รู้จัก Flipkart แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ อันดับ 1 ของอินเดีย /โดย ลงทุนแมน
ประเทศอินเดีย มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก และมีจำนวนประชากรกว่า 1.3 พันล้านคน ซึ่งมากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศจีน
พอเป็นเช่นนี้ หนึ่งในธุรกิจที่น่าจะได้ประโยชน์จากขนาดเศรษฐกิจและฐานผู้บริโภคดังกล่าว ในโลกยุคที่กิจกรรมหลายอย่างอยู่บนโลกออนไลน์ ก็คงหนีไม่พ้น “อีคอมเมิร์ซ”
รู้ไหมว่าในปัจจุบัน ผู้ที่ครองตลาดอีคอมเมิร์ซของอินเดีย ไม่ใช่บริษัทยักษ์ใหญ่ต่างชาติ
แต่เป็นสตาร์ตอัปจากท้องถิ่น ชื่อว่า “Flipkart”
อะไรที่ทำให้ Flipkart ดำเนินธุรกิจได้อย่างแข็งแกร่ง
แล้วใครเป็นเจ้าของบริษัทนี้ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Flipkart เป็นแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าออนไลน์จากประเทศอินเดีย
เปิดให้บริการเมื่อปี 2007 หรือ 14 ปีที่แล้ว
ผู้ก่อตั้งบริษัท คือ คุณ Sachin Bansal และคุณ Binny Bansal
ซึ่งต้องบอกว่า ทั้งคู่ไม่ได้เป็นพี่น้องกัน
แค่บังเอิญนามสกุลเหมือนกัน เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน และเคยทำงานที่ Amazon.com ด้วยกัน..
ต่อมา พวกเขาเล็งเห็นโอกาสการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซในอินเดีย
จึงตัดสินใจลาออกมาร่วมกันก่อตั้ง Flipkart
เริ่มแรก Flipkart ขายหนังสือออนไลน์ คล้ายกับ Amazon.com
เนื่องจากขณะนั้น ผู้ขายสินค้าประเภทอื่น ๆ ยังไม่ค่อยสนใจช่องทางจำหน่ายทางออนไลน์สักเท่าไร เพราะมองว่าคนอินเดียส่วนใหญ่ ไม่คุ้นเคยกับการสั่งของออนไลน์
ต่อมา Flipkart ก็ได้พยายามพัฒนารูปแบบบริการ ที่จะจูงใจให้คนหันมาซื้อขายหนังสือออนไลน์มากขึ้น
เช่น มีบริการจัดส่งทั่วประเทศ และรับจ่ายเป็นเงินสดตอนส่งมอบ
ทำให้ Flipkart เริ่มมีชื่อเสียงติดตลาด จนบริษัทสามารถระดมทุนจากนักลงทุน Venture Capital ได้เป็นครั้งแรก ในปี 2009
พอมีเงินทุนในมือและเป็นที่รู้จัก Flipkart จึงวางแผนเพิ่มประเภทสินค้าบนแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะสินค้ายอดนิยม อย่างเช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเสื้อผ้าแฟชั่น
ซึ่งวิธีที่บริษัทใช้ขยายธุรกิจ คือ การเข้าซื้อกิจการที่มีฐานลูกค้าออนไลน์อยู่แล้ว หรือมีบริการที่เกี่ยวข้อง เพื่อเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มของ Flipkart ได้ทันที
ตัวอย่างกิจการที่ Flipkart เข้าซื้อ
- ปี 2010 ซื้อ WeRead ธุรกิจฐานข้อมูล และสังคมออนไลน์เกี่ยวกับหนังสือ
- ปี 2012 ซื้อ Letsbuy แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่า 5,500 ล้านบาท
- ปี 2014 ซื้อ Myntra แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสินค้าแฟชั่น มูลค่า 9,200 ล้านบาท
- ปี 2016 ซื้อ Jabong แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสินค้าแฟชั่น มูลค่า 2,300 ล้านบาท
- ปี 2016 ซื้อ PhonePe ธุรกิจระบบชำระเงินออนไลน์
รวมทั้ง ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับแบรนด์ชื่อดัง เพื่อสิทธิ์นำเข้าสินค้ามาจำหน่ายในอินเดียแต่เพียงผู้เดียว
เช่น จับมือกับ Motorola และ Xiaomi วางขายสมาร์ตโฟนบางรุ่น เฉพาะที่ Flipkart เท่านั้น
นอกจากนั้น Flipkart ยังมีการจัดแคมเปนในช่วงเดือนตุลาคมของทุกปี เรียกว่า “Big Billion Days” ซึ่งมีการเสนอดีลลดราคามากมาย เพื่อกระตุ้นยอดขายสินค้าออนไลน์
แล้วปัจจุบัน Flipkart ใหญ่แค่ไหนในอินเดีย ?
ตลาดอีคอมเมิร์ซของอินเดีย มีผู้เล่นที่แข่งขันกันดุเดือด 2 ราย คือ Flipkart และ Amazon.com บริษัทยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริกา ที่เข้ามาทำตลาด ตั้งแต่ปี 2013
เรามาลองดูส่วนแบ่งตลาดอีคอมเมิร์ซปัจจุบันในอินเดีย
Flipkart ส่วนแบ่งตลาด 31.9%
Amazon.com ส่วนแบ่งตลาด 31.2%
จะเห็นได้ว่า Flipkart ครองตลาดเหนือ Amazon อยู่เล็กน้อย
ซึ่งความจริงแล้ว ถ้านับรวม Myntra และ Jabong ที่มีแพลตฟอร์มแยกต่างหากด้วย ธุรกิจในเครือของ Flipkart จะมีส่วนแบ่งตลาดรวม 38.3%
ทีนี้ลองมาดูการเติบโตของรายได้ของ Flipkart
(บริษัทมีรอบบัญชีที่เริ่มต้นจาก 1 เมษายน ถึง 31 มีนาคม ปีถัดไป)
ปี 2016 รายได้ 58,331 ล้านบาท
ปี 2018 รายได้ 96,000 ล้านบาท
ปี 2020 รายได้ 153,000 ล้านบาท
สรุปได้ว่า ในวันนี้ Flipkart เป็นผู้นำตลาดอีคอมเมิร์ซของอินเดีย ที่มียอดขายระดับแสนล้านไปแล้ว
และก็คงต้องบอกว่า บริษัทยังมีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมาก
เพราะขณะนี้ แม้ชาวอินเดียเข้าถึงการใช้งานอินเทอร์เน็ตประมาณ 776 ล้านคน แต่ก็คิดเป็นแค่ราว 57% ของจำนวนประชากร ซึ่งค่อนข้างต่ำ ถ้าเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว
อีกทั้งในแง่ของพฤติกรรมผู้บริโภคนั้น เมื่อปี 2019 ยอดขายอีคอมเมิร์ซ มีสัดส่วนเพียง 4.7% ของมูลค่าตลาดค้าปลีกทั้งหมด พูดง่าย ๆ คือ คนอินเดียส่วนใหญ่ยังนิยมซื้อของที่หน้าร้าน
ที่น่าสนใจคือช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลอินเดียมีนโยบายชื่อว่า Digital India ที่มีวัตถุประสงค์ที่จะสนับสนุนธุรกิจบนโลกออนไลน์มากขึ้น
จึงมีการคาดการณ์ว่า ในปี 2024 ยอดขายอีคอมเมิร์ซ จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 10.7% ของมูลค่าตลาดค้าปลีกทั้งหมด
แนวโน้มที่น่าสนใจนี้ ทำให้ธุรกิจ Flipkart ไปเข้าตา “Walmart” บริษัทเจ้าของซูเปอร์มาร์เก็ตยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกัน
โดย Walmart ได้เข้าซื้อหุ้นของ Flipkart ในสัดส่วน 77% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 5.3 แสนล้านบาท เมื่อปี 2018 และมีการซื้อเพิ่มเป็น 82.1% ในเวลาต่อมา
นอกจากนั้น ยังมีบริษัทชื่อดังอีกหลายราย เข้ามาลงทุนใน Flipkart ด้วย ยกตัวอย่างเช่น
Tencent ถือหุ้น 5.1%, Microsoft ถือหุ้น 1.5% รวมไปถึง SoftBank Group ที่เคยถือหุ้นถึง 20% ก่อนที่จะตกลงขายไปให้กับ Walmart
ทั้งนี้ในการระดมทุนรอบล่าสุด เมื่อเดือนกรกฎาคม 2021 ที่ผ่านมา
Flipkart ถูกประเมินมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 37,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท
และมีการคาดการณ์ว่า บริษัทเตรียมจะจดทะเบียน IPO เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ในช่วงปลายปีนี้
ซึ่งอาจทำให้มูลค่าบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท
เรื่องราวนี้คงเป็นแนวคิดที่ดีสำหรับการทำธุรกิจออนไลน์ว่า
ในบางตลาดที่คนอาจยังไม่คุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยี แทนที่พฤติกรรมที่ปฏิบัติมาอย่างยาวนาน
เราคงต้องเริ่มจากจุดเล็ก ๆ ก่อน แล้วคอยปรับบริการให้เหมาะสม และขยับขยายเมื่อผู้บริโภคมีความพร้อม
เหมือนในกรณีของ Flipkart ที่เริ่มจากการขายหนังสือออนไลน์ ก่อนเข้าซื้อกิจการสินค้าประเภทอื่น ที่มั่นใจว่ามีลูกค้าใช้งานแพลตฟอร์มจริง ๆ ที่ทำให้ Flipkart ค่อย ๆ เป็นอาณาจักรอีคอมเมิร์ซที่ยิ่งใหญ่ของอินเดียในที่สุด..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://businesbsinspection.com.bd/history-and-rise-of-flipkart/
-https://www.bbc.com/news/business-57815431
-https://en.wikipedia.org/wiki/Binny_Bansal
-https://entrackr.com/2020/10/festive-sale-first-week-processed-gmv-worth-4-1-bn/
-https://www.statista.com/statistics/1053314/india-flipkart-revenue/
-https://en.wikipedia.org/wiki/Flipkart
-https://www.ibef.org/industry/indian-retail-industry-analysis-presentation
同時也有2部Youtube影片,追蹤數超過12萬的網紅prasertcbs,也在其Youtube影片中提到,สอนการพยากรณ์อนุกรมเวลาโดยใช้ SQL Server Data Mining Add-in บน Microsoft Excel โดยใช้ตัวอย่างการพยากรณ์ยอดขาย และจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศไท...
「analysis statistics」的推薦目錄:
- 關於analysis statistics 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
- 關於analysis statistics 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
- 關於analysis statistics 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
- 關於analysis statistics 在 prasertcbs Youtube 的最讚貼文
- 關於analysis statistics 在 prasertcbs Youtube 的精選貼文
- 關於analysis statistics 在 Statistical data analysis | Statistical Data Science | Part 1 的評價
- 關於analysis statistics 在 Statistical Data Analysis - Home | Facebook 的評價
analysis statistics 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
รู้จัก Flipkart แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ อันดับ 1 ของอินเดีย /โดย ลงทุนแมน
ประเทศอินเดีย มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก และมีจำนวนประชากรกว่า 1.3 พันล้านคน ซึ่งมากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศจีน
พอเป็นเช่นนี้ หนึ่งในธุรกิจที่น่าจะได้ประโยชน์จากขนาดเศรษฐกิจและฐานผู้บริโภคดังกล่าว ในโลกยุคที่กิจกรรมหลายอย่างอยู่บนโลกออนไลน์ ก็คงหนีไม่พ้น “อีคอมเมิร์ซ”
รู้ไหมว่าในปัจจุบัน ผู้ที่ครองตลาดอีคอมเมิร์ซของอินเดีย ไม่ใช่บริษัทยักษ์ใหญ่ต่างชาติ
แต่เป็นสตาร์ตอัปจากท้องถิ่น ชื่อว่า “Flipkart”
อะไรที่ทำให้ Flipkart ดำเนินธุรกิจได้อย่างแข็งแกร่ง
แล้วใครเป็นเจ้าของบริษัทนี้ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Flipkart เป็นแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าออนไลน์จากประเทศอินเดีย
เปิดให้บริการเมื่อปี 2007 หรือ 14 ปีที่แล้ว
ผู้ก่อตั้งบริษัท คือ คุณ Sachin Bansal และคุณ Binny Bansal
ซึ่งต้องบอกว่า ทั้งคู่ไม่ได้เป็นพี่น้องกัน
แค่บังเอิญนามสกุลเหมือนกัน เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน และเคยทำงานที่ Amazon.com ด้วยกัน..
ต่อมา พวกเขาเล็งเห็นโอกาสการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซในอินเดีย
จึงตัดสินใจลาออกมาร่วมกันก่อตั้ง Flipkart
เริ่มแรก Flipkart ขายหนังสือออนไลน์ คล้ายกับ Amazon.com
เนื่องจากขณะนั้น ผู้ขายสินค้าประเภทอื่น ๆ ยังไม่ค่อยสนใจช่องทางจำหน่ายทางออนไลน์สักเท่าไร เพราะมองว่าคนอินเดียส่วนใหญ่ ไม่คุ้นเคยกับการสั่งของออนไลน์
ต่อมา Flipkart ก็ได้พยายามพัฒนารูปแบบบริการ ที่จะจูงใจให้คนหันมาซื้อขายหนังสือออนไลน์มากขึ้น
เช่น มีบริการจัดส่งทั่วประเทศ และรับจ่ายเป็นเงินสดตอนส่งมอบ
ทำให้ Flipkart เริ่มมีชื่อเสียงติดตลาด จนบริษัทสามารถระดมทุนจากนักลงทุน Venture Capital ได้เป็นครั้งแรก ในปี 2009
พอมีเงินทุนในมือและเป็นที่รู้จัก Flipkart จึงวางแผนเพิ่มประเภทสินค้าบนแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะสินค้ายอดนิยม อย่างเช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเสื้อผ้าแฟชั่น
ซึ่งวิธีที่บริษัทใช้ขยายธุรกิจ คือ การเข้าซื้อกิจการที่มีฐานลูกค้าออนไลน์อยู่แล้ว หรือมีบริการที่เกี่ยวข้อง เพื่อเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มของ Flipkart ได้ทันที
ตัวอย่างกิจการที่ Flipkart เข้าซื้อ
- ปี 2010 ซื้อ WeRead ธุรกิจฐานข้อมูล และสังคมออนไลน์เกี่ยวกับหนังสือ
- ปี 2012 ซื้อ Letsbuy แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่า 5,500 ล้านบาท
- ปี 2014 ซื้อ Myntra แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสินค้าแฟชั่น มูลค่า 9,200 ล้านบาท
- ปี 2016 ซื้อ Jabong แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสินค้าแฟชั่น มูลค่า 2,300 ล้านบาท
- ปี 2016 ซื้อ PhonePe ธุรกิจระบบชำระเงินออนไลน์
รวมทั้ง ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับแบรนด์ชื่อดัง เพื่อสิทธิ์นำเข้าสินค้ามาจำหน่ายในอินเดียแต่เพียงผู้เดียว
เช่น จับมือกับ Motorola และ Xiaomi วางขายสมาร์ตโฟนบางรุ่น เฉพาะที่ Flipkart เท่านั้น
นอกจากนั้น Flipkart ยังมีการจัดแคมเปนในช่วงเดือนตุลาคมของทุกปี เรียกว่า “Big Billion Days” ซึ่งมีการเสนอดีลลดราคามากมาย เพื่อกระตุ้นยอดขายสินค้าออนไลน์
แล้วปัจจุบัน Flipkart ใหญ่แค่ไหนในอินเดีย ?
ตลาดอีคอมเมิร์ซของอินเดีย มีผู้เล่นที่แข่งขันกันดุเดือด 2 ราย คือ Flipkart และ Amazon.com บริษัทยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริกา ที่เข้ามาทำตลาด ตั้งแต่ปี 2013
เรามาลองดูส่วนแบ่งตลาดอีคอมเมิร์ซปัจจุบันในอินเดีย
Flipkart ส่วนแบ่งตลาด 31.9%
Amazon.com ส่วนแบ่งตลาด 31.2%
จะเห็นได้ว่า Flipkart ครองตลาดเหนือ Amazon อยู่เล็กน้อย
ซึ่งความจริงแล้ว ถ้านับรวม Myntra และ Jabong ที่มีแพลตฟอร์มแยกต่างหากด้วย ธุรกิจในเครือของ Flipkart จะมีส่วนแบ่งตลาดรวม 38.3%
ทีนี้ลองมาดูการเติบโตของรายได้ของ Flipkart
(บริษัทมีรอบบัญชีที่เริ่มต้นจาก 1 เมษายน ถึง 31 มีนาคม ปีถัดไป)
ปี 2016 รายได้ 58,331 ล้านบาท
ปี 2018 รายได้ 96,000 ล้านบาท
ปี 2020 รายได้ 153,000 ล้านบาท
สรุปได้ว่า ในวันนี้ Flipkart เป็นผู้นำตลาดอีคอมเมิร์ซของอินเดีย ที่มียอดขายระดับแสนล้านไปแล้ว
และก็คงต้องบอกว่า บริษัทยังมีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมาก
เพราะขณะนี้ แม้ชาวอินเดียเข้าถึงการใช้งานอินเทอร์เน็ตประมาณ 776 ล้านคน แต่ก็คิดเป็นแค่ราว 57% ของจำนวนประชากร ซึ่งค่อนข้างต่ำ ถ้าเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว
อีกทั้งในแง่ของพฤติกรรมผู้บริโภคนั้น เมื่อปี 2019 ยอดขายอีคอมเมิร์ซ มีสัดส่วนเพียง 4.7% ของมูลค่าตลาดค้าปลีกทั้งหมด พูดง่าย ๆ คือ คนอินเดียส่วนใหญ่ยังนิยมซื้อของที่หน้าร้าน
ที่น่าสนใจคือช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลอินเดียมีนโยบายชื่อว่า Digital India ที่มีวัตถุประสงค์ที่จะสนับสนุนธุรกิจบนโลกออนไลน์มากขึ้น
จึงมีการคาดการณ์ว่า ในปี 2024 ยอดขายอีคอมเมิร์ซ จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 10.7% ของมูลค่าตลาดค้าปลีกทั้งหมด
แนวโน้มที่น่าสนใจนี้ ทำให้ธุรกิจ Flipkart ไปเข้าตา “Walmart” บริษัทเจ้าของซูเปอร์มาร์เก็ตยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกัน
โดย Walmart ได้เข้าซื้อหุ้นของ Flipkart ในสัดส่วน 77% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 5.3 แสนล้านบาท เมื่อปี 2018 และมีการซื้อเพิ่มเป็น 82.1% ในเวลาต่อมา
นอกจากนั้น ยังมีบริษัทชื่อดังอีกหลายราย เข้ามาลงทุนใน Flipkart ด้วย ยกตัวอย่างเช่น
Tencent ถือหุ้น 5.1%, Microsoft ถือหุ้น 1.5% รวมไปถึง SoftBank Group ที่เคยถือหุ้นถึง 20% ก่อนที่จะตกลงขายไปให้กับ Walmart
ทั้งนี้ในการระดมทุนรอบล่าสุด เมื่อเดือนกรกฎาคม 2021 ที่ผ่านมา
Flipkart ถูกประเมินมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 37,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท
และมีการคาดการณ์ว่า บริษัทเตรียมจะจดทะเบียน IPO เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ในช่วงปลายปีนี้
ซึ่งอาจทำให้มูลค่าบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท
เรื่องราวนี้คงเป็นแนวคิดที่ดีสำหรับการทำธุรกิจออนไลน์ว่า
ในบางตลาดที่คนอาจยังไม่คุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยี แทนที่พฤติกรรมที่ปฏิบัติมาอย่างยาวนาน
เราคงต้องเริ่มจากจุดเล็ก ๆ ก่อน แล้วคอยปรับบริการให้เหมาะสม และขยับขยายเมื่อผู้บริโภคมีความพร้อม
เหมือนในกรณีของ Flipkart ที่เริ่มจากการขายหนังสือออนไลน์ ก่อนเข้าซื้อกิจการสินค้าประเภทอื่น ที่มั่นใจว่ามีลูกค้าใช้งานแพลตฟอร์มจริง ๆ ที่ทำให้ Flipkart ค่อย ๆ เป็นอาณาจักรอีคอมเมิร์ซที่ยิ่งใหญ่ของอินเดียในที่สุด..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://businesbsinspection.com.bd/history-and-rise-of-flipkart/
-https://www.bbc.com/news/business-57815431
-https://en.wikipedia.org/wiki/Binny_Bansal
-https://entrackr.com/2020/10/festive-sale-first-week-processed-gmv-worth-4-1-bn/
-https://www.statista.com/statistics/1053314/india-flipkart-revenue/
-https://en.wikipedia.org/wiki/Flipkart
-https://www.ibef.org/industry/indian-retail-industry-analysis-presentation
analysis statistics 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
กรณีศึกษา ดีลซื้อกิจการ ครั้งใหญ่สุดของ Apple /โดย ลงทุนแมน
หากเราพูดถึงดีลการซื้อกิจการระดับแสนล้าน ของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในโลก
Microsoft ซื้อแพลตฟอร์มจัดหางาน LinkedIn 8.3 แสนล้านบาท
Facebook ซื้อแอปพลิเคชันแช็ต WhatsApp 6.1 แสนล้านบาท
Amazon ซื้อค้าปลีกรายใหญ่ Whole Foods Market 4.4 แสนล้านบาท
Google ซื้อกิจการ Motorola Mobility 4.0 แสนล้านบาท
ดีลธุรกิจระดับแสนล้านที่กล่าวมา ล้วนกลายเป็นส่วนสำคัญที่เข้ามาเติมเต็มบริษัทเทคโนโลยี
ให้มีประสิทธิภาพและมีบริการที่ครอบคลุมขึ้น
แต่ในรายชื่อที่ว่ามานี้ ยังไม่มีชื่อของ Apple บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
ที่มีมูลค่าบริษัท 71.2 ล้านล้านบาท นั่นก็เพราะว่ากิจการที่บริษัท
ซื้อเข้ามาแพงที่สุดกลับมีมูลค่าไม่แพงมากนัก
โดยบริษัทที่ว่านั้น Apple ได้เข้าซื้อกิจการไปตั้งแต่ปี 2014 หรือราว 7 ปีก่อน
ด้วยมูลค่าเพียง 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 9.5 หมื่นล้านบาท
แล้วบริษัทแห่งนั้น คือบริษัทอะไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
การเข้าซื้อกิจการที่มีมูลค่าสูงสุดของ Apple คือ บริษัทผลิตหูฟังที่มีชื่อว่า “Beats Electronics”
Beats Electronics เป็นบริษัทที่ขายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเครื่องเสียง
โดยผลิตภัณฑ์หลัก คือหูฟังและลำโพง
ซึ่งปัจจุบันดำเนินธุรกิจอยู่ภายใต้บริษัท Apple เป็นที่เรียบร้อย
Beats หรือ Beats by Dr. Dre มีที่มาจากแรปเปอร์ชาวอเมริกัน Andre Romelle Young
ที่ในปี 2006 เขากับ Jimmy Iovine ผู้บริหารค่ายเพลงชื่อดัง
ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัท Beats Electronics
โดยต้องการเป็นผู้ผลิตหูฟังระดับพรีเมียมและได้ทำการเปิดตัว หูฟัง อันแรกในปี 2008
แต่เส้นทางกลับไม่ง่ายอย่างที่พวกเขาคิด
แม้สินค้าจะมีคุณภาพดี แต่ด้วยความที่คนยังไม่รู้จักแบรนด์
และราคาที่แพงถึง 10,500 บาท หูฟังรุ่นแรกที่ผลิตออกมาจึงไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรนัก
จุดเริ่มต้นของ Beats เริ่มขึ้นจากการที่บริษัททำการตลาดผ่านแบรนด์หรือศิลปินที่มีชื่อเสียง
- ในช่วงปี 2009 Beats เปิดตัวหูฟัง Heartbeats โดยมี Lady Gaga ร่วมออกแบบและเป็นพรีเซนเตอร์ โดยเป็นหูฟังแบบ In-ear ที่เน้นความเป็นแฟชั่น
- ปลายปี 2009 ร่วมมือกับ HP โดย HP ทำการเปิดตัว Envy 15 โน้ตบุ๊กที่มาพร้อมกับระบบเสียงจาก Beats ซึ่งเป็นรุ่น Limited Edition โดยปุ่ม “B” ถูกเปลี่ยนเป็นสัญลักษณ์โลโก Beats
- ปี 2012 ได้ร่วมมือกับ Chrysler ซึ่งเป็นบริษัทผลิตรถยนต์ของสหรัฐอเมริกา เปิดตัวรถยนต์รุ่น 300S ซึ่งมีระบบเสียงจาก Beats
- ปี 2012 เช่นเดียวกัน ได้ทำการแจกหูฟังให้กับนักกีฬาทีมชาติอังกฤษ ในการแข่งขันโอลิมปิกที่กรุงลอนดอน เพื่อให้มีภาพของนักกีฬากำลังใส่หูฟังของ Beats ที่ถูกถ่ายทอดไปทั่วโลก
หลังจากการทำการตลาดอย่างหนัก ทำให้คนเริ่มรู้จักแบรนด์ Beats และเป็นที่ยอมรับมากขึ้น
จนในปี 2012 ส่วนแบ่งการตลาดของ Beats ในตลาดหูฟังระดับพรีเมียมสูงถึง 64%
แต่จุดเปลี่ยนสำคัญของ Beats เกิดขึ้นเมื่อปี 2012 คือการเข้าซื้อกิจการ MOG ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการแพลตฟอร์มสตรีมมิงเพลง โดยมีสาเหตุการเข้าซื้อก็เพราะว่าทางบริษัทสามารถนำองค์ความรู้ของ MOG เพื่อมาพัฒนาเป็นของตัวเอง
และแล้วต้นปี 2014 “Beats Music” ก็ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ
ซึ่งหลังจากเปิดตัวได้ 3 เดือน มีผู้ใช้งานสูงถึง 110,000 ราย
ณ จุดนี้เองที่ไปเข้าตา Apple
เนื่องจากในตอนนั้น iTunes ของ Apple ไม่สามารถสู้กับทาง Spotify ได้เลย
Beats Music จึงเป็นเหมือนคำตอบที่ Apple กำลังตามหา
ในปีเดียวกันนั้นเอง Apple จึงตัดสินใจซื้อกิจการ Beats Electronics ทั้งหมดด้วยมูลค่า 9.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นการเข้าซื้อกิจการที่มูลค่ามากที่สุดของ Apple ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเลยทีเดียว
คำถามที่ตามมาก็คือ Apple ซื้อ Beats ไป ได้อะไรกลับมาบ้าง ?
เหตุผลที่ Apple ตัดสินใจลงทุนด้วยจำนวนเงินขนาดนี้
ทาง Eddy Cue รองประธานอาวุโสด้านอินเทอร์เน็ตและการบริการของ Apple
ได้ให้เหตุผลแบ่งเป็น 2 ข้อหลัก ๆ ออกเป็น
1. ความสามารถของ Dr. Dre และ Jimmy Iovine
Beats Electronics เกิดขึ้นจากการรวมตัวของ Dr. Dre และ Jimmy Iovine
ซึ่งคนหนึ่งเป็นนักร้องแรปเปอร์ที่ประสบความสำเร็จ อีกคนมีประสบการณ์ด้านดนตรี
ทั้งสองมีความเข้าใจโลกของเพลง เข้าใจว่าผู้คนต้องการฟังอะไร ฟังอย่างไร และฟังในรูปแบบไหน
จึงไม่แปลกใจเลยที่บริษัทเติบโตและมีรายได้สูงถึง 37,692 ล้านบาท ภายในระยะเวลาเพียง 8 ปี
การที่ได้ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับดนตรีเข้ามาร่วมทีม
จะทำให้ธุรกิจใหม่ของ Apple มีความเข้าใจและเลือกที่จะพัฒนา
ผลิตภัณฑ์ได้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น
2. ผลิตภัณฑ์และองค์ความรู้ของ Beats
- แบรนด์หูฟัง Beats ที่มีฐานลูกค้าอยู่ในกลุ่มระดับพรีเมียม
ซึ่งระดับนี้ก็อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ของ Apple
- Beats Music คืออีกตัวแปรสำคัญที่ทำให้ Apple ตัดสินใจในครั้งนี้
เพราะต้องการองค์ความรู้เพื่อนำมาพัฒนาสตรีมมิงของตัวเอง
ซึ่งปัจจุบันพัฒนามาเป็น “Apple Music” นั่นเอง
นอกเหนือจากเหตุผลที่ทางรองประธานอาวุโสได้ให้เหตุผลไว้
อีกเรื่องที่ Apple ได้จาก Beats ก็น่าจะเป็นเทคโนโลยีในการพัฒนาหูฟัง
ที่ทางบริษัทได้รุกเข้าสู่ตลาดหูฟังอย่างเต็มตัวครั้งแรกในปี 2016 กับ AirPods
หลังจากการเข้าซื้อกิจการเพียง 2 ปี
ก่อนที่จะปล่อยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นอีก ไม่ว่าจะเป็น AirPods หรือ AirPods Max
รวมถึงล่าสุด ที่มีการนำแบรนด์ Beats ไปพัฒนาสินค้ากลุ่ม True Wireless เพิ่มเติม
ปัจจุบัน Apple กลายมาเป็นบริษัทที่แม้จะไม่ได้เป็นบริษัทผู้ผลิตหูฟัง
แต่มีส่วนแบ่งการตลาดหูฟังประเภท True Wireless สูงที่สุดในโลก
โดยในปี 2020 Apple มีส่วนแบ่งในธุรกิจดังกล่าวมากถึง 31%
จากตรงนี้ ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า Beats เองได้กลายมาเป็นส่วนสำคัญ
ที่ทำให้ Apple ประสบความสำเร็จในผลิตภัณฑ์กลุ่มหูฟังรวมถึงการพัฒนาบริการสตรีมมิง
แม้ว่ามูลค่ากิจการที่ Apple จ่ายให้กับ Beats เหมือนว่าจะน้อยกว่า
เมื่อเทียบกับการเข้าซื้อกิจการของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อื่นพอสมควร
แต่ถ้าพูดถึงความคุ้มค่าแล้ว Beats ก็เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในดีลการเข้าซื้อกิจการที่ประสบความสำเร็จไม่แพ้ดีลไหนในโลก เลยทีเดียว..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://en.wikipedia.org/wiki/Beats_Electronics
-https://en.wikipedia.org/wiki/Beats_Music
-https://www.forbes.com/sites/zackomalleygreenburg/2018/03/08/dr-dres-3-billion-monster-the-secret-history-of-beats-3-kings-book-excerpt/?sh=37bf6d4c258d
-https://www.macthai.com/2014/05/27/history-of-beats-electronics-before-apple-acquisition/
-https://www.latimes.com/business/technology/la-fi-tn-apple-beats-brief-history-20140528-story.html
-https://medium.com/macoclock/why-did-apple-buy-beats-for-3-2-billion-92d3a5cab764
-https://www.reuters.com/article/idUS71812687520120321
-https://www.automotiverhythms.com/chrysler-a-beats-by-dr-dre-partner/
-https://en.wikipedia.org/wiki/Jimmy_Iovine
-https://www.ukessays.com/essays/marketing/beats-by-dre-marketing-analysis-7363.php
-https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_mergers_and_acquisitions_by_Apple
-https://www.statista.com/statistics/325991/beats-music/
analysis statistics 在 prasertcbs Youtube 的最讚貼文
สอนการพยากรณ์อนุกรมเวลาโดยใช้ SQL Server Data Mining Add-in บน Microsoft Excel โดยใช้ตัวอย่างการพยากรณ์ยอดขาย และจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศไทยแยกตามเดือนและปี
==ดาวน์โหลดไฟล์ตัวอย่างได้ที่ https://goo.gl/G4FzmC
analysis statistics 在 prasertcbs Youtube 的精選貼文
สอนการวิเคราะห์ตะกร้าสินค้า โดยใช้ SQL Server Data Mining Add-in สำหรับ Excel ควบคู่กับ SQL Server Analysis Services พร้อมกับการวิเคราะห์และตีความผลลัพธ์ที่ได้
analysis statistics 在 Statistical Data Analysis - Home | Facebook 的推薦與評價
Statistical analysis is a component of data analytics. In the context of business intelligence (BI), statistical analysis involves collecting and scrutinizing ... ... <看更多>
analysis statistics 在 Statistical data analysis | Statistical Data Science | Part 1 的推薦與評價
... <看更多>