สามารถเรียนจบระดับปริญญาตรีได้ถึงสองสาขา
คือ สาขาสังคมวิทยา และ Computer Science ซึ่งเป็นสาขาวิชาที่เขาถนัด ทำให้เขาอยากทำงานที่ได้ใช้ความสามารถในด้านนี้
ในช่วงปี 1989 เป็นช่วงเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ตในประเทศจีน และเริ่มมีการใช้กันแพร่หลายมากขึ้นในปี 1994 ซึ่งเป็นช่วงปีสุดท้ายในมหาวิทยาลัยของเขาพอดี
เมื่อเขาเห็นโอกาสตรงจุดนี้ เขาจึงชวนเพื่อนร่วมชั้นเรียนอีกคน มาก่อตั้งบริษัทชื่อ Beijing Antarctic Technology Development ซึ่งถือเป็นบริษัทอินเทอร์เน็ตแรก ๆ ในจีน
และต่อมา เขาก็ได้ก่อตั้งบริษัท Bitauto Holdings Limited ขึ้นมาในปี 2000
Bitauto Holdings Limited เป็นบริษัทที่ให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมรถยนต์ผ่านเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก จนสามารถนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ในปี 2010
อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือ William Li ถูกเรียกว่าเป็น “Serial Entrepreneur” ซึ่งเป็นคำที่มักใช้เรียกนักธุรกิจที่มีความคิดและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ตลอดเวลา โดยเขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและร่วมลงทุน มาแล้วมากถึง 40 บริษัท
และแม้ว่าเขาคือคนที่ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว แต่ William Li ไม่ได้หยุดแค่นี้และเดินหน้าหาความท้าทายกว่าเดิม ครั้งนี้คือการเข้าสู่อุตสาหกรรมรถยนต์แบบเต็มตัว
ในปี 2014 เขาก่อตั้งบริษัท NIO Inc. ขึ้นมา
บริษัททำธุรกิจพัฒนาและผลิตรถยนต์ไฟฟ้า โดยรถรุ่นแรกที่ NIO พัฒนาขึ้นมาเป็นรถสปอร์ตไฟฟ้าสองที่นั่ง
ชื่อรุ่น EP9 โดยชื่อย่อมาจาก Electric Performance 9
ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก จนมีบริษัทยักษ์ใหญ่และกองทุนขนาดใหญ่ทั้งหลายมาร่วมลงทุนด้วย เช่น Baillie Gifford, BlackRock, Temasek และ Tencent
จนในเดือนกันยายน ปี 2018 William Li ก็สามารถนำ NIO Inc. เข้าตลาดหลักทรัพย์ NYSE ได้สำเร็จ
แล้วปัจจุบัน NIO มีผลประกอบการเป็นอย่างไร ?
ปี 2018 รายได้ 23,500 ล้านบาท ขาดทุน 46,891 ล้านบาท
ปี 2019 รายได้ 35,294 ล้านบาท ขาดทุน 54,288 ล้านบาท
ปี 2020 รายได้ 77,595 ล้านบาท ขาดทุน 27,177 ล้านบาท
แม้ว่าผลประกอบการของ NIO จะกำลังเติบโตได้ดี แต่บริษัทก็ยังขาดทุนอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อธุรกิจของ NIO อยู่ในอุตสาหกรรมที่กำลังเป็นเมกะเทรนต์อย่าง รถยนต์ไฟฟ้า ก็เลยดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนได้ไม่น้อย
ทำให้ปัจจุบัน NIO Inc. มีมูลค่าอยู่ที่ 2.4 ล้านล้านบาท
และทุกวันนี้ แบรนด์รถเกือบทุกแบรนด์ กำลังมุ่งเข้าสู่เทรนด์รถยนต์ไฟฟ้า อย่างในจีนและฮ่องกงก็มีแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้ามากมาย เช่น XPeng, BYD และ NIO
ทำให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในจีน ปัจจุบันมีการแข่งขันที่เรียกได้ว่าดุเดือดมาก ซึ่งเราคงต้องติดตามกันต่อไปว่าใครจะเป็นผู้ชนะในตลาดนี้
แต่สำหรับ William Li ผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ NIO
ตอนนี้ เขากลายเป็นหนึ่งในบุคคลร่ำรวยของจีนและของโลกไปแล้ว
โดยมีมูลค่าทรัพย์สินที่ถูกประเมินอยู่ที่ 230,000 ล้านบาท
หลายคนคงคิดว่า หากเราเป็นเจ้าของบริษัทรถยนต์ และบริษัทหนึ่งที่กำลังอยู่ในสมรภูมิรบแห่งนี้ เราอาจมองว่าเป็นเรื่องที่เป็นปัญหา
แต่สำหรับ William Li แล้ว เขากลับมองว่าเรื่องยาก ยิ่งเป็นเรื่องที่ท้าทาย โดยเขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า
“ถ้าผมสามารถทำสำเร็จได้ในจีน คงไม่มีเหตุผลที่ผมจะไม่สามารถทำมันสำเร็จในที่อื่นบนโลกนี้”
ซึ่งช่วงก่อนหน้านี้ เขาได้วางแผนนำรถยนต์ไฟฟ้า NIO ไปเจาะตลาดนอร์เวย์ เป็นตลาดต่างประเทศแรก ๆ อีกด้วย
หากดูจากวิสัยทัศน์ และผลงานที่ผ่านมาของ William Li ก็คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกเลยที่วันนี้ เขาจะเป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จ
และก้าวจากเด็กที่เกิดในหุบเขา ที่ไฟฟ้าเคยเข้าไม่ถึง มาเป็นเจ้าของบริษัทรถยนต์ไฟฟ้ารายสำคัญของโลก เลยทีเดียว..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.forbes.com/sites/ywang/2021/06/03/ev-billionaire-william-li-is-chasing-growth-overseas/?sh=5feaa5171a80
-https://www.youtube.com/watch?v=JmjvVTxcWAk&t=499s
-http://www.niocapital.com/index.php?m=content&c=index&a=show&catid=223&id=1
-https://en.wikipedia.org/wiki/NIO_(car_company)
-https://artsandculture.google.com/entity/william-li/g11fjwxjps5?hl=en
-https://companiesmarketcap.com
-https://en.wikipedia.org/wiki/Internet_in_China
-NIO Inc. Annual Report 2020
-https://www.nio.com/news/nio-announces-norway-strategy
apple annual report 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
สรุปอุตสาหกรรม อาวุธสงคราม บนโลกนี้ /โดย ลงทุนแมน
สงครามโลกครั้งที่ 2 ตัวเลขของผู้เสียชีวิตมีมากกว่า 60 ถึง 70 ล้านคนเป็นอย่างน้อย
ความเจ็บปวดทรมานทั้งร่างกายและจิตใจกระจายไปทั่วโลก
มูลค่าทางเศรษฐกิจเสียหายเกินกว่าจะประเมินออกมาได้
แต่ในวันนี้ หรือหลังจากผ่านสงครามโลกครั้งที่ 2 มาแล้ว 70 ปี
โลกของเราก็ยังคงมีสงครามเกิดขึ้นอยู่หลายแห่ง
และที่น่าแปลกคือ “ธุรกิจผลิตอาวุธ” ที่เป็นเครื่องมือในการคร่าชีวิตมนุษย์ด้วยกันยังคงดำเนินกิจการอยู่
ปัจจุบัน อุตสาหกรรมอาวุธสงครามเป็นอย่างไรและมีมูลค่ามากขนาดไหน ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
รู้หรือไม่ว่าในแต่ละปี มูลค่าการส่งออกอาวุธทั่วโลกมีมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านบาท
โดยในช่วงระหว่างปี 2016 ถึง 2020 ประเทศสหรัฐอเมริกาคือ ผู้ส่งออกอันดับ 1 คิดเป็น 37%
ในขณะที่ อันดับ 2 ถึง 5 ไล่ตามลำดับ ก็คือ รัสเซีย ฝรั่งเศส เยอรมนี และจีน รวมกัน คิดเป็น 39%
จากตรงนี้จะเห็นได้ว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาคือเจ้าพ่อแห่งอาวุธสงคราม
ที่กินส่วนแบ่งมากที่สุดในโลกและเมื่อมาดูลูกค้ารายใหญ่ใน 5 ปีที่ผ่านมา จะพบว่า
อันดับ 1 คือ ประเทศซาอุดีอาระเบีย
อันดับ 2 คือ ประเทศออสเตรเลีย
อันดับ 3 คือ ประเทศเกาหลีใต้
และลูกค้ารายอื่น ๆ ก็ยังมีประเทศอิสราเอล ไต้หวัน และญี่ปุ่น
จากรายชื่อที่กล่าวถึงก็จะพบว่าประเทศเหล่านี้ กำลังอยู่ในภาวะตึงเครียดทางด้านสงคราม
กับประเทศใกล้เคียงอย่างเช่น จีน รัสเซีย และอิหร่าน ซึ่งล้วนเป็นคู่แข่งของสหรัฐอเมริกาทั้งสิ้น
ทำให้อาวุธหนักอย่างเครื่องบินรบหรือเรือรบจะถูกจำกัดการขายให้กับประเทศที่เป็นพันธมิตรเท่านั้น
แล้วอุตสาหกรรมอาวุธสงครามมีการซื้อขายกันอย่างไร ?
จุดนี้หลายคนอาจจะคิดว่าหากประเทศที่เป็นพันธมิตรติดต่อซื้ออาวุธสงคราม
ประเทศเหล่านั้น ก็น่าจะได้อาวุธทุกอย่างตามที่ต้องการ
แต่ในความเป็นจริงมันก็ไม่ได้ง่ายแบบนั้น เพราะทุก ๆ รายการสั่งซื้อจะต้องถูกตรวจสอบและต้องได้รับอนุมัติโดยหน่วยงานของรัฐฯ เสมอ
เราลองมาดูระบบการขายอาวุธของประเทศสหรัฐอเมริกา
ซึ่งมีการขายอาวุธผ่าน 2 ช่องทางหลัก แบ่งออกเป็น
1. การติดต่อขอซื้อผ่านรัฐบาลสหรัฐอเมริกาโดยตรง
ช่องทางนี้จะมีมูลค่าเฉลี่ยประมาณ 1.65 ล้านล้านบาทต่อปี
โดยส่วนใหญ่จะเป็นการซื้อในปริมาณมากหรือเป็นยุทโธปกรณ์ที่ต้องติดต่อซื้อขายในแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล (G to G Business) เท่านั้น
นอกจากนี้ วิธีดังกล่าวยังเป็นการซื้อขายที่มีความเกี่ยวข้องกับความมั่นคงหรือเป็นการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในแต่ละประเทศ
2. การซื้อขายโดยตรงเชิงพาณิชย์
ช่องทางนี้ มีมูลค่าเฉลี่ยประมาณ 3.40 ล้านล้านบาทต่อปี
สำหรับการซื้อขายโดยตรงเชิงพาณิชย์ มีการกำหนดรายการซื้อขายไว้อย่างชัดเจน
แบ่งออกเป็น 21 หมวดหมู่ ครอบคลุมตั้งแต่ปืนไรเฟิลไปจนถึงเครื่องบินรบ
ทั้งนี้การซื้อขายที่เกิดขึ้นจะเป็นการเจรจาระหว่างผู้ซื้อและบริษัทในสหรัฐอเมริกาโดยตรง
อย่างไรก็ตาม ทุกรายการจะต้องถูกตรวจสอบและอนุมัติการซื้อขายโดยหน่วยงานของรัฐฯ
ที่อยู่ภายใต้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม และกระทรวงพาณิชย์เสมอ
ก่อนมีการดำเนินการส่งมอบสินค้า
ยิ่งเป็นรายการสั่งซื้อที่มีปริมาณมาก หรือมีความเสี่ยงอื่น ๆ ที่อาจจะมีผลกระทบต่อความมั่นคง
รัฐบาลสหรัฐอเมริกาจะต้องแจ้งรายการสั่งซื้อดังกล่าวให้รัฐสภา รับทราบและพิจารณาอนุมัติด้วย
ยกตัวอย่างเช่น การอนุมัติขายอาวุธและระบบป้องกันภัยให้กับประเทศไต้หวันมูลค่ากว่า 150,000 ล้านบาท
หรือในกรณีที่ไม่อนุมัติก็เป็นตอนที่วุฒิสภาปฏิเสธสัญญาขายอาวุธของรัฐบาลดอนัลด์ ทรัมป์ ให้กับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มูลค่ากว่า 690,000 ล้านบาท ในปี 2020 นั่นเอง
ซึ่งระบบการซื้อขายที่มีภาครัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็บอกได้ว่านอกจากเรื่องของผลกำไรจากการซื้อขายอาวุธ
มันก็ยังมีเรื่องอื่น ๆ ที่เป็นปัจจัยในการพิจารณา เช่น
การเสริมสร้างพันธมิตรในภูมิภาคต่าง ๆ อย่างที่สหรัฐอเมริกาได้ขายอาวุธจำนวนมาก
ไปยังประเทศพันธมิตรในภูมิภาคตะวันออกกลางในช่วงปี 2016 ถึง 2020
โดยคิดเป็นมากถึง 47% ของยอดส่งออกทั้งหมด
รวมถึงการป้องกันเทคโนโลยีชั้นสูงจะตกไปอยู่ในมือของคู่แข่ง ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุด
คือการที่รัฐบาลไม่อนุญาตให้ทำการขายหรือเปิดเผยข้อมูลของเครื่องบินรบ รุ่น F-22
ที่มีมูลค่าสูงถึง 5,500 ล้านบาทต่อลำ เพราะถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ยังไม่มีชาติใดในโลกสามารถก้าวขึ้นมาแข่งขันได้
ซึ่งเทคโนโลยีการผลิตทั้งหมดจะถูกปกปิดเป็นความลับระหว่างรัฐบาลและผู้ผลิตเท่านั้น
เมื่อมีกฎระเบียบที่มีความเข้มงวดสูง ก็น่าจะส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจของบริษัทค้าอาวุธอยู่ไม่น้อย แต่ดูเหมือนว่าธุรกิจค้าอาวุธที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐนั้นจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ดูได้จากผลประกอบการของบริษัท Lockheed Martin
บริษัทค้าอาวุธอเมริกันที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
ปี 2018 รายได้ 1,613,000 ล้านบาท กำไร 151,000 ล้านบาท
ปี 2019 รายได้ 1,794,000 ล้านบาท กำไร 187,000 ล้านบาท
ปี 2020 รายได้ 1,962,000 ล้านบาท กำไร 205,000 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่ารายได้บริษัทเติบโตเฉลี่ย 10.3% ต่อปีและกำไรเติบโต 16.5% ต่อปี
ซึ่งรายได้กว่า 70% ของยอดขายมาจากสัญญาซื้อขายกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา
ในขณะที่อีก 30% มาจากลูกค้าทั่วไปทั้งในประเทศและต่างประเทศ
จะเห็นได้ว่า แม้ว่าอุตสาหกรรมค้าอาวุธสงครามจะมีข้อจำกัดมากมาย
แต่รายได้ส่วนใหญ่ก็มาจากรัฐบาล และการเติบโตที่เราเห็นกัน
ก็อาจจะสะท้อนให้เห็นว่าหลายประเทศทั่วโลกกำลังเสริมอาวุธยุทโธปกรณ์กันมากขึ้น
หากเรามาดู งบประมาณรายจ่ายทางทหารของสหรัฐอเมริกา
มีมากกว่า 23.0 ล้านล้านบาทต่อปี
อันดับ 2 คือ จีน 7.5 ล้านล้านบาทต่อปี
อันดับ 3 คือ อินเดีย 2.2 ล้านล้านบาทต่อปี
ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าโลกของเรายังคงเดินหน้าสะสมทรัพยากรด้านสงครามกันอย่างต่อเนื่อง
และจากความขัดแย้งทางการทหาร ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น
เกาหลีใต้ กับ เกาหลีเหนือ
ไต้หวัน กับ จีน
ซาอุดีอาระเบีย กับ อิหร่าน
อิสราเอล กับ ปาเลสไตน์
ถึงตรงนี้ เราก็สามารถสรุปได้ว่าอุตสาหกรรมอาวุธสงคราม
ก็เหมือนจะเป็นธุรกิจที่จำเป็นและยังคงเป็นที่ต้องการอยู่
จึงไม่แปลกที่เวลามีสงครามเกิดขึ้นที่ใดบนโลก
ประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องอาวุธสงครามอย่างสหรัฐอเมริกา จีน และรัสเซีย
มักจะเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในความขัดแย้งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
เหตุผลสำคัญคงหนีไม่พ้นข้อเท็จจริงที่ว่า ยิ่งมีสงครามกันมากเท่าไร
ประเทศเหล่านี้ที่มีสถานะเป็นผู้ขายอาวุธ ก็น่าจะยิ่งได้ประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.state.gov/u-s-arms-sales-and-defense-trade/
-https://www.lockheedmartin.com/content/dam/lockheed-martin/eo/documents/annual-reports/lo-ckheed-martin-annual-report-2020.pdf
-https://sipri.org/sites/default/files/2021-03/fs_2103_at_2020.pdf
-https://www.sipri.org/databases/financial-value-global-arms-trade
-https://www.wearethemighty.com/mighty-tactical/why-f-22-never-exported/
-https://militarymachine.com/f-22-raptor-vs-f-35-lightning-ii/
-https://www.sipri.org/media/press-release/2021/world-military-spending-rises-almost-2-trillion-2020
-https://www.defenseworld.net/news/28470/United_States____Arms_Exports_Totaled__175_08_billion_in_2020__up_2_8__Over_2019#.YNIZXOgzaUk
apple annual report 在 コバにゃんチャンネル Youtube 的最讚貼文
apple annual report 在 大象中醫 Youtube 的最佳解答
apple annual report 在 大象中醫 Youtube 的最佳解答
apple annual report 在 Snap, Facebook, Twitter and YouTube lose nearly $10bn after ... 的推薦與評價
Most users opted out after Apple introduced its App Tracking ... Facebook's chief financial officer, called the effect of Apple's policies ... ... <看更多>
apple annual report 在 Snap, Facebook, Twitter and YouTube lose nearly $10bn after ... 的推薦與評價
Most users opted out after Apple introduced its App Tracking ... Facebook's chief financial officer, called the effect of Apple's policies ... ... <看更多>
apple annual report 在 How to Read and Understand a Balance Sheet (Apple in ... 的推薦與評價
... <看更多>