ใครคือผู้ก่อตั้ง TSMC ผู้ผลิตชิป ให้คนครึ่งโลก /โดย ลงทุนแมน
แม้ว่าระบบปฏิบัติการ iOS ของแอปเปิลและ Android ของกูเกิล จะเรียกได้ว่าเป็นคู่ปรับตลอดกาล
แต่รู้หรือไม่ว่า ชิปเซต หรือ สมองของสมาร์ตโฟนที่อยู่บนสมาร์ตโฟน เช่น ชิป A-Series ของแอปเปิล หรือชิป Snapdragon หลายรุ่นบน Android กลับถูกผลิตขึ้นโดยบริษัทเดียวกันที่ชื่อว่า Taiwan Semiconductor Manufacturing Company หรือ TSMC
ซึ่งนอกจากชิปบนสมาร์ตโฟนแล้ว TSMC ยังมีส่วนแบ่งการตลาดชิปเซตทั้งหมดบนโลกมากถึง 55.6% หรือเรียกได้ว่าชิปเกินกว่าครึ่งโลก ถูกผลิตขึ้นจากบริษัทแห่งนี้
ปัจจุบัน TSMC มีมูลค่ามากกว่า 20 ล้านล้านบาท เป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดอันดับที่ 9 ของโลกและมีมูลค่าเป็นอันดับที่ 2 ในเอเชีย เป็นรองเพียง Saudi Aramco บริษัทน้ำมันแห่งชาติซาอุดีอาระเบีย
แล้ว TSMC มีที่มาอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
สำหรับผู้ก่อตั้งบริษัท TSMC ก็คือ “Morris Chang”
Morris Chang หรือ มอร์ริส จาง เกิดที่เมือง Ningbo
ซึ่งเป็นเมืองทางตะวันออกของประเทศจีน ในปี ค.ศ. 1931
แม้จางจะเรียกได้ว่าเติบโตมาในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง แต่ชีวิตในวัยเด็กของเขากลับไม่ได้สุขสบายมากนัก นั่นก็เพราะว่าเขาต้องเจอกับสงครามถึง 3 ครั้งด้วยกัน ได้แก่
- สงครามกลางเมืองในจีน ช่วงปี ค.ศ. 1927 ถึง 1949
- สงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่นครั้งที่สอง ช่วงปี ค.ศ. 1937 ถึง 1945
- สงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงปี ค.ศ. 1939 ถึง 1945
ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ครอบครัวของเขาต้องทำการย้ายไปมาอยู่บ่อยครั้ง
จนในปี ค.ศ. 1948 ซึ่งเป็นช่วงที่สงครามกลางเมืองในจีน กำลังร้อนระอุ
จางในวัย 17 ปี พร้อมกับครอบครัว จึงได้ตัดสินใจย้ายไปอยู่ ฮ่องกง
แม้ในช่วง 17 ปีแรกของชีวิต จางจะได้รับผลกระทบจากสงครามเป็นอย่างมาก
แต่สิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากสงคราม ก็คือ เขาต้องขยันและทำงานหนัก โดยสิ่งหนึ่งที่คุณพ่อของเขาคอยสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่ ก็คือ “เรื่องการเรียน” ด้วยเหตุนี้ จางจึงสามารถเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Harvard ได้สำเร็จ
หลังจากเข้าเรียนได้เพียง 1 ปี เขาก็ได้ย้ายไปเรียนที่ Massachusetts Institute of Technology หรือ MIT และเขาก็ได้จบการศึกษาในสาขาวิศวกรรมเครื่องกล ทั้งในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท
งานแรกของ มอร์ริส จาง เริ่มต้นขึ้นที่ Sylvania Semiconductor เป็นบริษัทผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ให้กับบริษัทแม่ Sylvania Electric Products อีกทีหนึ่ง
แต่หลังจากทำงานได้ 3 ปี เขารู้สึกว่าแนวทางของบริษัทในอนาคต ไม่ได้เป็นแบบที่เขาคิด
แนวทางของบริษัทคือ การผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าหลาย ๆ ชนิด
ซึ่งต่างจากเป้าหมายของจางที่ต้องการโฟกัสไปที่ การพัฒนาตัวเซมิคอนดักเตอร์เป็นหลัก
เรื่องดังกล่าว จึงทำให้จางตัดสินใจออกจากบริษัท Sylvania Semiconductor เพื่อมาเริ่มงานใหม่ที่ Texas Instruments ในปี ค.ศ. 1958 และด้วยความสามารถของเขาทำให้เขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝ่ายวิศวกรรมของบริษัท ภายในระยะเวลาเพียง 3 ปี
หลังจากนั้น เขาได้ไต่เต้าขึ้นมาเรื่อย ๆ จนได้รับตำแหน่ง รองประธานในการดูแลฝ่ายเซมิคอนดักเตอร์ทั้งหมด แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ในช่วงปี ค.ศ. 1980
บริษัท Texas Instruments ต้องการที่จะขยายธุรกิจเข้าไปสู่ลูกค้ารายย่อยมากขึ้น
โดยการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะรุ่น TI-99/4
ซึ่งเดิมทีโมเดลธุรกิจหลักของ Texas Instruments คือเป็นซัปพลายเออร์ให้กับบริษัทอื่น
ไม่ได้ทำการค้าขายกับลูกค้ารายย่อยโดยตรง ซึ่งทางบริษัทก็ได้มอบหมายหน้าที่การขายสู่ลูกค้ารายย่อยให้กับจาง
หลังจากใช้เวลาไป 2 ปีครึ่ง ผลงานภายใต้การบริหารของจางกลับไม่ได้เป็นไปตามที่บริษัทคาดหวังเนื่องจากในช่วงนั้นมีผลิตภัณฑ์จากคู่แข่งที่แข็งแกร่งมากมาย เช่น คอมพิวเตอร์ Apple 2 ในยุคของ สตีฟ จอบส์
แม้ตำแหน่งในบริษัทของเขายังคงเป็นรองประธานก็ตาม
แต่จากผลงานที่ค่อนข้างแย่ เขาจึงถูกทางบริษัทลดตำแหน่งลง
เหตุการณ์นี้เอง ก็ได้สร้างความผิดหวังให้กับจางเป็นอย่างมาก
เพราะที่ผ่านมา เขาได้สร้างผลงานมากมายให้บริษัทเป็นเวลายาวนานกว่า 20 ปี
ในปี ค.ศ. 1983 จางในวัย 52 ปี จึงตัดสินใจลาออกจาก Texas Instruments
ซึ่งทันทีหลังจากที่เขาลาออก ก็ได้มีหลายบริษัทติดต่อเขาให้เข้าไปทำงานมากมาย
หนึ่งในนั้นคือ General Instrument Corporation หรือ GIC
บริษัทผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเชี่ยวชาญในด้านเซมิคอนดักเตอร์และเคเบิลทีวี
ซึ่งเขาได้เลือกทำงานในบริษัทนี้ ในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ
ด้วยเหตุผลที่ว่า GIC ก็ถือเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่ แม้จะไม่เท่า Texas Instruments
แต่ก็ตรงกับเป้าหมายของเขา ที่อยากเป็น CEO ของบริษัทระดับโลก
แต่หลังจากเข้าทำงานที่ GIC ได้ไม่ถึง 1 ปี เขาพบว่า
GIC เป็นบริษัทที่มีแนวทางการเติบโต จากการควบรวมกิจการอื่น ๆ
ต่างจากแนวทางการเติบโตแบบ Organic Growth ที่เขาตั้งใจไว้
ทำให้ระยะเวลาไม่นาน จางจึงได้ตัดสินใจลาออกอีกครั้ง
และแล้วจุดเปลี่ยนสำคัญก็เกิดขึ้นอีกครั้งในปี ค.ศ. 1985
ในช่วงนั้น รัฐบาลไต้หวันต้องการเสริมสร้างความสามารถในการผลิตสินค้าของประเทศ
ด้วยการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง โดยเฉพาะสินค้าไอที
และหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่ถูกผลักดัน ก็คือ “อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์”
สิ่งที่รัฐบาลไต้หวันทำในตอนนั้นคือ
มีการจัดสรรเงินทุนเพื่อก่อตั้ง “สถาบันเพื่อการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรม”
หรือ Industrial Technology Research Institute (ITRI)
สิ่งที่ยังขาดไปสำหรับ ITRI ของไต้หวัน คือ “ผู้นำ” ที่จะพาให้โครงการนี้ก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง
และด้วยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของจาง เขาจึงได้รับข้อเสนอจากทางรัฐบาลไต้หวัน ให้เข้ารับตำแหน่งประธานของ ITRI ด้วยเหตุผลที่ว่า ต้องการความสามารถของเขาในการพัฒนาและสร้างประโยชน์ให้กับอุตสาหกรรมในประเทศ
หลังจากที่เขาตกลงรับข้อเสนอในครั้งนี้ ทางรัฐบาลไต้หวันได้ให้โจทย์กับเขาว่า
ต้องการยกระดับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวัน ผ่านการตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมา
จางจึงได้เริ่มวิเคราะห์ โมเดลธุรกิจที่จะทำให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จ
ซึ่งเขาพบว่าไต้หวันในตอนนั้นมีจุดอ่อนเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นการวิจัยและพัฒนา
การออกแบบ และการตลาด ไต้หวันไม่มีความสามารถมากพอ
ที่จะสู้กับทาง Intel หรือ Texas Instruments ซึ่งเป็นเจ้าตลาดอยู่ได้เลย
จุดแข็งเดียวที่พอมี คือ “การผลิต” และจากการวิเคราะห์ จุดอ่อน จุดแข็ง
ทำให้คำตอบของโจทย์นี้ออกมาเป็น “จัดตั้งบริษัทรับจ้างผลิตให้กับบริษัทอื่น”
แม้ความคิดนี้จะโดนคัดค้านในตอนแรก เนื่องจากในตอนนั้นยังไม่มีบริษัทที่มีโมเดลแบบ Fabless หรือ ไม่มีโรงงานผลิตเป็นของตัวเอง เช่น Apple หรือ Nvidia ในปัจจุบัน จึงทำให้ไม่มีตลาดรองรับ
แต่จากประสบการณ์ทำงานในวงการมาอย่างยาวนานเกือบ 30 ปี เขาสังเกตเห็นว่า
ทุก ๆ ปี จะมีพนักงานหลายคนของ Texas Instruments หรือ Intel ที่มีความคิด อยากออกมาสร้างธุรกิจเกี่ยวกับ ชิปเซตเป็นของตัวเอง
แต่ทุกครั้งความคิดนี้ต้องล้มเลิกไป เพราะการที่จะสามารถดำเนินธุรกิจ ชิปเซต ได้นั้น จำเป็นต้องมีโรงงานการผลิตเป็นของตัวเอง
ทำให้ยุคนั้นยังไม่มีบริษัทไหนที่ทำโมเดลธุรกิจรับจ้างผลิตเลย เพราะการสร้างโรงงานจำเป็นต้องใช้เงินทุนมหาศาล ซึ่งต้นทุนในการสร้างโรงงานใหม่ถ้าคิดเป็นมูลค่าปัจจุบันอยู่ที่หลักแสนล้านบาทเลยทีเดียว
ในปี ค.ศ. 1987 Taiwan Semiconductor Manufacturing Company หรือ TSMC จึงได้ถูกก่อตั้งขึ้นมา
ซึ่งมีโมเดลการดำเนินธุรกิจ รับจ้างผลิตชิปเซตให้กับบริษัทอื่นโดยไม่มีแบรนด์เป็นของตัวเอง ซึ่งนับเป็นบริษัทแรกของโลกที่มีโมเดลแบบนี้เกิดขึ้น
โดยในช่วง 3 ปีแรก บริษัทมีลูกค้าเพียงไม่กี่ราย ส่วนใหญ่มาจากภายในประเทศ
แต่หลังจากนั้นในช่วงปี ค.ศ. 1991 เป็นต้นมา สิ่งที่จางคิดไว้ในตอนแรกก็เริ่มเป็นจริง
เพราะเริ่มมีบริษัทที่ต้องการชิปเซตเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากแต่ไม่มีทุนสร้างโรงงานผลิต
บริษัทเหล่านี้จึงได้กลายมาเป็นลูกค้าของ TSMC และได้ทำให้บริษัทเติบโตขึ้น
เหตุผลที่ทำให้หลายบริษัทเข้ามาเป็นลูกค้าของ TSMC เพราะบริษัทมีเทคโนโลยีในการผลิตที่มีความซับซ้อนสูง สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้ ซึ่งเป็นผลจากนโยบายการลงทุนในเรื่องการวิจัยและพัฒนา ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
ในปี ค.ศ. 2020 TSMC มีมูลค่าในการวิจัยและพัฒนาสูงถึง 1.2 แสนล้านบาท คิดเป็น 8.5% เมื่อเทียบกับรายได้ทั้งบริษัท ซึ่งมากกว่า Apple หนึ่งในเจ้าแห่งนวัตกรรมที่มีสัดส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 6.8% เสียอีก
โดย TSMC มีลูกค้ารายใหญ่คือ Apple, Nvidia และ Qualcomm และมีส่วนแบ่งการตลาดธุรกิจกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ มากถึง 55.6% เลยทีเดียว
ปัจจุบัน TSMC มีมูลค่าบริษัท สูงถึง 20 ล้านล้านบาท มากกว่า Intel ที่มีมูลค่า 7 ล้านล้านบาท และ AMD ที่มีมูลค่า 4 ล้านล้านบาท ซึ่งนับเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั้งหมดทั่วโลกอีกด้วย
จากเรื่องทั้งหมดนี้จึงทำให้ตัวเจ้าของบริษัทอย่าง มอร์ริส จาง มีมูลค่าทรัพย์สินอยู่ที่ 93,000 ล้านบาท ขึ้นแท่นเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 15 ของไต้หวัน
ถ้าถามว่าแนวคิดอะไร ที่ทำให้จางประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้
เราน่าจะสรุปได้เป็น 2 ข้อ
1. มีเป้าหมายที่ชัดเจน
จากเรื่องนี้เราจะเห็นได้ว่า มอร์ริส จาง เป็นคนที่มีเป้าหมายชัดเจนมาก
หากเขารู้สึกว่างานที่เขาทำอยู่ไม่ได้อยู่ในเส้นทางที่เขาต้องการ
เขาก็พร้อมออกมาเพื่อตามหาสิ่งที่ตรงกับเป้าหมายของเขาเสมอ อย่างเช่น ตอนที่เขาออกจาก Sylvania Semiconductor และ GIC เพราะเขาต้องการงานที่โฟกัสไปที่การพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์เป็นหลัก
2. ความไม่ยอมแพ้
แม้หลายคนจะไม่เห็นด้วยกับการก่อตั้ง TSMC ให้เป็นบริษัทรับจ้างผลิตชิป แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้และเชื่อมั่นในแนวคิดของตนเอง ก่อนที่จะก่อตั้งบริษัทจนสำเร็จ
จากการมีเป้าหมายที่ชัดเจนบวกกับการไม่ยอมแพ้ของจาง จึงไม่แปลกใจเลยที่ในวันนี้เขาสามารถพา TSMC ให้ประสบความสำเร็จจนมีมูลค่าบริษัท 20 ล้านล้านบาท ขึ้นแท่นเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดอันดับที่ 9 ของโลกไปแล้ว นั่นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://en.wikipedia.org/wiki/TSMC
-https://en.wikipedia.org/wiki/Morris_Chang
-https://www.longtunman.com/27349
-https://www.longtunman.com/27702
-https://sahilbloom.substack.com/p/the-amazing-story-of-morris-chang
-https://www.yourtechstory.com/2018/08/16/morris-chang-chip-industry-tsmc/
-https://www.semi.org/en/Oral-History-Interview-Morris-Chang
-https://www.forbes.com/profile/morris-chang/?sh=7eb878d45fc4
-https://en.wikipedia.org/wiki/Sylvania_Electric_Products
-https://www.investopedia.com/articles/markets/012716/how-taiwan-semiconductor-manufacturing-makes-money-tsm.asp
-https://en.wikipedia.org/wiki/Semiconductor_fabrication_plant
-https://en.wikipedia.org/wiki/Texas_Instruments
-https://www.counterpointresearch.com/global-smartphone-share/
harvard wiki 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
เส้นทาง Moderna บริษัทขาดทุนมาทุกปี แต่ปีนี้กำไรแสนล้าน /โดย ลงทุนแมน
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า Moderna ถือเป็นหนึ่งในผู้ผลิตวัคซีนโควิด 19 ที่กำลังเป็นที่ต้องการของคนทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ก็คือบริษัท Moderna เพิ่งก่อตั้งธุรกิจขึ้นมาในปี 2010 หรือราว 11 ปีก่อน เริ่มต้นจากการเป็นสตาร์ตอัป แต่ปัจจุบัน ได้ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัท ที่มีมูลค่า 5 ล้านล้านบาท
แล้ว Moderna มีความเป็นมาอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
จริง ๆ แล้ว Moderna เป็นบริษัทผลิตยาสัญชาติอเมริกัน ถูกก่อตั้งขึ้นในรัฐแมสซาชูเซตส์
ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 2010 โดยมีผู้ก่อตั้งก็คือ Derrick Rossi นักชีววิทยาชาวแคนาดา
Derrick Rossi คือผู้ที่ได้พัฒนาวิธีการดัดแปลงเทคโนโลยี mRNA
ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเทคโนโลยีในการผลิตวัคซีนรูปแบบใหม่
โดยการผลิตวัคซีน mRNA นั้น จะมีจุดเด่นหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น
- ใช้เวลาในการผลิตน้อยกว่าวัคซีนทั่วไป
- สามารถรองรับการผลิตวัคซีนได้ในปริมาณมาก
- สามารถปรับปรุงวัคซีนเพื่อรองรับไวรัสสายพันธุ์ใหม่ได้ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับการผลิตวัคซีนแบบเดิม
หลังจากเริ่มพัฒนาวิธีการดัดแปลงเทคโนโลยี mRNA ไปได้สักพัก Derrick Rossi ได้ไปชวนผู้เชี่ยวชาญอีก 4 คน ซึ่งก็มีทั้งอาจารย์ที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ นักชีววิทยาจากมหาวิทยาลัย Harvard และ MIT แพทย์ รวมถึงนักลงทุน เพื่อมาก่อตั้งบริษัทที่ทำธุรกิจพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ
โดยชื่อ “Moderna” นั้น ก็มาจากการดัดแปลงคำศัพท์ “Modified” และ “RNA”
กลายมาเป็น “ModeRNA Therapeutics” นั่นเอง
Rossi และกลุ่มผู้ก่อตั้งใช้เวลาเพียง 2 ปีในการดำเนินธุรกิจและนำ Moderna ให้เติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
จนได้รับเงินระดมทุนจนมีมูลค่าการประเมินทะลุระดับ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.4 หมื่นล้านบาท ขึ้นแท่นเป็นสตาร์ตอัปยูนิคอร์น หลังจากก่อตั้งบริษัทขึ้นมาเพียงไม่กี่ปี
แต่ในช่วงเวลานั้น หลายฝ่ายยังไม่เชื่อว่า Moderna จะประสบความสำเร็จ เพราะว่าบริษัทมีเพียงงานวิจัยพัฒนา ยังไม่ได้ผลิตสินค้าใด ๆ ออกสู่ตลาดเลย
นอกจากนี้ ด้วยความที่ Moderna ในตอนนั้นยังคงเป็นเพียงธุรกิจสตาร์ตอัป ทำให้การเข้าถึงแหล่งเงินทุน จึงทำได้ยาก เพราะนักลงทุนลังเลที่จะให้เงินระดมทุนเนื่องจากความเสี่ยงที่ธุรกิจจะล้มเหลวนั้นมีอยู่สูง
แต่แล้ว Moderna ก็ได้พบกับจุดเปลี่ยนสำคัญ ซึ่งก็ได้เกิดขึ้นในปี 2013
เพราะ “AstraZeneca” บริษัทยาสัญชาติอังกฤษได้สนใจในธุรกิจของ Moderna
และได้เข้าร่วมให้เงินระดมทุน คิดเป็นมูลค่าราว 8 พันล้านบาท เพื่อให้บริษัทนำไปใช้ในการวิจัย พัฒนาเทคโนโลยี mRNA เพื่อใช้ในการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเมตาบอลิซึม หรือก็คือ โรคที่เกิดจากความผิดปกติของกระบวนการเผาผลาญอาหาร เช่น โรคไตและโรคมะเร็ง
จนกระทั่งในปี 2018 Moderna ก็ได้จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq โดยมีชื่อหุ้นว่า “MRNA” ซึ่งการระดมทุนของ Moderna ถือเป็นการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไป (IPO) สำหรับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชีวภาพที่มีมูลค่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์
โดยมูลค่าบริษัท Moderna ณ ราคา IPO มีมูลค่าประมาณ 2.5 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ Moderna เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
บริษัทแห่งนี้ยังคงขาดทุนมาโดยตลอด จนถึงในปี 2020 ที่ผ่านมา
ในช่วงระหว่างปี 2018 ถึง 2020 บริษัทขาดทุนรวมกันกว่า 55,500 ล้านบาท
ซึ่งเรื่องดังกล่าวทำให้นักลงทุนจำนวนไม่น้อยพากันถอดใจ
แต่ด้วยความที่ Moderna เป็นบริษัทที่ลงทุนมหาศาลในการวิจัยพัฒนาวัคซีน mRNA นั่นจึงทำให้การระบาดของโควิด 19 ที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีใครคาดคิด ก็ได้กลายเป็นจุดพลิกผันของบริษัทแห่งนี้ไปโดยปริยาย
เรามาดูผลประกอบการของ Moderna, Inc.
ปี 2018 รายได้ 2,000 ล้านบาท ขาดทุน 13,500 ล้านบาท
ปี 2019 รายได้ 2,000 ล้านบาท ขาดทุน 17,000 ล้านบาท
ปี 2020 รายได้ 27,000 ล้านบาท ขาดทุน 25,000 ล้านบาท
6 เดือนแรก ปี 2021 รายได้ 211,000 ล้านบาท กำไร 134,000 ล้านบาท
เรียกได้ว่าบริษัทมีผลขาดทุนทุกปี แต่เมื่อทุกอย่างเกิดขึ้น ก็ทำให้บริษัทได้กำไรปีนี้หลักแสนล้านบาท
โดย 6 เดือนแรกของปี 2021 นี้ยอดขายของ Moderna มาจาก
- ประเทศสหรัฐอเมริกา 59%
- นอกประเทศสหรัฐอเมริกา 41%
ในขณะเดียวกัน Moderna มีการส่งมอบวัคซีนไปแล้วทั้งหมด 301 ล้านโดส ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ Moderna ได้รับออร์เดอร์จองสั่งซื้อวัคซีนล่วงหน้าจากรัฐบาลหลายประเทศ ผ่าน Advance Purchase Agreements (APAs) ในปี 2022 ไปแล้ว โดยมีมูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาท
จากผลประกอบการที่เติบโตในช่วงที่ผ่านมาและแนวโน้มผลประกอบการในอนาคตที่คาดว่าจะยังเติบโตได้อีก จึงทำให้นักลงทุนหลายรายต่างพากันเข้าซื้อหุ้นของ Moderna ในช่วงที่ผ่านมา
ส่งผลให้มูลค่าบริษัทของ Moderna นั้น เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด
จากมูลค่าบริษัท ณ วันที่ IPO ที่ 2.5 แสนล้านบาท
มาวันนี้มูลค่าของ Moderna เพิ่มมาอยู่ที่ 5 ล้านล้านบาท
มูลค่าเพิ่มขึ้น คิดเป็น 20 เท่า เมื่อเทียบกับมูลค่า ณ วันที่ IPO
จากเรื่องราวของ Moderna ในมุมมองของการลงทุน หลายคนก็น่าจะสรุปเหตุการณ์นี้ไม่ต่างอะไรไปจากการถูกแจ็กพอต
แต่ถ้าให้มองย้อนกลับไป แน่นอนว่าคนภายนอก คงมีไม่กี่คนที่รู้ว่า ในอนาคตเทคโนโลยีที่บริษัทกำลังวิจัยและพัฒนา จะก้าวขึ้นมาเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่กำลังรักษาผู้ป่วยทั่วโลกอยู่ ณ ตอนนี้
แต่ในมุมของบริษัท Moderna พวกเขาคงมั่นใจอยู่เสมอและตลอดมาว่า
เทคโนโลยี mRNA จะกลายมาเป็นเทคโนโลยีที่โลกต้องการ
จนปัจจุบัน Moderna ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า โลกต้องการเทคโนโลยีของพวกเขาจริง ๆ..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://finance.yahoo.com/quote/MRNA/
-https://en.wikipedia.org/wiki/Moderna
-https://www.businessinsider.com/biotech-moderna-prices-initial-public-offering-2018-12
-https://medika.life/ten-facts-you-didnt-know-about-moderna-and-their-mrna-vaccine/
-https://investors.modernatx.com/static-files/c43de312-8273-4394-9a58-a7fc7d5ed098
harvard wiki 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
ประเทศแถบหนาว เจริญกว่า ประเทศแถบร้อน จริงหรือ? /โดย ลงทุนแมน
ถ้าถามว่า ประเทศพัฒนาแล้ว ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ที่ไหน ?
คำตอบคือ ส่วนใหญ่จะเป็นประเทศในทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือ ที่ตั้งอยู่ในเขตที่มีอากาศหนาวเย็น
ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ จะอยู่ในทวีปเอเชียและแอฟริกา ที่มีอากาศร้อนกว่า
จึงมีคนเคยตั้งข้อสังเกตว่า จริง ๆ แล้วสภาพอากาศ
อาจมีอิทธิพลต่อการพัฒนาประเทศ
ประเทศแถบหนาว ต้องเจริญกว่า ประเทศแถบร้อน จริงหรือ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ก่อนอื่นเรามาดูข้อมูลเหล่านี้กันก่อนว่า แนวคิดดังกล่าวสะท้อนความจริงของเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน
รู้ไหมว่า ประเทศที่มีมูลค่าเศรษฐกิจขนาดใหญ่เมื่อวัดตามผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) จะเป็นประเทศที่อยู่ในเขตหนาว และส่วนใหญ่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว
โดย 10 ประเทศ ที่มี GDP มากที่สุดในโลก เมื่อเอา GDP มาบวกรวมกันแล้ว จะมีมูลค่าประมาณ 1,980 ล้านล้านบาท หรือเกือบ 70% ของ GDP ทั้งโลก
ซึ่ง 10 ประเทศนั้นมาจาก
- ทวีปอเมริกาเหนือ 2 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกาและแคนาดา
- ทวีปยุโรป 4 ประเทศ คือ เยอรมนี สหราชอาณาจักร อิตาลี และฝรั่งเศส
- ทวีปเอเชีย 4 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน และอินเดีย
ถ้าไม่นับจีนและอินเดีย ที่มี GDP สูงจากจำนวนประชากรที่มาก
ประเทศที่เหลือทั้งหมดจะเป็นประเทศที่อยู่ในเขตที่มีอากาศหนาว
อีกประเด็นคือ ประเทศที่มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวสูงสุด 10 อันดับแรกของโลก มาจาก
- ทวีปยุโรป 6 ประเทศ คือ ลักเซมเบิร์ก สวิตเซอร์แลนด์ ไอร์แลนด์ ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ และเดนมาร์ก
- ทวีปอเมริกาเหนือ 1 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา
- ทวีปเอเชีย 2 ประเทศ คือ สิงคโปร์และกาตาร์
- ทวีปออสเตรเลีย 1 ประเทศ คือ ออสเตรเลีย
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศที่มีอากาศหนาว
ยกเว้น สิงคโปร์และกาตาร์ ที่ตั้งอยู่เขตอากาศร้อน
และออสเตรเลียนั้น เป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่
ที่มีพื้นที่ทั้งที่มีอากาศหนาวเย็น และบางพื้นที่มีอากาศอบอุ่นถึงร้อน
ซึ่งที่น่าสนใจคือ เมืองดาร์วินที่เป็นเมืองหลวงของรัฐนอร์เทิร์นเทร์ริทอรี รัฐทางตอนเหนือของออสเตรเลีย เป็นเมืองหลวงที่ร้อนที่สุดในประเทศ และเป็นเมืองหลวงที่ประชากรมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวน้อยที่สุดในบรรดา 6 รัฐของออสเตรเลีย
จากข้อสังเกตเหล่านี้ จึงทำให้เกิดความเชื่อกันว่า ประเทศหรือพื้นที่ที่มีอากาศหนาวมักจะเจริญกว่าประเทศหรือพื้นที่ที่มีอากาศร้อน
David Landes อาจารย์ทางด้านประวัติศาสตร์และเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Harvard เคยกล่าวไว้ว่า สำหรับประชากรที่อาศัยอยู่ในประเทศในแถบร้อน การจะมีชีวิตอยู่รอดได้ ผู้คนเหล่านั้นควรต้องทำงานช้าลง เพราะเหงื่อจะออกมาก ซึ่งนั่นอาจหมายถึง ผลิตภาพในการผลิต (Productivity) จะลดลงไปด้วย
สำหรับประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศหนาว นักเศรษฐศาสตร์หลายคนเชื่อว่า สภาพอากาศที่เย็น ทำให้ผู้คนจำเป็นต้องมีการวางแผนและร่วมมือมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ในฤดูหนาว
เช่น ในสมัยโบราณ การล่าสัตว์และการหาอาหารนั้น ถือว่าทำได้ยากในฤดูหนาว ทำให้มนุษย์ในสมัยก่อนต้องวางแผนล่วงหน้า ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านั้น
การอาศัยในพื้นที่ที่หนาวเย็น ยังบังคับให้ผู้คนบริเวณนั้น ต้องหาทางสร้างที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมเพื่อป้องกันความหนาวเย็น ดังนั้น จึงจำเป็นต้องใช้ความร่วมมือระหว่างคนหลายฝ่ายเพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ
ในขณะที่ถ้าลองเทียบกับประเทศที่ตั้งอยู่ในแถบร้อน จะพบว่า มนุษย์ที่อาศัยในภูมิอากาศแบบเขตร้อนที่มากขึ้น ไม่จำเป็นต้องสร้างที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมมากเท่าไรนัก
ขณะที่การล่าสัตว์และหาอาหาร ก็สามารถทำได้สะดวกกว่าตลอดทั้งปี
แม้หลักฐานหลายอย่างจะบอกว่า สภาพอากาศเป็นปัจจัยหนึ่งที่อาจส่งผลต่อการพัฒนาประเทศหรือระดับของคุณภาพชีวิตของประชากรในพื้นที่หรือประเทศนั้น ๆ
แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง เราก็จะเห็นว่า มีหลายประเทศที่ไม่ได้มีอากาศหนาว แต่กลับสามารถพัฒนาประเทศให้ก้าวขึ้นไปเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว
เช่น สิงคโปร์ และหลายประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง
ทั้งนี้ก็เพราะว่า การพัฒนาประเทศมันไม่ได้มีแค่ ปัจจัยเรื่องอุณหภูมิในประเทศเพียงเท่านั้น
แต่ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่สำคัญไม่แพ้กัน เช่น ความมั่นคงทางการเมือง เสถียรภาพของรัฐบาล ยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศ ความมั่งคั่งของทรัพยากรทางธรรมชาติของแต่ละประเทศ และคุณภาพประชากร
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ กรณีของสิงคโปร์
ที่แม้ว่าจะเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในเขตร้อน ทั้งยังเป็นประเทศที่เพิ่งเกิดขึ้นในปี 1959 หรือเมื่อ 62 ปีที่แล้วเท่านั้น แต่ก็สามารถก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในปัจจุบัน
ด้วยความที่สิงคโปร์นั้นเป็นเกาะขนาดเล็กและไม่มีทรัพยากรธรรมชาติที่มากมายเหมือนหลายประเทศในเอเชีย ทำให้ในอดีตสิงคโปร์เคยถูกมองว่า จะเป็นประเทศที่ไม่สามารถพัฒนาจนร่ำรวยได้
อย่างไรก็ตาม การที่ผู้นำของสิงคโปร์ให้ความสำคัญกับยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศที่มุ่งเน้นพัฒนาทรัพยากรบุคลากร ให้มีความรู้ทั้งด้านภาษาอังกฤษและเทคโนโลยี
มีการลงทุนพัฒนาโครงสร้างสาธารณูปโภคต่าง ๆ อย่างกรณีของท่าเรือที่สิงคโปร์ ซึ่งเป็นท่าเรือที่มีการขนถ่ายสินค้าผ่านตู้คอนเทนเนอร์มากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
หลังจากนั้นก็ต่อยอดมาเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก จนตอนนี้ได้ตั้งเป้าเพื่อเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีและสตาร์ตอัปของภูมิภาค ด้วยการดึงผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีให้เข้ามาทำงานในประเทศมากขึ้น
ยังไม่รวมการที่รัฐบาลสิงคโปร์มุ่งมั่นในการปราบคอร์รัปชันอย่างต่อเนื่อง จนทำให้สิงคโปร์กลายเป็นประเทศที่มีดัชนีความโปร่งใส (Corruption Perceptions Index) สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก ในปี 2020
สิ่งเหล่านี้ก็ช่วยทำให้เกาะเล็กอย่างสิงคโปร์ก้าวขึ้นมาเป็นประเทศพัฒนาแล้วและมีรายได้ต่อหัวของประชากรมากเป็นอันดับ 8 ของโลกในวันนี้
กรณีของประเทศในตะวันออกกลาง ที่อยู่ในเขตร้อนอย่าง กาตาร์ ก็เช่นเดียวกัน
แม้กาตาร์จะมีความโชคดี ที่มีทรัพยากรธรรมชาติอย่างน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอยู่จำนวนมหาศาล
มีปริมาณสำรองน้ำมันดิบ 25,244 ล้านบาร์เรล หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 55 ล้านล้านบาท สูงเป็นอันดับที่ 14 ของโลก
แต่กาตาร์ก็รู้ว่า ในอนาคตรายได้จากน้ำมันมีความไม่แน่นอนสูง ดังนั้น รายได้ดังกล่าวจึงต้องถูกนำมาใช้และบริหารเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
อย่างในปี 2008 รัฐบาลกาตาร์ได้ออกแผน Qatar National Vision 2030 ซึ่งเป็นแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกาตาร์ เพื่อพัฒนาด้านบุคลากร เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม สำหรับรองรับความท้าทายและกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก
หนึ่งในนั้นคือ การลงทุนด้านการศึกษาซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาบุคลากรของประเทศ
อย่างเช่น การจัดตั้ง Education City ด้วยการดึงมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกทั้งจากสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส เข้ามาตั้งเป็นวิทยาเขตในประเทศ
วันนี้ ประชาชนชาวกาตาร์ มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวสูงเป็นอันดับที่ 10 ของโลก และถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วเช่นกัน
สรุปคือ แม้เราจะเห็นหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว อยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็นกันมาก และแม้ว่าความหนาวเย็นของอากาศในประเทศ จะมีผลต่อ Productivity ของคนในประเทศนั้นไม่มากก็น้อย
แต่อย่าลืมว่า การจะเป็นประเทศที่คนมีรายได้สูง และเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วนั้น มันไม่สามารถตัดสินได้ด้วยปัจจัยเรื่องความสูงต่ำของอุณหภูมิเพียงอย่างเดียว
ซึ่งเราคงบอกได้ว่า ถ้าประเทศนั้นมียุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศที่ชัดเจน
ใช้จุดเด่นของประเทศให้เกิดประโยชน์มากที่สุด
ไม่ว่าประเทศนั้นจะตั้งอยู่ตรงไหนของแผนที่โลก
อากาศในประเทศจะร้อนหรือจะหนาว
ประเทศนั้น ก็คงสามารถกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ได้เช่นกัน..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.sgsep.com.au/assets/main/SGS-Economics-and-Planning-Economic-performance-fo-asutralias-cities-and-regions-report.pdf
-https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_countries_by_GDP_(nominal)
-https://www.dailymail.co.uk/news/article-8477297/Why-colder-countries-richer-hot-nations.html
-https://data.worldbank.org/
-https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_countries_by_proven_oil_reserves
-https://www.transparency.org/en/cpi/2020/index/nzl
-https://en.wikipedia.org/wiki/Education_City
- http://www.futurecasts.com/Landes,%20Wealth%20&%20Poverty%20of%20Nations.html
-https://blogs.worldbank.org/opendata/new-world-bank-country-classifications-income-level-2020-2021
harvard wiki 在 Harvard Wiki - Harvard University 的相關結果
沒有這個頁面的資訊。 ... <看更多>
harvard wiki 在 Harvard University 的相關結果
Harvard University is devoted to excellence in teaching, learning, and research, and to developing leaders who make a difference globally. ... <看更多>
harvard wiki 在 哈佛大學- 維基百科,自由嘅百科全書 的相關結果
哈佛大學(英文:Harvard University)係美國麻省劍橋一間大學。喺學術等方面世界排名好前,有好多出名校友。 目錄. 1 歷史; 2 醜聞. 2.1 入學考試造假; 2.2 教職員收 ... ... <看更多>