เศรษฐีรวยสุดในเอเชีย มีน้องชาย เป็นบุคคลล้มละลาย ได้อย่างไร ? /โดย ลงทุนแมน
หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า Mukesh Ambani เจ้าของ Reliance Industries กลุ่มธุรกิจที่ใหญ่สุดในอินเดียและเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในเอเชีย มีน้องชายชื่อ Anil Ambani
สำหรับน้องชายของมหาเศรษฐีคนนี้ ก็เป็นเจ้าของธุรกิจที่แยกตัวออกมาจาก Reliance Industries ของพี่ชาย มีชื่อบริษัทว่า Reliance ADA Group
ในปี 2008 Mukesh Ambani มีทรัพย์สิน 1.4 ล้านล้านบาท รวยเป็นอันดับ 5 ของโลก
ในขณะที่ Anil Ambani ตามมาติด ๆ ด้วยทรัพย์สิน 1.37 ล้านล้านบาท และรวยเป็นอันดับ 6 ของโลก
โดยในปีนั้น เศรษฐี 4 อันดับแรกของโลก ได้แก่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (อเมริกัน), คาร์ลอส สลิม (เม็กซิโก),
บิลล์ เกตส์ (อเมริกัน) และลักษมี นิวาส มิตตัล (อินเดีย)
หลังจากผ่านไป 13 ปี Mukesh Ambani มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านล้านบาท
กลายมาเป็นมหาเศรษฐีรวยสุดในอินเดียและเอเชีย และรวยเป็นอันดับ 10 ของโลก
แต่ในปี 2019 Ambani คนน้องกลับมีทรัพย์สิน เพียง 5.6 หมื่นล้านบาท
จนล่าสุด มีหลายคนกล่าวว่าความมั่งคั่งตอนนี้ของ Ambani คนน้อง ลดลงจนเกือบเป็นศูนย์
แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับน้องชาย ของคนที่รวยสุดในเอเชีย ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ย้อนกลับไปในปี 1948 หรือเมื่อ 73 ปีก่อน ชายชาวอินเดียวัย 16 ปี
ที่ชื่อ Dhirubhai Ambani ได้ตัดสินใจเดินทางออกจากบ้านเกิดไปทำงานที่ประเทศเยเมน
ผ่านไป 10 ปี Dhirubhai กลับมาที่อินเดียพร้อมกับเงินเก็บ เพื่อมาเริ่มสร้างธุรกิจเอง
Dhirubhai เริ่มจากการนำเข้าเส้นใยสังเคราะห์และส่งออกเครื่องเทศ ก่อนจะเริ่มทำธุรกิจสิ่งทอ ซึ่งก็เติบโตอย่างรวดเร็ว จน Dhirubhai ได้ขยายกิจการไปในอุตสาหกรรมอื่น และเปลี่ยนมาใช้ชื่อบริษัทว่า “Reliance Industries” ในปี 1973
Reliance Industries สามารถ IPO ได้ในปี 1977 ซึ่งหุ้นของบริษัทก็มีชาวอินเดียสนใจลงทุนเป็นจำนวนมาก ถึงขนาดเคยจัดประชุมผู้ถือหุ้นที่สเตเดียม
ตั้งแต่ที่กิจการเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว Dhirubhai ก็เริ่มให้ลูกชายทั้ง 2 คนของเขา เข้ามาช่วยบริหารงานที่บริษัท
Mukesh Ambani ลูกชายคนโต เป็นประธาน
Anil Ambani ลูกชายคนรอง เป็นกรรมการผู้จัดการ
แต่แล้วในปี 2002 Dhirubhai ได้เสียชีวิตลงและได้ทิ้งกิจการ Reliance Industries ไว้กับลูกชายทั้ง 2 คน
Dhirubhai ที่จากโลกนี้ไปไม่ได้ทำพินัยกรรมและข้อตกลงแบ่งกิจการให้กับลูกแต่ละคนไว้ ซึ่งเขาก็คงไม่คิดว่า จะเกิดปัญหาตามมา
โดยปัญหาที่ว่านั้นเริ่มเกิดขึ้นเพราะลูกชายทั้ง 2 คน ที่เริ่มเข้าทำงานและมีบทบาทในบริษัทมาพร้อม ๆ กัน
กลับตกลงกันไม่ได้ว่าใครจะเป็นเจ้าของและใครจะดูแลและรับผิดชอบบริษัทไหนบ้าง
สุดท้ายแล้ว ในช่วงปี 2004 ถึง 2005 ผู้เป็นแม่ต้องเข้ามาช่วยแก้ปัญหา
โดยการจ้างบุคคลที่ 3 ให้เข้ามาจัดการเรื่องการแยกบริษัทออกจากกันไปเลย
Mukesh Ambani คนพี่ได้ธุรกิจหลักคือปิโตรเลียม ซึ่งเขามีบทบาทสำคัญในการขยายกิจการในส่วนนี้มาตั้งแต่แรก และยังได้ธุรกิจอื่น ๆ อย่างเช่นปิโตรเคมี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจยุคเก่า โดยกลุ่มบริษัทของ Mukesh ใช้ชื่อว่า Reliance Industries
Anil Ambani คนน้องได้ธุรกิจหลักคือ Reliance Communications ธุรกิจโทรคมนาคมที่เพิ่งเริ่มกิจการได้ไม่นาน แต่ก็กลายเป็นบริษัทเทเลคอมที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในอินเดีย ซึ่งแม้ว่า Mukesh จะมีบทบาทสำคัญมาตั้งแต่ต้น แต่ Anil ก็อยากได้ธุรกิจนี้เช่นกัน
นอกจากธุรกิจเทเลคอมแล้ว กิจการอื่นที่ Anil Ambani ได้รับไปดูแลอีกก็อย่างเช่น ธุรกิจพลังงาน และบริการทางการเงิน ซึ่งส่วนมากจะเป็นธุรกิจยุคใหม่ โดยกลุ่มธุรกิจของ Anil Ambani ใช้ชื่อว่า “Reliance ADA Group”
หลังจากจบเรื่องการแบ่งธุรกิจแล้ว แต่ละคนก็เริ่มต่อยอดธุรกิจตามเส้นทางของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น
Mukesh Ambani เริ่มทำธุรกิจค้าปลีกในปี 2006 จน Reliance Retail กลายมาเป็นธุรกิจค้าปลีกที่ใหญ่สุดในอินเดีย
ในขณะที่ Anil Ambani ก็ได้ต่อยอดทำธุรกิจบันเทิง อย่างเช่นในปี 2005 ได้ซื้อบริษัท Adlabs Films ที่เป็นเจ้าของโรงภาพยนตร์ Big Cinemas ซึ่งกลายมาเป็นโรงภาพยนตร์ที่มีสาขามากสุดในอินเดียในอีก 3 ปีถัดมา
ในปี 2008 Reliance Entertainment ของ Anil Ambani ก็ได้เซ็นสัญญากับบริษัทผลิตภาพยนตร์ DreamWorks ของผู้กำกับ Steven Spielberg ซึ่งได้ร่วมผลิตภาพยนตร์ที่ได้รางวัลมากมาย อย่างเช่น The Help และ Lincoln
และปีเดียวกันนี้ Anil Ambani ก็ได้นำบริษัทพลังงานอย่าง Reliance Power จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ด้วยมูลค่าการระดมทุนที่สูงเป็นประวัติการณ์ในขณะนั้น
ผ่านไป 6 ปีหลังจากการเสียชีวิตของ Dhirubhai
ดูเหมือนว่าลูกชายของเขาทั้งคู่ก็ต่อยอดกิจการไปได้อย่างสวยงาม
จนทำให้ในปี 2008 Mukesh มีทรัพย์สิน 1.4 ล้านล้านบาท รวยเป็นอันดับ 5 ของโลก และ Anil มีทรัพย์สิน 1.37 ล้านล้านบาท รวยเป็นอันดับ 6 ของโลก
แต่หลังจากนั้น เส้นทางความมั่งคั่งของพี่น้องคู่นี้ กลับเริ่มมีทิศทางที่สวนทางกัน
คนพี่รวยขึ้น ส่วนคนน้องความมั่งคั่งหายไปเกือบหมด
แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ?
เรื่องทั้งหมดมีจุดเริ่มต้นมาจากเงินที่บริษัท Reliance Power ของ Anil Ambani ได้มาจากการ IPO มีแผนจะใช้สร้างโรงไฟฟ้าที่ส่วนใหญ่จะผลิตจากก๊าซ
โดยก๊าซที่ Reliance Power ใช้ ก็มาจากบริษัทก๊าซธรรมชาติในเครือ Reliance Industries ของ Mukesh นั่นเอง
ซึ่งในตอนที่แยกบริษัทกัน สองพี่น้องก็ได้เซ็นสัญญาว่าบริษัทก๊าซของ Mukesh Ambani จะขายก๊าซให้โรงไฟฟ้าของน้องชายที่ราคาหนึ่ง
แต่ในวันที่โรงไฟฟ้าสร้างใกล้จะเสร็จและถึงเวลาที่พี่ชายจะขายก๊าซให้กับน้อง ราคาก๊าซในตลาดโลกกลับเพิ่มสูงขึ้นไปเกือบเท่าตัว
Anil Ambani จึงต้องการซื้อก๊าซในราคาที่ตกลงกัน เพื่อที่จะไม่ต้องเผชิญต้นทุนก๊าซที่สูงขึ้น
แต่ทาง Mukesh Ambani ไม่สามารถขายก๊าซตามราคาที่ตกลงกันไว้ได้เพราะบริษัทของเขาจะขาดทุน
แต่แทนที่จะเจรจาตกลงกัน Anil Ambani กลับเลือกที่จะยื่นฟ้องบริษัทพี่ชายในปี 2010 เพื่อให้ซื้อก๊าซได้ในราคาเดิมที่เคยตกลงกัน
แต่ศาลก็ได้มีคำสั่งให้ Anil Ambani ซื้อก๊าซในราคาใกล้เคียงกับราคาตลาดโลก ซึ่งเป็นไปตามนโยบายราคาก๊าซของประเทศ
สุดท้ายแล้ว Anil Ambani ที่ต้องแบกรับต้นทุนก๊าซเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว จึงไม่สามารถจัดหาก๊าซเพื่อไปใช้ผลิตไฟฟ้าในโรงไฟฟ้าที่สร้างรอไว้แล้วได้
Reliance Power จึงกลายเป็นบริษัทที่มีหนี้มหาศาล จนต้องขายทรัพย์สินและกิจการบางส่วนออกไป เพื่อเอามาใช้หนี้ ซึ่งรวมถึงกิจการโรงภาพยนตร์ Big Cinemas ที่ซื้อมาเมื่อปี 2008 ด้วย
แต่ความผิดพลาดทางธุรกิจของ Anil Ambani ยังไม่ได้จบลงแค่นี้ เพราะเรื่องราวที่ร้ายแรงกว่านั้น เกิดขึ้นกับธุรกิจโทรคมนาคมอย่าง Reliance Communications (RCom)
ในปี 2002 ซึ่งเป็นช่วงที่ RCom เพิ่งเริ่มทำธุรกิจ RCom เลือกใช้เทคโนโลยีการสื่อสารที่เรียกว่า CDMA ซึ่งใช้เงินลงทุนน้อยกว่า ขณะที่บริษัทคู่แข่งอย่างเช่น Airtel เลือกใช้เทคโนโลยีที่ชื่อ GSM
แม้เทคโนโลยีทั้ง 2 แบบจะใช้ได้ดีกับ 2G และ 3G เหมือนกัน แต่ปัญหาก็คือ CDMA ที่ RCom เลือกใช้ ไม่สามารถรองรับ 4G และ 5G ได้แบบ GSM ที่เหล่าคู่แข่งเลือกใช้
นั่นจึงทำให้ช่วงเวลาที่ทั่วโลกเปลี่ยนผ่านจาก 3G มาเป็น 4G อย่างรวดเร็ว RCom เลยตามคนอื่นไม่ทัน จน RCom กลายเป็นบริษัทที่เริ่มมีหนี้มากขึ้น
และจุดพลิกผันครั้งใหญ่ของ RCom รวมไปถึงทั้งอุตสาหกรรมเทเลคอมของอินเดีย ก็เกิดขึ้นในปี 2016
เมื่อ Mukesh Ambani ได้ก่อตั้งบริษัทย่อยของ Reliance Industries ในชื่อ “Jio” ซึ่งเป็นบริษัท
ที่เน้นบริการด้านเทคโนโลยี รวมถึงการให้บริการโทรคมนาคมแบบเดียวกับ RCom ด้วย
ด้วยชื่อเสียงของ Reliance Industries ก็ทำให้ Jio มีจำนวนผู้ใช้งานเครือข่ายโทรศัพท์เพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้กำไรของบริษัทที่เป็นหนึ่งในผู้นำตลาดอย่าง Airtel ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และทำให้อีก 2 บริษัทที่มีส่วนแบ่งตลาดรองลงมาอย่าง Vodafone และ Idea ต้องควบรวมกิจการกัน
ในเวลาต่อมาบริษัท Jio ของ Mukesh Ambani ก็กลายมาเป็นบริษัทเทเลคอมที่ใหญ่สุดในอินเดีย ส่วน RCom ของ Anil ที่ย่ำแย่อยู่แล้ว ก็หายไปจากการแข่งขันในตลาดเทเลคอม จนทำให้บริษัทขาดทุนและกลายเป็นหนี้มหาศาล
RCom ต้องยอมขายสินทรัพย์ของกิจการบางส่วนให้กับ Jio เพื่อลดหนี้
แต่นั่นก็ยังไม่ช่วยให้สถานการณ์ของ RCom ดีขึ้น
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2013 RCom ได้ทำข้อตกลงกับ Ericsson โดยจ้างให้ Ericsson มาเป็นผู้บริหารเครือข่ายในบริเวณทางเหนือและตะวันตกของอินเดีย แต่ผลจากการขาดทุนต่อเนื่องก็ทำให้ RCom ไม่มีเงินจ่ายให้ Ericsson ตั้งแต่ปี 2016
RCom ติดหนี้ Ericsson 2.46 พันล้านบาท ซึ่ง RCom ก็ไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ตามกำหนด และขอเลื่อนเวลาการจ่ายหนี้ออกไปเรื่อย ๆ ซึ่งสุดท้ายแล้ว RCom จ่ายหนี้ได้เพียง 528 ล้านบาท นำไปสู่การถูกฟ้องร้องในเวลาต่อมา
ศาลสูงสุดจึงมีคำตัดสินว่า ถ้าภายใน 1 เดือน RCom ยังจ่ายหนี้ให้ Ericsson ไม่ได้ Anil จะต้องถูกจำคุก 3 เดือน
สุดท้ายแล้วพี่ชายของ Anil Ambani อย่าง Mukesh ก็เข้ามาช่วย
โดยการจ่ายหนี้ที่เหลือ มูลค่ากว่า 2 พันล้านบาทให้
ในขณะที่ บริษัท RCom ก็ต้องยื่นล้มละลาย
แต่เรื่องราวยังไม่จบแค่นั้น เพราะ RCom ยังมีหนี้ก้อนใหญ่อีกก้อน ที่กู้ยืมมาจาก 3 ธนาคารขนาดใหญ่ของจีน ทั้ง ICBC, China Development Bank และ EXIM Bank of China เป็นมูลค่า 2.3 หมื่นล้านบาท
ทั้ง 3 ธนาคารจึงยื่นฟ้อง RCom และ Anil Ambani..
ช่วงต้นปี 2020 ที่ผ่านมา ซึ่ง Anil ได้พูดระหว่างพิจารณาคดีออนไลน์กับศาลของประเทศอังกฤษว่า เขาไม่มีเงินใช้หนี้ เพราะความมั่งคั่งของเขาตอนนี้ใกล้จะเป็นศูนย์แล้ว.. ซึ่งจนถึงตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าเขาจะหาเงินจากไหนมาใช้หนี้
จากความขัดแย้งเพื่อแย่งกิจการกันเองในครอบครัว บวกกับการบริหารธุรกิจที่ผิดพลาด การทุ่มเงินลงทุนขนาดใหญ่แต่ได้ผลลัพธ์แย่กว่าที่คาด ทำให้บริษัทก่อหนี้ก้อนโต
ทั้งหมดนี้ก็ได้ส่งผลไปยังทรัพย์สินของผู้ที่เคยรวยติดอันดับ 6 ของโลกอย่าง Anil Ambani ได้หายไปเกือบหมด ในขณะที่พี่ชายที่เติบโตมาพร้อมกัน กลับเดินสวนทางกัน เพราะประสบความสำเร็จในธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นเศรษฐี ที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชีย นั่นเอง
ถ้าใครเชื่อว่าชีวิตของเราถูกกำหนดมาแล้วตั้งแต่เกิด
เกิดมาในครอบครัวที่รวย ก็ย่อมมีแรงส่งให้พวกเขารวยขึ้น
ซึ่งมันก็เป็นจริงในหลายกรณี
แต่ในบางกรณี มันก็อาจเป็นตรงกันข้าม
ซึ่งอย่างน้อย มันก็เกิดขึ้นแล้วกับ Anil Ambani น้องชายของ มหาเศรษฐี ที่รวยสุดในเอเชีย นั่นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.businessinsider.in/thelife/personalities/news/anil-ambanis-journey-from-42-billion-net-worth-to-claiming-poverty/articleshow/74028627.cms
-https://www.scmp.com/magazines/style/celebrity/article/3093874/mukesh-vs-anil-why-did-one-ambani-brother-go-bankrupt
-https://economictimes.indiatimes.com/industry/telecom/telecom-news/from-glory-to-dust-an-ambani-brands-journey-to-bankruptcy/articleshow/67837769.cms?from=mdr
-https://www.businesstoday.in/latest/economy-politics/story/anil-ambani-road-to-bankruptcy-how-the-brother-of-indias-richest-man-lost-his-way-271119-2020-08-25
-https://www.moneycontrol.com/news/business/a-timeline-of-reliance-communications-versus-ericsson-case-3661261.html
-https://youtu.be/dBH0E20kc30
-https://www.forbes.com/forbes/2008/0324/080.html?sh=3e185f910f2e
-https://en.wikipedia.org/wiki/Reliance_Industries
-https://en.wikipedia.org/wiki/Reliance_Group
同時也有18部Youtube影片,追蹤數超過75萬的網紅志祺七七 X 圖文不符,也在其Youtube影片中提到,🔥 志祺七七團隊誠徵「全職企劃」與「特約作者」🔥 歡迎點擊官網看更多職缺資訊:https://www.simpleinfo.cc/hiring/ ✔︎ 成為七七會員(幫助我們繼續日更,並享有會員專屬福利):http://bit.ly/shasha77_member ✔︎ 購買黃臭泥周邊商品: h...
bankruptcy 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
เส้นทาง Moose Toys อาณาจักรของเล่น หมื่นล้าน จากออสเตรเลีย /โดย ลงทุนแมน
ถ้าพูดถึงบริษัทของเล่น หลายคนคงจะคิดถึง Hasbro หรือไม่ก็ Mattel
แต่รู้ไหมว่า มีบริษัทของเล่นรายหนึ่งในออสเตรเลีย ที่ครั้งหนึ่งบริษัทมีปัญหาจนเกือบล้มละลาย แต่สุดท้ายก็สามารถพลิกกลับมามียอดขายโตกว่า 7,000%
ที่น่าสนใจคือ ชายที่เข้ามาปลุกปั้นอาณาจักรของเล่นนี้ให้ยิ่งใหญ่ คือชายที่ลี้ภัยมาจากเยอรมนี ข้ามน้ำข้ามทะเลกับครอบครัว มาก่อร่างสร้างตัว ณ แดนจิงโจ้แห่งนี้
แล้วเรื่องราวนี้ เป็นมาอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ชายที่เราพูดถึง เขามีชื่อว่า Manny Stul เกิดเมื่อปี 1949 ที่ค่ายผู้อพยพพลัดถิ่น ใกล้กับเมืองมิวนิก ในประเทศเยอรมนี
แต่ด้วยความที่พ่อและแม่ของเขาเป็นชาวโปแลนด์เชื้อสายยิว ที่เกิดในช่วงสงครามโลก ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับในเยอรมนี จึงทำให้ต่อมาครอบครัวของเขาต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ และข้ามน้ำข้ามทะเลมายังออสเตรเลีย
ครอบครัวของเขา มาตั้งรกรากอยู่ที่ Perth เมืองทางตะวันตกของออสเตรเลีย และทั้งพ่อและแม่ของเขา ต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อส่งให้ Manny ได้เรียนหนังสือ
ส่วนตัวของ Manny เอง เขาเป็นเด็กที่เรียนเก่งมาก จนได้ทุนการศึกษา แต่ตัวเขากลับไม่อยากจะสนใจในเรื่องการเรียนอีกแล้ว เพราะอยากทำงานหาเงินได้เร็ว ๆ จากที่เห็นพ่อแม่ลำบากมาตลอด
สุดท้าย Manny จึงตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนตอนเขาอายุได้ 15 ปี เพื่อมาทำงานหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัว
หลังจากทำงานเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง เขาก็ได้ให้รางวัลตัวเองด้วยการออกเดินทางไปเที่ยวยุโรป ซึ่งการไปเที่ยวครั้งนี้เอง ได้เป็นจุดเริ่มต้นในการทำธุรกิจของเขา
เพราะในช่วงที่เขาไปเที่ยว เขาก็ได้พบกับ ชุดช้อนส้อม ที่ออกแบบสไตล์สแกนดิเนเวีย และเกิดเป็นไอเดียธุรกิจ ว่าอยากจะลองนำเข้าสินค้าจากแถบสแกนดิเนเวียมาขายในออสเตรเลีย
หลังจากกลับมาจากการเดินทางครั้งนั้น เขาก็อยากรีบมาทำธุรกิจตามที่คิดไว้ในทันที แต่ก็ติดปัญหาตรงที่ เขายังมีเงินทุนไม่มากพอ จึงต้องไปทำงานในไซต์ก่อสร้างเพื่อเก็บเงินเพิ่ม
ระหว่างทำงานในไซต์ก่อสร้าง เขาก็เกือบจะออกนอกลู่นอกทาง เพราะงานที่ทำนั้นหนักมาก ทำให้เขาเหนื่อยและเครียดมากจนติดเหล้าอย่างหนัก แต่เมื่อเขาดึงสติตัวเองกลับมาได้ เขาถอนตัวได้ทัน และกลับมาตั้งใจทำงานเก็บเงินอีกครั้ง
หลังจากมีเงินทุนเพียงพอ เขาก็ได้เริ่มต้นทำธุรกิจนำเข้าสินค้าในปี 1974 ที่มีชื่อว่า Skansen
นี่ถือได้ว่าการทำธุรกิจในครั้งนี้เริ่มต้นจากศูนย์อย่างแท้จริง เพราะเขาไม่รู้เลยว่าการทำธุรกิจต้องทำอย่างไรบ้าง
เขาเริ่มเรียนรู้ด้วยตัวเองจากจุดเริ่มต้น ตั้งแต่เดินทางไปติดต่อคู่ค้าเพื่อสร้างความสัมพันธ์ เรียนรู้การตั้งราคาขายสินค้า หรือแม้กระทั่งทำการขนส่งสินค้าด้วยตนเอง
ซึ่งตัวของ Manny เองมองว่า สิ่งที่เขาเรียนรู้จากการเริ่มทำธุรกิจครั้งแรก คือความไว้วางใจ ความเชื่อใจกันระหว่างพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจ ถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และนี่ก็ได้กลายมาเป็นหลักยึดสำคัญในการทำธุรกิจของเขาเรื่อยมา
หลังจากทำธุรกิจมาได้เกือบ 20 ปี ในช่วงปี 1994 ร้าน Skansen ก็ได้เติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายมาเป็น ธุรกิจร้านขายของขวัญและสินค้านำเข้า ชื่อดังในออสเตรเลีย
อย่างไรก็ตามในช่วงนั้น พ่อของเขาก็ได้เสียชีวิตลง ในขณะที่แม่ของเขาก็เริ่มมีอาการของโรคอัลไซเมอร์
Manny จึงตัดสินใจขายธุรกิจ Skansen ไปด้วยมูลค่าราว ๆ 567 ล้านบาท ให้กับ George Snow มหาเศรษฐีชาวออสเตรเลีย โดยเขาคิดว่า เขาจะวางมือจากการทำงานทุกอย่าง และหันไปทำฟาร์มในชนบทแทน
หลังไปใช้ชีวิตในชนบทได้ราว 5-6 ปี ต่อมาในช่วงปี 2000 Manny ก็เริ่มกลับมามองหาการลงทุนในบริษัทที่น่าสนใจ เพื่อต่อยอดเงินเก็บที่เขามีอยู่
ที่ปรึกษาทางการเงินของเขาจึงแนะนำให้เขาเข้าไปลงทุนในบริษัทที่ชื่อว่า “Moose Toys” ซึ่งเป็นบริษัทขายของเล่นเล็ก ๆ ที่มีพนักงานในตอนนั้นเพียง 10 คนเท่านั้น
Manny เองก็ลองศึกษาตัวธุรกิจดู และก็มองเห็นว่าบริษัทแห่งนี้มีแนวโน้มที่จะเติบโตได้ในอนาคต จึงตัดสินใจทุ่มเงินเข้าไปซื้อกิจการ และหลังจากนั้นเขาก็ตัดสินใจหวนคืนกลับมาสู่วงการนักบริหารกิจการอีกครั้ง..
ช่วงแรกที่เขาเข้ามา Moose Toys ทำรายได้ได้ปีละประมาณ 134 ล้านบาท
เขาเริ่มเข้ามาปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานทั้งหมด ปรับโครงสร้างบริษัทใหม่ จ้างทีมพัฒนาสินค้าใหม่เข้ามา และหลังจากนั้น Moose Toys ก็ได้ออกสินค้าใหม่
จุดเปลี่ยนสำคัญของ Moose Toys คือการเปิดตัว Mighty Beanz ของรูปทรงคล้ายลูกปัด หรือเมล็ดถั่ว
ซึ่งกลายเป็นที่นิยมไปทั่วออสเตรเลีย และสามารถทำให้รายได้ของบริษัทเพิ่มจากหลักร้อยล้านบาท เป็นราว ๆ 1,400 ล้านบาท ในเวลา 4 ปี
หลังจากนั้นบริษัทก็ได้เริ่มขยายฐานการผลิตไปยังประเทศจีน และเริ่มขยับขยายไปทำตลาดในจีนและต่างประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ
อย่างไรก็ตาม การออกสินค้าใหม่ครั้งนั้น ก็ทำให้บริษัทต้องเผชิญกับปัญหาครั้งใหญ่ ที่ทำให้บริษัทเกือบล้มละลาย
เนื่องจากมีการรายงานว่า พบเด็กต้องเข้าโรงพยาบาล จากการพยายามอมและกลืน Mighty Beanz ซึ่งสารเคมีใน Mighty Beanz เมื่อสัมผัสกับน้ำลาย จะเปลี่ยนเป็นสารอันตรายต่อร่างกาย
เรื่องนี้ทำให้ Moose Toys ต้องเรียกคืนสินค้าทั้งหมดกว่า 40 ล้านชิ้น
รัฐบาลจีนสั่งห้ามนำเข้าหรือขายสินค้าของ Moose Toys ทุกชนิด
และ Moose Toys ถูกฟ้องร้องหลายคดี สร้างความเสียหายให้กับบริษัทเป็นอย่างมาก
เหตุการณ์ในครั้งนั้นกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่ของบริษัท ชื่อเสียงที่สร้างมา กำลังจะถูกทำลายลงไปในทันตา
หลายคนคิดว่า Moose Toys ต้องล้มละลายแน่ ๆ แต่ Manny ไม่คิดแบบนั้น โดยเขาได้หันไปปรึกษากับทนายความที่มีชื่อว่า Leon Zwier
ซึ่งนอกจากทนาย Leon Zwier จะให้คำแนะนำและช่วยดูแลเรื่องข้อกฎหมายแล้ว
เขายังแนะนำให้ Manny เดินทางไปงานรวมของเล่นที่ฮ่องกง เพื่อไปเชื่อมสัมพันธ์ สร้างคอนเน็กชันทางธุรกิจ กับกลุ่มธุรกิจร้านจัดจำหน่ายรายใหญ่ เพื่อหาตลาดใหม่ให้กับ Moose Toys
Manny เริ่มเดินหน้าหาคู่ค้าและคอนเน็กชันให้กับบริษัท Moose Toys โดยเริ่มต้นจากการอธิบายให้คู่เจรจาทุกคนเข้าใจ ว่าธุรกิจของเขากำลังเจอปัญหาอะไรอยู่ อย่างตรงไปตรงมา
จากนั้นเขาก็ยื่นข้อเสนอที่ดึงดูดใจคู่เจรจา เช่น จะมอบส่วนลดพิเศษให้เป็นระยะเวลาหนึ่ง หากตกลงเป็นคู่ค้ากับ Moose Toys
ซึ่งกลยุทธ์ในครั้งนั้นก็ประสบความสำเร็จ มีผู้จัดจำหน่ายมากกว่า 30 ราย จากหลายประเทศ ตกลงเป็นคู่ค้ากับ Moose Toys
หลังจากการเจรจาทางธุรกิจสำเร็จไปได้ด้วยดี Manny ก็เดินทางกลับมาออสเตรเลีย เพื่อมาชี้แจงต่อหน่วยงานด้านสุขภาพ ว่าของเล่นจาก Moose Toys นั้นมีความปลอดภัย
Manny ถึงกับเอาตัวเองเป็นการรับประกัน โดยเขาได้บอกว่า หากยังตรวจพบสารอันตรายในของเล่นจาก Moose Toys ให้ฟ้องเอาผิดเขาในคดีอาญาได้เลย
หลังจากนั้นมา ความเชื่อมั่นของบริษัทก็ค่อย ๆ ฟื้นกลับมา บริษัทมีตลาดใหม่ ๆ ในหลายประเทศเพิ่มขึ้นมา และยอดขายของบริษัทก็เริ่มกลับมาเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้อีกครั้ง
สรุปภาพรวมแล้ว ภายใต้การบริหารของ Manny Stul ในช่วงเวลา 15 ปี ตั้งแต่ปี 2000-2015 ยอดขายของ Moose Toys เติบโตจาก 134 ล้านบาท เป็น 9,600 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นกว่า 7,000%
ซึ่งนั่นทำให้เขา ได้รับรางวัล Ernst & Young Entrepreneur of the Year for Australia ในปี 2016 อีกด้วย
ในปัจจุบัน Manny Stul ถูกประเมินโดย Forbes
ว่ามีมูลค่าทรัพย์สินอยู่ประมาณ 33,000 ล้านบาท
และกลายมาเป็น หนึ่งในมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด ในออสเตรเลีย..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.theaustralian.com.au/weekend-australian-magazine/how-manny-stul-created-the-moose-toys-empire/news-story/76d05b78b7f2a1bb4bbc90cb14a4ff50
-https://www.afr.com/life-and-luxury/how-manny-stul-overcame-disaster-to-save-moose-toys-20160422-gocvr0
-https://www.linkedin.com/pulse/from-toy-year-near-bankruptcy-rebounding-top-global-company-hall
-https://www.youtube.com/watch?v=wjxgQM5Yohc
-https://www.forbes.com/profile/manny-stul/?sh=549dd9bd1bf0
bankruptcy 在 台灣金融研訓院 Facebook 的最佳解答
最會講歷史故事的辣個男人Cheap又來啦!
這次不是要跟大家說金融科技力
而是要跟大家說說銀行的歷史🧐
👉https://reurl.cc/R0DMRg
---
說到銀行的歷史就要從七種武器之首——
欸不是那是好折凳
是從兌幣商人的生財工具『長凳(Banca)』開始說起⋯
【#破產的歷史】
拉丁文的古義大利語的長凳叫做 Banca,銀行的英文「Bank」也是由 Banca 演變而來,相傳以前義大利的兌幣商人周轉不靈時,就會被 8+9 債權人砸碎長凳,這就是 Bankruptcy 破產的由來。
【#那銀行的歷史是怎麼來的】
哪泥?!銀行竟然跟聖殿騎士團有關?
衛護宗教聖地的聖殿組織團,大概覺得打仗沒什麼賺頭還會折兵損將,竟然直接搞起了金融業,不只是騎士可以透過騎士團儲蓄、匯款和貸款,直接從「#宗教部隊」變成「#跨國銀行」,連國王都和聖殿騎士團借錢。
不過後來,法國國王腓力四世欠了一屁股債,但他不想還錢,直接宣布聖殿騎士團是異端,然後聖殿騎士團就滅團了,可憐吶~不過聖殿騎士團的金融服務也奠定了現代銀行業務的基礎,堪稱是歐洲銀行業的始祖啊!
這個故事也告訴我們:借錢需謹慎,想想如果對方最後不還錢該怎麼辦🤣
---
本次影片與 Cheap 保險發路米 follow me 合力製作~
👉https://reurl.cc/R0DMRg
bankruptcy 在 志祺七七 X 圖文不符 Youtube 的最佳解答
🔥 志祺七七團隊誠徵「全職企劃」與「特約作者」🔥
歡迎點擊官網看更多職缺資訊:https://www.simpleinfo.cc/hiring/
✔︎ 成為七七會員(幫助我們繼續日更,並享有會員專屬福利):http://bit.ly/shasha77_member
✔︎ 購買黃臭泥周邊商品: https://reurl.cc/Ezkbma 💛
✔︎ 訂閱志祺七七頻道: http://bit.ly/shasha77_subscribe
✔︎ 追蹤志祺IG :https://www.instagram.com/shasha77.daily
✔︎ 來看志祺七七粉專 :http://bit.ly/shasha77_fb
✔︎ 如果不便加入會員,也可從這裡贊助我們:https://bit.ly/support-shasha77
(請記得在贊助頁面留下您的email,以便我們寄送發票。若遇到金流問題,麻煩請聯繫:service@simpleinfo.cc)
#底片 #時代的眼淚
各節重點:
00:00 開頭
01:37 【志祺七七正職/特約作者】一分鐘廣告
02:37 底片是什麼?它是怎麼來的?
04:16 底片輝煌的20世紀
06:09 擊敗底片的數位相機
08:04 還喜歡拍底片的原因
10:29 我們的觀點
11:54 問答
12:13 結尾
【 製作團隊 】
|企劃:冰鱸
|腳本:冰鱸
|編輯:土龍
|剪輯後製:Pookie
|剪輯助理:歆雅/珊珊
|演出:志祺
——
【 本集參考資料 】
→底片時代正式終結!富士底片宣告停產,它真的成了時代眼淚:https://bit.ly/394pqXx
→What is Lomography:https://bit.ly/392fpKH
→What Is Lomography?:https://bit.ly/3tIlaVz
→The Ultimate Guide to Lomography:https://bhpho.to/3rhIDvr
→HOW PHOTOGRAPHY CHANGED HISTORY IN MORE WAYS THAN YOU THINK:https://bit.ly/2NEms4B
→How early photography changed the world:https://cnn.it/3sbrQLs
→History of Photographic Film - First Photographic Plates:https://bit.ly/3lAfOZQ
→History of Digital Photography - Who Invented the First Digital Camera?:https://bit.ly/3tI0htQ
→Digital Revenue To Surpass Film Revenue in 2000:https://bit.ly/3lGj7yK
→Digital camera sales to exceed film cameras in U.S., says new report:https://bit.ly/39l7loz
→Why Kodak Died and Fujifilm Thrived: A Tale of Two Film Companies:https://bit.ly/3sbyfX4
→Why Did Kodak Fail? | Kodak Bankruptcy Case Study:https://bit.ly/314FwMx
→The History of Kodak:https://bit.ly/3vNZlGc
→Kodak: From Brownie and roll film to digital disaster:https://bbc.in/3f46w6T
→Focus on past glory kept Kodak from digital win:https://reut.rs/3c8iYkp
→Film vs Digital – A Photo Comparison:https://bit.ly/3tEGXxx
→Film vs. Digital Photography: Breaking Down the Pros and Cons:https://bit.ly/3f6lf1g
→This Is Why Film Photography Is Making a Comeback:https://bit.ly/314PVrA
→影像慢活 底片相機擁有的驚喜:https://bit.ly/3sdqCiX
→底片膠卷跟數位到底差在哪裡?:https://bit.ly/3s8vIgw
→底片丨毒品般的中片幅正片:https://bit.ly/3seoNCo
→為什麼拍底片?:https://bit.ly/3c5ICpY
→關於拍底片的murmur:https://bit.ly/3tAsbrA
→Film Format Does Matter ?:https://bit.ly/393Uo27
【 延伸閱讀 】
→摄影是一场深刻影响人类的科技变革:https://bit.ly/391pMhy
→《發明簡史》:電影發明的專利大戰──愛迪生與被失蹤的正宗電影之父:https://bit.ly/3lzumsE
→感光元件/片幅大小和拍照的關係:https://bit.ly/3saPZlA
\每週7天,每天7點,每次7分鐘,和我們一起了解更多有趣的生活議題吧!/
🥁七七仔們如果想寄東西關懷七七團隊與志祺,傳送門如下:
106台北市大安區羅斯福路二段111號8樓
🟢如有引用本頻道影片與相關品牌識別素材,請遵循此規範:http://bit.ly/shasha77_authorization
🟡如有業務需求,請洽:hi77@simpleinfo.cc
🔴如果影片內容有誤,歡迎來信勘誤:hey77@simpleinfo.cc
bankruptcy 在 cold bear Youtube 的最佳解答
🚩一起捡垃圾:https://lengdanxiongil.page.link/ZCg5
🚩更多三国系列:https://lengdanxiongil.page.link/85EH
🚩更多火影系列:https://lengdanxiongil.page.link/moke
🚩熊熊游戏时间:https://lengdanxiongil.page.link/Ak1i
关注冷淡熊FB账号→https://www.facebook.com/%E5%86%B7%E6%B7%A1%E7%86%8A-114332683748278/
#配音#单机游戏#游戏配音#搞笑视频#恶搞视频#恶搞游戏#破产
我,冷淡熊!破产了,只能靠吃垃圾为生了
网吧被我经营倒闭了
在这个偌大的城市里却没有一点点温暖...
————————————————————————————————
If the producer or copyright owner finds that there is infringement in this video, please contact me immediately, and I will delete the video containing your content immediately!
关注冷淡熊,一生不会穷!
bankruptcy 在 七王 Youtube 的最佳解答
兩種版本不同的區別
"Grind Stormer"採用道具系統,玩家可以視情況取得所需的武裝道具
"V-Five"採用"宇宙巡航艦"的武器系統,獲得升級道具之後,依照想升級的武器做選擇
Grind Stormer is a 1993 vertically scrolling shooter arcade video game originally developed and published by Toaplan in Japan and North America. It is considered to be the spiritual successor to Slap Fight. Based around a video game within a video game concept, players assume the role of a young secret agent assigned by the government taking control of the NA-00 space fighter craft in an attempt to defeat the titular virtual reality simulator, rescue the abducted players who lost against it and unveil its true purpose.
Headed by DonPachi producer Kenichi Takano, Grind Stormer was created by a small development team of new employees at Toaplan who would later go on to work at one of its offshoots after the company declared bankruptcy in 1994 and was originally titled Bakuretsu Wing before being ultimately renamed to V・V in Japan. It is notable for marking the debut of Cave co-founder Tsuneki Ikeda in the video game industry, serving as one of its programmers and features a much smaller hitbox for the ship compared with previous shoot 'em up games released at the time. It is also notable for being one of the last games by Toaplan to feature an FM soundtrack, as the company began to clear out their FM chip inventory. Initially launched for the arcades, the game was later ported to the Sega Genesis by Tengen and first published in Japan on 25 March 1994 and a month later in North America, featuring both the original Japanese and North American versions as selectable gameplay modes.
Grind Stormer proved to be popular in arcades but the game has been met with mixed reception from critics and reviewers alike since its release on the Genesis, who felt divided in regards to several aspects such as the presentation, visuals, sound design and gameplay. It has been regarded by some to be an early example of a manic shooter. As of 2019, its rights are owned by Tatsujin, a company founded in 2017 by former Toaplan member Masahiro Yuge and now-affiliate of Japanese arcade manufacturer exA-Arcadia alongside many other Toaplan IPs.
(個人通關492)