วันก่อนมีน้องในเฟซถามว่า ".. เราจะเปลี่ยนจาก Fixed Mindset เป็น Growth Mindset ในสถานการณ์โควิดเช่นนี้ เราต้องปรับตัวอย่างไรคะ "
.
ข่าวนี้น่าจะเป็นคำตอบได้ส่วนหนึ่ง..
.
Fixed Mindset คือ แนวคิดของการยึดติดกับสิ่งเดิมๆ กรอบเดิมๆ ด้วยความคุ้นชิน โดยไม่ยอมเปิดรับสิ่งใหม่ อาจเพราะกังวลว่า ถ้าก้าวออกจากกรอบแล้ว จะมีความเสี่ยงต่างต่างนานา
.
Growth Mindset คือ แนวคิดของการพัฒนา การอยากเรียนรู้ หรือการปรับตัว บนความเชื่อที่ว่า คนเรา สามารถพัฒนาตัวเองได้ ตลอดเวลา
https://www.nationtv.tv/main/content/378779059
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
「fixed mindset คือ」的推薦目錄:
- 關於fixed mindset คือ 在 Kanok Ratwongsakul Fan Page Facebook 的最讚貼文
- 關於fixed mindset คือ 在 Aten Arnon: เอเท็น อานนท์ Prince of Marketing Facebook 的精選貼文
- 關於fixed mindset คือ 在 หมอแพมชวนอ่าน Facebook 的最佳解答
- 關於fixed mindset คือ 在 コバにゃんチャンネル Youtube 的最讚貼文
- 關於fixed mindset คือ 在 大象中醫 Youtube 的最讚貼文
- 關於fixed mindset คือ 在 大象中醫 Youtube 的最讚貼文
- 關於fixed mindset คือ 在 ทำความรู้จัก Fixed Mindset VS Growth Mindset - Facebook 的評價
- 關於fixed mindset คือ 在 EP.10 Growth Mindset vs Fixed Mindset คืออะไร - YouTube 的評價
fixed mindset คือ 在 Aten Arnon: เอเท็น อานนท์ Prince of Marketing Facebook 的精選貼文
“เปลี่ยน2ข้อนี้”
“แล้วธุรกิจคุณจะเปลี่ยนตาม”
เจ้าของธุรกิจ ถ้าอยากสำเร็จ
ต้องเปลี่ยนจาก fix product
เป็น fix customer
——-
อันดับแรกเลย
ก่อนเข้าเรื่อง
ผมมักจะได้ยินเสมอว่า
ผมทำofflineมาตลอด
ผมทำonlineไม่ได้
ฉันไม่มีความรู้เรื่องนั้น
ฉันไม่ถนัดเรื่องนี้
เลยทำแบบนี้ไม่ได้
เปลี่ยนไม่ได้
-
ข่าวร้ายคือ
ถ้าคุณยังติดแบบนี้
“คุณจะไม่มีทางก้าวไปไหนได้เลย”
ก่อนที่ผมทำธุรกิจ
ผมก็ไม่มีความรู้เรื่องธุรกิจมาก่อน
ก่อนที่ผมจะมาทำonline
ผมก็ไม่เคยทำonlineมาก่อน
พี่น้อง1YearCLUB หรือ
ชาวiClass
ในคลาสonline Take Overหลายคน
ที่ตอนนี้ธุรกิจเค้าโต
หรือในช่วงมีเหตุการณ์
ทำไมเค้าโตสวนกระแสได้
ทั้งๆที่
ก่อนหน้านั้นเค้าก็ไม่เคยทำธุรกิจ
หรือบางคนเคยทำธุรกิจoffline
รับกิจการที่บ้านมา
แต่ก็ไม่เคยทำonlineมาก่อนเหมือนกัน
แต่ทำไมจากจุดนั้น
เค้าทำได้?
ทำไมเค้าทำสำเร็จได้
ทำไมจากจุดที่ไม่มีความรู้เลย
ถึงเปลี่ยนแปลงมาเป็นทำได้
แสดงว่าไอ้ปัจจัยพวกนี้
มันไม่ได้เกี่ยวสิ
เพราะฉะนั้น
มันไม่ใช่เรื่องของการที่
ฉันไม่เคยทำฉันเลยทำไม่ได้
ฉันไม่มีความรู้ฉันเลยทำไม่ได้
ถ้าคุณติดแบบนี้นะ
ต่อให้คุณได้ความรู้ดีแค่ไหน
ได้เทคนิคจากคนสำเร็จมาเยอะแค่ไหน
คุณก็จะมีความเชื่อตรงนี้เหยียบตัวคุณคุณไว้
“คุณจะก้าวไปไหนไม่ได้เลย”
เพราะฉะนั้น
คุณต้องเปลี่ยนจุดนี้ก่อนเลย
เปลี่ยนแนวคิด
จาก fixed mindset ที่เชื่อว่า
ทุกอย่างถูกลิขิตมาแล้ว
เป็นพรสวรรค์
ฉันเป็นแบบนี้
ฉันทำแบบนี้
ฉันเป็นได้แค่นี้
เป็นคิดแบบ growth mindset
คือเชื่อว่า...
ทุกอย่างเรียนรู้ได้
ปรับได้
ไม่มีพรสวรรค์ก็สร้างมันขึ้นมาได้
และเข้าใจว่าอะไรที่คุณถนัด
คุณก็เคยไม่ถนัดมาก่อนทั้งนั้น
นี่คือข้อแรกนะ
ของคนทำธุรกิจ
ไม่ว่าจะเพิ่งเริ่มทำธุรกิจ
หรือทำธุรกิจมานานแล้ว
ต้องเคลียข้อนี้ให้ได้ก่อน
————
สิ่งที่ต้องเปลี่ยนต่อไปที่จะทำให้ธุรกิจคุณดีขึ้น
ข้อที่2
คือ.....
เปลี่ยนจาก fix product
เป็น fix customer
เปลี่ยนจากการที่ยึดสินค้าเป็นหลัก
เป็นดูที่ความต้องการของลูกค้า
ถ้าทำแบบ fix product
คุณก็จะบอกกับตัวเองว่า
ฉันมีอันนี้อยู่
จะทำยังไงให้ขายได้
โดยไม่แคร์ลูกค้า
หรือไม่ดูสถานการณ์อะไรเลย
แต่ถ้าคุณคิดแบบ fix customer
คุณก็มองที่ลูกค้า
ว่ามันมีเหตุการณ์มีสถานการณ์อะไร
พฤติกรรมลูกค้าเป็นยังไงตอนนี้
แล้วจะเฝ้าหาว่า
ณ ตอนลูกค้าต้องการอะไร
แบบไหน?
แล้วฉันสามารถตอบโจทย์ได้ไหม
หรือฉันสามารถไปหามาตอบโจทย์ได้ไหม?
หรือ
ฉันพัฒนาตัวเองเพื่อตอบโจทย์เค้าได้ไหม?
————
คุณคิดว่า...
เงินมันควรจะไปอยู่กับใครอะ?
ไปอยู่กับคนที่ไม่คิดถึงใครเลย
แล้วหวังจะขายได้
หรือ
ไปอยู่กับคนที่เฝ้ามองว่า
ผู้คนต้องการออะไร
แล้วปรับตัวเองให้เหมาะสมตลอดเวลา?
ได้คำตอบไหม?
ถูกไหม?
อ่ะและก็จะมีคนบอกว่า
ก็ฉันมีแต่สินค้าแบบนี้
ก็ฉันไม่มีสินค้าที่ผู้คนต้องการ
ก็ฉันไม่มีความรู้ในการทำOnline
พอเลยๆ
คุณไม่ต้องอ่านต่อละ
ข้อมูลหลังจากนี้
มันอาจยังไม่มีประโยชน์กับคุณตอนนี้
คุณต้องไปเคลียตัวเองข้อแรกก่อนเลย
เรื่อง fixed Mindset กับ Growth mindset
แนะนำให้กลับไปอ่านจรงนี้
ให้เคลียให้ได้ก่อน
—————-
ที่ผ่านมาผมสอนเรื่องการทำonline ก็จริง
แต่ผมรู้ว่าคนจะเปลี่ยนจริงๆ
มันต้องได้วิธีคิดด้วย
เลยสอนที่แก่นมัน
ไม่ใช่สอนแค่วิธีการทำๆตามๆอย่างเดียว
อย่างนั้นตายเลย เจออะไรเปลี่ยนแปลงปุ๊บลำบาก
เพราะฉะนั้นคนที่เรียนส่วนใหญ่
อย่างใน1YEAR หรือ oto จะคิดเป็น
adapt สถานการณ์เป็น
———
ok
สำหรับคนที่พร้อม
ผมไปต่อนะ
ที่ประเด็น
เปลี่ยนจาก fix product
เป็น fix customer
ที่ผมเพิ่มพูดไป
เปลี่ยนจากการที่ยึดสินค้าเป็นหลัก
เป็นดูที่ความต้องการของลูกค้า
ทำสินค้าหรือปรับให้เหมาะสม
ตามสถานการณ์เหตุการณ์
ให้เข้ากับพฤติกรรมลูกค้าตอนนั้น
เพราะฉะนั้น
คนที่คิดแบบfocusลูกค้า
เค้าจะปรับสินค้า
ให้เหมาะสม
และสนองกับความต้องการลูกค้าเสมอ
ยกตัวอย่างพี่น้องชาว
1yearclub
และพี่น้องชาว
iClass online Take Over
ตัวอย่างแรก
พี่ปูทำเค้ก3มิติ เจ้าของเพจร้าน sugaries
เค้ก3มิติ Sugaries
เค้าขายเค้กวันเกิด
และเค้กในงานแต่งงานเป็นหลัก
แต่สถานการณ์นี้
ทำให้งานแต่งหลายงานต้องเลื่อนไป
ยังไม่รู้จะกลับมาตอนไหน
แต่เค้าก็ไม่รอความหวัง
ไม่fix product
แต่focusที่ลูกค้า
เค้าก็ดูแล้วว่าบรรดาแม่ๆ
ช่วงนี้ต้องเลี้ยงลูกอยู่บ้าน
ก็จัดset Diy ให้น้องๆฝึกแต่งโดนัท
เสริมสร้างทักษะ ฝึกสมาธิ
ให้คุณแม่ซื้อไปเสริมทักษะน้องๆ
และทำกิจกรรมยามหยุดว่าง
ไก่ เพจ mouvermont ร้านสูท กับ หน้ากาก
ไก่ มีมี่
ร้านสูทดังจากลาว เพจ
Mouvement Brand
พอเค้าดูสถานการณ์แล้ว
ช่วงนี้คนอาจจะตัดสูทน้อยลง
ก็เพิ่มสินค้าขึ้นมา
เป็นทำหน้ากากผ้าพรีเมี่ยม
และกำลังคิดทำproductอื่นๆ
serveกลุ่มลูกค้าเดิมของเค้า
และยังkeepความสัมพันธ์
กับลูกค้าเก่า
เพราะยังไงเมื่อเหตุการณ์จบ
เราดูแลsupportลูกค้าต่อเนื่อง
ยอดก็จะเริ่มกลับมา
————
กัปตัน ตี้
เคมี K
Math Coaching ติวคณิตติดมหาลัย by พี่ตี้
สอนคณิตศาสตร์ สอนเคมีน้องๆ
ที่เตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย
หรือเจส Mission To Top U
ที่ติวน้องๆเข้ามหาลัยชั้นนำของโลก
จะต้องเจอตัวกันแบบoffline
เค้าก็รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้
คนไม่อยากออกจากบ้าน
เค้าก็ไม่ได้ดื้อที่จะทำแบบเดิม
หรือโอดครวญ
แต่เค้ามองว่าสถานการณ์ตอนนี้
ทำยังไงได้บ้าง
ก็ทำเป็นติวผ่านonline
ตอนนี้กลายเป็นดีสวนกระแสเลย
เพราะเค้าไม่fix ที่ product
แต่
Fixที่ customer ว่าต้องลูกค้าการอะไร
————-
หรือยกตัวอย่าง
กรณีร้าน
Mk นี่โดนเต็มๆเลย
ปกติคนคิดถึงสุกี้
ก็ต้องไปนั่งกินที่ร้านไง
แต่ทำไงตอนนี้คนไม่ออกจากบ้านไง
เค้าก็เลยเปลี่ยนแคมเปญ
พยายามปรับ
ให้ลูกค้าซื้อของสดไปทำกินที่บ้านได้
เค้าก็เปิดธุรกิจใหม่เพิ่มเลย Mk Fresh mart
หันมาขายผักdeliverly
ตัวเองมีรับผักอยู่แล้ว
แทนที่จะหยุดสั่งผักโครงการหลวง
ไล่พนักงานออก
แต่เค้าไม่ฝ่อ ไม่ลด
เปิดเป็นที่ขายผัก
ขายของสดผ่านonlineเลย
เค้าไม่พยายามfix product
ว่าฉันต้องขายแบบเดิมเท่านั้น
แต่เค้าพยามFix costomer
ว่าจะserveลูกค้าเค้าได้ยังไง
ในมุมไหนได้บ้าง
นี่เป็นตัวอย่าง
ทั้งที่เป็นพี่น้องๆใกล้ๆตัวเรา
และบริษัทใหญ่ที่ต้องอุ้ม fix courseมหาศาล
ผมคงยกมาไม่หมด
แต่ก็ถ้ามีอะไรเด็ดๆก็จะเอามาพูดเรื่อยๆ
ทุกธุรกิจ
มีผลกระทบทางตรงและอ้อมเหมือนกัน
บางคนปรับแล้วอาจจะดีสวนกระแส
อย่างที่เห็นไป
บางคนอาจจะแค่เท่าเดิม
บางคนอาจจะน้อยลง
ก็เข้าใจได้
“ก็ปรับก็ทำให้ดีที่สุด”
คลิปนี้จริงๆผมพูดถึงคนที่ทำธุรกิจ
แต่พูดเผื่อหน่อยนึง
สำหรับคนที่หาธุรกิจอยู่
แล้วชอบพูดว่า....
ไม่รู้จะขายอะไร
ไม่มีไอเดีย
แนะนำ
เอาkeyวันนี้ไปใช้
Focusที่ลูกค้าสิ
ผมเคยpostไว้สัปดาห์ก่อน
Postที่ชื่อว่า...
ว่ายามวิกฤติพี่น้องทุกคน
”อยากซื้ออะไร”
พี่น้องหลายคนพิมพ์มาว่าอยากซื้ออะไรเต็มไปหมดร่วม1,000comment
ไอเดียเต็มไปหมด
"หลายคนเค้าก็ได้ไอเดียไปทำไปเริ่มธุรกิจแล้ว"
คุณไปดูที่postสิ(คนอยากซื้ออะไร)
ผมทำการตลาดย่อมๆ
ถามลูกค้าไว้ให้พวกเราแล้ว
ทำไมไม่เอาไอเดียไปตอบโจทย์?
สำหรับคนที่ทำธุรกิจ
ผมรับรองว่า.....
2ไอเดียในวันนี้
มันจะเป็นจุดเริ่มต้นที่เปลี่ยนธุรกิจของคุณครับ
และมันไม่ได้เปลี่ยนชั่วคราว
คุณสามารถแชร์ไปเก็บ
ไปบอกเพื่อน
ไปบอกคนที่คุณรักของคุณ
เพราะมันเป็นแก่นที่
ทำได้ตลอดไป
“เปลี่ยน2ข้อนี้”
“แล้วธุรกิจคุณจะเปลี่ยนตาม”
สำหรับเช้านี้..
ผมรู้ว่า
เวลาที่ผมเขียนเรื่องการตลาดลงดีเทลทีไร
พี่น้องมักจะไม่แชร์
หรือแชร์ก็มักจะเป็น Only me (เฉพาะฉัน)
มีใครจะสารภาพไหมครับ?
คอมเมนท์ลงมาสารภาพบาปได้นะครับ^^
555
สวัสดีครับทุกคน
#A10(เอเท็น)
#Prince of marketing
fixed mindset คือ 在 หมอแพมชวนอ่าน Facebook 的最佳解答
#ชมลูกอย่างไรให้เกิดGrowth_mindset🌳🌾
ถ้าใครเคยอ่านหนังสือเรื่อง mindset ของ Dr.Carol Dweck
จะพบว่า ใจความสำคัญที่ Dr.Carol
พยายามจะสื่อให้กับผู้ปกครองและครู
ก็คือ
1. #mindset_ก่อร่างสร้างตัวตั้งแต่เด็กช่วงปฐมวัย
(หนึ่งในการทดลองที่อ้างอิงถึงในหนังสือ ผู้เข้าร่วมคือ เด็กอายุ 4 ขวบ)
2. #สารที่พ่อแม่และครูส่งให้กับลูกมีบทบาทสำคัญในการสร้างmindsetของเด็ก
สารที่ว่า ก็คือ ทัศนคติที่พ่อแม่ ครู ผู้ใหญ่ ส่งให้เด็กรับรู้
ว่า เค้าจะได้รับความรัก ได้รับคำชื่นชม เมื่อเค้าเป็นอย่างไร
.
หลังจากที่เด็กสร้าง self ตอนอายุประมาณ 3 ขวบ
เค้าก็อยากจะเป็นส่วนหนึ่งของโลก
โลกของเด็กเล็ก คือคนที่เค้ารัก
ได้แก่ พ่อแม่ ครู ผู้ใหญ่รอบตัว
ดังนั้น วิธีคิด มุมมอง ทัศนคติ ค่านิยม ของพ่อแม่ ครู
ก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของ mindset ของเด็ก ไปโดยปริยาย
.
ถ้าเด็กรับรู้ว่า
เค้าต้องเก่ง, ไม่ผิดเลย, ฉลาดจัง, อัจฉริยะชัดๆ, สุดยอด, ไม่พลาดเลยนะ etc.
ถึงจะเป็นที่นิยมชมชอบ
เพราะฉะนั้น คนเก่งจะต้องไม่เกิดความผิดพลาด
ต้องดูเหมือนพวกฉลาดแต่เกิด เป็นอัจฉริยะ
(ไม่ต้องพยายามมาก ก็เหนือกว่าคนอื่น)
บางคนพยายามหนักมากหลังฉาก แต่เบื้องหน้าต้องทำเป็นฉันไม่ได้ทำอะไรนะ มันเป็นธรรมชาติ
แต่...ชีวิตมันต้องยากขึ้น มีอุปสรรคมากขึ้น เป็นธรรมดา
ในเมื่อ เด็กกลุ่มนี้ (fixed mindset)
มีแรงจูงใจหลัก คือ #ต้องไม่มีความผิดพลาด
ดังนั้น บางครั้ง ไม่พลาด ก็คือ
ไม่ต้องเข้าไปลองทำสิ่งนั้น
สิ่งใดที่ยาก ไม่ทำ
สิ่งใดที่เสี่ยง เลี่ยงซะ
.
ยิ่งกลัวผิดพลาด-->ยิ่งหลีกเลี่ยงที่จะทำสิ่งใหม่-->
ยิ่งลดโอกาสในการเรียนรู้-->เมื่อไม่ได้เรียนรู้ ถ้าต้องลงมือทำจริง ก็ยิ่งมีโอกาสผิดพลาด -->เมื่อผิดพลาด ก็ยิ่งสูญเสียความมั่นใจในตนเอง
คนที่มี fixed mindset ก็จะวนเวียนอยู่ใน loop นี้
==============================
แล้วจะส่ง #สาร อย่างไร
ให้ลูกเป็นคนที่มี Growth mindset
1.#ความจริงใจสำคัญที่สุด
(อย่าชมพร่ำเพรื่อ ถ้าจะชมให้พูดจากใจ)
ถ้าเราชมออกมาจากใจจริง คนที่ถูกชมเค้าจะรับรู้ได้
ทั้งจาก สีหน้า แววตา น้ำเสียง และเนื้อความที่พูด
คำชมที่ไม่จริงใจ นอกจากไม่ช่วยให้ใครพัฒนาแล้ว
ยังทำให้ความเชื่อใจ ความเชื่อมั่นในตัวเราลดลง
สำหรับลูกแล้ว พ่อแม่ต้องเป็นคนที่เค้าเชื่อถือได้เสมอนะคะ
เช่น ลูกเอารูปที่วาดมาโชว์ แต่รูปนี้ เค้าวาดหลายครั้งแล้วเราไม่ได้รู้สึกว่ามันสวยเป็นพิเศษ
แทนที่เราจะชมว่า สวย หรือ เก่งจังที่วาดได้
เราอาจจะต้องมองหาจุดเด่น
ในภาพวาดใหม่แต่ไม่ใหม่ของลูก
เช่น ครั้งนี้ลงเส้นได้ชัดดีนี่ลูก หรือ
เก็บรายละเอียดตรงนี้ได้ดีจัง
แล้วอาจจะชวนให้เค้าลองวาดอะไรใหม่ๆ ให้โจทย์ที่ท้าทายมากขึ้น
หรือ ถ้าลูกแพ้การแข่งขัน
เราไม่ต้องใช้คำชมเพื่อปลอบใจ
“แค่นี้ก็เก่งมากแล้วจ่ะ” หรือ “แต่แม่ว่าลูกทำได้ดีมากนะ”
ถ้าเราไม่รู้จะพูดอะไร ก็อยู่เคียงข้างเค้า ให้เค้ารู้ว่าถ้าต้องการกำลังใจเราอยู่ตรงนี้
เมื่อเค้าพร้อม ค่อยชวนพูดคุย เรื่องความรู้สึก และบทเรียนที่ได้ แนวทางพัฒนา
================================
2.#ใช้คำชมให้เหมาะสมกับพัฒนาการทางภาษาของลูก
หลายคนกังวลใจ ที่จะใช้คำว่า เก่งจัง สวยจัง ดีจัง น่ารักจังกับลูก แต่ถ้าลูกของเราเป็นเด็กอายุ 0-1 ปี คำพวกนี้ ก็เป็นคำในแนว positive ที่เค้าฟังแล้วเข้าใจ
โดยส่วนตัวหมอคิดว่าใช้ได้ค่ะ
มันคงแปลกพิลึก หากเราชมเด็ก 1 ปี เมื่อเอาของไปเก็บเข้าที่
“แม่รู้เลยว่าลูกพยายามเอื้อมไปเก็บอย่างสุดความสามารถ”😅
จริงๆแล้ว เด็กวัยก่อนพูด
ดูภาษากายของคุณแม่เป็นหลัก
และคำที่ใช้ ก็ควรเป็นคำสั้นๆ คำที่เราใช้กันอยู่ก็ใช้ได้นะคะ (ขอให้จริงใจ ไม่พร่ำเพรื่อก็พอ)
.
แต่ถ้าลูกของเรา เป็นเด็กอายุ 3 ปี
เค้าเข้าใจภาษาได้ดีมากแล้ว
คำว่า เก่ง ดี ฉลาด สวย etc. มันกว้างเกินไป
คงจะดีกว่า ถ้าเราพูดระบุรายละเอียดของสิ่งที่ทำให้เราพอใจ
Feedback ที่ดี คือ
สิ่งที่ดีอยู่แล้วคืออะไร
สิ่งที่สามารถพัฒนาได้อีกคือจุดไหน
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ
ถ้าเราไปตัดผมทรงใหม่ ทำสีผมมา เรามาโชว์เพื่อนๆ
“อืม สวยดี”
“ตัดผมทรงนี้ เข้ากับรูปหน้ามาก ผมสีนี้เข้ากับสีผิว ทำให้ผิวสว่างขึ้น”
เราชอบคำชมไหนคะ?
เด็กก็เช่นกัน เค้าเข้าใจภาษาได้ดีแล้ว
พ่อแม่ก็ช่วย #ให้เกียรติภาษาของเค้าด้วย
ด้วยการพูดใส่รายละเอียด
นอกจากจะทำให้ลูกรู้ว่าเราใส่ใจรายละเอียดเล็กน้อย
ยังฝึกมุมมองของลูก ให้มองเห็นจุดดี และจุดที่มีโอกาสพัฒนา
================================
3.ใช้ชมที่ #ความพยายามหรือกระบวนการมากกว่าผลลัพธ์
เด็กๆ เป็นวัยที่ใส่ใจกระบวนการมากกว่าผลลัพธ์อยู่แล้ว
ในใจของเด็กนั้น
ไม่ได้มีกรอบของความสวยงามแต่แรก
ไม่มีเส้นที่ระบายออกนอกไม่ได้
ไม่มีรูปทรงที่ไม่ได้ขนาด
แต่เมื่อเด็กถูกวิจารณ์บ่อยๆเข้า
เค้าถึงจะสร้างกรอบของ
ดี/ไม่ดี สวย/ไม่สวย เรียบร้อย/ไม่เรียบร้อย ขึ้นมาทีหลัง
ขอให้พ่อแม่เข้าใจว่า กว่าเด็กจะทำอะไรสำเร็จหนึ่งอย่าง
มันประกอบด้วย หลายกระบวนการ
ปั้นแป้งโดว์ -->เลือกสี-->นวดแป้ง-->คิดและจินตนาการถึงสิ่งที่จะปั้น -->ปั้นเป็นรูปทรงต่างๆ เอารูปทรงต่างๆมาประกอบเข้าด้วยกัน
กว่าจะได้เอามาโชว์แม่
ก็ผ่านความพยายาม และตั้งใจทุกกระบวนการ
ดังนั้น หากมันยังไม่สวย(ตามมาตรฐานผู้ใหญ่) ก็ให้ชมข้อดี ในกระบวนการที่เราเห็นก็แล้วกัน
“แม่ว่าลูกเอาแป้งสีขาวกับแดงผสมเป็นสีชมพูได้สวยจัง”
“ตรงนี้ปั้นเป็นหน้าพิซซ่า ปั้นเป็นพริกชิ้นเล็กๆ โห มันละเอียดมากเลย”
ถ้าลูกสอบได้คะแนนดีมาก หรือ ได้รับรางวัล
คำว่า “เก่งจังเลย” ย่อมเป็นคำที่เด็กอยากได้ยิน
แต่สิ่งที่สำคัญที่เราต้องส่งสัญญาณให้ลูกคือ
#เราชื่นชมความสำเร็จที่มาจากความพยายามความตั้งใจของลูก (ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร)
“แม่ดีใจมากเลยลูก แม่รู้เลยว่าลูกตั้งใจทำมันมากจริงๆ
แล้วก็ได้ผลสมกับความทุ่มเทที่ทำไป”
หรือ แม้แต่ตอนที่เค้าล้มเหลว
ถ้าเราเป็นพ่อแม่ที่อยู่เคียงข้างเค้า
และเป็นคนที่รู้ความเป็นไปของลูกเสมอ
เราก็สามารถชี้ให้เห็นว่า เรารับรู้ความพยายามตรงขั้นตอนไหน หรือขั้นตอนไหนที่ต้องเพิ่มเติม
=============================
4.ชมให้สุด...อย่าทำตัวเป็นใบมีดโกนอาบน้ำผึ้ง
ประโยคที่ใช้เมื่อชมลูก ต้องมีแต่คำดีๆ
คำชมที่ฟังแล้ว ไม่รู้สึกดีเช่น
“ว้าว...วันนี้ตื่นอาบน้ำแปรงฟันได้เอง แม่ฝันไปรึเปล่าเนี่ย”
“วันนี้ตั้งใจทำการบ้านเสร็จเร็วมาก ถ้าทำแบบนี้ได้ทุกวันแม่ก็ไม่ต้องเหนื่อย”
“เก่งจัง ครั้งนี้สอบได้คะแนนเต็มเลย หรือว่าได้เต็มกันทุกคน”
ดีให้สุด อย่าสอดไส้ ด้วยคำประชดประชัน
ทำให้เด็กสับสนว่าตกลงที่ทำไป แม่ว่าดีหรือไม่ดีกันแน่
================================
5.การชื่นชมไม่จำเป็นต้องพูดเสมอไป
หากเราไม่ชิน เรื่องการพูดบรรยายความพยายาม
เพราะทั้งชีวิตเราก็ใช้คำว่า ดี เก่ง ฉลาด มาตลอด
ถ้าคิดไม่ทัน คำแนะนำคือ
ภาษากาย ก็เป็นส่วนสำคัญ
แววตา สีหน้า รอยยิ้ม แห่งความภาคภูมิใจของพ่อแม่
ก็ทำให้ลูกรับรู้ได้แล้วค่ะ
.
เมื่อคิดคำพูดดีๆได้ ค่อยพูด
================================
หมอแพม
สุขสันต์วันแห่งความรักค่ะ
(เขียนยาว สรุปให้ตัวเองอ่านด้วยค่ะ)
fixed mindset คือ 在 コバにゃんチャンネル Youtube 的最讚貼文
fixed mindset คือ 在 大象中醫 Youtube 的最讚貼文
fixed mindset คือ 在 大象中醫 Youtube 的最讚貼文
fixed mindset คือ 在 EP.10 Growth Mindset vs Fixed Mindset คืออะไร - YouTube 的推薦與評價
EP.10 Growth Mindset vs Fixed Mindset คือ อะไร ............. - Mindset คืออะไร - Growth Mindset vs Fixed Mindset คือ อะไร - ลักษณะของกรอบความคิดทั้ง ... ... <看更多>
fixed mindset คือ 在 ทำความรู้จัก Fixed Mindset VS Growth Mindset - Facebook 的推薦與評價
Fixed Mindset คือ กรอบความคิดแบบยึดติด ที่เชื่อว่าสมองของมนุษย์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ความสามารถและสติปัญญาเกิดมาอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น และคิดว่าคุณสมบัติ ฉลาด/ ... ... <看更多>